คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 พันธะวิวาห์ไร้รัก (part 1)
บทที่ 1 พันธะวิวาห์ไร้รัก
ภายในห้องปรับอากาศ ของโรงแรมสุดหรูห้าดาวในประเทศสหรัฐอเมริกา
มีร่างของชายหนุ่มกับหญิงสาว กำลังนอนหมดแรงกันอยู่บนเตียงหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจอันแสนเร่าร้อน เหงื่อกาฬผุดซึมตามผิวกายทั้งคู่ ผสานเสียงแว่วกรีดร้องครวญครางเมื่อพากันไปถึงฝั่งฝัน ก่อนที่ชายหนุ่มจะค่อยๆขยับตัวพลิกกลับมาอีกฝั่งของเตียง ร่างใหญ่นอนแผ่หลาด้วยความเหนื่อยหอบ
“อีกรอบไหมคะที่รัก?”
หญิงสาวลูกครึ่งที่ชื่อวิกกี้เอ่ยถามเสียงใส พลางหัวเราะคิกคัก ก่อนจะพยายามเอาร่างอวบอัดของตัวเองเบียดชิดเข้าไปกระแซะหาเขาอีกรอบอย่างเอาใจ
“พอก่อนเถอะ พรุ่งนี้ผมมีงานแต่เช้า”
‘เตชินท์’ ปฏิเสธเสียงห้วน พร้อมกับผลักร่างของหญิงสาวออกไปอย่างไม่คิดจะใส่ใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปคว้าผ้าขนหนูมาพันเอาไว้ที่เอว
ร่างสูงกำลังจะเดินตรงไปเข้าห้องน้ำ แต่เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เขาขมวดคิ้วแปลกใจ เพราะตอนนี้เป็นเวลาตีสองเข้าไปแล้ว ใครจะโทร.มาดึกป่านนี้ถ้าไม่มีเรื่องด่วน ชายหนุ่มเดินไปหยิบมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์จากประเทศไทย เขาจึงกดรับสายทันที
“ว่าไง?”
“คุณตรัยคุณกับคุณผู้หญิงเสียชีวิตแล้วครับ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่คนปลายสายบอก คล้ายว่าโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ มันทำให้ชายหนุ่มถึงกับตะลึงงัน เลือดในกายเย็นเฉียบ ก่อนที่เขาจะเผลอปล่อยโทรศัพท์มือถือในมือหล่นพื้นเสียงดัง จนหญิงสาวคู่ขาคนสวยที่นอนอยู่บนเตียง รีบหันมาตะโกนถาม
“เป็นอะไรไปคะเวียร์?”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ เพราะตอนนี้เขาหูอื้อและสมองเบลอเหมือนไม่สั่งการอย่างกะทันหัน หัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขารู้ดีว่าวันนี้มันจะต้องเกิดขึ้นสักวันตามธรรมดาของมนุษย์และสัตว์โลกทุกชีวิตที่มีเกิดแก่เจ็บตาย แต่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะเร็วมากขนาดนี้ ถึงเขากับบิดาจะไม่ค่อยลงรอยกันในแทบทุกเรื่อง จนเขาต้องตัดสินใจแยกตัวจากครอบครัวออกมาอยู่ที่ต่างประเทศ แต่เขาก็คิดเสมอว่าบิดาคือคนสำคัญในชีวิต เตชินท์ไม่เคยรู้สึกอ่อนแอขนาดนี้มาก่อนเลย ตอนนี้แววตาคู่คมเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ที่พยายามบังคับไม่ให้มันไหล
“เวียร์คะ เป็นอะไรไป กี้เรียกทำไมไม่ตอบ?” วิกกี้ถามอีกครั้ง
“…”
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
ชายหนุ่มไม่คิดจะตอบให้เสียเวลาหรืออธิบายอะไรทั้งสิ้น เพราะมันคือเรื่องส่วนตัวที่คนนอกไม่จำเป็นต้องรู้ เขาหันหลังเดินตึงตังไปคว้าเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นพรมขึ้นมาสวมด้วยท่าทีขรึมจัด โดยใช้เวลาไม่ถึงนาที ก่อนจะหยิบเช็คที่เตรียมไว้จากกระเป๋าสตางค์หนังแบรนด์เนมสีดำ ไปวางไว้ที่ปลายเตียง
