ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hold the smile | โอบอรุณ ☼

    ลำดับตอนที่ #3 : โอบครั้งที่สอง | มิติสามสิบสี่ , ดาวเรืองนะ

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 64







            “ไอเหี้ยโอบ!..

                             คำผรุสวาทจากปากเพื่อนฝ่ายแผนกจัดซื้อกระจายสาดไปทั่วหน้าคนอายุสามสิบสี่ เมื่อรู้ตัวว่ากลายเป็นจุดสนใจเดปก็สงบปากสงบคำพ่นลมหงุดหงิดเหมือนวัวกระทิงพร้อมชนแทนคำตำหนิ  โอบมองหน้าเพื่อนร่วมงานที่ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลยยกเว้นคำหยาบคาย


              “มึงหงุดหงิดอะไรกู” คนวัยสามสิบสี่ถามด้วยเหตุผล


              “อยากกระโดดถีบขาคู่ให้กลับไปร้องไห้ซบนมแม่มึงเลยเชียว” คนโมโหสวนคืนก่อนจะขยี้หัวตัวเองแรงๆ


                      

              เรื่องของเรื่องก็คือ..

              เช้าวันจันทร์ที่เร่าร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟในนรกหอบเอาคนอายุสามสิบสี่ย่างก้าวเข้ามาในบริษัทสภาพดูไม่จืด ใบหน้าคมที่เคยบดบังด้วยผมยาวถูกตัดออกเสริมให้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น ทั้งเคราเข้มก็ถูกโกนออกจนเกลี้ยงคาง ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจเพื่อนร่วมงานที่พบหน้ามีอันต้องพุ่งสูง อธิปซ่อมบำรุงน่ะโคตรแดดดี๊เลย...


              ในมือของชายวัยสามสิบสี่หิ้วบางสิ่งเข้ามาด้วย โอบส่งยิ้มอย่างทุกวัน โค้งหัวทักทายทุกคนด้วยความนอบน้อมเหมือนเดิมที่ทำเป็นประจำ ทว่าก็ต้องฉงนเมื่อเคลื่อนสายตาไปพบกับใบหน้าแดงก่ำคล้ายเขินอายของรุ่นน้องผู้หญิงแผนกอื่นที่จ้องมา คนวัยสามสิบสี่จึงเร่งฝีเท้าไปยังซอกประตูแผนกตนแล้วก้มมองเป้าตัวเอง หรือจะลืมรูดซิป ก็ไม่ใช่แล้วเหอะ หรือจะเป้าขาดก็ไม่มี เมื่อสำรวจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติจึงยึดอกผลักประตูแผนกเข้าไป


              “ขอโทษนะครับคุณ..ที่นี่สถานที่ส่วนบุคคลนะครับ” เจษแผนกซ่อมบำรุงรุ่นน้องเดินมารั้งเขา


              “มึง..”


              “หยาบคายแบบนี้กะ..”


              “กูแต่งชุดฟอร์มซ่อมบำรุงขนาดนี้..กรุณาให้เกียรติชื่อบนอกกูด้วย” โอบกอดกัดฟันพูดทำให้เจษขมวดคิ้วไล่สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดคาง


              “ไอเห้เอ้ย..พี่โอบเหรอวะ” เจษตะโกนจนตัวโก่งแถมหน้าถอดสีด้วยความตกใจ


              “..หลีกทางด้วย” อดีตคนคุกส่ายหน้ากับความตกใจเกินไปของรุ่นน้องก่อนจะเดินไปประจำโต๊ะทำงานของตัวเอง


                       โอบกอดเท้าคางตัวเองอย่างเบื่อหน่าย เขาต้องตอบคำถามเดิมประมาณสามสิบครั้งต่อนาทีกะอิแค่กลับใจไปเข้าร้านตัดผมโกนหนวดออก กว่าจะยอมแยกย้ายกลับแผนกตัวเองไปก็ตอนที่โอบบอกเพื่อนร่วมงานว่าไม่ต้องเรียกคนอื่นมาดูหรอก ถ่ายภาพเขาส่งไปในกลุ่มก็พอ นั่นมันเรื่องแรก และอีกเรื่อง..

