Moon light bloon. พันธสัญญารักต้องห้าม - นิยาย Moon light bloon. พันธสัญญารักต้องห้าม : Dek-D.com - Writer
×

Moon light bloon. พันธสัญญารักต้องห้าม

โดย LassAngeli

เรื่องราวตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันที่ต้องค้นหาคำตอบ ของความทุกข์ ทรมาร กับความจริงที่ต้องค้นหา อดีตที่เจ็บช้ำ หญิงสาวที่เป็นกุญแจสำคัญ เพื่อปลดปล่อยพวกเขา อันตรายที่กำลังคืบคลานมายังเธอ..

ยอดวิวรวม

178

ยอดวิวเดือนนี้

15

ยอดวิวรวม


178

ความคิดเห็น


1

คนติดตาม


0
จำนวนตอน : 0 ตอน
อัปเดตล่าสุด :  21 ก.พ. 57 / 00:00 น.

ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้


Ep1 เมื่อลืมตา....กับความทรงจำ

คืนนี้พระจันทร์ช่างเปร่งประกายทอแสงสีเงินอร่ามทั่วดินแดน  ที่มีแต่ต้นไม้สีเหลือง ส้ม  ไม่มีฝน  ไม่มีหนาว  และก็แทบไม่มีกลางวัน แต่บนยอดเขาแห่งนี้ ปราสาทหลังนี้กลับปกคลุมไปด้วย น้ำแข็ง และผนัง ริมหน้าต่างที่เต็มไปด้วยกุหลาบพันปี ที่  ไม่มีวันตาย แต่มัน มีเพียงที่นี่เท่านั้น ซึ่งมันกำลังออกดอก  และคืนนี้เป็นคืนแรกที่ผมได้เห็นพระจันทร์ ในรอบ 200 ปี แม้กาลเวลาจะผ่านมายาวนานเท่าไรแล้วนั้นแต่สิ่งที่เกิดขึ้น ที่ทำให้ผม ต้องหลับมายาวนานนั้นมันยังคงฝังใจและไม่ลืม

                ย้อนกลับไป  200 ปี ก่อน ณ ปราสาทบนหุบเขาสูงที่รายล้อมไปด้วยน้ำแข็ง รอบตัวผมมีหญิงสาวมากมาย รายล้อม และพร้อมจะมอบกายถวายให้ผมก็ว่าได้แต่สำหรับ ลูกครึ่งแวมไพร์ ปีศาจ อย่างผมมันไม่เคยพอ ความต้องการมันมักจะมีมากขึ้นรื่อยๆ   ทั้งเลือด   ทั้งกลิ่นกายของหญิงสาว แต่ความจริงแล้วแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์อย่างผมไม่จำเป็นต้องดืมเลือดสดๆๆซะด้วยซ้ำ   แต่ตัวผมเองไม่เข้าใจความต้องการของตัวเอง มันหงุดหงิด จนเผลอดูดเลือกพวกเธอเกือบหมดตัวซะด้วยซ้ำ 

และข้างๆผม คืนนี้ อันเดรีย หญิงที่คอยปรนนิบัติ ได้อย่างเรียกว่าดีกว่าหญิงอื่นที่เคย ร่วมเสพสุขมา แต่ ... มันไม่เพียงพอสำหรับผม เธอเป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์เช่นผม ผมเจอเธอเมื่องาน  Moon light bloon และตอนนั้นเองเธอก็มาหาผม เธอเป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ จากฝั่งตะวันตก    ในวันนั้นเป็นวันที่พระจันทร์เป็นสีเลือดและ เป็นวันที่เหล่าแวมไพร์จะออกมาอาบแสงจันทร์วันนั้นจะไม่มีแสงอาทิตย์แม้แต่น้อยเป็นงานใหญ่ของเหล่าแวมไพร์  และสุดท้าย พระบิดาของนางได้หมั่นนางไว้กับผม  เพื่อให้เป็นราชินีแก่ผม ซึ่งตอนนั้นมี่หญิ่งงามที่ไหนมาถวายตัวให้แก่ผม ผมก็ไม่ปฏิเสธสักครั้ง และเธอก็ตามผมมาโดยฐานะคู่หมั่น  และเธอมักจะมอบเลือดแวมไพร์ให้ผมเสมอ  แต่เธอไม่เคยได้มันจากผม   เรื่องนี้เธอรู้ดี แต่ผมไม่แน้ใจว่าเธอจะเข้าใจรึเปล่า

“อเลนเซียส ท่านเป็นอะไรไป ข้าก็ยังอยู่ข้างท่านเรามาต่อกันดีกว่าน่ะ”

“ข้ายอมรับว่าเจ้าอึดกว่า ทุกคนที่ผ่านมานะ อาจเพราะเจ้าเป็นแวมไพร์เช่นข้า   แต่ตอนนี้ข้าว่าเจ้าออกไปก่อนดีกว่า”

