ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซ่อนรักระหว่างบรรทัด

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ย. 54


    ตอนที่ 2.

    ๒ เมษายน

    ฉันตื่นเอาเกือบเที่ยง ทำไมน่ะหรอ ปกติฉันไม่ได้ตื่นสายขนาดนี้หรอก ถึงจะเป็นวันหยุดก็เถอะ แต่เรื่องของเมื่อวานนี่สิ ทำเอากว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปดึกดื่น

    เปล่าหรอกนะ ฉันไม่ได้มีคำคืนสุดพิเศษอย่างที่ธรเทพนึกกลัว(หรือฉันแอบหวัง)หรอก ก็แค่วันเกิดอีกหนึ่งครั้งที่ผ่านไป

    ตั้งแต่เจอมุขวันเอพริวฟลูเดย์ ที่ฝรั่งเขาเล่นโกหกกันโดยไม่มีใครโกรธของเมื่อวานฉันก็ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะใส่กับวันเทศกาลต่างๆ ให้มากกว่านี้ อย่างน้อยก็รู้จักวันสำคัญของไทยให้มากขึ้น ไม่ให้หน้าแตกโดนธีรเทพแกล้งเอาอีกได้

    ว่าแต่... ฉันเกิดในวันโกหกของปีหรือนี่...

    เมื่อวานฉันเลิกงานแล้วก็ตรงดิ่งไปร้านที่นัดพบกับเขา ผู้ชายปริศนาที่นายธีรเทพค่อนขอดไม่ขาดปาก จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ชวนมาก็ไม่มา แล้วคิดเหรอว่าห้ามแล้วฉันจะต้องฟังด้วย

    คู่นัดของฉันใช้ชื่อในอินเตอร์เนทว่า พันกวีเพราะเขาหลงใหลในบทกวี แหม ฟังชื่อก็ชวนเคลิ้มฝันแล้วล่ะ แล้วไหนจะถ้อยคำสารพัดที่เขาส่งหาฉันตลอดปีที่ผ่านมาอีกนี่ล่ะ แล้วจะไม่ให้ฉันคาดหวังในตัวเขาได้ยังไงกัน

    ฉันยอมรับอย่างหน้าไม่อายเลยว่าหลงรักเขาเข้าแล้วล่ะ ตั้งแต่วันที่รู้ตัวตั้งตารออีเมลของเขาจนไม่เป็นอันทำงาน แล้วก็เหมือนเขาจะรู้นะ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ขอพบฉัน

    ผมอยากร่วมฉลองวันเกิดให้คุณเขาให้เหตุผลที่อยากพบฉันในวันนี้ ซึ่งมันทำให้ฉันปฏิเสธไม่ลง ทั้งที่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่ายังไม่ควรจะเจอเขา

    ผู้ชายในโลกอินเตอร์เนท ก็ควรจะเป็นแค่ภาพฝันสวยงามอยู่อย่างนั้น อย่ากระโดดออกมาให้ฝันสลายลงตรงหน้า ขอหลับต่อไปอยู่กับความฝันงดงามจะดีกว่าไหม แต่จำนวนปีที่เพิ่มขึ้นในวันเกิดปีนี้ ทำให้ฉันปฏิเสธเขาไม่ลง

    เอาเถอะ ไม่ว่าผลมันจะเป็นยังไงฉันก็พร้อมจะยอมรับล่ะน่า เพราะมันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการอยู่เป็นโสดไปจนตายแถมญาติพี่น้องก็ไม่มีสักคน อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้หรอกน่า ลองดูหน่อยจะเป็นไร

    ต่อไปนี้วันเกิดของคุณจะได้ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป พันกวีบอกไว้อย่างนั้น และฉันก็เชื่อเขาจนหมดใจ

    รู้อยู่หรอกว่าออกจะเข้าข้างตัวเองไปหน่อย เพราะฉันก็คิดว่าเขาต้องคิดอะไรกับฉันบ้างเหมือนกันละน่า ไม่อย่างนั้นจะอยากพบฉันเหรอ แถมยังบอกว่าจะเลี้ยงวันเกิดฉันด้วย แล้วดูร้านที่เขานัดสิ โอ๊ย เห็นร้านแล้วอยากจะอายม้วนลงไปกลางร้านเสียให้รู้แล้วรู้รอด

