ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hold the smile | โอบอรุณ ☼

    ลำดับตอนที่ #2 : โอบครั้งที่หนึ่ง | สามสิบสี่ยังแจ๋วกินแห้วเป็นเรื่องปกติ

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ค. 64








    โถ ใครจะเชื่อว่าพ่อบุญเหลืออายุมากแล้ว...

                       มือแห้งกร้านโลกกร้านลมที่ขาดการดูแลจากเครื่องปรุงแต่งยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าของตัวเองสองสามครั้งพอให้ขี้ตาหลุดออก เอียงซ้ายเป็นพี่เวียร์ เอียงขวาก็ราศีเสี่ยยิ่งกว่าติ๊กเจษฎา แหม่ ประกบมือเข้าลูบเสยผมด้านหน้าที่ยาวปรกตาขึ้นมา ตายละหว่า เหมือนป๋าเทพเฉยเลย พอจ้องตัวเองจนพอใจก็ยืดไหล่ให้ผายออกเดินออกจากห้องน้ำอย่างสง่า


              โครม..

              เออ ลืม เมื่อคืนยังไม่เก็บเปลือกกล้วย

     

                       คนอายุสามสิบสี่ใกล้เกษียณเต็มแก่ค่อยๆจับขอบประตูคว้าเปลือกกล้วยเจ้าปัญหาโยนลงถังขยะ วันนี้วันเสาร์แจ่มใส ไม่ต้องออกไปทำงานเพราะแผนกยกเป็นวันหยุดพิเศษให้ ความจริงก็คือปาดน้ำตางัดวันหยุดสะสมออกมาใช้ หลังจากข้ามผ่านสัปดาห์นรกของบริษัทไปได้


                       พอหวนคิดถึงตอนมองวันหยุดสะสมของตัวเองก็แอบสะอื้นนิดหน่อย แต่ไม่ละ ไม่เศร้าอะไรอีกต่อไปแล้ว คิดได้แบบนั้นก็ย้ายตัวเองไปที่โซนห้องครัว เปิดฝาชีแล้วเจอกับกล้วยหวีหนึ่ง สงสัยหม้าคงเอามาใส่ไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืน และไม่ล่ะ คนอายุสามสิบสี่อยากมีช่วงเวลาที่ดีออกไปเดินตลาดเช้าบ้าง


                       เดินทิ้งน้ำหนักเท้าอย่างเอื่อยเฉื่อยไปหยิบกระเป๋าสตางค์ก่อนจะเหลือบมองโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าฉายแสงเรียกร้องความสนใจ คิ้วหนาขมวดชิดกันแต่ก็จำใจกดรับสายที่เข้ามาขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีในเช้าวันหยุด


              “ครับ?..”


              (ขานเพราะจังเลยครับลุง) ปลายสายเย้าแหย่


              “เลิกสักทีนิสัยเปลี่ยนเบอร์หนีสาว”


              (คนอื่นมาได้ยินจะหาว่ากูเป็นคนยังไง)


              “อย่าโวยวาย..รำคาญ”


              (ปากดี..แผนกให้วันหยุดเหรอวะ)


              “อะไร..จะยกวันหยุดมึงให้กูเพิ่มเหรอ” คนอายุสามสิบสี่ถามปลายสายพลางเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง อีกสิบนาทีจะแปดโมงแล้ว


              (ลุง..มึงอย่าโลภมาก)


              “มีอะไรจะสั่งเสียอีกมั้ย..”


              (มาเอาการ์ดงานแต่งด้วยนะ..น้องอินฝากให้มึง)  โอเค ก็กะจะไม่ซื้อโจ้กตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เดี๋ยวเลี้ยวไปต่อคิวซื้อน้ำใบบัวบกสักสามขวดเป็นไงวะ

     


     

    (มาเอาการ์ดงานแต่งด้วยนะ..น้องอินฝากให้มึง)




     

              ทำไมตอนเราขอฝากหัวใจเธอไม่เอาวะ

              พอเธอจะแต่งงานฝากแม่งทั้งการ์ดทั้งของชำร่วย..



                       คุณนายบ้านเยื้องกันขมวดคิ้วมองมาที่เขา ไม่ได้ทักถามกันหรอกเดี๋ยวจะยาวไปถึงเรื่องอื่น แต่สุดท้ายเลยนะ ก็อดไม่ติดจะถาม เธอทิ้งสายยางลงพื้นอย่างร้อนใจแล้วสับขาเข้ามาหาด้วยความห่วงใย คนใกล้เกษียณไม่จริงเบือนหน้าหนีเล็กน้อย แต่ถูกเธอยื้อให้สบตากัน


              “ทำไมหน้าบูดแบบนั้น”


              “เปล่าสักหน่อย..”