“ผมต้องรีบกลับเมืองไทยด่วน” พูดจบแค่นั้น ร่างสูงก็เดินลิ่วออกจากห้องไปอย่างไม่คิดจะอธิบายอะไรทั้งนั้น ทิ้งให้หญิงสาวที่มีความสัมพันธ์ทางกายกันแบบชั่วคราว ได้แต่นั่งทำหน้าบึ้ง และมองตามหลังไปด้วยความเสียดาย เพราะเธอกับเขาเพิ่งได้เจอกันเพียงไม่นานที่ไนต์คลับแห่งหนึ่ง แล้วสานสัมพันธ์ต่อเพียงไม่กี่เดือน พอถูกตาต้องใจก็มาต่อกันที่ห้อง และเธอรู้ดีว่าความสัมพันธ์แบบง่ายๆฉาบฉวยแค่เพียงเรื่องบนเตียงกับเตชินท์มันไม่คงทนยืดยาว แต่เธอก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะไปเร็วขนาดนี้ ผู้ชายคนนี้ไม่มีหัวใจเหมือนที่ใครต่อใครบอกเอาไว้ไม่มีผิด
‘เตชินท์ อัครเดชาวัฒนา’ เป็นลูกชายคนเดียวของตรัยคุณ ซึ่งเป็นนักธุรกิจหมื่นล้านที่ทำธุรกิจบ้านจัดสรรที่มีสาขามากที่สุดในประเทศ มารดาของชายหนุ่มเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังไม่ถึงห้าขวบ จนกระทั่งเมื่อเตชินท์ขึ้นมัธยมต้น บิดาได้แต่งงานใหม่กับ ‘โสรดา’ เธอพนักงานสาวแผนกประชาสัมพันธ์ในบริษัท ท่ามกลางการคัดค้านแบบหัวชนฝาของเตชินท์ แต่บิดาไม่เคยฟัง แม้เขาจะประท้วงอดข้าวอดน้ำ หรือทำตัวเหลวไหลเสเพลมากแค่ไหนก็ตาม ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็กลายมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา และได้ตำแหน่งคุณผู้หญิงคนใหม่ของบ้านหลังนี้
เรื่องนี้มันทำให้เตชินท์โกรธมากจนถึงทุกวันนี้ เพราะหลังจากแต่งงานเพียงปีเดียว โสรดาได้พาหลานสาวกำพร้าวัยเจ็ดขวบที่ชื่อ ‘รมิดา’ เข้ามาอยู่ด้วย และมันสร้างความอึดอัดใจให้กับชายหนุ่มยิ่งกว่าเดิม เพราะทุกเวลาทุกนาทีที่ตรัยคุณเคยมีให้เขา ก็ไปอยู่กับน้าหลานคู่นั้นจนหมด
บิดาบอกให้เขารักเธอเหมือนน้องสาว แต่เพียงแค่คิดเขายังสยอง น้องบ้าบออะไร เขาเป็นลูกชายคนเดียว และตลอดเวลาที่อยู่ร่วมบ้านกัน รมิดาชอบมาตามเกาะแกะเขาเป็นเหมือนเงาจนน่ารำคาญ เขาด่าว่าเท่าไรเธอก็ไม่รู้สึกรู้สาและไม่เคยเห็นน้ำตาสักหยด แต่คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่ารมิดามักแอบไปร้องไห้คนเดียวเงียบๆ
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มหนีเธอไปเล่นกีฬาหนักๆ ประเภทศิลปะป้องกันตัวยูโด แต่ก็มีเพื่อนมาร่วมเล่นด้วยโดยไม่ได้นัดหมายนั่นคือรมิดา! เธอคอยตามติดและพยายามเลียนแบบเขาทุกอย่าง เหมือนกับอยากจะทำให้ได้ดีเหมือนกับเขา จนเขาชักกังวลว่าจะเป็นการเสี้ยมสอนของโสรดา
แต่เด็กสาวไม่สามารถทนเล่นกีฬาชนิดนี้ได้นาน เพราะเจ็บตัวไปก่อนจนต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัว ซึ่งเรื่องนั้นกลายเป็นว่าเตชินท์คือคนผิด บิดาต่อว่าเขาหนักหนาในข้อหาที่เขาดูแลน้องไม่ดี แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาเกลียดเธอได้ยังไง
เมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากที่เตชินท์ได้รับโทรศัพท์ของทนายความประจำตระกูล ว่าตรัยคุณกับแม่เลี้ยงเขาเสียชีวิตเนื่องจากเหตุการณ์เครื่องบินตก ชายหนุ่มก็รีบตรงกลับมาเมืองไทยทันที และนับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขายอมกลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง เพราะหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยในระดับปริญญาตรี เขาก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา แล้วทำงานที่นั่นต่อจนไม่คิดกลับมาอีกเลย
การกลับมาคราวนี้เป็นเหตุผลที่สร้างความเสียใจให้เตชินท์เป็นอย่างมาก เพราะเขาได้แต่โทษตัวเอง ว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้บิดาต้องเสียชีวิต เนื่องจากล่าสุดบิดาได้โทร.มาขอร้องให้เขากลับมาเยี่ยมที่บ้านบ้าง แต่เขาปฏิเสธเสียงแข็ง จนกระทั่งตรัยคุณทนความคิดถึงไม่ไหว ท่านได้จองตั๋วเครื่องบินไปอเมริกาเพื่อที่จะมาหาเขาพร้อมกับ โสรดา เพื่อตั้งใจจะมาฉลองวันคริสต์มาสกับเขา
หลังจากที่งานศพของบิดากับแม่เลี้ยงผ่านพ้นไปได้หนึ่งวัน เตชินท์ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอนเหมือนเดิมด้วยความเสียใจและสับสน ข้าวปลาไม่ยอมทาน ทำให้ญาติหลายคนและหุ้นส่วนของบริษัท เริ่มเป็นห่วงว่าวัฒนาพร็อพเพอร์ตี้กรุ๊ปของตรัยคุณจะไม่มีคนมาบริหารให้กิจการลุล่วงต่อไป
วันก่อนกลุ่มบอร์ดบริหาร ได้เริ่มเปิดประชุมเพื่อทำการโหวตประธานคนใหม่ ญาติหลายคนจึงแนะนำให้เขาลาออกจากงานที่อเมริกา เพื่อมาบริหารงานต่อจากบิดาแทนโดยเร็ว และวันนี้เป็นอีกวัน ที่เขานอนลืมตามองเพดานสีขาวเงียบๆอย่างหมดอาลัยตายอยาก
กี่ปีแล้วนะที่เขาไม่ได้เครียดจนหัวแทบระเบิดแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาเขาได้แต่ ดื่มเหล้า เที่ยวตะลอนไปวันๆ และก็ทำงานให้หนัก แต่หากมีเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจก็หาคนมาช่วยคลายเครียด
ขณะที่เตชินท์กำลังนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สักพักก็มีเงาของใครบางคนมายืนอยู่ข้างเตียง กลิ่นหอมอ่อนๆที่คุ้นเคยรวยรินมาแตะจมูก มันปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาชอบกลิ่นนี้เหลือเกิน มันเหมือนกลิ่นแป้งเด็กผสมกลิ่นดอกไม้ จนหลายครั้งเขารู้สึกอยากจะสัมผัส
ชายหนุ่มรีบหันขวับไปมองอย่างเร็ว แล้วเห็นรมิดามายืนยิ้มอยู่ข้างๆ หัวคิ้วเข้มๆจึงขมวดเข้าหากันทันทีแบบไม่สบอารมณ์ ที่หญิงสาวถือวิสาสะเข้ามาในห้องส่วนตัว แถมยังมายืนยิ้มปัญญาอ่อนในขณะที่เขากำลังเครียดหนัก พอเห็นหน้าเธอแล้วพาลหงุดหงิดขึ้นมาทันตา
“ใครใช้ให้เธอเข้ามาในห้องฉันหา!” เสียงห้าวตวาดดังลั่น ด้วยใบหน้าบึ้งตึงจนคนมาเยือนสะดุ้งโหยงตกใจหุบยิ้มฉับพลัน
“เอ่อ...เรนเคาะประตูหลายรอบแล้วค่ะ แต่พี่เวียร์ไม่เปิดให้” รมิดาบอกเสียงอ่อนๆด้วยสีหน้าหงอลงอย่างเกรงกลัว พลางมองเขาด้วยสายตาเจ็บปวดกล้ำกลืน จะมีไหมสักครั้ง ที่เขาเห็นหน้าเธอแล้วไม่อารมณ์เสียหรือขุ่นเคือง
เขาไม่เคยยิ้มให้เธอเลย และเธอไม่เคยรู้เลยว่าไปทำอะไรให้เขาโกรธ เพราะแค่เขาเห็นหน้าเธอ ในสายตาของเขาก็มองเธอด้วยความเกลียดชังมาตลอด แต่หัวใจของเธอที่มีต่อผู้ชายคนนี้มันกลับไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“ฉันอยากอยู่คนเดียว ออกไปให้พ้น!”