     

              ต้อนรับน้องฝ่ายจัดซื้อคนใหม่..


              “วันนี้ใครบอกจะหาดอกไม้มาต้อนรับน้องฝ่ายจัดซื้อนะ” เรื่องเพื่อนน่ะจำเก่ง


              “รู้ตัวอยู่” คำตอบของอดีตคนคุกทำให้เดปยิ้มกริ่มก่อนจะส่งสายตาว่าสามสิบสี่ก็ไม่เบาวิชามาร


              “อ้อ แล้วไหนช่อดอกไม้ต้อนรับของมึง”


              “เตรียมมาแล้ว..” เดปส่งเสียงผิวปากแซว แหม่ ถึงว่าวันนี่ลงทุนแต่งหล่อมาเชียว


              “มาแล้ว อยู่ที่เคาน์เตอร์รวม” โอบกอดพยักหน้าแล้วหมุนตัวไปตามตำแหน่งที่ตั้ง


                       เจ้าของชุดซ่อมบำรุงประจำแผนกย้ายตัวเองไปยังเคาน์เตอร์รวมของพนักงาน ก่อนเวลาเริ่มงานจริงพนักงานส่วนใหญ่ก็จะมาทานอาหารเช้ารองท้องกันที่นี่ แต่เน้นเป็นเครื่องดื่มมากกว่า ใครใคร่จะทานเมนูหนักหน่อยก็ต้องตื่นเช้าแวะซื้อก่อนเข้าบริษัท คนวัยสามสิบสี่สอดสายตามองหน้าคนแปลกหน้า จนไปสะดุดกับแผ่นหลังบางที่นั่งจิบอะไรสักอย่างอยู่ตรงเคาน์เตอร์คนเดียว คงจะเป็นคนนี้..


              “สวัสดีครับ..” เริ่มต้นบทสนทนาด้วยความสุภาพยิ่ง


              “..ครับ?” คนถูกทักเหยียดแผ่นหลังตรงเผงด้วยความตกใจเล็กน้อย


              “ยินดีต้อนรับครับ..ดีใจที่บริษัทมีคุณมาร่วมงานด้วยนะครับ” คนอายุอ่อนกว่าหลบตามองช่อดอกไม้ในมือใหญ่ที่ยื่นจ่ออยู่ตรงหน้า คนตรงหน้าใครกัน?


              “ครับ..ขอบคุณครับ”


              “พี่ชื่ออธิปแผนกซ่อมบำรุงนะครับ” คนร่างหนาบอกขยายความก่อนจะส่งยิ้มให้แล้วเดินจากไป


              “ครับ..ขอบคุณสำหรับดาวเรืองนะครับ!น้ำเสียงขันแข็งดีใจที่มีคนมาต้อนรับตอบกลับ ฉุดรั้งให้พนักงานคนอื่นหยุดเท้ามองดอกไม้น้อยในมือเล็ก

     

              ใช่ ดอกดาวเรืองน่ะ..

                       หลังจากต้อนรับพนักงานฝ่ายจัดซื้อคนใหม่ตามคำพูดที่ให้ไว้กับเพื่อนเดป คนนิสัยลุงก็โดนเพื่อนร่วมงานคนนี้กระชากลากถูไปให้โดนว่าเล่น กระทืบเท้าเร่าเหมือนเด็กห้าขวบโดนขัดใจ เดปเหลือบมองเขาด้วยหางตาก่อนจะสะบัดหน้าหนี โอบกอดจึงต้องอธิบาย


              “ก็เขาดูดีใจออก..”