“ท่าน จะทำอย่างนี้กับข้าอีกกี่ครั้ง  กัน.... ท่านรู้ไว้ด้วยว่า ท่านขาดข้าไม่ได้หรอก ไม่มีหญิงใด .... บรรเทาความปรารถนาในตัวท่านได้เช่นข้า .... และจำไว้ว่า  ข้าเป็นคู่หมั่นของท่าน  และท่านก็เป็นของข้า...” “อันเดรีย....เจ้า”   อันเดรียส่งสายตาเย้อหยิ่ง และถือดีมายังผม ที่ถือว่าตนอยู่เหนือผม...และผมไม่มีทางหนีเธอไปได้

 “อันเฟ.....เจ้าพา   อันเดรียเดียออกไปได้แล้วละ” ผมส่งสายตาอันดุและเกรี้ยวกราด ที่พร้อมจะฉีกนาง ไป ขนาดที่องครักษ์คู่ใจที่อยู่หน้าห้อง ยังไม่กล้าจะเอ่ยได้แต่ทำตาม “ไม่ต้อง.. ข้าไปเองได้”  และนางก็ยอมแต่โดยดี และก็มีตาเฒ่าหนึ่งกล่าวมาจากหน้าประตูชั้นนอกหน้าตำหนัก “เออ... ท่านอเลนเซียส ท่านต้องการหญิงงามจากที่ใดอีกหรือไม่ ข้ายังมีอีกที่จะนำมาให้ท่านเลือก”  เมื่อผมได้ยินเสียงตาเฒ่าจึงได้ออกมายังโถงกลางเพื่อพบปีศาจเฒ่า   ผมสงสายตาไปยังปีศาจเฒ่า ตนหนึ่งที่มักจะกล่าวโอ้อวดตนอยู่เสมอ และ เมื่อสายตาอันดุ ที่เหมือนปีศาจที่หิวกระหาย และอารมณ์ที่ฉุนเฉียว ส่งไป ปีศาจเฒ่าก็ได้แต่หลบตา และเดินออกไป  คงเพราะรู้ตนว่าอยู่นานอาจไม่ส่งผลดีต่อตัว

ผมเดินตรงมายังกห้องๆหนึ่งซึ่งเป็นห้องที่ สร้างเพื่อผม บนหอคอยสูง ห้องนี้ไม่เคยมีใครกล้าที่จะก้าวเข้ามา นอกจาก องครักษ์คุ่ใจอย่าง อันแฟ  น้องชายผม และพระบิดา  และก็ไม่มีผู้ใดได้ย่างกายเข้ามา

“เออ....ท่านพี่ท่านไล่นางออกจากห้องอีกแล้วรึ”ผมหันไปมองตามเสียงที่อยู่ด้านหลังผม  น้องชายของผมสายเลือดเดียวกัน แต่กลับเกิดมามีสายเลือดเดียวในตัว  คือแวมไพร์ซึ่งแตกต่างจากตัวผมที่กลับเป็นลูกครึ่ง สองสายเลือด

“มีเหตุอะไร...เจ้าถึงมาหาข้าได้”  “ก็ท่านพี่....ท่านไล่นางกี่ครั้งแล้ว หากถ้าจะให้ข้านับ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว...” “อลันเซีย...เจ้า”  ผมส่งสายตาที่ดุดันไปยังน้องชาย “เออ...ข้าไม่ได้จะว่าท่านนะ  แต่  ท่านจะไล่นางทำไมละในเมื่ออีกเดี๋ยวท่านก็เรียกนางมาอยู่ดี... และอีกอย่างนางก็เป็นคู่หมั่นของท่านพี่เอง”   “เจ้าจะไปรู้อะไร..” “ท่านพี่ข้าเป็นน้องท่านนะ ... ท่านก็เอาแต่ว่าข้าเด็กบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง.... ก็บอกข้ามาซิ..ว่าอะไร  ยังไง”  เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอลันเซีย ขึ้นเสียงกับผม และทำหน้าตาจริงจังแบบนี้  ซึ่ง มันแปลกไป ผมสบตากับน้องชาย ก่อนจะหันหลังให้มองออกไปยังนอกหน้าต่าง  “ข้า...ไม่รู้ว่าจะเล่ายังไง..”  “ท่านก็เล่าตาม ความรู้สึกของท่านเองเถอะ...”  ตามความรุ้สึกงั้นหรอ

