ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hold the smile | โอบอรุณ ☼

    ลำดับตอนที่ #7 : แสงอรุณที่หก | ลูกแกะผู้หลงทาง

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 67


     

     

     

    ( ཀ ʖ̯ ཀ)

                 

              แสงไฟในห้องนอนดับลงครู่หนึ่ง เจ้าของบ้านก็ต้องผวาตื่นกลางดึก อรุณกระพริบตาถี่มองฝ่าความมืดเพื่อดูเวลา หัวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อเห็นว่าอีกสิบกว่านาทีก็เป็นตีสี่ แต่เสียงเคาะประตูยังดังต่อเนื่องราวกับคนเคาะจะพังเข้ามา ไฟในห้องติดขึ้นพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัวด้วยความกลัว

              ผู้อาศัยเพียงคนเดียววิ่งไปกอบกำเครื่องมือสื่อสารในมือเอาไว้แน่น อรุณแนบตัวเองชิดเข้ากับมุมห้อง นิ้วมือไล่หารายชื่อติดต่อที่แทบจะนับคนได้ด้วยความขวัญเสีย

     


     


     

    ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง


     


     

     

    “ออกมาเปิดประตูให้กู ออกมาดิวะ”

              เสียงนั้นดังเป็นประโยคเดิมสองสามรอบ ก่อนจะเงียบไปและดังซ้ำคล้ายเสียงวิทยุที่ติดๆดับๆ อรุณไม่กล้าขยับตัวเลยสักนิดเดียว ทำได้เพียงกดโทรออกแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย ประกอบกับเสียงกร่นด่าของคุณลุงข้างบ้านที่ออกมาห้ามปรามพร้อมทั้งตะโกนเสียงเข้ม


     

    “ให้ตายเถอะวะ คนจะหลับจะนอน เมาแล้วก็อย่าเรื้อนไอ่หนุ่ม”

    เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปลายสายกดรับโดยที่อรุณเองก็ไม่รู้ว่าเผลอกดโทรออกไปรบกวนเจ้าของเบอร์เมื่อไหร่ น้ำเสียงตื่นตระหนกดังลอดมาเรียกสติคนถูกคุกคาม


     

    “อรุณ ที่บ้านมีเรื่องอะไรหรือเปล่า อรุณ ได้ยินพี่ไหมครับ!”


     

    “...พี่โอบ พี่โอบเหรอครับ”


     

    “ครับ ที่บ้านมีอะไรหรือเปล่า พี่ได้ยินเสียงคนโวยวาย” ยิ่งได้ยินว่าปลายสายรับรู้แล้ว อรุณก็ยิ่งกำโทรศัพท์ที่แนบหูเอาไว้แน่น


     

    “มีคนมาโวยวายหน้าบ้านครับ..เคาะประตูเรียกไม่หยุดเลย”


     

    “อย่าเปิดประตูออกไปนะครับ มีใครอยู่ด้วยไหม ล็อกประตูแน่นหรือเปล่า เดี๋ยวพี่ไปหา อรุณอยู่ส่วนไหนของบ้าน” คำถามรัวชุดทำให้อรุณใจชื้น


     

    “ในห้องนอนครับ..ห้องนอน เราไม่เป็นไร โทรแจ้งตำรวจแล้ว พี่ไม่ต้องมาหรอก”


     

    “ไม่เป็นไรได้ยังไง เสียงสั่นขนาดนี้แสดงว่าตำรวจยังมาไม่ถึง..ถือสายไว้พี่กำลังไป”  

     

              อรุณได้ยินเสียงรุ่นพี่พูดรัวพร้อมกับเสียงดังตึงตังและเสียงกระแทกประตูตามมา ระหว่างนั้นเขาก็แง้มผ้าม่านห้องนอนสอดส่องพื้นที่โดยรอบก่อนจะหมอบตัวลงต่ำตามเดิม


     


     


     


     


     

              ในตอนที่อธิปเดินทางมาถึง ใจหนักอึ้งค่อยๆผ่อนเบาลงเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบคุ้นตากำลังพูดคุยกับลุงวัยกลางคนคนหนึ่งหน้าตาเคร่งเครียด จังหวะนั้นเขาสอดสายตามองหาเจ้าของบ้านด้วยใจระส่ำอีกหน

