ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้น....ต้นกล้าในนาเหนือ

    ลำดับตอนที่ #1 : รุ้งกินน้ำ

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 54


     

    รุ้งกินน้ำ

    ..............................................

     

                ตึก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เสียงรถไถควายเหล็กดังสนั่นลั่นทุ่ง ตั้งแต่เช้าจรดเย็นตลอดสัปดาห์ของช่วงเดือนเก้าเหนือ (เดือนเจ็ดของคนไทยภาคกลาง ตามการนับวันทางจันทรคติ คนเหนือจะนับเดือนเร็วกว่าคนภาคกลางสองเดือน เรียกว่า เดือนเมือง โดยเดือนแรกจะเรียกว่า เดือนเกี๋ยง เดือนที่สองเรียก เดือนยี่ ต่อจากนั้นก็นับเป็นตัวเลขคือ เดือนสาม ถึงเดือนสิบสอง)  ฝนที่ตกลงมาหลายวันทำให้มีน้ำเต็มลำเหมืองทุกสาย นาหลายแปลงไถเสร็จไปแล้ว หลายแปลงต้นกล้าเล็ก ๆ เริ่มโต รอให้ถึงเดือนสิบเหนือก็พร้อมสำหรับการปักดำ

                บ้านของฉันติดกับทุ่งนา แต่เป็นนาของคนอื่น ส่วนนาของพ่ออยู่ห่างออกไปอีกเล็กน้อย มีคันดินขนาดใหญ่กั้นแบ่งเขตแดนของบ้านกับทุ่งนา บนคันดินมีต้นมะขามขนาดใหญ่นับสิบต้นเรียงรายสุดคันดิน  ต้นมะขามแต่ละต้นอายุไม่น้อยกว่าห้าสิบปี เจ้าของเดิมเป็นคนปลูกมันไว้ ตอนที่อุ๊ยหม่อน (ทวด) มาซื้อมันก็โตพอสมควรแล้ว แต่ตอนนั้นที่นี่ยังรกร้าง ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ต้นมะขามเหล่านี้ไม่ได้บดบังทัศนียภาพอันสวยงามของท้องทุ่งเลยแม้แต่น้อย

                ต้นมะขามเป็นต้นไม้ที่ปีนแล้วสนุกที่สุด กิ่งของมันเหนียวทำให้ฉันมั่นใจว่ามันจะไม่หักง่าย ๆ โดยเฉพาะช่วงที่มะขามสุก เด็ก ๆ บรรดาเครือญาติทั้งหลายจะชอบมาปีนต้นมะขามต้นหนึ่งซึ่งรสหวานพอใช้ ช่วงนั้นแทบทุกวันเราจะแข่งกันปีน ปีน แล้วก็ปีน ฉันสามารถปีนจากต้นแรกแล้วย้ายไปต้นถัดไปได้เรื่อย ๆ จนสุดแถวโดยไม่ต้องลงแตะพื้นเลย สำหรับฉันมันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งเพราะไม่มีใครสามารถลอกเลียนได้ อาจเพราะฉันเหมือนลิง ค่าง บ่าง อะไรสักอย่างที่แม่ว่า หรือไม่ก็เป็นเพราะความกล้าบ้าบอที่มีอยู่ในตัว

                ถ้าจะปีนต้นมะขาม ต้องรอตอนที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ ถ้าแม่เห็นแม่จะตีทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นลูกหรือหลาน แม่ห้ามไม่ให้ปีนต้นไม้ บางครั้งก็อะลุ้มอล่วยให้ปีนได้แค่กิ่งเตี้ย ๆ ที่ไม่เป็นอันตราย แต่อยู่ที่ต่ำ ๆ มันจะไปสนุกอะไร เวลาปีนต้องปีนไปปลายสุดของกิ่งมะขามโน่นถึงจะสนุก ก้มลงมามองเห็นหลังคาบ้านใครต่อใครหลายคน มองไปรอบ ๆ เห็นดอยสีน้ำเงินโอบล้อมดินแดนอันกว้างใหญ่รอบด้าน เหมือนขอบกระทะขนาดมหึมาและฉันก็อยู่ตรงกลางกระทะ เห็นทุ่งโล่งกว้าง ควายตัวเล็กนิดเดียว เห็นไกลไปถึงอีกหมู่บ้านซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของท้องทุ่ง

                เวลาลมพัดเบา ๆ กิ่งมะขามโอนเอนไหวไปมา มันตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ต่อมาฉันต้องหยุดปีนต้นมะขามที่แสนโปรดปราน เมื่อน้องชายซึ่งเป็นลูกของลุงตกลงมา เขาตกจากกิ่งที่อยู่สูงพอสมควร ร่างกระแทกกับกิ่งที่อยู่ด้านล่างอีกทีหนึ่งก่อนที่จะร่วงลงสู่พื้นดิน ร่างของเขานิ่งไม่ไหวติง ทุกคนตกใจสุดขีด น้าซึ่งอายุห่างจากฉันไม่มากนักรีบวิ่งไปตามลุงให้นำตัวเขาส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ทุกคนเป็นห่วง เฝ้าภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองให้เขาปลอดภัย ซึ่งดูเหมือนท่านจะรับฟังคำอ้อนวอนของพวกเรา น้องชายปลอดภัยเพียงแต่ขาหักต้องใส่เฝือกไปสักระยะ