    ตอนแรกฉันรู้แค่ว่าร้านเป็นร้านอาหารฝรั่ง อยู่ซอยสุขุมวิท 17 แค่นั้น ไม่คิดว่าพอมาถึงแล้วจะต้องตกใจ เพราะว่าร้านที่เขานัดมานี่มันหรูมาก ไม่ใช่แค่นั้น ท่าจะแพงมากๆ ด้วย ถ้าไม่มีเจ้ามือเลี้ยง ไม่มีใครนัดมา มีหรอพนักงานกินเงินเดือนต่ำต้อยอย่างฉันจะกล้าเหยียบย่างเข้าไป

    ดูเถอะเขาน่ารักขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ฉันมาพบได้ยังไง จริงไหม ต่อให้สิบธีรเทพมาห้ามฉันก็ไม่ฟังแล้วล่ะงานนี้ อ้อ ต่อให้ธีรเทพยกขันหมากมาสู่ขอฉันด้วยเอ้า... ไม่สนหรอก เชอะ...

    แล้วหลังจากนั้นแหละฉันถึงได้รู้ว่าเพ้อฝันมากเกินไป สองชั่วโมงหลังเวลานัด เขาก็ยังไม่มา อันที่จริงเมื่อคืน เขาไม่มาเลยต่างหากล่ะ เขาปล่อยฉันคอยเก้อ!!

    ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันถูกทิ้งในวันเกิดตัวเอง...

    ฉันอุตส่าห์วาดภาพฝันสารพัด ดอกไม้สักช่อ(ไม่ต้องแพงหรอก ดอกกุหลาบพลาสติกฉันก็ดีใจแล้ว) เค้กวันเกิด คำอวยพรหวานหู โอ๊ย อย่าจะบ้า สุดท้ายฉันกลายเป็นแม่สายบัวรอเก้อ แถมยังต้องควักเงินจ่ายค่าน้ำระหว่างนั่งรอไปอีก 2 แก้วราคาหลายร้อยบาท อย่างกับเอาน้ำแร่จากเทือกเขาหิมาลัยมาทำน้ำปั่น

    สี่ทุ่มกว่าฉันไปนั่งสลดอยู่ที่ป้ายรถเมล์ วันศุกร์ต้นเดือน รถติดเป็นแพ ยิ่งถนนสุขุมวิทยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้จะไปไหนกันนักหนา วิบากกรรมของฉันคงยังไม่หมดเท่านี้เพราะไอ้เพื่อนตัวแสบดันโทรเข้ามาเยาะเย้ยอีก

    เป็นไง

    กำลังจะกลับบ้านรอรถอยู่ แค่นี้นะ ฉันตอบได้แค่นั้น ยังไม่อยากเล่าอะไรให้ใครฟังเลย ถ้าขืนเล่ามีหวังเขาคงได้หัวเราะแถมให้อีก

    ไอ้คำพูดประเภทบอกแล้ว เตือนแล้วไม่ฟัง เป็นไงล่ะ... ช่างน่าเกลียดจริงๆ ไม่รู้ใครเป็นคนคิดขึ้นมาแต่ฉันเกลียดเป็นบ้า

    อยู่นั่นแหละ เดี๋ยวไปรับ

    อ้าว ไหนว่าไม่ว่าง ฉันถามงงๆ ไม่แปลกใจที่เขารู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน เพราะเล่าให้เขาฟังหมดทุกอย่าง เว้นตอนนี้

    คุยกับลูกค้าเสร็จแล้ว นั่งรออยู่นั่นอย่าไปไหนนะ

    เขาสั่งแล้วก็วางสายไป ที่น่าแปลกก็คือธีรเทพโผล่หน้ามารับหลังจากนั้นแค่สิบนาที ฉันเห็นหน้าเพื่อนแล้วน้ำตาพาลจะร่วงเอาง่ายๆ ไม่รู้แม่เสือสาวคึกคะนองกล้าทำอะไรบ้าบิ่นถึงขั้นนัดพบชายแปลกหน้าในอินเตอร์เนทคนนั้นหายไปไหนแล้ว