              อธิปยกหน้าจอมือถือขึ้นมองด้วยความกังวลใจ หลังจากที่การติดต่อถูกตัดไปดื้อๆ ระหว่างนั้นอธิปรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผละออกไปยังที่เกิดเหตุหน้าประตู ตัวเขาก็ไม่รอช้าจะปรี่ไปประชิดตัวคุณลุง


     

    “สวัสดีครับ เจ้าของบ้านอยู่ไหนเหรอครับ”


     

    “เอ็งเป็นใคร..” เสียงทุ้มต่ำถามพร้อมสำรวจเขาด้วยความไม่ไว้วางใจ


     

    “เป็นเพื่อนเจ้าของบ้านครับ ระหว่างทางมาผมติดต่อเขาไม่ได้”


     

    “เออ ก็คงขวัญเสียน่าดู โน่น นอนอยู่ในบ้านผม” ประโยคแรกเหมือนว่าจะพึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงสนทนาด้วยท่าทีอ่อนลงกว่าเดิม


     

              อธิปเดินตามหลังคุณลุงเพื่อนบ้านคนดังกล่าว ขณะที่สายตากวาดประเมินสถานการณ์ตรงหน้า บริเวณหน้าบ้านเปลี่ยนไปจากความทรงจำเดิมที่เขาจำได้ตอนมาส่งน้องเมื่อคืน

              ต้นไม้ตรงทางเดินที่กำลังจะมีดอกผลิช่อถูกทำด้วยวิธีการหนึ่งให้แตกละเอียด เศษกระถางเกลื่อนกระจาย


     

    “ยังหลับอยู่เลยคุณ ยังไงก็นั่งรอให้เขาหลับอีกหน่อยแล้วกัน”

              เสียงนิ่มของหญิงคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับดึงสายตาอธิปให้หันมาสนใจผู้มาใหม่ตรงหน้า ใบหน้ามีริ้วรอยทว่าท่าทางใจดีส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร


     

              พูดคุยไปมา ได้ความว่าเธอกับสามีได้ยินเสียงโวยวายตอนฟ้าสาง แรกๆก็คิดว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรงจนได้ยินเสียงกระเบื้องแตกกระจาย เพียงเท่านั้นเธอก็เร่งรุดสามีให้ออกมาดูสถานการณ์ จากที่เอ่ยเตือนไปไม่ถึงนาที คนก่อเหตุวิ่งหนีหน้าแทบทิ่มไปในความมืดแล้ว และเจ้าหน้าที่สายตรวจก็มาถึง

              เธอเล่าอีกว่าเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวตัวสั่นงกราวกับลูกนกไร้รัง ตอนแรกเป็นสามีเธอที่เข้าไปรับหน้าแจ้งเหตุกับสายตรวจในฐานะพยาน ส่วนเธอก็เข้าไปประกบผู้เสียหายเพื่อลดความวิตกกังวล


     

    “คุณป้าเห็นหน้าคนทำชัดหรือเปล่าครับ”


     

    “เห็นไม่ชัดหรอก ไฟตรงหน้าบ้านดวงนั้นดันมาเสียเมื่อสองวันก่อนพอดี..แต่ก็รู้นะว่ามีฐานะพอสมควร”


     

    “มีฐานะเหรอครับ”


     

    “นาฬิกาข้อมือน่ะสิ สะท้อนแสงแยงตาเหลือเกิน ไหนจะมาลัยมงคลที่คออีก”


     

    “อย่าเอ็ดดังไป เดี๋ยวไม่กี่วันก็ตามเจอว่าเป็นเจ้าบ่าวบ้านไหนหลุดจากห้องหอมาเมาเรื้อนแถวนี้ ฮ่าฮ่า” คนเป็นสามีว่าติดตลกร้ายพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ


     

              อธิปนิ่งเงียบ อารมณ์ในอกแทบประทุขึ้นมาเมื่อได้ยินคำบอกเล่ารูปพรรณสัณฐานผู้ก่อเหตุเมื่อคืน เขาไม่อยากจะปรักปรำใครแบบไม่มีเหตุผล แต่ถ้าจะมีอะไรกับใครขึ้นมา ใบหน้าเจ้าบ่าวคนล่าสุดที่ผ่านตาเขามาก็คงไม่พ้นคนคนนั้น