    เด็กทุกคนที่ร่วมวีรกรรมครั้งนี้ถูกดุ จากนั้นอีกนาน...นานมากกว่าแม่จะอนุญาตให้เราปีนต้นมะขามได้อีก แต่พอโตขึ้นความกล้าหาญและความสนุกสนานในการปีนต้นมะขามก็จางหายไป

    ฉันรู้สึกเบิกบานใจในเวลาที่ต้นมะขามผลิใบสีเขียวอ่อนดูร่มรื่นเขียวขจีชุ่มตา ไม่นานก็ออกดอกสะพรั่งทั้งต้น ช่วงนี้ของปีบ้านเราจะดูสวยงามกว่าช่วงอื่น ดอกมะขามเล็ก ๆ น่ารัก มีหลายสี เหลือง ส้ม เขียว แดง ขาวสลับกัน ฉันมักจะเก็บมันมาลอยในอ่างน้ำข้างบันไดแต่พอนานไปมันก็เหี่ยวเฉา ความสวยมักจะจางหายไปตามกาลเวลา

    บ้านของฉันไม่ค่อยมีสีสันของดอกไม้สักเท่าไหร่ พ่อกับแม่ไม่มีเวลาปลูก จึงมีแต่สีเขียวของต้นไม่เสียส่วนใหญ่ ผิดกับบ้านตรงกันข้ามซึ่งเป็นบ้านของน้าคนโต พื้นที่หน้าบ้านของเขาเหลืองอร่ามไปด้วยดอกดาวกระจายตัดกับสนามหญ้าสีเขียว ทำให้นึกถึงทุ่งดอกบัวตองที่บานอยู่บนดอย

    นอกจากต้นมะขามแล้ว บ้านเราก็ปลูกต้นลำไย มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่คนในจังหวัดของเราจะปลูกลำไยกันเกือบทุกบ้าน มีทั้งพันธุ์อีดอ อีแห้ว เบี้ยวเขียว และสีชมพู  สีชมพูเป็นพันธุ์ที่ฉันชอบมากที่สุด คงเพราะเนื้อมันมีสีชมพูสวย ยิ่งแก่สียิ่งเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ฉันชอบกินลำไยที่แก่จัด แก่จนความหวานเริ่มจางหาย เนื้อมันจะหนาขึ้นและกรอบ ชาวบ้านเรียกลำไยช่วงนี้ว่า ลำไยขึ้นหัว มันไม่หวานจนแสบคอกินได้เรื่อย ๆ

    ต้นไม้เหล่านี้นอกจากจะให้ร่มเงากับเราแล้วมันยังเป็นบ้านของนกอีกหลายชนิด มีทั้งนกกระจอก นกเขา นกหัวขวาน นกพิราบและอื่น ๆ ที่ฉันไม่รู้จัก แต่ละชนิดล้วนสวยงาม น่ารัก พวกมันช่วยกันสร้างรังเล็ก ๆ บนต้นมะขามใหญ่ ทุกวันจะได้ยินเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจนเคยชิน มีนกอยู่ชนิดหนึ่งที่ฉันไม่ชอบมันเลย คือนกกระปูดนิสัยมันแย่มาก มันชอบขโมยกินไข่นกตัวอื่น ทำตัวเหมือนหัวขโมยย่องไปขโมยของในบ้านคนอื่นตอนที่เจ้าของไม่อยู่ หลายครั้งที่เจ้าของไข่กลับมาเจอ จึงเกิดการทะเลาะวิวาทต่อสู้กันระหว่างเจ้าของไข่กับขโมยตัวร้าย เสียงนกตีกันดังเจี๊ยวจ๊าว เสียงกระพือปีกดังผึบผับเรียกความสนใจให้แหงนหน้ามองดูทุกครั้ง เวลาที่เห็นนกกระปูดมาขโมยไข่นกตัวอื่น ฉันอดสงสารพ่อแม่นกเหล่านั้นไม่ได้ บ่อยครั้งที่ทำตัวเป็นผู้พิทักษ์รักษาไข่นกจึงใช้หนังสติ๊กยิงไล่นกกระปูดหัวขโมยให้บินหนีไป

    ไปยิงมันยะหยัง (ไปยิงมันทำไม) แม่ถามเมื่อเห็นกระสุนดินเหนียวจากหนังสติ๊กพุ่งไปยังนกกระปูด

    มันลักกิ๋นไข่นกตั๋วอื่น (มันขโมยกินไข่นกตัวอื่น) ฉันตอบอย่างภาคภูมิใจ แต่แม่กลับมีสีหน้าไม่พอใจ แถมยังว่าฉันอีกว่า

    ห้ามไปยุ่งกับมัน เป๋นแม่ยิงหัดยิงก๋งกา (ห้ามไปยุ่งกับมัน เป็นผู้หญิงหัดยิงหนังสติ๊กหรือ)

    ฉันไม่เข้าใจทำไมแม่ต้องห้ามไม่ให้ฉันช่วยนกเหล่านั้นด้วย แต่คำสั่งของแม่คือประกาศิตที่ต้องปฏิบัติตามโดยไม่ต้องสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น