              “ไอลุงแม่ง..” เดปเลิกทำหน้าเหมือนวัวกระทิงแล้วปรับโหมดหูลู่เหมือนหมาหน้าบริษัท


              “...กูทำดีแล้วใช่มั้ยวะ”


              “กูเข้าใจแล้วว่าทำไมน้องอินไม่เลือกมึงเป็นเจ้าบ่าว” ขืนอยู่ด้วยกันไป น้องอินต้องไปบวชแน่


              “เดป..” คนถูกข่มเรียกชื่อเพื่อนเสียงเรียบ


                       เจ้าของชื่อตวัดหางตามองคุณลุงวัยสามสิบสี่ของบริษัทที่เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว โอบกอดหันหน้าหนีเพื่อนสนิท ก่อนหน้านี้เราทะเลาะกันแค่เรื่องดอกไม้ต้อนรับพนักงานฝ่ายจัดซื้อ แต่แล้วประเด็นก็ถูกเบี่ยงมาเป็นรักเก่าของโอบกอดเสียเอง อายุอานามก็ขนาดนี้แล้ว โอบกอดไม่คิดว่าจะหงุดหงิดขึ้นมาได้ง่ายๆ


              “ขอโทษ..คนละเรื่องกัน”


              “ไม่เป็นไร..” คนวัยสามสิบสี่ตอบก่อนจะพ่นลมหายใจทิ้งหนักบ้าง


              “ก็กูไม่ชอบ..”


              “..หึงกู?”

              “ไอลุงเหี้ย..กูหมายถึงดอกดาวเรืองที่มึงให้เขาไป” เดปอธิบายพลางจิ้มอกแกร่ง


              “ให้ไปแล้ว..เลิกเอามาชวนกูทะเลาะ”


              “กูยอมแพ้ลุงอย่างมึงเลย ความคิดความอ่านประหลาดเหลือเกิน” โอบกอดส่ายหน้า เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายไม่คัดเคืองอะไรจึงโบกมือขอตัว

     

                       วันทั้งวันของคนวัยสามสิบสี่ก็หมดไปแล้วกับการทำงานในแผนกซ่อมบำรุง หน้าที่ของเขาแทบจะไม่ต้องเดินออกไปโชว์หน้าประชาชีที่ไหน ก็นั่งเช็คแผงวงจรในโปรแกรม ควบคุมและคอยเช็ควงจรรวมไปการตรวจตราอายุการใช้งานของอุปกรณ์ที่ถูกติดตั้งภายในบริษัท ไม่ได้ดูเหมือนคนแก่มานั่งตากแอร์เล่นเสียอย่างนั้น แต่ถึงจะดูเหมือนสบายก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมต่อเหตุฉุกเฉินอยู่ตลอดในหน้าที่จนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน แผนกซ่อมบำรุงวันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากการแปลงโฉมของลุงวัยสามสิบสี่เป็นประเด็น


              “ขนมครกน้ำผึ้งจากพี่ดาวฝ่ายเอกสาร” คนอายุอ่อนกว่าวางถุงขนมลงบนโต๊ะของรุ่นพี่ในแผนก


              “พอแล้วมั้ง จูก็เลือกไปแบ่งๆกับคนอื่นสิ”


              “เลือกไปได้เหรอลุง” จูถามรุ่นพี่น้ำเสียงตื่นเต้น


              “เต็มที่เลย พี่กินไม่หมดหรอก” ลุงประจำบริษัทส่งยิ้มให้พลางดันถุงขนมหลากชนิดให้รุ่นน้องเลือก


              “ขอบคุณค้าบลุง” รุ่นน้องพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม จนลุงประจำบริษัทอดขำไม่ได้