 “ฟังนะ  อลันเซีย  .... ข้าไม่รู้ว่าข้าต้องการอะไร  บางครั้งข้าก็กระวนกระวายจน อยากจะฉีกตัวเองให้เป็นชิ้นๆ และ เมื่อข้าได้ร่วมกามมารมณ์ หรือได้เชยชิมเลือด  กับหญิงสาวมันช่วยให้ข้าบรรเทาอาการแต่ เมื่อ....ได้สักพักข้ามักจะเผลอดืมเลือดนางพวกนั้นจนเกือบตาย  ข้า...”   เสียงกระจกหน้าต่างได้แต่ออกกระจายเต็มพื้นด้วยพลัง ที่ไร้ขีดจำกัดของผม  ซึ่งตังผมเองก็พูดไม่ได้ว่ามันมีมากเท่าไร  “ท่านพี่...” อลันเซียได้แต่ทำหน้าเครียด และมองมายังผมด้วยแววตาที่ อยากจะช่วยผม และเป็นห่วง และหลากหลายความรู้สึก ที่แผ่มายังผม  ก่อนหน้านี้ผมมี่ความสุขที่ได้ ร่วมกามมารมณ์กับหญิงสาวปีศาจ มากหน้าหลายตา และความสนุกที่เกินเหตุของผมได้ผลั่งมือฆ่า หญิงสาวเหล่านั้นในบางครั้ง ผมไม่ใส่ใจเท่าไรหนักหรอก เพราะพวกเธอมักมาหาผมเองซะมากกว่า ผมมีรึจะปฏิเสษ แต่ผมก็ถูกท่านพ่อ และท่านแม่ ตักเตือนหลายครั้ง ผมก็ทำตามที่ท่านบอกระงับอารมณ์ และผมก็เริ่มทำได้ จนผมได้เจออันเดรีย  แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ จากฝั่งตะวันตกในวัน “ท่านพี่...”  ผมอยู่ในพวังความคิด ที่ผมอาจคิดผิดไป “ท่านพี่...  อเลน” ผมหลุดจากผวังความคิดหันมาจ้องหน้า น้องชาย “ท่านเป็นอะไรรึเปล่า...ข้าว่าท่านออกไปเที่ยวโลกภายนอกกับข้าไหม” โลกอื่นหรอ “ถ้าท่านต้องการคำตอบนะ..ข้าว่าออกไปหาคำตอบนี่จะเป็นการดีที่สุด” นับตั้งแต่ท่านแม่หายไป  ท่านพี่ก็อาการรุนแรงมากยิ่งขึ้น  “เจ้าว่าข้าจะไปได้เช่นไร...โลกปีศาจนี้มีงานล้นมือที่ข้าต้องทำ อีกอย่าง...ข้าก็..”  “สัญญากับท่านแม่ว่าจะดูแลข้า กับท่านพ่อใช่รึป่าวละ..” ผมมองกลับไปยังพี่ชาย ที่มองผมด้วยแววตาที่ผมเองก็เดาไม่ถูกว่าคิดอะไรอยู่  กับท่าทางที่เย็นชา แต่ใครจะรู้ว่า คนๆนี้ที่คอยปกป้องและ ดูและผมตั้งแต่ท่านแม่หายตัวไป และที่ผมแน่ใจก็คือ พี่ชายห่วงผม กับท่านพ่อมาก   “ถ้างั้นท่านพี่ข้าจะดูแล ที่นี่กับท่านพ่อเองท่านไปเถอะ ... .”  “ข้าว่าเจ้าก็มีงานล้นมือ...” “ท่านพี่...เรื่องนั้นข้าจัดการเอง  สำหรับท่านพ่อ  ข้าจะบอกท่านว่า ... ท่านพี่ออกไปตรวจตราที่แนวเขตแดนและประตูเชื่อมไปยัง  อัลเดล...” “ดูเหมือนว่าเจ้าคงเตรียมแผนให้ข้านานสินะ...เตรียมทุกอย่างซะขนาดนี้”   “พี่ข้า  ท่านคิดได้ไง..ท่านเองไม่ออกจากห้องไป7 คืนแล้วนะ   ตอนนี้ทหารที่ชายแดนหายไปไร้ร่องรอย   ท่านไม่รู้รึ .... เมื่อคืนก่อนข้าให้คนมาแจ้งท่านแล้วนี่ แล้วที่จริงเป็นหน้าที่ท่านพี่ที่ต้องไปตรวจอยู่แล้ว  ข้าแค่เลื่อนให้ท่านไปเร็วขึ้นแค่นั้น...”  “งั้นหรอ...”   “งั้นเจ้าแจ้งท่านพ่อด้วยละกัน แล้วบอกท่านด้วยว่าข้าไม่มีกำหนดกลับ...ข้าจะไปกับอันเฟ”   “เข้าใจแล้ว...แต่แล้ว อันเดรีย..” “เจ้าก็จัดการด้วยละกัน...”   “เห้อ....เอางั้นก็ได้.......ว่าแต่ท่าน.............”   “ข้าจะไปตอนนี้”  พี่ชายผมหาเรื่องให้ผมผมได้แต่มองอย่างอึ้งๆ  กับการตัดสินใจกระทันหัน และรวดเร็ว  มันทำให้ผมปวดหัวได้เสมอ