    แม่ไม่ค่อยชอบให้ใครมายิงนกในบ้านไม่ชอบให้ใครไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของนก บางทีญาติผู้ชายเอาปืนอัดลมเข้ามายิงนกในบ้านจนแตกกระเจิง แม่เห็นเข้าจะไล่ตะเพิดอย่างไม่เกรงใจ บ้านเราจึงเป็นเขตปลอดภัยสำหรับนก แม้แต่แมวยังไม่กล้าไปยุ่งกับนกเหล่านั้น มันจะถูกตีเมื่อไปคาบนกมากิน แมวจึงเปลี่ยนจากการล่านกมาเป็นจับปลา  ไม่ใช่ปลาที่ไหนหรอกก็ในน้ำเหมืองที่ไหลผ่านบ้านเรานั่นและ เล่าให้ใครฟังเขาก็ว่าเราโม้ แมวที่ไหนจะเก่งกาจสามารถจับปลาในลำน้ำได้ แต่แมวบ้านเราเก่งและทำได้จริง ๆ ฉันเป็นมันจับปลาบ่อยไป

                บ้านของฉันอยู่ท้ายซอยจึงไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปมา นอกจากญาติพี่น้องบ้านใกล้ ๆ กัน พื้นที่บ้านมีประมาณหนึ่งไร่ ได้ยินแม่บอกอย่างนั้น  มีลำน้ำเหมืองเล็ก ๆ ไหลผ่านกลาง ทำให้บ้านของเราถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน น้ำเหมืองในจนเห็นปลาตัวเล็กตัวน้อยว่ายไปมา มีน้ำไหลเช่นนี้ตลอดทั้งปี

                พ่อทำสะพานไม้เล็ก  หรือที่เรียกว่า ขัว คนเหนือเรียกสะพานว่า ขัว ให้ข้ามไปมาได้ระหว่างพื้นที่ส่วนหน้าบ้านกับส่วนที่บ้านปลูกอยู่ ตรงข้างขัวมีต้นจิกอยู่สามต้น อยู่ฝั่งเดียวกันสองต้นอยู่อีกฝั่งหนึ่งต้น ต้นจิกสองฝั่งโน้มข้ามเหมืองประสานกันเหมือนอุโมงค์ต้นไม้ เวลาออกดอกจะสวยมาก ดอกจิกออกดอกเป็นพวงเหมือนกล้วยไม้บางชนิด พวกดอกจิกสีแดงห้อยต่องแต่งอยู่เหนือน้ำเหมือง บนพื้นผิวน้ำมีดอกจิกเล็ก ๆ ที่ร่วงจากพวง ผิวน้ำจึงเต็มไปด้วยสีแดงของดอกจิก มองดูสวยแต่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน ดอกจิกจะมีกลิ่นฉุนจนฉันรู้สึกคลื่นไส้ทุกครั้งที่ได้กลิ่น แม่ก็ว่าอย่างนั้นแต่แม่มักจะเด็ดยอดจิกไปจิ้มน้ำพริก พ่อบอกว่าอร่อยแต่ฉันว่ารสมันฝาด ๆ ไม่อร่อยสำหรับเด็กแน่นอน

                ตรงสะพานนี้เอง ที่ฉันกับน้องมักจะมานั่งตกปลากัน พ่อทำคันเบ็ดเล็ก ๆ ให้เราสองคน ปลาที่ตกได้ส่วนใหญ่จะเป็นปลาหมอเสียมากกว่า อาจเพราะปลาหมอตะกละจึงมีคนพูดว่า ปลาหมอตายเพราะปาก

                ถึงน้ำในลำเหมืองจะไม่ลึก แต่ครั้งหนึ่งน้องเคยตกลงไป หน้าคว่ำจมอยู่ในน้ำต่อหน้าต่อตาฉัน ฉันร้องลั่นเรียกให้คนมาช่วย โชคดีที่พ่ออยู่แถว  ๆนั้นจึงมาช่วยไว้ได้ทัน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราต้องคอยระแวดระวังเวลาที่น้องไปใกล้แม่น้ำ

                สองฝั่งลำเหมืองมีต้นแหย่งขึ้นหนาแน่น มันมากจนเรียกว่าเป็นดงแหย่งก็ว่าได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่อื่นเรียกว่าต้นอะไร แต่ภาษาท้องถิ่นที่นี่เรียกมันว่าต้นแหย่ง ฉันเคยถามครูหลาย ๆ ท่านว่าคนที่อื่นเรียกชื่อมันว่าอะไรบ้าง แต่ครูก็ไม่ทราบเหมือนกัน ครูบอกว่ามันมีไม่แพร่หลาย ก็อาจจะจริงเพราะทั้งจังหวัดมีแค่ที่บ้านของฉันเท่านั้นที่มีต้นแหย่ง คนที่มาซื้อแหย่งเขาบอกอย่างนั้น มันจะขึ้นอยู่ในที่น้ำตื้น ๆ และมีน้ำตลอดปี สูงประมาณสองถึงสามเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกินสองเซนติเมตร มีใบตรงปลายกิ่งแต่ไม่มาก เปลือกเป็นสีเขียวเข้มเกลี้ยงเกลาเป็นเงา พอแห้งก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแต่ยังคงความเงางามอยู่ ภายในเปลือกสีเขียวนั้นเป็นสีขาวนุ่ม ๆ เหมือนฟองน้ำ คงใช้ลำเลียงน้ำไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ดอกของมันเป็นสีขาวบริสุทธิ์ กลีบอ่อนบาง ฉันชอบดอกแหย่งมากกว่าดอกจิก เพราะมันไม่มีกลิ่นและสวยกว่า แม่จะขายแหย่งให้คนสานเสื่อแหย่งปีเว้นปี ทำรายได้ให้บ้านเราพอสมควร เสื่อแหย่งทนทาน มันวาว เวลาอากาศร้อนนอนเสื่อแหย่งแล้วเย็นสบายดี