    เป็นอะไรของเธอ เขาถามเหมือนไม่เข้าใจจริงๆ นี่ถ้าเขาเป็นผู้ชายแบบชายไทยแท้น้ำเสียงคงจะอ่อนโยนกว่านี้ แล้วก็ต้องทำอะไรไม่ถูกด้วยเวลาเจอน้ำตาผู้หญิง แต่ธีรเทพกลับเบ้ปากใส่ อะไรแค่ถูกทิ้งแค่นี้ทำเป็นบ่อน้ำตาตื้น

    ไอ้บ้า ฉันด่าเพื่อนได้เท่านั้นก็ต้องก้มหน้าลงซบฝ่ามือตัวเอง ไม่เคยนึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรมากเท่านี้มาก่อนเลย แล้วฉันทำถึงบ้านักนะ ฝากความหวังไว้กับผู้ชายที่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อนได้ยังไงกัน

    ไอ้เพื่อนบ้าดันหลังฉันขึ้นรถ ยังไม่วายบ่นใส่

    รีบไปเลย เดี๋ยวคนแถวนี้คิดว่าฉันหลอกเธอมาข่มขืนกันพอดี

    ไอ้ทุเรศ ฉันด่าเพื่อนไปอีกคำแต่ก็ยอมขึ้นรถโฟวิลกลางเก่ากลางใหม่ของเขาอยู่ดี

    ฉันนั่งสะอึกสะอื้น เล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟังระหว่างรถติดไฟแดงแค่สองแยกเรื่องก็จบลงตรงที่ธีรเทพบ่นอีกตามเคย

    เข็ดรึยังละทีนี้

    ดูมันถามเข้า... ฉันได้แต่มองเพื่อนด้วยหางตา ถ้าไม่ได้กำลังอาศัยรถเพื่อนกลับบ้านอยู่มีหวังฉันกระโดดถีบขาคู่ใส่แล้วแน่ๆ ไม่เห็นใจแล้วยังมาซ้ำเติมอีก

    ทำไมฉันถึงตกต่ำขนาดนี้แก ฉันมันเลวร้ายนักรึไง

    ตกต่ำอะไร ธีรเทพย้อนถาม แค่ไม่มีผู้ชายตกถึงท้องแค่นี้ทำโวยวาย

    ไอ้... ฉันจะด่าเพื่อนอีกสักชุด แต่เหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไรออก ไอ้เพื่อนบ้าก็เงียบไปเหมือนกัน แต่เขาขยับตัวยุกยิกเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งที่ยังขับรถอยู่ก่อนจะโยนอะไรบางอย่างออกมาใส่ฉัน

    มันเป็นปากกาสีน้ำทะเล ปลายด้ามปั้มตรงยี่ห้อดังระดับโลกติดไว้ ดูจากวัสดุที่ทำแล้วฉันไม่คิดว่ามันเป็นของปลอม

    อะไร ให้ฉันทำไม ฉันถามงงๆ เพราะคิดว่าเพื่อนจะให้จดอะไรให้เสียอีก

    ของขวัญวันเกิดไง เขาบอกด้วยน้ำเสียงห้วนจัด ติดไปทางรำคาญ ที่จริงมีโบว์ด้วย แต่ยังไม่ได้ผูก

    แล้วเขาจะมาบอกฉันทำไมเนี่ย ก็เห็นอยู่ว่าไม่ได้ผูกโบว์ไม่ได้ห่อของขวัญ แต่นาทีที่เหมือนโลกล่มสลายลงต่อหน้า แค่ปากกาด้ามเดียวก็ทำให้ฉันยิ้มออกแล้วละ

    ขอบใจนะ

    ไม่เป็นไร

    ที่จริงไม่น่าลำบาก ของไม่ใช่ถูกๆ ฉันพูดไปตามมารยาท สายตายังชื่นชมกับปากกาด้ามสวย แต่ธีรเทพกลับตอบหน้าตาเฉย