“เจ้าออกไปจัดการได้แล้วละ” ผมมองออกไปยังนอกหน้าต่างอีกครั้ง “อันเฟ...เจ้าพร้อมที่จะออกเดินทางไปกับข้ารึยัง....ถ้าเจ้าไม่พร้อมข้าก็จะไม่กล่าวโทษ....”  “ท่าน..เห้อ....(ผมได้แต่ผ่อนลมหายใจ  กับเจ้านายที่เอาแต่ใจ ) ข้าไปทุกที่ๆท่านอยู่ ข้าเป็นผู้ติดตามท่านนะท่านลืมไปแล้วรึ..”         นั่นสินะ...   “งั้นก็ไปกันได้แล้ว.”

เกือบรุ่งสางก่อนพระอาทิตย์จะทองแสงลอดชั้นบรรยากาศที่หนาแน่น ลงมายังโลกแห่งอมนุษย์ ผมก็ออกเดินทางก่อนที่จะมีใครมาขัดขวาง  “เออ...ท่านอเลน”  ผมให้อันเฟออกไปดู ที่หน้าประตู  ทันทีที่ได้ยินเสียง  “ท่านอเลน ...องครักษ์ของอลันเซีย.”  “เข้ามา...เจ้ามีอะไร”   “ท่านอลันเซียให้ข้าไปกับท่าน...”  “เจ้าไม่จำเป็นต้องไปกับข้า  ข้ามีอันเฟไปด้วยแล้ว”  “เออ  ท่านฟังข้าก่อน  คือท่านอลันเซียให้ข้าติดตามท่านไปแค่  เขตชายแดนแค่นั้น  เผื่อที่หากท่านคิดอยากเดินทางออกนอกเส้นทาง  รึหากท่านเดินทางไปยังที่อื่น ข้าจะได้อยู่เป็นธุระ ... ที่นั่น เรื่องมีเพียงเท่านี้”  ผมมองไปยังองครักษ์คู่ใจน้องชาย  อย่างนึกสนุก  และไม่นึกว่าน้องชายจะฉลาดเพียงนี้  แน่นอนว่าผมต้องออกนอกเส้นทางก็ว่าได้  ช่างรุ้ทันผม   “ข้าว่า  อลันเซียคงรู้ทันท่านแล้วละ เลยส่งคนมาทำงานแทน เพื่อไม่ให้เป็นที่ส่งสัย ว่าไม่มีข่าวท่านที่ชายแดนหากท่านหายไป” 

“เงียบเถอะ  อันเฟ”  ผมส่งสายตาพลางเป็นสัญญาณเตือน ว่าให้เริ่มเดินทางไปได้แล้ว 

ผมใช้เวลาเดินทางไม่นาน ก็ถึงเขตชายแดนฝั่งเหนือที่ผมเลือกเดินทางมาทางเหนือก็เพราะ ว่าทางนี้มี่ทางเชื่อมต่อไปที่โลกกลางซึ่งเป็นศูนย์รวม ระหว่างเทพ  อสูร  ปีศาจเป็นเขตที่จะมีการ ต่อสู้ได้ทุกเมื่อ และยังเป็นทางผ่านก่อนจะถึงเมืองมนุษย์   “อเลน   ข้าว่าท่านพักที่ค่ายทหารของอาณาจักก่อนเถอะ   อีกเดี๋ยวคืนวันพรุ่ง ค่อยข้ามไปยังที่อื่นตามที่ท่าน จะไป” ผมพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกว่า ตกลง ผมใช้เวลาที่เหลือก่อนที่แสงอาทิตย์จะส่องมา  สำรวจรอบๆค่าย “เออ..... ท่านอเลนพวกทหารได้นำปีศาจตนนี้ที่จับมาได้มาให้ข้าสอบ ท่านว่าควรทำเช่นไรกับมันดี”  ผมมองไปยังปีศาจที่อันฟานำมาด้วยแววตาที่กระหาย และเย็นชา จนมันได้แต่ก้มหน้า  “มันเป็นใครกัน?”  “มันลักลอบไปยังเมืองมนุษย์..และได้กลับมาชักชวนพวก กลับไปยังที่นั่นอีก  มันละเมิดข้อตกลงระหว่างอมนุษย์  กับมนุษย์ที่พระผู้เป็นเจ้าและเหล่าบรรพบุรุษเคยทำไว้เพื่อ ปกปิดการมีตัวตนของพวกเรา”  ผมเคยได้ยินข้อตกลงนี้เช่นกัน เป็นเรื่องเมื่อราว 5000 ปีก่อน