                พื้นที่ส่วนที่เป็นหน้าบ้าน มีรั้วตั้งป่อง (รั้วตั้งป่อง คือ รั้วที่ทำแบบง่าย ๆ ใช้ไม้ไผ่ตอกติดกับเสาไม้ เป็นช่องใหญ่ ๆ ดูเหมือนรั้วที่ทำคอกกั้นวัวควาย) เป็นรั้วบ้านที่ไม่สามารถกันขโมยหรือบุคคลภายนอกได้เลย คงมีไว้เพื่อบอกเขตแดนว่าบ้านเรามีพื้นที่ถึงตรงไหนเท่านั้นเอง ส่วนหน้าบ้านนี้ พ่อทำเป็นแปลงปลูกผักกาดกวางตุ้ง เวลาผักกาดออกดอก หน้าบ้านของเราก็จะเหลืองอร่ามไปด้วยดอกผักกาดที่บานสะพรั่งเหมือนทุ่งมัสตาดที่นิยมปลูกกันในประเทศทางเหนือบ้านเราขึ้นไป ฝูงผึ้งจำนวนมากบินมากินน้ำหวานจากดอกผักกาด ใครผ่านไปมาก็มักจะหยุดชมความงามของแปลงผักหน้าบ้านเราด้วยสายตาชื่นชม ทำให้ฉันภูมิใจในแปลงผักของพ่อมาก

     

                ทุ่งนาในตอนนี้ เหมือนทะเลที่มีคันดินรูปสี่เหลี่ยมตารางหมากรุกวางทับไว้ มีคลื่นเมื่อลมพัดพา มีเกาะเป็นต้นไม้เตี้ย ๆ ไม่มีเรือใบแต่มีรถไถ มีนกกินปลาเป็นนกกระยางสีขาวบินว่อนเหนือท้องทุ่ง มีปูนาไต่ข้ามคันนาไปมา ฉันเคยเห็นภาพทะเลในหนังสือมันสวยมาก ในความรู้สึกของฉันมันสวยพอ ๆ กับทุ่งนาข้างบ้านในตอนนี้เลย...ภาพทะเลนาจะมีให้เห็นอย่างนี้เพียงไม่กี่วัน ต่อจากนั้นมันจะถูกระบายสีให้กลายเป็นภาพพรมสีเขียวอ่อนโดยจิตรกรที่เป็นชาวนา

                วันนี้พ่อจะปลูกข้าว โชคดีที่หาคนงานได้เร็ว มิเช่นนั้นคงต้องรอไปอีกหลายวัน คนงานภาคเกษตรกรรมในช่วงฤดูเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวนั้นหายาก แทบจะไม่มีว่างเลยสักคน ใคร ๆ ก็ต่างเร่งปลูกข้าวในนาของตัวเอง ถ้าหากว่าหาไม่ทันมีคนอื่นจ้างตัดหน้าไปเสียก่อนก็ต้องรอต่อคิวจนกว่าคนงานของคนนั้นจะเสร็จ พ่อทำนาไม่มากทำไว้แค่พอกินไม่ต้องซื้อข้าวกิน เรารู้รสชาติของการซื้อข้าวกินดี ถ้าปีไหนน้ำท่วมข้าว ปีนั้นก็ต้องซื้อข้าวกัน พ่อกับแม่ต้องทำงานหนักเพื่อซื้อข้าวสารราคาแพง เหน็ดเหนื่อยมากสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ พ่อเป็นกรรมกรมีงานทำเป็นช่วง ๆ ไม่แน่นอน หากช่วงไหนไม่มีงานทำก็จะช่วยกันกับแม่ปลูกผักกาดขายซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอนเหมือนกัน พ่อเคยบอกว่าถ้าเราทำนาเราก็จะมีข้าว มีกุ้ง หอย ปู ปลากัน สิ่งที่เราได้จากท้องนามันมากกว่ากว่าเมล็ดข้าวที่เรากินอยู่ทุกวัน

                แม่ปั่นจักรยานเก่า ๆ ของพ่อไปตลาดแต่เช้าตรู่ จักรยานบ้านเรามีอยู่คันเดียว เป็นจักรยานแบบโบราณ แม่เรียกว่า รถถีบลาเล่ (จักรยานลาเล่) เบาะมันสูงโครงสร้างใหญ่ขี่ลำบากโดยเฉพาะถ้าใส่ผ้าถุง ที่ซ้อนท้ายเป็นเหล็กสี่เหลี่ยมหนา กว้าง เวลานั่งก็ต้องกางขากว้าง ๆ เพราะที่นั่งมันกว้างเกินไปสำหรับขาสั้น ๆ ของเด็ก