              ใจหนึ่งอยากจะกดโทรออกไปถามรุ่นน้องเคยสนิทถึงสถานการณ์เมื่อคืน หลังจากที่โอบและอรุณขอตัวกลับมาก่อน สามีของอินมีท่าทีอย่างไร แต่เมื่อคิดอีกหนโอบก็เปลี่ยนใจ การที่เขาทำไปด้วยอารมณ์ส่วนตัวมีแต่จะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้อรุณเปล่าๆ ดังนั้นเขาจึงเลือกจะจัดการเศษกระถางที่แตกกระจายก่อนจะแวะไปตลาดละแวกใกล้เคียงเพื่อหาซื้อของกินติดมือกลับมา

     

              อรุณสะดุ้งตื่นมาอีกทีก็ตอนที่ป้าเจ้าของบ้านทำถังหล่น ใบหน้าซีดเซียวจากอาการวิตกและอดหลับอดนอนเมื่อคืนทำให้อรุณดูอิดโรยกว่าปกติ ร่างผอมเหยียดตัวนั่งตรงพลางมองไปรอบตัว จังหวะเดียวกันเป็นลุงเจ้าของบ้านและคนคุ้นตาเดินเข้ามา


     

    “ตื่นแล้วเรอะ ไปโรงพยาบาลไหมล่ะ”


     

    “...ไม่..ไม่เป็นไรครับ” อรุณตอบกลับคุณลุงพร้อมไหล่ที่ลู่ตกลง


     

    “เอ้อ คนนี้เขาบอกว่าเป็นเพื่อนเอ็ง..ใช่เพื่อนหรือเปล่า” คุณลุงถามเสียงขรึมพลางยืนแทรกกลางระหว่างอธิปและอรุณ

     

              อรุณรู้สึกเหมือนคอตัวเองแห้งผาก ไม่สามารถจะเปล่งเสียงอะไรออกได้นอกจากสื่อสารด้วยภาษากาย เพราะท่าทีห่อไหล่ลงทำให้คุณลุงขมวดคิ้วแน่นสลับกับมองหน้าอธิปอย่างไม่ไว้ใจ ก็ไม่แน่ พอประมวลลผลได้ดังนั้นจึงทำหน้าตาขึงขังกว่าเดิมพร้อมเอ่ยเสียงแข็ง


     

    “อย่ากลัว ถ้าไม่ใช่เพื่อนจริงๆ ลุงจะแจ้งตำรวจมาลาก-”


     

    “ใช่ครับ เป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน” อรุณเปล่งเสียงแหบพร่าออกมา


     

    “เฮ้อ คนเดี๋ยวนี้นี่นะ ไม่น่าไว้ใจจริงๆ” เสียงทุ้มว่าพลางเดินหาอะไรบางอย่างแถวหน้าชั้นวางของ

     

              ไม่นานแกก็เขียนขยุกขยิกบนเศษกระดาษที่หาได้ อธิปไม่ได้โต้แย้งอะไรเพียงแค่มองคุณลุงจัดแจงส่งกระดาษใส่มือรุ่นน้องของตัวเอง ลุงแกไม่ได้คิดปิดบังอะไร น้ำเสียงออกจะติดขู่และดังเพื่อให้เขาได้ยินไปด้วยในคราวเดียวก่อนจะโบกมือว่าไม่ส่งและหายไปในครัว


     

    “มีอะไรมาบอกลุง อย่าคิดว่าตัวใหญ่แล้วจะข่มเหงใครก็ได้นะเว้ย”


     


     


     


     


     

     

    ..

    “ผมรบกวนพี่ ขอโทษนะครับ”


     

    “พี่สิต้องขอโทษ ตอนมาส่งพี่น่าจะดูให้ดีก่อนว่ามีใครตามเรามาหรือเปล่า”


     

    “....”


     

    “อรุณ พี่ถามเราหน่อยได้ไหม”


     

    “.....”


     

    “ที่ย้ายบ้าน..ย้ายที่ทำงานมา เพราะแบบนี้หรือเปล่า…ไม่สะดวกใจไม่ต้องตอบพี่นะ”


     

    “.....”

