คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 3 ผิดหวัง 3-4
มาอัปต่อแล้วค่ะ ฝากกดแอดแฟน
สั่งซื้อหนังสือทำมือเรื่องอื่นๆทางแฟนเพจ
E-book ทุกเว็บ
MEB คลิก!!! Get it now
ookbee
ภายในห้องสี่เหลี่ยมของแพทย์ชื่อดัง
แผนกจิตเวชโซนผู้ป่วยวีไอพีที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง มีกลิ่นยาหลายชนิด
รวมถึงกลิ่นยาฆ่าเชื้อคละคลุ้งไปทั่วบริเวณโรงพยาบาลตามปกติ
จิรายุทธนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟาเบาะหนานุ่มสีขาวด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด
พลางก้มดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือเรือนแพง
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาถูกลดทอนลงแม้แต่น้อย
“ขอโทษที่มาช้านะครับคุณเจมส์
ผมขอโทษจริงๆ”
‘ดร.เกรียงไกร’
พูดเสียงร้อนรน หลังจากเปิดประตูห้องทำงานตัวเองเข้ามาก็พบคนไข้วีไอพีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
คนสูงวัยกว่าทำตัวพินอบพิเทาอย่างให้เกียรติคนหนุ่ม
ก่อนจะรีบเดินไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้ามเขา
แทนที่จะเรียกให้อีกฝ่ายไปนั่งคุยที่โต๊ะทำงานเหมือนคนไข้รายอื่น
“คุณหมอมาสายสิบนาที”
จิรายุทธกล่าวเสียงแข็ง เพียงแค่นี้ก็ทำให้คุณหมอแทบจะต้องหยิบกระดาษทิชชูมาซับเหงื่อที่ซึมตามขมับเพราะความกริ่งเกรง
เขารู้ว่าถึงจิรายุทธจะไม่ใช่ผู้บริหารของโรงพยาบาลนี้
แต่ยังไงครอบครัวของอีกฝ่ายก็มีหุ้นส่วนเป็นอันดับสองของโรงพยาบาล
ดังนั้นต่อให้คุณหมออยู่ไกลหรือยุ่งมากแค่ไหน
ถึงคนไข้วีไอพีรายนี้ไม่ได้นัดก่อนล่วงหน้าเขาก็ต้องกลับมาให้ทัน
อย่างเมื่อวานเขาติดบรรยายอยู่ที่เชียงใหม่
แต่พอจิรายุทธโทร.มาว่าจะแวะเข้ามาในเช้าวันนี้
เขาก็ต้องรีบจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวเช้าสุดเพื่อมาพบตามที่คนไข้ต้องการ
“ต้องขอโทษคุณเจมส์มากๆ
นะครับ ตรงหน้าสนามบินรถติดมากเลย วันนี้รู้สึกจะมีนักร้องเกาหลีมา
คนแห่มารอกันเพียบ”
“เข้าเรื่องเถอะหมอ
เพราะผมไม่มีเวลามาก”
จิรายุทธบอกเสียงขรึม
เพราะเบื่อหน่ายที่ต้องแวะมาโรงพยาบาลด้วยเรื่องบ้าบอของตัวเอง
นับสิบปีแล้วอาการประหลาดของเขาก็ยังไม่หายสนิท
เวลาแวะมาโรงพยาบาลแต่ละครั้งเขาก็ต้องปลอมตัวเพื่อหลบหลีกผู้คนและนักข่าวโดยไม่ให้ถูกจับตามองราวกับตัวเองเป็นนักโทษหนีคดีอย่างเช่นวันนี้เขาต้องอยู่ในมาดหนุ่มเซอร์
ขับบิ๊กไบค์มาพร้อมสวมหมวกแก๊ปกับแว่นกันแดดสีดำ
แทนที่จะเป็นชายหนุ่มนักธุรกิจมาดเข้มสุดหรูตามปกติ เพราะหากข่าวเรื่องความผิดปกติทางจิตของเขาหลุดออกไปจนคนตามขุดคุ้ยต้นเหตุว่าชายหนุ่มเคยขับรถชนเด็กคนหนึ่งจนเฉียดตายและไร้ความรับผิดชอบ
คงได้มีคนออกมาต่อต้าน โดยเฉพาะกลุ่มดราม่าตามอินเทอร์เน็ต
พวกโซเชียลเน็ตเวิร์กที่แชร์กันอย่างรวดเร็ว หรือเว็บบอร์ดต่างๆ
ที่ขอได้ด่าไว้ก่อนไม่ว่าเรื่องอะไรก็อาจจะหันมาเพ่งเล็งเขาแทน
แต่ความจริงเขาไม่ได้สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น
นอกจากเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเพราะหุ้นบริษัทจะตก
และความน่าเชื่อถือในตัวผู้บริหารลดลง เพราะอาจมีพวกจ้องรอโอกาสนี้มาชิงตำแหน่งเขา
“คุณยังฝันถึงเรื่องนั้นอยู่เหรอครับ”
คุณหมอวัยกลางคนถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เขาจำได้ว่าจิรายุทธมารักษาตัวครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน
แล้วอาการเกือบดีขึ้นมาช่วงหนึ่งก่อนจะหายไปนาน
ชายหนุ่มขอให้ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และไม่ยอมบอกแม้แต่มารดาของตัวเอง
“ผมได้อีเมลจากเธออีกครั้งในรอบหลายปี”
จิรายุทธเอ่ยเสียงเครียดด้วยความอึดอัด
เพราะเหตุนี้ทำให้เขาฝันถึงเหตุการณ์วันนั้นอีกแล้ว
ความฝันและภาพมโนในสมองของเขามันเริ่มตั้งแต่หลายปีก่อน
ตอนเกิดอุบัติเหตุที่เขาขับรถไปชนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เซ่อซ่าขี่จักรยานมาตัดหน้ารถ
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอไม่สามารถกลับมาเดินได้ปกติเหมือนเดิมและต้องทำกายภาพบำบัด
เขาอยากรับผิดชอบที่ต้องทำให้เด็กผู้หญิงพิการ
แต่ก็มีคนมารับเธอไปดูแลตัดหน้าเขาก่อนแล้ว ทำให้เขารู้เรื่องเธอเพียงแค่นั้น
ชายหนุ่มไม่อยากยอมรับสักนิดว่าตัวเองต้องกลายมาเป็นผู้ป่วยจิตเวชได้
แต่หลังจากวันนั้นเขาก็มีอาการโรคจิตเฉียบพลันขึ้นมา
มักจะรู้สึกนึกถึงเหตุการณ์นั้นอยู่ซ้ำๆ บ่อยๆ จนหยุดไม่ได้
เขาจำแต่ภาพโหดร้ายได้ติดตาว่าเห็นร่างของเด็กผู้หญิงนอนหมดสติเนื้อตัวฟกช้ำจมกองเลือดอยู่บนพื้น
และเขามักฝันร้าย ย้ำคิดแต่เรื่องเดิมๆ
จนถึงขั้นท้อแท้ตำหนิตัวเองที่ไม่สามารถรับผิดชอบแค่เด็กเพียงคนเดียว
พอผ่านมาหลายปีอาการทางจิตที่มีความคิดฝังใจถึงแต่เรื่องนั้นก็เริ่มหายสนิท
เพราะเขาไม่ยอมเข้าไปอ่านอีเมลที่เธอส่งมาอีก
เขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการตัดสินใจตั้งรหัสผ่านที่แน่ใจว่าตัวเองจะจำไม่ได้
แต่ไม่กี่วันก่อนไม่รู้อะไรดลใจให้เขาเข้าไปกู้บัญชีคืน
ราวกับอยากลองอ่านอีเมลที่เธอส่งมาในปัจจุบัน
และทำให้เรื่องพรรค์นั้นกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง เธอบอกว่าตอนนี้อยู่กรุงเทพมหานครและอยากเจอเขา
จิรายุทธยอมรับว่าตัวเองในตอนนั้นขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว
เพราะกลัวประวัติจะด่างพร้อย เมื่อรู้ว่าเธอมีคนมารับไปดูแลเขาก็ปัดความรับผิดชอบด้วยการปิดเบอร์มือถือทิ้ง
จนทำให้เหลือเพียงช่องทางเดียวที่จะติดต่อได้
แต่สาเหตุที่เขายังไม่ปิดบัญชีอีเมลนั้นทิ้งไป
เพราะเขายังชอบอ่านข้อความที่เธอส่งมาถามไถ่อยู่เรื่อยๆ
และเธอก็ช่างดีเหลือเกินที่ไม่พูดถึงอาการของตัวเองเลยสักนิด
ทั้งที่เขาอยากรู้แทบคลั่งตายว่าเธอกลับมาเดินอีกได้ไหม
“ก็ดีเลยสิครับ
คุณก็ติดต่อขอพบเธอ” คุณหมอทำหน้าดีใจแทน
เพราะเขาเชื่อว่าอาการของชายหนุ่มควรรักษาที่ต้นเหตุ
หากจิรายุทธได้ช่วยเหลือเด็กหญิงผู้น่าสงสารตามที่เคยตั้งใจไว้
ความกลัวในจิตใจที่เป็นปมมานานอาจจะดีขึ้นมา
“ถ้าเธอเป็นอย่างที่ผมคิดขึ้นมาล่ะ”
“คุณต้องยอมรับความจริง”
“ผมนึกถึงเธอในสภาพนั้น
มันทำผมหงุดหงิดแทบบ้าตาย!” เสียงห้าวคำรามอย่างระบายอารมณ์
พลางยกมือขึ้นมาทึ้งผมตัวเองแบบที่ไม่เคยทำให้ใครเห็นมาก่อน
เขารู้ว่าตัวเองหลีกหนีความจริงอย่างน่าละอาย
และมโนภาพอยู่ทุกวันว่าเธอคงสบายดี
หากเขาไปพบว่าเธอใช้ชีวิตน่าสงสารอย่างคนพิการเพราะเขาคือสาเหตุ
เขาก็ไม่แน่ใจว่าความคลุ้มคลั่งโทษตัวเองของเขาจะอยู่ระดับไหน
“เรื่องมันอาจไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิดนะครับ”
“แต่เท่าที่จำได้ผมอยู่กับเธอเป็นเดือน
แต่เธอก็ยังนอนเป็นผักเน่าอยู่บนเตียง ต้องพึ่งรถเข็นตลอด”
“คนป่วยทุกคนอาการย่อมดีขึ้นครับ
เด็กย่อมฟื้นตัวเร็ว”
“ผมเกือบฆ่าคนตาย!”