 ตอนนั้นอมนุษย์และมนุษย์อาศัยอยู่บนผืนดินเดียายวกัน ต่างคนต่างอยู่ และมีเรื่องเกิดขึ้นเมื่อราชาแห่งอาณาจักรมนุษย์ ได้ให้พ่อมดแห่งราชอาณาจักรไปแสวงหาอมนุษย์ มาเพื่อใช้เป็นแรงงานโดยให้พ่อมด สะกดให้เชื่อฟังคำสั่ง แรกๆที่จับมาส่วนใหญ่ก็เป็นพวกปีศาจชั้นต่ำ แต่ด้วยความโลภ ก็ทรงให้พ่อมดแสวงหาปีศาจชั้นสูงเก่งๆมา และในเมื่อเลี้ยงปีศาจ ก็ต้องทำพันธสัญญา เพื่อจะให้ปีศาจเชื่อง แรกๆก็ใช้โดยการสังเวยด้วยนักโทษ แต่นานเข้ากษัตริย์ได้เริ่มให้คนมาจับชาวบ้านมาสังเวยแทน  และความโลภก็ได้ครอบงำโดยพระองค์เริ่มอยากได้อำนาจ พลังและ ความเป็นอมตะจึงได้ให้พ่อมดแสวงหาวิธีมาให้  ฝ่ายพ่อมดเริ่มตระหนักถึงความต้องการที่เกินขอบเขต  และเริ่มจะล่วงล้ำวตสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์  ก็ได้ทักท้วงแต่ พระราชาก็ไม่เพี่ยงแต่จะกริ้ว แล้วยังกล่าวดูมิ่นพ่อมดคู่ราชสำนัก  และยังกล่าวขู่ฆ่าคนในตระกูล พ่อมดได้แต่กล่าวขออภัยและทำตาม เหตุที่พ่อมดทำอะไรพระราชาแห่งราชอาณาจักรไม่ได้ก็เพราะ บรรพบุรุษของพวกนั้นได้ให้คำสัตย์ว่า จะรับใช้และอยู่คุ่ราชาทุกพระองค์  และจะรับใช้ตามคำสั้งโดยไม่มีข้ออกังขาใดๆทั้งสิ้น และเวทมนต์พวกเค้าจะไม่ทำร้ายสายเลือดราชวงคทุกองค์

จนเมื่อวันหนึ่งพ่อมดได้พบปีศาจตนหนึ่งที่ไกล้จะตายจึงยื่นมือเข้าช่วย  ปีศาจตนนี้เป็นปีศาจสาวหน้าตาสละสรวย และได้รักษาให้เมื่อนางฟื้นนางก็ตกใจนึกว่าตนลุกล้ำมายังดินแดนมนุษย์ และถูกจับ และเมื่อพ่อมดเล่าเรื่องราวที่ได้ช่วยเหลือนางไว้ทำให้นางเชื่อใจสนิท แต่ตอนนี้นางรู้สึกหิวมา พ่อมดได้ถามนางว่าเหตุใดไม่กินเนื้อสัตว์เหล่านี้บรรเทาหิว  นางยิ้มสายหน้าปฏิเสธ และขอออกไปล่า  แต่เมื่อเห็นแววตาสงสัยของพ่อมด ด้วยความไว้ใจได้ชวนให้พ่อมดไปดูการล่าของนาง และเมื่อพ่อมดเห็นสิ่งที่นางกินก็ตกใจยิ่งเมื่อเห็นนางไม่ได้ฆ่าอสูร เพียงกินแต่เลือดเท่านั้น  จึงได้ถาม นางบอกว่านางคือปีศาจชั้นสูง นางคือแวมไพร์ปีศาจที่ไม่มีวันตาย  แม้มีวีธีฆ่าแต่ไม่ใช่ว่าจะฆ่าได้ง่ายๆ    เมื่อพ่อมดได้ยิน ก็ยินดียิ่งนักจึงเล่าเรื่องที่พระราชาอยากมีชีวิตอมตะ แล้วให้ตนออกมาหาวิธี  และได้ขอร้องนาง นางจึงได้แต่บอกว่าวิธีที่ช่วยได้ก็มีเพียงแต่เมื่อนางฉีดพิษเข้าไปแล้ว คนผู้นั้นจะไม่มีความเป็นคนเลยแต่นางเคยทำเมื่อต้องการทาสรับใช้ พวกนั้นรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ไม่ใช้มนุษย์ มีเวทมนต์ และมีเลือดสีอื่น ไม่เหมือนเลือดสีแดงเช่นมนุษย์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า ในช่วงนั้นนางอาศัยรักษาบาดแผลอยู่กับพ่อมดหนุ่ม แต่เรื่องที่พ่อมดขอนางไว้ นางลังเลใจชั่วคู่ ก่อนจะกล่าวต่อ ว่านางไม่เคยทำกับมนุษย์ เลือดสีแดง และเพราะเคยได้ยินว่าผู้ที่พลัดหลงมายังถิ่นมนุษย์ มักหายตัวไป พ่อมดเลยให้คำสัตย์กับนางไว้ว่าเมื่อนาง ทำตามคำขอเสร็จสิ้น  จะเป็นผู้ที่มาส่งนางยังที่นี่เอง  ด้วยเหตุที่นางได้รับการช่วยเหลือจากพ่อมดผู้นี้ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเชื่อใจพ่อมดหนุ่มผู้นี้ได้อย่างสนิทใจ นางเลยตอบตกลง  และพ่อมดผู้นี้ไม่ได้ไถ่ถามนางเลยว่าเหตุใดนางจึงบาดเจ็บ และเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับตัวนาง จึงทำให้นางพึงพอใจมาก เพราะนางผู้นี้เป็นแวมไพร์สายเลือกบริสุทธิ์  และเป็นธิดาของอาณาจักรปีศาจในตอนนั้น ก่อนที่นางจะบาดเจ็บนางมาหนีออกมาเที่ยวเล่นกับคนสนิท  และก็เพื่อสืบเรื่องที่มีปีศาจหายไปเป็นจำนวนมากเพราะหนึ่งในนั้นมีเพื่อนของนางด้วย  แต่ด้วยไม่คาดคิด ไปเจอกับนักล่าเหล่าจอมเวทชั้นสูง ถึงนางจะมีพลังมากเพียงใดแต่ก็ทำให้นางพลาดโดนโจมตีจากดาบเงินของนักล่าคนหนึ่งจนต้องหนีไม่รู้ทิศทางและผลัดหลงจากคนสนิท และจอมเวทผู้นี้ได้ช่วยนางไว้ ด้วยความเด็กและอ่อนต่อโลก ทำให้นางไว้ใจจอมเวทผู้นี้ เพราะนางเชื่อว่าหากจอมเวทผู้นี้ต้องการจะจับนางหรือฆ่านางคงทำไปนานแล้ว รึไม่ก็คงจับนางขังเพื่อไม่ให้นางหนี ด้วยเหตุนี้นางจึงตอบตกลงและเพื่อตามหาเพื่อนและคนสนิทที่หายไปด้วย