              “อะไรกัน..กับหม้าหน้าก็ไม่อยากมองเหรอ”


              “เดี๋ยวจะเข้าบริษัท..วันนี้ไม่ต้องเอากับข้าวมานะ” เขาตัดจบพลางส่งถุงบัวลอยใส่มือคุณนายแก


              “ไหนเธอบอกว่าวันนี้เธอหยุดไงลุง”


              “แวะไป..เอางาน” งานที่ไหน ถ้าไม่ใช่งานฝากคำยินดี


              “ขยันแบบนี้..เมื่อไหร่จะมีเมียมาฝากหม้าบ้าง” ขอเปิดเพลงคำถามซึ่งไร้คำตอบก็แล้วกันนะ


              “ไปแล้วนะ..” ยกมือพนมไหว้อย่างไทยก่อนจะเลี้ยวเข้าบ้านตัวเอง

     


                       บ่ายแก่ๆของคนวัยสามสิบสี่ที่ไม่มีวันหยุดสุขสันต์อีกต่อไปแล้ว ตาคมเหลือบมองป้ายชื่อพนักงานตัวเองแล้วถอนหายใจ  คว้าผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอ่อนมาพกติดตัวเอาไว้ก่อนจะตบอกตัวเองปุปุ

     





    นายอธิป  ตันติวากรณ์

    แผนกซ่อมบำรุง

     

     

     


                       อ่านทวนนามสกุลตัวเองอยู่สามรอบหน้ากระจกก็ไม่เข้าใจ มันไม่เพราะตรงไหน ทำไมถึงไม่อยากใช้นามสกุลเดียวกันวะ แต่ก็ต้องยอมรับความจริงแหละ ทำถูกแล้วที่อินเลือกเขาแล้วทิ้งเขาไว้ตรงกลางทาง ถ้าอินคิดว่าดี เขาก็จะไปยินดีให้กับรักที่สดใส


              ไม่ร้องไห้หรอก

              สามสิบสี่แล้วนะ..แค่สะอื้นเบาๆก็พอ

     

                       ความจริงเขาไม่ได้มีชื่อเล่นว่าลุงอย่างที่ทุกคนเรียก คำนั้นมันคือฉายาที่เพื่อนมนุษย์เงินเดือนและคนรอบข้างบอกว่าแกมันลุงใกล้เกษียณ ตอนแรกก็เฉย แต่เรียกไปสักพักเหมือนอินเนอร์มันจะออสโมซิสเข้าสมองเลยกลายเป็นคนลุงๆอย่างที่เห็น เอาเถอะ ทุกคนสบายใจลุงว่าลุงก็สบายใจ


              ชื่อเล่นชื่อโอบกอด

              เรียกแล้วไปไม่รอดทั้งโอบทั้งกอดก็จบที่ลุงแล้วกัน

     


                       รุ่นน้องรุ่นเดียวกันทักทายอย่างเป็นมิตรทันทีที่โอบเดินเข้ามาในบริษัท เพราะว่าเป็นคนเรียบง่ายดีเลยไม่มีศัตรูให้ต้องเขม่นที่ไหน เขาตรงดิ่งไปที่แผนกจัดซื้อแบมือขอการ์ดแบบไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เพื่อนร่วมงานก็ส่ายหน้าแล้วก็ยัดซองกระดาษสีหวานมาให้


              “มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะเลยมั้ย”


              “แวะมาเฉยๆ” เดินออกจากปากซอยยังรู้เลยว่าทำงานที่ไหน แผนกอะไร


              “สาบานเหอะไอโอบ..ลุงฉิบหาย”


              “เรียกว่าให้เกียรติสถานที่ เคารพบริษัท” นั่นมันก็แค่ข้ออ้างโง่ๆ


              “เออ ตำแหน่งน้องอินก็จะมีคนมาแทนพรุ่งนี้แล้วนะ”


              “ยังไงต่อ..กูต้องหาดอกไม้มาต้อนรับมั้ย” คนใกล้เกษียณถามแบบเนือยๆ


                       เพื่อนร่วมงานอย่างเดปชะงักค้างไปกับคำถามเพื่อนตัวเอง เนี่ย ใครจะมารักมาชอบ บ้างานจนเพี้ยนไปหมดแล้ว ผมเผ้าก็ยาวเยี่ยงโจร หนวดก็เฟ้อจนเอามาทักเก็บเป็นเปียได้ ไหนจะใบหน้านิ่งๆนั่นอีก เพิ่งจะสามสิบสี่แต่นิสัยนี่เกินคำว่าลุงวัยหกสิบกว่าไปไกลมาก


              “กล้ามั้ยล่ะ..ถ้ามึงกล้าก็เอามาฝากเขาสักช่อสิ”


              “อือ..ไปนะ” คนนิสัยลุงปลงกับชีวิตพาตัวเองออกจากแผนกจัดซื้อไปอย่างเงียบสงบ

     

     

                       บนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน โอบเคลื่อนสายตามองไปยังมวลชนในเมืองหลวง เห็นว่าเร่งรีบจนตัวเป็นเกลียวก็อดจะเหนื่อยแทนไม่ได้ ขนาดมายืนรอรถกลับบ้านยังเหนื่อยขนาดนี้เลย อ้อ จริงสิ ต้องหาดอกไม้ต้อนรับพนักงงานใหม่พรุ่งนี้ด้วยนี่นา