    ไม่ได้ลำบาก ทำยอดได้เลยได้มาฟรี

    ฉันฟังแล้วความปลาบปลื้มลอยหายไปกับสายลม เอาเถอะของฟรีก็ยังดีวะ ดีกว่าเป็นวันเกิดที่ไม่มีของขวัญเลยสักชิ้นแต่ฉันก็ยังอดบ่นไม่ได้อยู่ดี

    ไอ้งก

    แปลว่าไม่เอา เขาย้อน ไว้คราวหน้าทำยอดได้ ได้อะไรมาไม่เอามาให้แล้วนะ

    ใครว่าล่ะ

    แล้วหลังจากนั้นเราก็ไปปิดท้ายวันด้วยบะหมี่โต้รุ่งหน้าปากซอยคอนโดของฉันเพราะฉันบ่นหิว และเพื่อนจอมมากเรื่องก็บ่นอยากกินโจ๊ก แต่เปลี่ยนใจมาลงเอยกับบะหมี่เกี๊ยวชามโตก่อนจะตามฉันมาถึงที่คอนโด

    ที่จริงเขาก็มาห้องพักของฉันบ่อยๆ มานั่งเล่นนอนเล่น ฝากให้ดูแลห้องกันได้เลยด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมตีหนึ่งของเมื่อคืน ฉันถึงยอมให้เขาส่งแค่หน้าประตูห้อง

    กลับไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้หน้าไม่เด้งนะ ฉันแซวเล่น ไม่อยากให้เพื่อนเห็นว่าไล่ ทั้งที่เขาอุตส่าห์มาส่ง

    พูดจบฉันก็จะปิดประตูห้องใส่เขาเลย จะว่าเสียมารยาทก็ไม่เชิงหรอก ก็ทีเขายังทำใส่ฉันบ่อยๆ เวลารำคาญที่ฉันหาเรื่องกวนประสาท

    จามจุรี เขาเรียกชื่อฉันเต็มยศ ซึ่งนั่นแปลว่ามีอะไรบางอย่างที่จริงจังมากๆ อยากพูดด้วย ฉันเลยโผล่หน้าไปหาอีกที

    อะไร

    สุขสันต์วันเกิด

    ขอบใจ

    ฉันตอบไปงงๆ เพราะไม่เห็นว่าจะเป็นเรืองสำคัญอะไรเลย แต่คำพูดต่อไปของเขานี่สิ

    สามสิบแล้วนะ

    เออรู้แล้ว ฉันตอบด้วยเสียงขึ้นจมูก จะมาย้ำอะไรนักหนาก็รู้แล้วไงว่าจะขึ้นคานอยู่รอมร่อ ไม่ต้องตอกย้ำนักก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรฉันจะไปนอนแล้วนะ ง่วง

    เดี๋ยว

    อะไรอีกล่ะ

    ยังอยากแต่งงานอยู่ไหม

    ถามทำไม ฉันย้อนถามด้วยเสียงรวนๆ ในใจได้แต่คิดว่าเขาจะเยาะเย้ยอะไรอีก

    ถามก็ตอบสิ

    เออสิ ฉันตอบรับฉุนๆ นี่กลายเป็นว่าเขาสั่งอะไรมาฉันก็ต้องทำทุกทีไปสิน่า อยากแต่งงานจนตัวสั่นเข้าใจปะ

    ฉันตั้งใจว่าถ้าเขาชวนแต่งงานอีกรอบ เพราะเห็นว่าเป็นตลกร้ายกาจของวันเมษาหลอกลวงอีกละก็ คราวนี้จะกระโดดล๊อกคอลากเข้าห้องเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

    (ก็แค่ความคิดละว้า... ถ้าเขาพูดจริงๆ มีหวังได้ด่ากันเปิง ไม่กล้าทำอะไรมากกว่านี้หรอก)

    แต่เปล่าเขาไมได้พูดอะไรอีก แค่พยักหน้ารับประหนึ่งว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะเดินหนีไปเลย ทิ้งฉันให้ยืนงงอยู่ตรงนั้น