                       เมื่อขอให้จูช่วยแบ่งถุงขนมออกไปจากโต๊ะพอสมควรแล้ว พื้นที่ว่างของโต๊ะทำงานคุณลุงก็มากขึ้นเป็นที่น่าพอใจ ทว่าก้านนิ้วเรียวกลับไปกระแทกโดนถุงคัพเค้กขนาดเล็กที่ซุกอยู่ท่ามกลางถุงน้อยถุงใหญ่ ลุงวัยสามสิบสี่เผยยิ้มด้วยความเอ็นดูในรูปทรงที่บรรจุห่อกระดาษ เล็กน้อยแต่แตกต่าง แถมยังรักโลกเสียด้วยซ้ำ คุณลุงผู้ใจดีกับวัตถุขนาดเล็กค่อยๆประคองถุงกระดาษอย่างระมัดระวังพลางมองหน้าเค้กที่คงสภาพเดิม


                       ภายในมีคัพเค้กขนาดพอดีคำสองชิ้นบรรจุอยู่ มือหนาขึ้นเส้นเลือดจัดการฉีกกระดาษห่อภายนอกอย่างถนอมก่อนจะจับคัพเค้กชิ้นแรกขึ้นมาเชยชม อธิปอมยิ้มกับการตกแต่งหน้าเค้กที่แสนน่ารัก


              “ยิ้มบ้าอะไรลุง” ใหญ่ทักรุ่นพี่ที่ดูละเมียดละไมกับวัตถุขนาดเล็กในมือ


              “คัพเค้ก..” แหน่ะ มีเสียงสองกุ๊กกิ๊ก


              “ของปลอมเหรอ” เขาถาม ก็เห็นลุงแกมัวแต่ชื่นชมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ส่วนนึงก็เข้าใจว่าลุงแกสายขนมหวาน


              “ของจริงแต่ไม่กล้ากิน น่ารักดี” นั่นประไร ชมแบบหยาบคายก็ได้ด้วย


              “อะไรวะครับ กินเหอะเดี๋ยวไม่อร่อย”


              “ไม่เอา กลัวหมด” นั่นอีก คนบ้าอะไรกลัวหมด หมดแล้วก็ไปซื้อใหม่ได้มั้ยวะ


              “เออเนอะคนเรา ตามใจลุง” ร่างสูงไหล่กว้างยักไหล่ปนขำ ก็ปล่อยลุงแกไปละกัน มดแทะค่อยมาปลอบกันอีกทียังไม่สาย


                        ลุงวัยสามสิบสี่ละสายตาจากวัตถุขนาดเล็กในมือไปมองยังชื่อร้านที่มา แต่ก็ไม่พบข้อมูลที่ต้องการสืบเสาะ เว้นแต่ว่าจะมีรอยปากกาหมึกซึมที่ใช้วาดเป็นรูปพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งทิ้งรอยเอาไว้ต่างหน้า อธิปก็ยิ่งยิ้มกว้างในความน่ารัก ขนาดนี้แล้วคงไม่น่ารักแค่ขนมแล้วล่ะ คิดว่าเจ้าของก็คงน่ารักพอๆกันเลย


              “น่ารักดี ขอบคุณนะครับ” นั่นสิ พอได้เจอขนมหวานดูเหมือนว่าอารมณ์หงุดหงิดก็ถูกปัดทิ้งหายวับไปหมดเลย นี่จะน่าอายมั้ย ถ้าใครมาล้อว่าลุงวัยสามสิบสี่อย่างเขาใจง่ายกับขนมหวานขนาดนี้


             

              คงเป็นเช่นนั้น

              อธิปคงทำได้แค่ขอบคุณเจ้าของคัพเค้กผ่านรอยปากกาหมึกซึม ..