                มีจักรยานอยู่คันหนึ่งซึ่งแปลกตามาก มันเป็นของคนรู้จักของลุง

                เปิ้นเป๋นกระเหรี่ยงฝั่งปุ้น (เขาเป็นกะเหรี่ยงฝั่งโน้น) แม่บอก ฉันไม่เข้าใจหรอกว่าฝั่งโน้นมันคือฝั่งไหน เป็นอันว่าเขามาจากบนดอย ดอยที่ไหนก็ไม่ทราบ

                จักรยานของเขาไม่รู้ว่าเป็นยี่ห้ออะไร แต่ที่ว่าแปลกนั้นเพราะมันคันใหญ่มาก สูงกว่าจักรยานของพ่อ ที่สำคัญล้อหน้ามันใหญ่กว่าล้อหลัง จะขึ้นขี่แต่ละครั้งยากลำบากเหลือเกิน เวลาเจ้าของไม่อยู่ เราเด็ก ๆ มักจะแอบเอาออกมาขี่เล่น ล้มอยู่หลายครั้ง แข้ง ขา เข่า ถลอกแต่ก็ไม่ละความพยายามจะขี่ให้ได้

                พี่ชายเจ้าของรถก็ใจดีเหลือเกิน บางทีก็พาเราซ้อนท้ายจักรยานของเขาปั่นไปมา จักรยานล้อใหญ่ ปั่นเร็วดี น่าตื่นเต้น พี่ชายอยู่กับลุงพักใหญ่ แต่ก็ไม่นานพอให้ฉันหัดขี่จักรยานของเขาได้ แล้ววันหนึ่งเขาก็กลับไป แม่บอกว่าเขาต้องกลับไปฝั่งโน้น กลับไปต่อสู้กอบกู้แผ่นดินเกิด

                พี่ชายคนนี้เคยเล่าให้เราฟังว่า ที่ ๆ เขาจากมานั้นไม่น่าอยู่ไม่สงบร่มเย็นเหมือนบ้านเรา ทุกคนต้องจับปืนขึ้นต่อสู้เพื่อให้มีแผ่นดินเป็นของตัวเองและเพื่อสิ่ง ๆ หนึ่งที่พวกเราเรียกมันว่า เสรีภาพ พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไรฉันก็รู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เกิดบนผืนแผ่นดินไทย ภูมิใจที่บรรพบุรุษของเราทำให้เรามีแผ่นดินอันสงบร่มเย็นอยู่ ถ้าในวันหนึ่งสิ่งที่พี่ชายคนนี้ทำสำเร็จขึ้นมา ต่อไปในภายภาคหน้าฉันเชื่อว่าลูกหลานของเขาคงรู้สึกไม่ต่างไปจากฉันในตอนนี้

                ถ้าเฮาบ่ต๋ายเหียก่อน เฮาจะปิ๊กมาแอ่วหา (ถ้าผมไม่ตายเสียก่อน ผมจะกลับมาเยี่ยม) คำสัญญาด้วยคำเมืองสำเนียงเพี้ยน ๆ ของเขาเป็นคำพูดประโยคสุดท้ายที่เราได้ยินจากเขา นับแต่นั้นก็ไม่มีใครได้เห็นเขาอีกเลย เวลาผ่านมานานจนใคร ๆ อาจลืมเขาไปแล้วก็ได้ แต่ฉันยังจำได้ดี กระเหรี่ยงฝั่งโน้นกับจักรยานรูปร่างแปลก ๆ

               

                ฉันไม่ชอบซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเลยเพราะเวลาขี่บนถนนลูกรัง ฉันรู้สึกระบมก้นไปหมด เวลาที่จักรยานวิ่งบนสะพานของหมู่บ้านหรือที่เราเรียกว่าขัวเป็นช่วงที่ทรมานที่สุด โดยเฉพาะขากลับจากฉีดยาที่คลินิกในตัวเมืองเวลาป่วย ฉันคิดว่าลงเดินข้ามยังจะดีกว่าเสียอีก