จอมเวทได้นำนางมาเข้าเฝ้าพระราชา และได้กล่าวถึงข้อตกลงที่ว่าไว้กับนาง พระราชาที่เมื่อเห็นนางก็เกิดหลงไหลในรูปโฉมของนางยิ่ง  จึงได้ให้คนจัดที่พักให้นางและได้วางแผนกับจอมเวท จอมเวทที่ได้ล่วงรู้แผนของพระราชาที่คิดจะกักขังนางไว้เพื่อให้เป็นสมบัติของพระองค์ หลังจากที่นางมอบความเป็นอมตะให้พระองค์  พระราชาได้ประชุมเหล่านักเวทเพื่อหาวิธีกักขังนางเพื่อไม่ให้ไปไหนได้ และอยู่กับพระองค์ตลอดไป  และหาวิธีสะกดนางให้อยู่ในอานัทของตน เมื่อได้วิธีก็ได้ให้คนไปจัดเตรียม จอมเวทที่พานางมาได้รู้สึกผิดต่อนางเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ไม่อาจขัดพระบัญชาได้ด้วยสายเลือกแล้วได้แต่ทำตาม  ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นจอมเวทได้ไปพบนางและได้กล่าวสิ่งหนึ่งต่อนาง

เพียงอำนาจข้ามีน้อยในตอนนี้   แต่เมื่อท่านทุกข์ยามใดข้าพร้อมจะบรรเทาให้ท่าน   แต่บางอย่างข้าอาจทำเกินหน้าที่ไม่ได้ แต่ข้าไม่ลืมคำสัตย์ที่มีให้ ยามเมื่อท่านต้องการสิ่งใด ข้าจะหามาให้ดั่งใจปรอง

นางได้แต่สงสัยในใจความที่จอมเวทผู้นั้นกล่าว แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้คือ คนผู้นี้ไม่ลืมคำพูดที่ไว้ให้กับนางเป็นแน่  ทำให้นางเผลอยิ้มออกมา

เมื่อถึงรุ่งเช้า นางได้ฉีดพิษเข้าไปในร่ายกายพระราชาและเมื่อนางทำเสร็จก็ได้มีจอมเวทแปลกหน้าคนหนึ่งได้พานางออกจากห้องนั้นและพามาที่ๆแห่งหนึ่งบนยอดหอคอย  และได้อ้างว่ามีคนรอนางอยู่นางหลงกลลวงได้เข้ามาและได้รู้ว่าที่นี้คือที่ๆเพื่อกักขังนาง  นางเริ่มอ่อนแรง ร่างกายอ่อนแรง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระราชาบ้าง นางเริ่มเครียดแค้นมนุษย์  นางได้กล่าวสาปแช่งเนื่องจากนางถูกขังในห้องที่มีเครื่องเงิน ทั้งประตูหน้าต่าง  พลังเวทนางอ่อนแอมาก หลังจากนั้น 7 วันนางไม่ๆได้เจอใครอีกเลย นางพยามส่งกระแสจิตหาทาสแต่ที่เจอ ทำให้นางรู้ว่า พระราชายังไม่ตาย แต่นางไม่อาจมีพลังมากพอจะสังได้เพียงแค่รู้จากพิษของนางในตัวผู้นั้นเท่านั้น