     

              เมื่อเห็นว่าอรุณเงียบไป อธิปจึงเข้าใจได้ถึงเหตุผล เขาผ่อนลมหายใจพลางเดินนำรุ่นน้องกลับบ้านหลังเดิมของอีกฝ่าย แต่ออกเดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว อธิปก็รู้สึกตัวชาจนต้องหยุดชะงัก เขายังคงยืนหันหลังให้อรุณอยู่ และเป็นเรื่องที่จะหันไปปลอบใจได้ยากในคราวเดียว เขารับรู้ได้ถึงความสับสนและหวาดกลัวที่เจือออกมาจากน้ำเสียงนั้น


     

    “แต่เขา..ฮึ เขาก็หาผมเจออยู่ดีครับ” ยิ่งได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะเคล้ามา อธิปก็ยิ่งไม่รู้สึกยินดีที่ได้ยินมันเลยสักนิด


     

    “......”


     

    “......”


     

    “ใช่ครับ เขาหาอรุณเจอ และพฤติกรรมเขาในตอนนี้ก็เข้าข่ายคุกคามด้วย” โอบพยายามอธิบายและเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง เขารู้ดีว่าความกลัวกำลังเกาะกินใจรุ่นน้องขนาดไหน แล้วยิ่งเหตุการณ์นี้มีพยาน การแจ้งความดำเนินคดีก็จะยิ่งมีน้ำหนัก แม้ไม่เห็นตัวคนกระทำชัดเจน แต่ได้ลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว

     

    โอบพยายามคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต การรั้งอรุณให้หยุดวิ่งและเผชิญหน้าในตอนนี้ อย่างน้อยๆ น้องก็จะไม่ต้องติดอยู่ในบ่วงความกลัวละวิ่งหนีอยู่คนเดียวอย่างที่ผ่านมา แน่นอนว่าแผลใจดังกล่าวบาดลึกและแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ทว่า โอบกลับหวังว่ามันจะมีหนทางในการรักษา อาจจะต้องใช้เวลาความเข้าใจและสร้างภูมิคุ้มกัน รวมถึงการเข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์ด้วย นั่นจะต้องเป็นการกระทำที่คุ้มค่า ขณะที่ตัวคนกระทำผิดจะต้องละอายใจและรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำเช่นกัน


     

    “พี่ว่ายังมีทางออกสำหรับเรื่องนี้นะครับ”


     

    “.....”


     

    “และพี่คิดว่าพี่สามารถช่วยอรุณหาทางออกจากสิ่งที่อรุณกำลังเจอได้” เขารู้ว่ารุ่นน้องได้ฟังคำปลอบใจโลกสวยแล้วคงเบ้ปาก แต่โอบคิดว่าเขาทำได้นะ เขาสามารถทำให้เป็นจริงได้โดยไม่ต้องสัญญาให้อีกฝ่ายรอนานเลย


     

              คราแรกอรุณมีท่าทีลังเล หวาดกลัวและยอมจำนนอย่างเห็นได้ชัด อธิปไม่ปฏิเสธว่าการยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้มีเหตุมาจากความสงสารและเห็นใจ เขามองว่าสภาพจิตใจในการใช้ชีวิตของอรุณไม่ปกติ หากปล่อยให้เรื่องราวนี้ยังคงดำเนินไปโดยที่เขารู้เห็นแต่ไม่ทำอะไรเลยจึงดูเป็นการกระทำที่เลือดเย็นเกินทน


     

    “ยังไงลองเก็บข้อเสนอพี่ไปคิดดูก่อนนะ...พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกกัน”


     

    “พี่ไม่ควรใจดีกับผมนะ”


     

    “ทำไมพูดแบบนั้นครับ”


     

    “..ผมไม่คู่ควร” เสียงพึมพำแทบจำใจความไม่ได้เอ่ยบอก คำแค่ไม่กี่พยางค์ดังสะท้อนในหูและหัวใจของอรุณอย่างชัดเจน อย่างที่เคยมีใครบางคนบอกเขามาเสมอ


     

    “ขอโทษนะครับ..พี่ได้ยินไม่ถนัด..”


     

    “พี่ช่วยลืมเรื่องเมื่อคืนได้ไหมครับ..ช่วยลืมมันไปทีเถอะ”


     

    “.....”


     

    “.....”