                หมู่บ้านเรามีขัวไม้เก่า ๆ ที่ใช้เชื่อมถนนในหมู่บ้านกับถนนไปในเมืองที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำสายใหญ่ ขัวนี้เหมือนรางระนาดขนาดใหญ่ยังไงยังงั้น แต่ระนาดอาจจะดูดีกว่าเพราะไม้มันใหม่ขึ้นเงาแวววาว แต่ขัวนี้เป็นไม้เก่า ๆ ผุเป็นช่องโหว่เป็นแห่ง ๆ ทรุดโทรมเก่าแก่เหลือเกิน ยาวเกือบร้อยเมตร ความกว้างไม่มากพอให้รถยนต์ที่นาน ๆ จะผ่านมาสักคันผ่านไปได้อย่างสบาย ๆ ก่อนเจ้าของรถยนต์จะขับรถข้ามขัวนี้ ต้องช่างใจอยู่เหมือนกันว่าจะข้ามดีไหม พอตัดสินใจว่าต้องข้ามดีกว่าขับอ้อมไปอีกไกลก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการกะระยะให้แม่นยำไม่ให้ด้านข้างของรถไปเสียดสีกับราวขัวซึ่งเป็นไม้เก่าแสนเก่าเช่นกัน ขัวนี้มันกว้างกว่าตัวรถแค่นิดเดียว เวลามีจักรยานสวนมา จักรยานก็ต้องเป็นฝ่ายถอยร่นไปจนถึงถนนเพื่อให้รถยนต์ข้ามไปก่อน และเพื่อความปลอดภัยของจักรยานและเจ้าของจักรยานด้วย เพราะไม่มีใครอยากไปยืนเบียดราวขัวขณะให้รถยนต์สวนผ่านไปหรอก มันน่าหวาดเสียว กลัวรถยนต์จะเฉี่ยวเอาถึงมันจะขับช้า ๆ ค่อย ๆ คืบคลานไปก็ตามเถอะ อีกอย่างกลัวราวขัวที่ยืนพิงอยู่จะผุพังลงไปทำให้เราตกลงไปด้วย โดยเฉพาะในช่วงฤดูน้ำหลาก ฉันหวาดเสียวทุกครั้งที่ข้าม กลัวว่าความเก่าแก่และทรุดโทรมของมันอาจไม่สามารถต้านแรงน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากได้ กลัวว่ามันจะพังครืนลงมาเสียก่อนที่เราจะข้ามพ้น ฉันจึงมักเร่งให้แม่ปั่นจักรยานเร็ว ๆ ทุกครั้งที่ข้ามขัวนี้

                มีอีกอย่างที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งเวลาข้ามขัวนี้ คือ ระวังขี้ควาย มีคนเรียกขัวนี้ว่า สะพานควาย มากกว่าจะเรียกตามชื่อของหมู่บ้านเหมือนขัวที่หมู่บ้านอื่น ๆ แต่ฉันว่าชื่อนี้ก็เหมาะสมดี เพราะทุกเช้าเย็น คนเลี้ยงควายฝั่งโน้นจะต้อนควายมาเลี้ยงฝั่งนี้ บางทีคนเลี้ยงความฝั่งนี้ก็ต้อนควายไปเลี้ยงฝั่งโน้นบ้าง สลับสับเปลี่ยนกันไปมา ช่วงเช้าและเย็น การจราจรบนสะพานควายชุลมุนวุ่นวายด้วยรถ คน และควาย รถและคนต้องคอยหลบควาย หลบขี้ควายที่เรี่ยราดเกลื่อนกลาดทั่วขัวรถจักรยาน รถมอเตอร์ไซพอเลี่ยงได้บ้าง ส่วนรถยนต์นั้นหมดสิทธิ์รถยนต์ที่ข้ามขัวนี้จะมีขี้ควายติดล้อไปด้วยทุกครั้ง นี่คืออีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าของรถยนต์ต้องช่างใจก่อนขับรถข้ามขัวของหมู่บ้านเรา หรือสะพายควายที่ใคร ๆ เรียกกัน

                บ้านเราอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองแต่ถนนหนทางนั้นยากลำบากมาก เป็นถนนลูกรังมีหินขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อเล็ก ๆ ตลอดสาย ถ้าฝนตกก็เป็นโคลนเละ การปั่นจักรยานไปตลาดในเมืองเป็นเรื่องยากลำบากมาก หากไม่จำเป็นจริง ๆ แม่จะซื้อข้าวของจากร้านขายของชำหรือที่เรียกว่า ตุกาด ที่อยู่หน้าปากซอยเสียเป็นส่วนใหญ่

                แม่ซื้อกับข้าว ผลไม้ น้ำแข็งและเมี่ยง เมี่ยง คือใบชาดอง  คนเหนือมักชอบกินเมี่ยง โดยเฉพาะคนรุ่นพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยจะต้องมีเมี่ยงไว้ประจำบ้านไม่ให้ขาด ของที่แม่ซื้อมาเพื่อนำไปเลี้ยงคนงานที่จ้างมาปลูกข้าวในตอนเที่ยง

                พูดถึงเรื่องเมี่ยงแล้วก็อดพูดต่ออีกหน่อยไม่ได้ เมี่ยงก็คือใบชาดอง จะดองด้วยอะไรก็ไม่ทราบ บางเจ้าก็ออกรสหวานอมเปรี้ยว บางเจ้าก็มีรสฝาดเพียงอย่างเดียว เมี่ยงมีสีเขียวอมน้ำตาลหรืออะไรทำนองนั้น ผู้ใหญ่จะชอบกินเมี่ยงกัน เคี้ยวเมี่ยงกันบ่อยครั้งในแต่ละวัน เมี่ยงขายดีมีไม่ขาดบ้านกินกับเกลือ ขิงซอยจะยิ่งมีรสชาติดีขึ้น

                เมี่ยงราคาถุงละหนึ่งบาท แม่ซื้อมาวันละถุงถึงสองถุง ขิงที่โรยหน้าเมี่ยงส่วนใหญ่เด็ก ๆ จะจอง ผู้ใหญ่บอกเด็กว่าไม่ควรกินเมี่ยงฟันจะดำ แต่ฉันก็ยังเห็นว่าฟันของพ่อกับเมี่ยงไม่ดำแม้แต่น้อย