                       งานฝ่ายจัดซื้อไม่ยากเกินความสามารถ คนร่างเล็กในชุดฟอร์มของบริษัทใหม่ประเมินกับตัวเองแล้วก็ถือว่าน่าพอใจอย่างยิ่ง เขาเพิ่งมาทำงานวันแรกก็เจอพี่ๆในแผนกคอยต้อนรับ ดูแลและแนะนำอย่างดี ไม่เว้นแม้แต่รุ่นพี่ต่างแผนกที่เอาดอกไม้มาต้อนรับ ถึงจะเป็นดาวเรืองก็เถอะ


              “บ่ายนี้มีเอกสารจัดซื้ออีกสองชุดนะคะ” พี่ข้าวสวยอธิบายเล็กน้อยกับงานในช่วงบ่าย


              “ครับ ขอบคุณนะครับพี่ข้าว”


              “จ้า มีอะไรถามพี่หรือคนอื่นได้เลยนะ” คนเป็นรุ่นน้องพนมมือขอบคุณอย่างสุภาพ


              “ครับ ขอบคุณครับ”

     

                       คงเป็นเรื่องราวแปลกประหลาดเหมือนกันสำหรับพนักงานคนใหม่ ดูไม่เข้าพวกไหนเลยสักกลุ่มแต่กลับเป็นที่น่าเอ็นดูของพี่ๆเพื่อนๆในบริษัท คนร่างบางเดินไปยังทางเดินหนีไฟ ในมือข้างหนึ่งถือกล่องข้าวห่อสีอ่อนติดไม้ติดมือไปด้วย น่าแปลกดีมั้ย แต่ก็น่าประหลาดไม่แพ้กัน

     

              เหมือนเด็กหนีความผิดงั้นแหละ


              “น้องอรุณ..”  

             “โว้ ตกใจหมดเลยครับพี่พัดชา” เจ้าของชื่อกุมมือที่อกราวกับว่าหัวใจมันจะหยุดเต้นเฉียบพลัน ทักทายพนักงานรุ่นพี่แผนกเดียวกันเสียงเบาจนคนถูกทักหันหน้ามองรอบข้าง


              “ทำท่าทางแปลกๆนะเราน่ะ”


              “ปะ แปลกเหรอครับ” น้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ ถามกลับ


              “ก็มัวมายืนชะเง้ออยู่ตรงนี้คนเดียว ไม่ไปทานข้าวที่เคาน์เตอร์ล่ะคะ”


              “ทานตรงนี้ก็สะดวกดีแล้วครับ ตรงนั้นมีแต่พี่ๆรุ่นใหญ่ทั้งนั้นเลย” พนักงานใหม่อย่างอรุณหลบตาลงเพื่อลดอาการเกร็ง


              "ถ้าสะดวกตรงนี้พี่ก็ไม่บังคับ แต่ถ้าอยากร่วมวงมาได้นะ" พี่สาวร่วมแผนกพูดพลางส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร และอรุณก็พยักหน้ารับ


                        เวลามื้อเที่ยงจบลงอย่างรวดเร็ว คนวัยสามสิบสี่เองก็คิดแบบนั้น วันนี้เขาแทบไม่ได้ลุกจากโต๊ะทำงานไปไหนเลย เพราะต้องจัดการกับขนมคาวหวานที่มีผู้เอ็นดูนำมาฝาก ถึงให้ออกตัวว่าเป็นสายขนมหวานแต่เยอะขนาดนี้ก็อาจจะเสี่ยงเป็นเบาหวานในวัยสามสิบสี่ได้ง่ายๆ คุณลุงแผนกซ่อมบำรุงจัดการแจกจ่ายจนโต๊ะโล่งจึง  ลุกไปยังแผงควบคุมของบริษัทเพื่อตรวจตราระบบและเช็คสัญญาณให้พร้อมใช้งานทุกเมื่อ


                       ขายาวภายใต้ชุดซ่อมบำรุงชะลอเท้าอย่างเงียบเชียบเมื่อได้ยินเสียงกุกกักมาจากหลังบานประตูหนีไฟที่อยู่ระหว่างชั้น ตามคมขลับจ้องมองบานประตูเพื่อรอดูท่าทีว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็นจนกระทั่งบานประตูเปิดออกปรากฏเป็นพนักงานหน้าใหม่ที่เขาเพิ่งจะแสดงความยินดีไปเมื่อเช้า


              “....”