“ทนายความของคุณลุงมาหาค่ะ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย เรนเลยขึ้นมาตามพี่เวียร์ เรนไม่ได้จะขึ้นมากวนนะคะ”
เตชินท์ชะงัก แล้วนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาขาวผ่อง ที่สวมแว่นตากรอบทอง ดูเคร่งขรึมของ ‘วายุ’ ชายหนุ่มเชื้อสายจีนที่ดูเจ้าสำอาง ผู้เป็นทนายความประจำตระกูลคนใหม่ของบ้านเขา เพราะบิดาไม่เคยบอกเลยว่าเปลี่ยนทนายความไปตั้งแต่เมื่อไร
วายุน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา และเขาเพิ่งรู้จักกับวายุได้เพียงไม่กี่วันหลังจากกลับมาเมืองไทย เพราะเพิ่งจะรู้ว่าคุณลุงวศินทนายความเก่าแก่ที่เคยทำงานให้บิดามานานกำลังป่วยหนัก ลูกชายของวศินจึงต้องมารับช่วงทำงานต่อ
เพียงแต่ว่าท่าทางและสีหน้าของหมอนั่นที่มองมายังเขา มันมีหลายครั้งที่
เตชินท์รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเป็นมิตรนัก แต่ที่ทำให้เขาหงุดหงิดและไม่ชอบใจมากขึ้น
ก็คือท่าทางที่สนิทสนมกันเกินเหตุของรมิดากับวายุ คำเรียกขานที่เรียก ‘พี่บอส น้องเรน’ มันฟังแล้วแสลงหูสิ้นดี ผู้หญิงคนนี้ฉลาดล้ำลึกจริงๆที่พาตัวเองเข้าไปสนิทกับทนายความของตระกูลเขา
เตชินท์ลุกพรวดยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วหันมามองรมิดาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาขวางน่ากลัว เธออยู่ในชุดเสื้อแขนกุดสีขาวกับกางเกงขาสั้นครึ่งน่อง ทรวงอกอวบอิ่มนั้นดันเสื้อยืดออกมา แทบไม่ต้องจินตนาการถึงทรวดทรงอะไรมาก
เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าเด็กสาวขี้แง ที่ชอบแอบไปนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่คนเดียวเงียบๆ ตอนนี้โตเป็นสาวสะพรั่งแล้วทั้งตัว ใบหน้ารูปหัวใจ ดวงตากลมโตเป็นประสุกใส สายตาคมกริบมองไล่มายังซอกคอขาวๆ จนถึงเนินไหล่ที่มีผิวเนียนละเอียดอยู่ชั่วอึดใจ แล้วได้แต่ถอนหายใจแรงๆ
“ต่อไปเวลาอยู่ในบ้าน ห้ามให้ต้นแขนกับขาอ่อนโผล่พ้นเสื้อผ้าออกมาให้เห็นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเธอโดนฉันเอาเรื่องแน่!”
เตชินท์บอกด้วยเสียงขุ่นเคือง แล้วส่ายหน้าแรงๆเพื่อขับไล่ความคิดไร้สาระออกไป มันน่าหงุดหงิดนักที่เธอแต่งตัวแบบนี้ออกไปพบคนอื่น
“เอ่อ...เรนแต่งแบบนี้ เฉพาะเวลาอยู่บ้านเท่านั้นค่ะ”
หญิงสาวบอกเสียงอ่อย รู้สึกหน้าชาอย่างบอกไม่ถูก
“อ้อ แต่งตัวเป็นดาวยั่วเหมือนน้าเธออย่างนั้นใช่ไหม แทบจะแก้ผ้าเดินอยู่แล้ว ดีนี่ ก็เลยได้กลายเป็นคุณนาย อย่าคิดนะว่าฉันจะสนใจเธอ”
ชายหนุ่มว่ากราดไปถึงโสรดา ที่ชอบแต่งตัวสวยวาบหวิวมาหาบิดาเขาบ่อยๆ แรกๆก็อ้างเรื่องงาน ไปๆมาๆกลายมาเป็นแม่เลี้ยงเขาซะแล้ว
“อย่ามาว่าน้าของเรนนะคะ ท่านก็เสียไปแล้ว”
รมิดาบอกเสียงขุ่นเคืองอย่างที่ไม่เคยทำต่อหน้าเขา เพราะเริ่มไม่พอใจบ้างเหมือนกัน ดวงหน้าสวยแดงก่ำโกรธเคืองที่ถูกเขาว่า ปกติเวลาเธอไม่ได้ออกไปไหน ก็แต่งตัวแบบนี้อยู่แล้ว แต่ไม่เคยผิดกาลเทศะสักหน่อย อากาศประเทศไทยร้อนตับแตกจะแย่ยังจะให้มาใส่อะไรยาวๆทึบๆอีก และเธอรู้ดีว่าเขาไม่ชอบน้าโสรดาของเธอมาก เขามีอคติมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ควรเคารพคนตายบ้าง
***รูปแบบ E-book***
***มีวางจำหน่ายที่ร้าน se-ed ทุกสาขา***
(หาไม่เจอสอบถาม)
สั่งได้ที่นี่ 3 ช่องทาง
1. แฟนเพจ ดอกโบตั๋นสีขาว นักเขียน
2. เมล์ funny_angel1995@hotmail.com
มาอัพเป็นตัวอย่างให้อ่านอีกรอบนะคะ
คราวนี้อัพยาวๆ เพราะลบไปนานแล้ว โปรดติดตาม
ความคิดเห็น