                กิ๋นเมี่ยงแล้วต๋ามันแจ้ง (กินเมี่ยงแล้วตามันสว่าง) พ่อพูดเช่นนั้น คงเป็นเพราะฤทธิ์ของสารบางอย่างในใบชานั่นกระมัง เรื่องวิทยาศาสตร์ฉันไม่ค่อยจะได้เรื่องนัก นี่คงเป็นสาเหตุที่ผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้เด็กกินเมี่ยง

                แต่ถ้าเป็นเมี่ยงหวานห้ามฉันไม่อยู่หรอก เมี่ยงหวานอร่อยมากมีไส้เมี่ยงข้างใน ไส้เป็นมะพร้าว ถั่ว น้ำตาลและส่วนผสมอื่น ๆ อีกหลายอย่างคลุกเคล้ากัน ผู้คนจะทำเมี่ยงหวานกันในงานหรือพิธีการสำคัญเท่านั้น หากินยาก เมี่ยงหวานจะห่อด้วยใบตองเป็นคำ ๆ พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยห่อเมี่ยงได้สวย ประณีต ฉันเคยช่วยห่อแต่มันเละจนอุ๊ยต้องขอให้หยุดช่วย

                พ่อสวมหมวดไม้เปีย (หมวกที่ทำจากไม้ไผ่จักบาง ๆ นำมาสานเป็นเส้นยาว ๆ แล้วเย็บต่อกันเป็นหมวก) ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวเก่า ๆ มีผ้าขาวม้าผูกเอว หาบก๋วยก้า (ตะกร้าขนาดใหญ่สานด้วยไม่ไผ่ตาห่าง ๆ มีเชือกคล้องกับไม้คาน นิยมใช้ใส่ต้นกล้า) มีข้าวของหลายอย่างอยู่ในนั้น

                แม่สวมหมวกไม้เปียเหมือนพ่อแต่ปีกหมวกกว้างกว่า แม่นำแป้งเม็ดสีขาวคล้ายชอล์กก้อนเล็ก ๆ ขยี้ผสมกับน้ำแล้วทาบนใบหน้า ตอนนั้นยังไม่มีแป้งฝุ่นหรือแป้งเป็นตลับใช้กัน แป้งที่นิยมใช้เป็นแป้งแท่งเล็ก ๆ สั้น ๆ คล้ายชอล์กหักสีขาวกลิ่นหอมอยู่ในกระป๋องที่มีฝาครอบ มีรูปนางงามติดอยู่ข้างกระป๋อง เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก นอกจากทาแป้งแล้วแม่ยังใช้ผ้าปิดหน้ากันแสงแดดที่ทำให้ใบหน้าเป็นฝ้าอีกชั้นหนึ่ง ผู้หญิงไม่ว่ายุคสมัยไหนก็กลัวหน้าเป็นฝ้ามากที่สุด ฝ้าบนหน้าขาว  ๆ ของผู้หญิงดูน่ากลัวและรักษายาก แม่สวมเสื้อแขนยาว ผ้าถุงยาวถึงหน้าแข้ง หิ้วกระติกน้ำแข็งกับกล่องข้าวใบใหญ่เดินตามพ่อพร้อมคนงานไปยังทุ่งนา

                ที่นา...พ่อกับคนงานชายคนหนึ่งช่วยกันถอนต้นกล้า มัดกล้าเป็นกำใหญ่ ๆ และตัดปลายออก นำใส่ก๋วยก้าหาบไปโยนลงในนา ให้แม่กับคนงานหญิงอีกคนเป็นคนปลูก (ภาคเหนือจะเรียกการปักดำต้นกล้าว่าปลูกข้าว ไม่ใช่ดำนาอย่างภาคกลาง) ผู้หญิงจะปลูกข้าวได้เร็วและสวยกว่าผู้ชาย แปลงนาไม่กว้างมากนักยืนเรียงแถวหน้ากระดานสี่ถึงห้าคนก็ปลูกได้เต็มหน้าแล้ว ปลูกข้าวไปพูดคุยกันถึงเรื่องสัพเพเหระไป มีเสียงหัวเราะดังเป็นระยะ ช่วงเช้าจะปลูกได้เร็วอากาศยังไม่ร้อน ช่วงบ่ายปลูกช้าลง แดดจัดขึ้นคนปลูกข้าวเริ่มอ่อนล้าจากการเอาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ปวดเมื่อยร่างกาย เดินมาพักดื่มน้ำบ่อยขึ้น นาของพ่อใช้เวลาปลูกเพียงสามวันก็เสร็จ

                แค่เพียงพลิกผืนนาที่รกด้วยหญ้าและตอข้าวแห้งให้เป็นทุ่งข้าวสีเขียว ชาวนาต้องลำบากอย่างแสนสาหัส กว่าจะได้เม็ดข้าวสีขาวนุ่มเหนียวในกล่องข้าวข้างขันโตก พ่อกับแม่เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ตัวพ่อดำคล้ำ มือของแม่หยาบกร้าน เล็บมือเล็บเท้าจะเหลืองเวลาปลูกข้าว แม่เรียกเล็บเป็นคราบเหลือง ๆ นั้นว่า เล็บเป็นน้ำฮาก กลับมาบ้านต้องเอามะขามเปียกขัดให้คราบเหลืองออก ใบหน้าที่ถูกแดดจัดก็มักจะเป็นฝ้า คนทำนายากที่จะมีผิวขาวเนียนสวย มือเรียวนุ่มนวล หน้าใสไร้สิวฝ้า