     

    จนบ่ายฉันตื่นมาหาอะไรกินอิ่มไปมื้อแล้วก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทั้งหมดเมื่อวานมันคืออะไรกัน แล้วทำไมฉันจะต้องคิดมากเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ด้วย(วะ)

    พอบ่ายสองฉันเปิดคอมพิวเตอร์ ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่มีข้อความพันกวีส่งเข้ามาในระบบ ฉันเสียเวลาคิดอยู่ชั่วอึดใจว่าจะเปิดอ่านดีไหม รึเลิกติดต่อเขาไปเลย เพราะการปล่อยให้ผู้หญิงรอเก้อที่ร้านอาหารโดยไม่บอกกล่าวอะไรเลยถือเป็นเรื่องไร้มารยาทอย่างที่สุด

    เขามีเบอร์โทรศัพท์ฉันด้วยซ้ำ แต่เขากลับไม่โทร คิดดูสิน่าโมโหแค่ไหน

    สุดท้ายฉันก็ทนความอยากรู้ไม่ไหว กดเปิดอีเมลฉบับนั้นจนได้

    สวัสดีจินนี่ของผม

    แค่คำขึ้นต้นฉันเริ่มเบ้ปากใส่ เมื่อไหร่เขาจะเลิกเรียกฉันว่าจินนี่ซะทีนะ ฉันไมได้อยู่ในตะเกียงนะ แต่จะโทษเขาซะทีเดียวก็ไม่ได้หรอก เพราะฉันดันไปบอกเขาเองว่าชื่อจินตรา (ช่วยไม่ได้ตอนนั้นจินตรา พูนลาภกำลังดังนี่นา)

    ผมรู้ว่าทำผิดกับคุณเหลือเกินที่ไมได้ไปตามนัด ผมขอโทษจากใจจริง ไม่เคยคิดว่าจะทำให้คุณต้องรอมาก่อน ไม่เช่นนั้นผมคงไม่กล้านัดคุณ แต่เมื่อคืนมีเหตุสุดวิสัยจริงๆ ทำให้ผมไปพบคุณไม่ได้ ทั้งที่เป็นวันสำคัญของคุณ... ซึ่งกำลังจะกลายเป็นวันสำคัญของเรา

    วันอะไรวะ ฉันได้แค่บ่นกับตัวเอง

    จะว่าไปนายพันกวีนี่ก็พระเอกลิเกดีๆ นี่เอง เขาสรรหาถ้อยคำสารพัดมาทำให้เราปลาบปลื้มได้ แม้แต่ในเวลาที่เขาผิดนัด ฉันก็ยังอดชื่นชมกับสำนวนน้ำเน่าของเขาไม่ได้อยู่ดี

    แล้วไอ้เหตุสุดวิสัยที่ว่าคืออะไรก็ไม่แจ้ง แล้วฉันจะอภัยให้เขาได้ยังไงกันล่ะ

    ไวเท่าความคิดฉันก็ตอบกลับไปทันที

    ถ้าคุณไม่อยากมาก็ไม่เป็นไร ฉันจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าคุณจะพูดความจริง

    พอกดส่งไปได้ไม่ถึงนาทีฉันก็เห็นชื่อของเขาออนไลน์เข้าระบบ และไม่ถึงสองวินาที เขาก็ส่งข้อความออนไลน์ตอบมา

    ผมอยากพบคุณจริงๆ ไม่เกิดต้องการพบใครมากเท่าคุณมาก่อนเลย

    แล้วทำไมคุณถึงไม่มา ฉันถามกลับไปตรงๆ ซื่อๆ นี่ล่ะ ด้วยความอยากรู้ ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

    เมื่อวานเย็น เพื่อนผมเข้าโรงพยาบาล ต้องผ่าดัดด่วน

    ฉันอ่านแล้วตอนแรกก็ตกใจไม่น้อยกับข้อความของเขา แต่ก็อดคิดไมได้ว่ามันก็แค่คำแก้ตัว บนคีบอร์ด เราอยากพิมพ์อะไรก็ได้ทั้งนั้น