     

    “ผมขอร้อง..ขอร้องพี่โอบ”


     


     


     


     

     

              เราจากกันช่วงสายของวัน โดยที่อธิปไม่ได้พูดอะไรออกไปอีกหลังจากได้ยินคำร้องขอของอรุณ เขาพยักหน้าเข้าใจรับทราบ แล้วปล่อยให้คนร่างโปร่งได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ใช้เวลาคิดทบทวนทุกอย่างอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเรื่องนี้จะมีบทสรุปและทางออกสักทางให้ไปต่อ ถึงจะร้อนรนในใจแค่ไหน แต่เขาก็ทำในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องขอไม่ได้ เพราะสุดท้ายการทำเช่นนั้นรังแต่จะสร้างปัญหามากมายตามมาไม่จบไม่สิ้น

              อธิปกลับบ้าน เข้าสู่วงจรชีวิตตัวเองอย่างที่เคยเป็น แม้ว่ามือหนึ่งจะยังคงกำเอาปัญหาดังกล่าวกลับบ้านมาด้วยแต่ไม่เคยเลยที่จะเอ่ยปากเล่าให้มารดาฟัง เขาไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่อง เขาทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ นอกจากการเป็นผู้รับฟังที่ดี


     


     

    การเดินทางไปทำงานของเขาในสองวันหลังจากนั้นค่อนข้างเอื่อยเฉื่อย บรรยากาศในที่ทำงานก็หม่นหมอง พร้อมกับการโดนรุมแซวและกลายเป็นหัวข้อให้พูดถึงอยู่เกือบอาทิตย์ถัดจากนั้น เรื่องที่ว่าเขากลับบ้านกลางคันตอนที่บ่าวสาวกำลังพูดความประทับใจบนเวที บ้างว่าเขาแอบรักเจ้าสาวข้างเดียวมานานจึงทำใจไม่ได้ บางว่าเขาเป็นพวกไม่พกมารยาทมาแต่ไหนแต่ไร ทำตัวไม่ค่อยสนโลกสนสังคมเท่าไหร่อะไรเถือกนั้น เอาเถอะ ยังไงอธิปก็คร้านจะไปแก้ข่าวที่ไม่เคยเป็นจริงให้ทุกคนหันมาเข้าใจอยู่แล้ว


     

    “ลุง ไปกินข้าวด้วยกันไหม”


     

    “ขอผ่าน วันนี้เอาข้าวกล่องมา” เขาตอบขณะเก็บอุปกรณ์ใส่กล่องเครื่องมือ


     

    “ตอนเย็นว่างไหมล่ะ”


     

    “ทำไม”


     

    “แดกเบียร์กันมึง น้องในแผนกมันให้มาชวน ถ้ากูเอ่ยปากชวนมึงตอบตกลงแน่”


     

    “ไม่เสมอไป กูไม่ได้ตามใจมึงไปทุกเรื่อง”


     

    “อ๋อ ก็ขอโทษที่ยังไม่ได้เป็นเมียมึง” เพื่อนสนิทตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จพลางยกมือเกี่ยวคอเขา


     

    “มัวแต่พูด น้องในแผนกรอกินข้าวกับมึงจนไส้กิ่วแล้วมั้ง อย่าให้คนอื่นรอดิ”


     

    “ช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีเหรอวะ”


     

    “ปกติ กูแค่ไม่อยากสุงสิงกับใคร”


     

    “ไว้มึงอมทุกข์จนทนไม่ไหวแล้ว ก็มาคุยกับกูได้”

             

    เพื่อนตัวดีรับคำก่อนจะตบบ่าแล้วเดินจากไป อธิปปั้นยิ้มให้รุ่นน้องแผนกใกล้เคียงที่เดินสวนออกมาจากโต๊ะทำงาน ตาคมเหลือบมองกล่องข้าวในมือก่อนจะส่งเสียงถอนหายใจพลางเดินทอดน่องไปยังห้องอาหารสำหรับของบริษัท จังหวะหนึ่งโอบกอดเผลอสอดสายตาหาใครบางคนด้วยความเคยชิน แต่เพราะชั่วขณะฉุกคิดขึ้นได้จึงเลิกให้ความสนใจและมุ่งหน้าไปหาโต๊ะว่างเพื่อกินข้าวกลางวันเงียบๆ


     


     