              “เอ่อ..ขอโทษครับ” คนอายุน้อยกว่าเป็นคนเริ่มบทสนทนา


              “ขอโทษทำไม”


    “คือ ผมตกใจก็เลยกลัวว่าจะทำให้ตกใจไปด้วย” คนถูกถามก็ดูจะเกร็งจึงตอบกลับด้วยการไม่สบตา


              “ไม่เป็นไร”


              “อ่า ผมขอทางหน่อยได้มั้ย” อธิปจึงทำได้เพียงแค่ขยับตัวหลีกทางให้คนที่สูงแค่คางเขาเดินกลับแผนกไป และเราก็แยกย้ายกันตรงนั้นเลย

             

                       วันทั้งวันของอธิปวัยสามสิบสี่กำลังจะจบลงเหมือนเดิม และก็จะวนไปอย่างนี้จนกว่าเขาจะรู้สึกเบื่อกับงานที่ทำอยู่และมองหาอะไรใหม่ๆทำในตอนที่อายุย่างเข้าวัยเกษียณอย่างจริงจัง ตามปกติ ก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้น่าเบื่อมากคนหนึ่ง และจากปากของเพื่อนสนิทด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการยืนยันว่าน่าเบื่อสุดๆ  


              “ลุง วันนี้ไปบาร์กันมั้ย”


    “ชวนพี่ไปบาร์? ไปบาร์เนี่ยนะ” คนวัยสามสิบสี่พับเก็บผ้าเช็ดหน้าพลางใช้นิ้วชี้เข้าหาตัวเอง ย้ำเตือนว่าคนวัยเขาเนี่ยนะ อย่างเขาเนี่ยนะถึงขั้นมีรุ่นน้องมาชวนไปผ่อนคลาย


    “ลุงไม่สะดวกเหรอ ไปนั่งจิบเบียร์เบาๆไง” แน่นอน อธิปส่ายหน้าปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดให้มากความ


              “ไม่ดีกว่า พอดีต้องรีบกลับบ้าน”


              “เฮ้ย ร้อยวันพันปีไม่เคยจะรีบกลับบ้าน แปลก”


              “ไม่ได้หาข้ออ้างจะเบี้ยวนะแต่พี่มีนัดกับแม่ โทษที” อธิปบอกกล่าวไปตามความจริง เพราะวันนี้มีนัดกับคุณนายเธอ จะชวนกันไปเดินตลาด หิ้วต้นไม้กลับบ้านสักสองสามต้น


              “อ๋อ งั้นไว้คราวหน้านะพี่โอบ” เจ้าของชื่อเพียงแค่พยักหน้ารับที่เข้าใจ แกมขำในใจที่นานครั้งจะได้ยินรุ่นน้องในแผนกเรียกชื่อเล่นตามกำเนิด ก็ถึงคราวจริงจังนี่เองถึงยอมเรียก

             

                       อธิปเก็บและจัดระเบียบโต๊ะทำงานของตัวเองให้เรียบร้อย พร้อมสับสวิตช์ไฟในแผนกลงก่อนจะล็อคบานประตูให้เรียบร้อย เหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมือพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ เวลาห้าโมงกว่าเป็นช่วงที่พนักงานในบริษัทเริ่มทยอยกลับบ้านกันหมดแล้ว  และเมื่อสถานที่เงียบสงบลงก็ดูจะไร้ชีวิตชีวาขึ้นมาทันที อาจเพราะเขาทำงานที่นี่มาหลายปี คุ้นชินกับความเป็นกันเองของเพื่อนร่วมงานและเจ้านายที่สนิทสนมกับลูกน้อง กลายเป็นว่าบริษัทแห่งนี้เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของอธิปไปแล้ว จึงรู้สึกอยู่เสมอว่ามันอบอวลไปด้วยชีวิตชีวา