“คุณไม่ได้ตั้งใจ
ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น และตอนนี้แสดงว่าเธอยังสบายดีถึงติดต่อคุณได้” ดร.เกรียงไกรออกความเห็น พลางเอื้อมมือมาแตะแขนเขาเบาๆ เพื่อให้ระงับสติ
เขารู้ดีว่าจิรายุทธคงคิดว่าทำแบบนั้นแล้วจะทำให้อาการรู้สึกผิดของตนเจือจางลงและจะลืมเธอได้
แต่เปล่าเลยมันกลับทำให้อาการชายหนุ่มแย่กว่าเดิมจนต้องหันมาพึ่งยา
“ผมก็หวังอย่างนั้น
อย่าให้ฝันร้ายนั้นคือความจริงเลย” จิรายุทธถอนใจพลางเอนตัวพิงพนักโซฟาแล้วหลับตาลง
ถึงเขาจะจำภาพเป็นสิบๆ ปีได้ไม่ชัดเจน จนเหมือนความทรงจำสีจางที่เลือนราง
แต่เวลาที่เจอเหตุการณ์คล้ายกันเขาก็มักจะนึกถึงเสมอว่าตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไร
อยู่ไหนหรือทำอะไรอยู่
อย่างวันก่อน
มูลนิธิเด็กพิการแห่งหนึ่งได้ส่งคนเข้ามาขอทุนการศึกษาเพื่อให้เขามอบทุนเด็กเรียนดี
ก็ทำให้จิรายุทธเฝ้าโทษตัวเองอีกครั้งว่าเด็กพวกนี้พิการโดยกำเนิด
แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นต้องเดินไม่ได้เพราะเขา
แม้จะทำทุกวิถีทางถึงขนาดรับอุปการะเด็กผู้หญิงคนอื่นที่เจอเรื่องใกล้เคียงกันเพื่อลดความรู้สึกผิด
แต่มันกลับช่วยไม่ได้เลยเมื่อมันไม่ใช่เธอ
“คุณอยากให้หมอจ่ายยานอนหลับ
หรือยาระงับประสาทเพื่อช่วยผ่อนคลายอีกไหม” คุณหมอถามความต้องการของคนไข้
เพราะจิรายุทธเลิกยาพวกนี้มานานเกินห้าปีได้แล้ว
“ไม่” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะรู้ดีว่ายาพวกนี้ก็แค่ช่วยให้เขาผ่อนคลายชั่วคราวเท่านั้น
“คุณเจมส์ครับ” เกรียงไกรเอ่ยเสียงเรียบ “หมอว่าบางทีเด็กคนนั้นอาจจะสุขสบายดี
ครอบครัวชาวต่างชาติที่รับเธอไปอุปการะ
อาจจะรักเธอยิ่งกว่าที่คุณอยากจะดูแลเธอในตอนแรกก็ได้นะ” จากการวิเคราะห์จิรายุทธก็แค่อยากมาระบายความอึดอัดให้แพทย์ฟังมากกว่า
มันก็เหมือนเรื่องบางเรื่องที่บางคนเคยเจอในวัยเด็ก เช่นทะเลาะกับเพื่อน
หรือเลิกคบกับแฟนคนแรกที่รักมากแต่ต้องมีเหตุให้เลิกรากันไป
ทุกวันนี้ก็ยังคงฝันถึงคนนั้นเพราะรู้สึกผิดหรือคิดถึง
หากแต่เรื่องของจิรายุทธอาจจะหนักหนาสาหัส เพราะถึงขั้นทำให้ชีวิตคนหนึ่งต้องมีตำหนิ
+----------+
ความคิดเห็น