หลังจากนั้นคืนหนึ่งพระราชาได้ปรากฏตัววต่อหน้านาง ตาแดงกร่ำ ดูหิวกระหาย  นางแปลกใจที่พระราชากลับยืนอยู่ได้ เพราะที่นี่มีแต่เครื่องเงิน ขนาดนางเองยังไม่อาจยืนได้  พระราชาได้จู่โจมนางและกัดนางเข้านางที่มิอาจตอบโต้ได้ แต่เมื่อพระราชากัดนางเพื่อดูดเลือด แต่มันทำให้พระราชาต้องร้อนทั้งตัว และอาเจียนออกมา  และทำให้นางทราบว่าเลือดของนางเป็นพิษต่อมนุษย์ครึ่งแวมไพร์ผู้นี้  นางไม่รู้ว่าทำไม แต่มันทำให้นางสบายใจมากขึ้นที่  พระราชาได้ให้คนนำนางมาอยู่ที่ใหม่ และได้ขังนางไว้ในกรงนกขนาดใหญ่ในโถงเถาว์กุหลาบมากมาย บนยอดหอคอย  พระราชาได้แต่มองนางเท่านั้นมิอาจทำอะไรได้ แต่ก็ไม่หวังให้นางเป็นอิสระ จอมเวทผู้หนึ่งซึ่งทำให้นางได้พบเรื่องที่เลวร้ายได้ ปรากฏตัวและเล่าหลายเรื่องให้นางได้ฟัง แม้เขาจะมาหานางบ่อยครั้งนางไม่เคยสนใจได้แต่นิ่งเฉย ไม่แม้แต่จะมองหน้าได้แต่หันหลังให้ ทั้งที่นางยิ่งเครียดแค้นจอมเวทผุ้นั้นมากนัก แรกๆนางไม่ได้เอ่ยปากถาม แต่นานๆไปทำให้นางนึกถึงเรื่องที่จอมเวทผู้นั้นได้กล่าวกับนาง ทำให้นางเข้าใจ และเริ่มรู้เรื่องต่างๆมากขึ้น ทั้งเรื่องของจอมเวทผู้นั้นเอง และอีกหลายเรื่องราว หลังจากนั้นนางก็ได้จอมเวทผู้นี้ช่วยจดหมายถึงคนที่ตามหาตัวนาง และทำให้เกิดการสู้รบครั้งใหญ่เมื่อ ทุกคนรู้ว่านางไม่ใช่เพียงปีศาจชั้นสูงธรรมดาแต่นางเป็นถึง ธิดาแห่งราชอาณาจักรเหล่าปีศาจ มันทำให้เกิดสงครามและนางยอมปริษชีพตัวเองเพื่อไม่ให้ได้เป็นตัวต่อรองต่อด้านบิดา โดยควักหัวใจตัวเองและมอบให้แก่จอมเวทผู้หนึ่งที่นางไว้ใจ ก่อนนั้นนางกรีดฝ่ามือจอมเวทก่อนแล้วมอบหัวใจให้ มือหัวใจหลุดจากมือนางมาอยู่ที่มือจอมเวทแล้วร่างนางก็สลายไปเป็นผงหัวใจกลายเป็นเลือดซึมเข้าไปในแผลที่ฝ่ามือจอมเวทและหายไป และเขาได้เป็นอิสระจากพระราชา เขาได้ไปเข้าเฝ้าราชาแวมไพร์ และได้ให้พระองค์อ่านความทรงจำและหลังจากนั้นจอมเวทผู้นี้ก็หายตัวไป ก่อนนั้นนางได้สาปพระราชาทั้งตระกูล ชั่วลูกชั่วหลาน หลังจากนั้นเกิดการสู้รบครั้งใหญ่ ติดต่อกันเป็นเวลานาน พระผู้เป็นเจ้าจึงได้พิโรษ และได้แบ่งโลกเป็นมิติ โดยประตูถูกปิกผนึกไว้ โดยมีโลกมนุษย์ ปีศาจ  และช่องว่างระหว่างโลกมนุษย์กับเหล่าปีศาจ ซึ่งเรียกว่าอัลเดล มีอมนุษย์และเหล่าปีศาจ อยู่กระจัดกระจาย ไม่มีระเบียบล้วนเป็นปีศาจชั้นต่ำและดุร้าย และประตูไปสู่โลกมนุษย์ ทั้งหมดมี 3 บาน    ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ใด ไม่มีใครรู้วิธีเปิด   และปีศาจไม่อาจสัมพัสประตูได้แม้แต่น้อย เนื่องจากมีเวทมนต์บริสุทธ์ที่ปิดกั้นอยู่

และคำสาปของนาง..