     

                ฝนที่ตกโปรยปรายแทบทุกวัน หล่อเลี้ยงต้นข้าวในนาของพ่อให้ค่อย ๆ เติบโต เห็นผืนนาสีเขียวขจี ลมพัดปลายข้าวพลิ้วไหวเป็นระรอกเหมือนเกลียวคลื่นในท้องทะเล ฝูงแมงปอบินล้อไปมาเหนือต้นข้าว ชาวนาทุกคนชุ่มชื่นหัวใจที่เห็นต้นกล้าเติบใหญ่ขึ้น แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้หากฝนตกมากไปน้ำอาจจะท่วม โดยเฉพาะช่วงที่เห็นเป็นเม็ดข้าวอยู่รำไรแล้ว น้ำมักจะนองช่วงนั้นเสมอ น้ำท่วมนาก็เหมือนท่วมหัวใจชาวนาเพราะหยาดเหงื่อแรงงานเงินทุนจมลงไปพร้อมกับต้นข้าว ทุกคนภาวนาขออย่าให้น้ำท่วมเลย

                ฝนมักจะตกตอนเย็น และมักจะเจาะจงเอาช่วงเวลาโรงเรียนเลิกอยู่เสมอ บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าเทวดาแกล้งเราหรือเปล่าหนอ หรือว่าบนฟ้ามีนาฬิกาตั้งเวลาฝนตกไว้ ฝนจึงตกตรงตามเวลาแทบทุกวัน วันไหนลืมเอาร่มไปโรงเรียนต้องใช้ถุงพลาสติกคลุมหัวและห่อกระเป๋านักเรียนไว้ เดินตากฝนกลับบ้าน หรือไม่ก็ขอเบียดร่มคันเล็ก ๆ ของเพื่อนที่บ้านใกล้ ๆ กลับด้วยกัน

                หลังฝนตก...หากท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเปิดให้แสงแดดยามเย็นสาดส่องมา จะได้เห็นรุ้งกินน้ำขนาดใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกโค้งข้ามดอยสีน้ำเงินจากลูกหนึ่งไปยังอีกลูกหนึ่ง ปลายรุ้งทั้งสองข้างดูเหมือนจะก้มดูดดื่มน้ำในทุ่งนาสีเขียวขจี ฉันคิดว่าเป็นเช่นนั้น รุ้งกินน้ำก็ต้องกินน้ำอยู่แล้วแต่กำลังกินน้ำในนาของใครอยู่นะ น่าอิจฉาเจ้าของนาแปลงนั้นเสียจริง

                เห็นรุ้งกินน้ำทีไร ฉันกับน้องจะตื่นเต้นชี้ให้กันดู แม่จะดุเราบ่อย ๆ แม่ห้ามไม่ให้เอามือชี้รุ้งกินน้ำ แม่บอกว่าเดี๋ยวมือจะหดหายเหมือนรุ้งกินน้ำที่ค่อย ๆ จางหาย เรารู้สึกกลัว แม่จึงบอกวิธีแก้เคล็ดให้ว่าให้กัดนิ้วที่ใช้ชี้นั่นเสีย เรารีบกัดนิ้วชี้ทันทีและแถมกัดนิ้วอื่น ๆ ที่ไม่ได้ชี้จนครบทั้งสิบ ฉันถามแม่ว่าทำไมเป็นอย่างนั้น แม่เองก็อธิบายไม่ได้ ยายก็บอกแม่มาแบบนี้ ฉันจึงไม่ค่อยพอใจในคำตอบสักเท่าไร แต่ฉันก็ทำตาม แม่บอกว่าความเชื่อบางอย่างอยู่เหนือเหตุผลและคำอธิบายใด ๆ เชื่อไว้ก็ไม่เป็นไรถ้ามันไม่ทำให้เราเสียหาย แต่ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ ฉันเชื่อแม่เหมือนที่แม่เชื่อยาย เพื่อน ๆ หลายคนที่โรงเรียนก็เชื่อเช่นเดียวกัน ดูเหมืนจะเป็นความเชื่อประจำหมู่บ้านก็ว่าได้ เพราะเห็นใครชี้รุ้งกินน้ำแล้วก็รีบกัดนิ้วกันทั้งนั้น

                เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จะชอบรุ้งกินน้ำ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง เพราะฉันเห็นมีรูปสายรุ้งคดโค้งในสมุดวิชาวาดเขียนของเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมในโรงเรียนของฉันแทบทุกคน

                รุ้งกินน้ำมาพร้อมกับสายฝนที่ทำให้ต้นข้าวกลับคืนสู่ท้องนาอีกครั้ง

                   

     

                                                                            รุ้งวาดฟ้าให้มีสีสัน

                                                                รุ้งวาดวันให้สวยสดใส

                                                                เด็กน้อย ๆ คอยมองอยู่ไกล

                                                                อยากเอื้อมไปเก็บไว้ในมือ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×