    กึก


     


     

    “นั่งด้วยได้ไหมคะ”


     

    “..เชิญครับ”


     

    “พี่ดูไม่ตกใจเท่าไหร่ที่เจออินนะ” เสียงนุ่มหูที่เคยได้ยินกล่าวทัก


     

              หลังจากได้ยินประโยคนั้น คิ้วของอธิปก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะคลายลง เขากลืนข้าวปากก่อนจะจ้องสบตากับคู่สนทนาอย่างเปิดเผย อธิปส่ายหน้าและมองดวงตาของอดีตคนเคยสนิทที่จ้องมองมายังเขา


     

    “ทำไมต้องตกใจ”


     

    “อินนึกว่าพี่กำลังหลบหน้าอินอยู่”


     

    “อินอาจจะคิดเอาเอง”


     

    “อ๋อ..เป็นงั้นไป เอาเป็นว่าเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ”


     

    “เรื่องอะไรครับ?”


     

    “ก็เรื่อง...”  อธิปไม่อยากเป็นคนมีมารยาทขนาดนั้น เขารู้อยู่แล้วว่าไม่ควรเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ทำหรือพูดอะไรตามใจชอบอย่างแต่ก่อน และยิ่งเป็นสถานที่ทำงาน กับอดีตพนักงานอย่างอินแล้ว


     

    “ถ้าเป็นเรื่องเอกสาร คงต้องถามพี่วาฝ่ายบุคคลนะ”


     

    “......”


     

    “.....”

             

              เขานึกว่ารุ่นน้องข้างกายจะล่าถอยไป เปล่าเลย อินจ้องหน้าเขาอย่างเปิดเผย จนอธิปใช้วิธีเมินเฉยต่อไปไม่ได้ จะต้องให้เรื่องบานปลายไปอีกแค่ไหน เพราะการกระทำของอีกฝ่ายในตอนนี้กำลังทำให้เราทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของคนในโรงอาหาร


     

              เพราะสามีอินขึ้นชื่อเรื่องความขี้หึง

              และอินก็เป็นสาวอัธยาศัยดีเสียด้วย


     

    “อินรู้ว่าพี่เสียใจ..”


     

    “พี่เคยเสียใจครับ และหมายความว่าตอนนี้พี่ไม่ได้เสียใจแล้ว”


     

    “เพราะพี่มีใครใหม่แล้วเหรอ”


     

    “จะหมดเวลาพักแล้ว พี่ขอตัวก่อนนะ”


     

              หากมองในมุมคนนอก ใครๆคงจะคิดว่าอธิปเป็นคนเห็นแก่ตัว แพ้แล้วพาลเป็นเด็ก หากมองเช่นนั้นเขาก็อยากปล่อยให้เลยตามไป แล้วแต่ใครจะคิด อธิปยอมรับว่าตัวเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว หากว่าคำสารภาพรักได้รับการตอบรับในตอนนั้น คำว่า “สามี” คงกำกับเป็นสถานะพิเศษเขาแล้ว


     

              ชีวิตรักไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอกสำหรับอธิป เขาเคารพการตัดสินใจของอิน และอินก็ควรเคารพความรู้สึกเขาด้วย เขาไม่ได้ต้องการคำปลอบใจ ไม่ต้องการความเห็นใจจากสถานะคนที่รักข้างเดียว ไม่เลย  อธิปดีใจที่เห็นว่าอินกำลังเริ่มต้นชีวิตครอบครัวของตัวเอง ยังมองเธอเป็นรุ่นน้องเช่นเดิม หากแต่ความเป็นกันเองย่อมน้อยลง

              อธิปไม่อยากให้อีกฝ่ายหยิบเรื่องเก่ามาพูด เพราะเขาก้าวผ่านมันมาแล้ว ยิ่งไม่ใช่เรื่องงานยิ่งไม่ควร และหวังว่าการร่วมงานกันหลังจากนี้จะมีเพียงความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานร่วมบริษัทเท่านั้น แค่นั้นที่อธิปอย่างพูดกับอิน