                        ร่างสูงใหญ่ยิ้มรับให้แม่บ้านที่สวนกันระหว่างชั้น ก่อนจะมุ่งไปยังประตูทางออกและในหัวก็คิดไปเย็นวันนี้คุณนายเธอจะชวนเขาทำอะไรที่ตลาดอีก เพราะอธิปรู้ดีว่านัดครั้งนี้ดูสำคัญกว่าครั้งไหน แน่นอนว่ามันมากกว่าการไปช่วยหิ้วต้นไม้กลับบ้านเหมือนทุกที อย่างนั้นก็เถอะ อธิปก็เต็มใจเต็มกายยินยอมคนเป็นแม่อยู่แล้ว


           

    (เสียงเรียกเข้า) --- คุณนาย

    ไม่ทันขาดคำเลย

     

              “ครับ กำลังออกจากบริษัท”


              (เจอกันที่ตลาดนะ พอดีวันนี้ออกมาทำเล็บกับเพื่อน)


              “ครับ เจอกันครับ” เขาตอบรับเพียงประโยคสั้นๆ


                       ยังไม่ทันจะก้าวพ้นขอบประตู เขาก็เผลอหันไปมองตามสัญชาตญาณเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง กระทั่งสายตาเลื่อนไปหยุดตรงแผ่นหลังบางของใครสักคนที่นั่งมองแสงอาทิตย์ในเวลาห้าโมงตกกระทบผ่านกระจกเข้ามา อธิปหยุดมองและเห็นเสี้ยวหน้านั้นที่ถูกแสงยามเย็นอาบไล้กรอบหน้าขาวเพียงนิด ไล่สายตาไปจรดที่ริมฝีปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเป็นการอมยิ้ม และอธิปที่ได้เห็นภาพตรงหน้าก็ยกริมฝีปากขึ้นเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ อธิปยิ้มตามคนๆนั้น และชะงักมุมปากเมื่อมีสายเรียกเข้าดึงสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว

             

    (เสียงเรียกเข้า) --- คุณนาย


    (อยู่ไหนน่ะ หลงตลาดรึเปล่า)


    “เปล่า ยังไปไม่ถึงต่างหาก”


    (หม้าว่าโอบปิดบังหม้าอยู่)


    “ไม่มีอะไรให้ปิดให้บังทั้งนั้นแหละ จะรีบไปนะ” อธิปไม่อยากยืดเยื้อเวลา ไม่งั้นก็จะเป็นประโยชน์ให้คุณนายเธอต้องวกไปเรื่องสาวที่ไหนสักคนมาเป็นลูกสะใภ้อีก


    (เดินทางปลอดภัยจ้า หม้ารอที่ร้านต้นไม้เลยแล้วกันนะ)


    “ครับ สวัสดีครับ”

     

              ไม่นานนักโอบกอดก็มาถึงตลาดยามเย็น สองเท้ารีบมุ่งตรงไปยังร้านขายต้นไม้ร้านประจำของหม้าเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าคุณนายเธอกำลังจิบน้ำมะพร้าวปั่นสบายใจ พลางพูดคุยกับเจ้าของร้านท่าทางสนิทสนม ก่อนจะหันมาขยิบตาให้อย่างอารมณ์ดี เขาจึงไม่อยากเสียเวลารั้งรอ รีบเดินตามไปดูพันธุ์ไม้ด้วยความกระตือรือร้นชดเชยเวลาที่ต้องให้หม้ามานั่งรอ


    “ลูกว่าต้นไหนสวยกว่ากัน”


    “เอาที่หม้าชอบ โอบโอเคหมด”


    “งั้นสองต้นนี้ วันเสาร์นี้จะเอาลงดินเลย” เธอตอบพลางเดินตัวเบาไปคิดเงิน ซึ่งมีเขาเป็นนางหิ้วตามต้อย