    และเหมือนเขาจะรู้ว่าฉันคิดอะไร

    ตอนนี้ผมยังอยู่กับเพื่อนที่โรงพยาบาล ถ้าเผื่อคุณผ่านมาแถวร่มเกล้า เพื่อนผมพักรักษาตัวอยู่ห้อง 405 ชื่อกนกพงศ์ ว่านเครือ

    คุณไม่จำเป็นต้องบอกขนาดนี้ก็ได้

    ผมกลัวคุณจะคิดว่าผมโกหก

    ไม่หรอก ฉันเชื่อคุณ

    คุณไม่โกรธผมแล้วใช่ไหม

    ค่ะ

    ขอบคุณครับ คุณไม่รู้หรอกว่าผมโล่งใจมากแค่ไหนที่เราคืนดีกันแล้ว

    ฉันอมยิ้มกับคำที่เขาใช้ คืนดีกันอย่างนั้นหรอ ทำอย่างกับเป็นแฟนกันเลย ชอบจัง... แต่เดี๋ยวสิ ฉันควรจะวางตัวกับเขาหน่อยไม่ใช่หรอ เขาให้ฉันรอตั้งสองชั่วโมงนะ แล้วไหนจะค่าน้ำแร่หิมาลัยนั่นอีกล่ะ

    เราไม่ได้เป็นอะไรกัน จะเรียกว่าคืนดีคงไม่ถูก

    ผมขอโทษ เขาตอบกลับมาพร้อมกับตัวการ์ตูนกำลังทำหน้าสลด ผมคงบอกคุณได้แค่ว่าผมเสียใจเหลือเกินที่ทำให้คุณต้องรอ

    คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันรอ ฉันอาจจะไม่ได้ไปเหมือนกันก็ได้

    ผมรู้ว่าคุณจะต้องไป

    ทำไมมั่นใจนัก

    เพราะคุณจะไม่ผิดนัด ถ้าคุณไม่อยากไปคุณจะไม่รับนัดแต่ต้น

    รู้ได้ยังไง... ฉันบ่นกับตัวเอง เพราะฉันเป็นคนแบบนั้นจริงๆ คนไทยส่วนมากมักจะเห็นว่าการผิดนัดไม่เกินสิบห้านาทีเป็นเรื่องปกติที่พอรับได้ แต่ถ้าฉันนัดกับใครแล้วนัดก็คือนัด ไม่ไปสายให้ต้องคอยกันเด็ดขาด ฉันคอยไม่เป็นไร แต่ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาคอยฉัน

    แล้วนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ฉันถูกทิ้งสินะ...

    จินนี่ครับ คุณคงไม่รู้หรอกว่าผมอยากพบคุณมากแค่ไหน อยากให้เมื่อคืนเป็นคืนพิเศษของเรา เป็นมากกว่าวันเกิด

    ฉันอึ้งไปเลยพอเจอประโยชคนี้ มันก็เช้ยเชยนะ แต่ฉันกลับชอบ

    เป็นวันแรกที่เราพบกัน ฉันพิมพ์ตอบลงไปแบบนั้น เพราะฉันก็หวังอย่างนั้นเช่นกัน

    ผมขอโทษ

    ช่างมันเถอะ คุณขอโทษฉันสองครั้งแล้วนะ ฉันรับคำขอโทษจากคุณค่ะ เอาไว้เราค่อยนัดกันใหม่ก็ได้

    ฉันพิมพ์ตอบกลับไปอย่างคนไม่มีอะไรจะเสีย เขาคงไม่คิดว่าฉันให้ท่าหรอกนะ

    ถึงยังไงก็คงไม่พิเศษเหมือนเมื่อวานอีกแล้ว

    มันก็แค่วันเกิด

    ไม่ใช่ครับ

    ไม่ใช่แล้วอะไรล่ะ ฉันถามตัวเองก่อนจะรีบพิมพ์ตอบกลับไป วันที่เราได้พบกัน

    คุณจะได้ไม่ลืมผม เท่ากับที่คุณจะไม่ลืมวันเกิดตัวเอง 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×