              โอบกอดเพิ่งมาทราบหลังจากผ่านสัปดาห์งานแต่งของอินมาได้ไม่นาน แท้จริงแล้วอินไม่ได้ตั้งใจจะลาออกไปเป็นแม่บ้านหลังแต่งงาน แค่ลาไปแต่งงานเท่านั้น นั่นหมายความว่าตำแหน่งที่อรุณกำลังทำอยู่คงเป็นสถานะชั่วคราว หรือหากไม่ใช่ อินคงจะได้รับการเลื่อนขั้นทำในตำแหน่งอื่นที่แสดงศักยภาพได้มากขึ้น เขาไม่ค่อยชัดเจนในรายละเอียดเท่าไหร่นัก เนื่องจากตอนนี้ระยะห่างระหว่างตัวเขากับอรุณเองก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก การตัดสินใจรักษาระยะประมาณนี้ไว้เป็นสิ่งที่ตัดสินใจได้ดีแล้วต่อทุกฝ่ายต่างหาก

     

    “เขาลือกันให้ทั่ว”


     

    “......”


     

    “วันนี้อารมณ์บ่จอยเหรอวะ”


     

    “รายงานสายพานเซ็ตใหม่ที่ส่งเมลไป เช็กแล้วอนุมัติกลับมาให้กูด้วย”


     

    “เออ เห็นแล้ว”


     

    “เห็นแล้วก็ไปตอบกลับอีเมล อย่ามัวเอ้อระเหย”


     

    “รู้แล้วครับ ว่าแต่วันนี้ไปแดกเบียร์ไหม”


     

    “เวลางานมาชวนแดกเบียร์ได้ไง แยกย้าย” เขาตัดบทพลางย้ายตัวเองเข้าห้องควบคุมแผงวงจร


     

              เดปกลั้วหัวเราะในลำคอก่อนจะส่งยิ้มให้รุ่นน้องแผนกข้างเคียงที่เดินสวนมา  เขากับอธิปเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม หากนับว่าใครรู้ใจอธิปที่สุด นอกจากแม่คงเป็นเขา ตลอดเวลาที่เรียนและทำกิจกรรมร่วมกันมา อธิปไม่ใช่คนที่จะหงุดหงิดและแสดงท่าทีรำคาญใจอย่างไร้เหตุผล หมายถึง มันไม่เคยหงุดหงิดหรือโกรธใครง่ายๆ หากว่ามีใครมาทำให้มันต้องรำคาญใจได้ คงเป็นคนที่นิสัยไม่น่ารักเอามากๆ

              แต่ก็ไม่แน่ วัยสามสิบของอธิปค่อนข้างจืดจาง ขณะที่เขาเป็นพวกชอบเข้าสังคม ทุกความสัมพันธ์ที่ผ่านเข้ามาจึงเป็นเหมือนฤดูที่ผ่านไปอย่างง่ายดาย เดปไม่ได้ชอบฤดูไหนเป็นพิเศษ ไม่มีที่โปรดปราน ไม่เหมือนอธิป การที่นานทีปีหนเพื่อนเขาคนนี้จะลุกมาตัดผมโกนหนวดดูแลตัวเองได้ คงนับเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มีสิ่งกระตุ้น และไอความปัดรำคาญของมันเนี่ย ทำให้เดปได้แต่ยอมแพ้  ทุกการตัดสินใจของอธิปคือสิ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลงหรือกลับคำในตอนหลังยังไงล่ะ


     

    “พี่แม่งก็พยายามดี”


     

    “มึงก็แอบเชียร์อยู่เงียบๆไหมล่ะ”


     

    “ถ้าเมื่อก่อนมันก็ใช่ แต่ตอนนี้มันไม่ถูกต้องไง” จูตอบเสียงเรียบก่อนจะถอนหายใจ

     


     

    แม่ง

    คิดได้ไงวะ ว่าเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันได้


     


     

     

    “เลิกทำหน้าที่พ่อสื่อแล้วมาทำงานตัวเองเถอะพี่” จูเตือนสติอีกครั้งพลางก้มหน้าก้มตาอ่านชาร์ตรายงานเครื่องจักรต่อ


     

    “.....”


     

    “อ้อ เย็นนี้ไปแดกเบียร์ก็เงียบๆนะ”


     

    “เออ”


     

    “แล้วก็แม่งห้ามคาบข่าวไปบอกอีก ไม่งั้นพี่โอบดักตีหัวพี่มึงแน่”



    #โอบอรุณ

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×