                        หลังจากได้ต้นไม้สมใจแล้ว คุณนายเธอก็พาเขาเดินดูร้านขนมที่ขนาบยาวไปจนเกือบสุดสองข้างทาง อธิปยังไม่รู้แน่ชัดว่านอกเหนือจากซื้อต้นไม้ หม้ายังมีจุดประสงค์อะไรอีก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามไปตามตรง เพราะดูเหมือนว่าหม้ายังคงอารมณ์ดีกับการที่เขามาเดินตลาดเป็นเพื่อนวันนี้จนเมื่อคุณนายเธอหยุดหน้าร้านขายสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ อธิปก็ถึงบางอ้อ


              “ชอบตัวไหนเป็นพิเศษมั้ย”


              “อ๋อ ที่แท้ก็อยากให้เลี้ยงสัตว์เหรอ”


              “แค่พามาดูเผื่อสนใจเฉยๆ” โอบกอดพยักหน้า ใจหนึ่งก็อยากจะเลี้ยงแต่อีกใจหนึ่งกลัวว่าเลี้ยงไว้แล้วจะเลี้ยงได้ไม่ดี จึงยังลังเล


              "โอบคงจะ.."


              “ไว้ตัดสินใจได้ค่อยมาดูอีกทีก็ได้” คุณนายเธอโคลงศีรษะ ไม่จริงจังนักพลางมองไปรอบๆร้าน


    “..ขอบคุณนะหม้า” โอบกอดไม่รู้ว่าควรจะพูดคำไหนได้อีกนอกจากคำนี้ หม้ามักจะรับรู้และเข้าใจความคิดเขาเสมอ ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของความคิดเขาไปด้วย


    “ขอบคุณอะไรกันล่ะ ก็แค่กลัวจะเหงา”


    “...”


    “..เป็นอะไรไป”


    “หม้าว่าการให้ดอกดาวเรืองเป็นเรื่องแปลกมั้ย”


    “ให้เนื่องในโอกาสอะไรล่ะ” คุณนายเธอถามย้อนพลางเดินไปแวะร้านขนมครก


    “ก็..แสดงความยินดี” เขาตอบเสียงเบากว่าปกติ


    “แล้วคนรับแสดงอาการยังไงตอนเธอให้ดาวเรือง? สองกล่องนะจ๊ะ” คุณนายถามกลับเหมือนไม่ได้เดือดร้อนกับดอกดาวเรืองเท่าไหร่ เพราะมัวอุดหนุนแม่ค้าขนมครก


    “เขาก็ขอบคุณปกติ” เออ ก็ปกติดีนี่ ไม่ได้มองแหยะเขาสักหน่อย


    “นั่นแหละคำตอบของคำถาม จะว่าไปมันก็ทำให้นึกถึงตอนที่ป๊าเธอหอบถุงดอกพุดมาจีบฉันถึงหน้าบ้านเหมือนกันนะ”  คำพูดของคุณนายสายชิลทำให้อธิปถึงกับต้องนิ่งค้าง ทั้งที่เตรียมใจว่าคงมีแค่เขาคนเดียวที่พกพาความคิดแปลกประหลาดไปสู่คนอื่น ที่ไหนได้ ป๊าก็เป็นเหมือนกัน และดูเหมือนหม้าเองก็ไม่ได้คิดมากอะไร ออกจะติดใจด้วยซ้ำ (รึเปล่า) หรือมีแค่ป๊าคนเดียวที่ใช้วิธีนี้ครอบครองหัวใจหม้าจนอยู่หมัด 









    หรือบางสิ่งบางอย่างที่กระทำแตกต่างไปจากเดิม แท้จริงก็เป็นเรื่องปกติอย่างหนึ่ง

     เพียงแค่คนหมู่มากไม่เคยชิน จึงใช้คำว่า แปลก ประหลาด มาตีกรอบการกระทำกันนะ 

    ...






    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×