 “ข้าต่ออำนาจแห่งสายเลือดในกาย เวทมนต์ต้องห้ามแห่งอะบอดัส ขอสาปแช่งราชวงศ์วินเซอร์เรส ให้มีอันต้องเจ็บป่วยตาย  ทายาทมียาก  พลัดพลากจากกัน  มีตราบาปติดตัว  สัญญาลักษณ์ของข้าจะคงอยู่ ติดตัวทุกรุ่น มันเป็นตราแห่งบาป ทำให้ทุกทรมาน   ไม่รู้วันลืม เลือน  ....”

ไม่มีใครรู้ว่าจะแก้คำสาปได้อย่างไร แต่เท่าที่รู้คือกุญแจแห่งคำสาปคือจอมเวทที่นางได้มองหัวใจของนางให้ และทำให้ราชาแวมไพร์ ต้องปล่อยจอมเวทผู้นั้นไปโดยไม่ติดตาม หรือสนใจ บ้างก็ว่านางทำให้เค้าเป็นชายที่หลุดพ้นจากคำปฎิญาณในสายเลือด และเป็นแค่คนที่ธรรมดาไม่มีอะไรที่ต้องสงสัย  บ้างก็ว่าเค้าเป็นแวมไพร์แต่ไม่มีอะไร และไม่มีพลังเวทเหมือนเคย  บ้างก็ว่าเค้าอาจตายไปแล้วราชาอาจส่งคนไปฆ่าเค้าแล้ว  แต่ไม่มีใครรู้จริงๆ แม้ตัวองค์ราชาก็มิได้เอ่ย จนถึงเวลาสิ้นพระชนม์ โดยอยู่ในหลุมฝังศพราชนิกูล มันเป็นเหมือนการตาย แต่เพียงแค่หลับไปยาวนานเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะตื่นหรือไม่  และความลับนี้ก็ได้ไปกับพระองค์ แม้แต่คนสนิทหรือลูกหลานเองก็ไม่รุ้เช่นกัน  แต่มันก็เป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมา เพราะไม่มีใครเคยเห็นประตู และความจริงของ นางทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจาก และเรื่องราวทั้งหมด มีเรื่องจริงมากน้อยเพียงใด

“เออ.....นายท่านจะให้ทำอย่างไรกับพวกนี้หรือครับ” ผมได้แต่มองดู จนนึกได้ว่าทหารพวกนี้กำลังรอคำตอบอยู่ พวกนั้นไม่กล้าแม้จะสบตากับผม

“งั้น เอามันไปขัง รอให้ อันฟา ไปสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วทางเข้าที่พวกนั้นออกมาละที่ไหน?”  เหล่าทหารได้พาผมมายังที่ๆ  เหล่าแวมไพร์ชั้นต่ำพวกนั้น ออกมา มันเป็นเหมือนซากของ โบทถ์เก่าแถบๆป่าในอันเดล ซึ่งไม่น่าแปลกที่ไม่มีปีศาจตนใดย่างกายเข้ามามากนักเพราะ มันยังหลงเหลื่อ พลังสถิตของพระผุ้เป็นเจ้าเหลืออยู่ ถ้าอยู่นานๆก็ป่วยได้เหมือนกัน ซึ่งตรงกลางเป็นลานกว้าง เข้ามาเรื่องๆ ด้านในค่อนข้างรกร้าง และในนั้นมีซุ้มโค้ง ซุ้มหนึ่งมีม่านบางๆตรงกลางแท่งอำพันสีฟ้าลอยเหนือประตู  มันทำให้ผมสงสัยว่า ใครกันที่เปิดมันทั้งที่ ไม่มีปีศาจตนไหนแตะต้องมันได้ และใครละที่รู้วิธีเปิดประตูนี้กัน ผมได้แต่ให้ทหารตรวจดูรอบๆโดยละเอียด  และคอยเฝ้าเป็นระยะๆ  เพราะการอยู่ที่นี่นานๆไม่ใช่เรื่องดีกับเหล่าทหารมากนัก แต่สำหรับผมไม่เป็นไรด้วยสายเลือดบริสุทธิ์แล้ว  ผมจึงให้ทหารเฝ้าระวังและผลัดเปลี่ยนกันบ่อย ทุก3 ชั่วโมง และเข้าไปยังฐานหลักเพื่อคอยดูลาดเลา พร้อมกับให้อันฟา ให้คนส่งข่าวเรื่องนี้ไปยัง อลันเซีย   

อีบุ๊กในซีรีส์เดียวกัน ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

คำนิยม Top

ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

คำนิยมล่าสุด

ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

1 ความคิดเห็น