                       อย่างที่บอกว่าเมืองหลวงมันวุ่นวาย กว่าจะนั่นนี่ก็ล่วงเวลาไปสี่โมงกว่าแล้ว คนใกล้เกษียณเดินเท้าไปตามฟุตบาทเพื่อไปยังตลาดนัดตอนเย็น ที่นี่ดูมีชีวิตชีวากว่าห้างสรรพสินค้ามากโข สัมผัสได้ถึงรอยยิ้มจริงใจ เสียงหัวเราะเจือความสุขที่ลอยคลุ้งให้ได้ยิน


                       เท้าหนักหยุดจังหวะก้าวเดินไว้ที่หน้าร้านขายดอกไม้ขนาดย่อม ดูไม่ค่อยจะน่าเชยชมเพราะตลาดนัดตอนเย็นเหมาะกับการขายของกินและเสื้อผ้ามากกว่า สายตามองผ่านไหล่ต้องเองไปยังร้านรถเข็นตรงมุมถนน คนอายุสามสิบสี่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าเลือกจากร้านนี้น่าจะเหมาะกว่า


              “ขายยังไงครับ”


              “ขนาดเล็กก็ยี่สิบ ใหญ่มาหน่อยก็สามสิบห้าจ้าพ่อหนุ่ม”


              “งั้นขนาดเล็กแล้วกันครับ” เลือกแล้วก็แลกเปลี่ยนทอนเงินตามปกติ

     

                       โอบกอดเดินดูข้าวของสักหน่อยและคิดได้ว่าคุณนายจะอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย ก็ถือโอกาสมาแล้วนี่นา สุดท้ายก็จบที่ขนมเบื้องสองถุงติดมือกลับบ้าน ระหว่างทางก็ดูนั่นดูนี่ไปเพลินๆ


                     คนวัยทำงานอย่างเขาอยู่คนเดียวจนชิน แม้ใครจะบอกว่ายิ่งแก่ยิ่งมีเสน่ห์น่ะมันไม่จริงเสมอไปหรอก ความเป็นจริงคือการใช้ชีวิตคนเดียวให้ได้ต่างหาก ไม่ยึดติด ไม่ผูกพันกับอะไรจนหายใจเข้าก็นึกถึงหายใจออกก็นึกถึง อย่างอินรุ่นน้องฝ่ายจัดซื้อคนนั้นก็คงเหมือนกัน เขาแค่ชอบในการวางตัว เคารพกันและกัน จนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ชอบน้องเขาอยู่ฝ่ายเดียวแบบไม่เผื่อใจเลย มันแย่นิดหน่อย แต่ตอนนี้โอเคมากแล้ว


                     ลักษณะนิสัยภายนอกที่เข้ากันได้ก็ไม่ได้แปลว่าอยู่ด้วยกันไปนานกว่านี้จะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้สักหน่อย โอบกอดคิดว่าตัวเองเหมาะที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า คิดไปเดินไปพอถึงที่หมายก็เลี้ยวไปหาคุณนายพร้อมขนมเบื้อง


              “หม้า..โอบซื้อมาฝาก”


              “ถ้าเปลี่ยนขนมเบื้องเป็นเมียสักคนหม้าจะซึ้งใจมากเลยลูก” คุณนายเธอแซวออกนอกเรื่องทุกทีแต่ก็ดูจะไม่ใส่ใจนั่นแหละ


              “จะกินขนมเบื้องหรือเมีย..เอาให้แน่นะ”


              “เป็นลุงฝ่ายปกครองเหรอคะ..ดุจังเลย” คนใกล้เกษียณส่ายหน้ากับอารมณ์ขี้แกล้ง


              “ออกกำลังกายบ้างนะหม้า..”


              “แหม่..พูดซะกินไม่ลงเลย” คุณนายเธอว่าพลางหยิบขนมเบื้องเข้าปาก ให้ตาย


              “หม้า..”


              “จ้า..จะวิ่งผ่านหน้าบ้านทุกวันเลยลูก” คนใกล้เกษียณพยักหน้าแล้วหมุนตัวกลับ


              “โอเค..ทำให้ได้ก็แล้วกัน”


              “กินอะไรมารึยัง..มากินที่นี่ก่อนกลับก็ได้” คุณนายเธอชักชวนเขาด้วยการผายมือต้อนรับ


              “ป๊ายังไม่กลับอีกล่ะสิ..” ท่าทางแบบนี้คงยังไม่แตะมื้อเย็นเหมือนกัน


              “อิรัชชัยมาเสะ..” โอเค จะหาคนแบบนี้ไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว


              “ไดโจบุนะหม้า..แล้วก็ไม่ต้องรอหรอกเดี๋ยวจะปวดท้องกระเพาะ” เขาบอกให้คุณนายเธอไปจัดการตัวเอง


                       ถ้าคิดว่าคุณนายเธอจะปล่อยตัวให้กลับบ้านได้ง่ายๆ คงไม่ใช่เธอ โอบกอดเดินตามหลังคนเป็นแม่มานั่งเล่นที่หน้าทีวี มองบรรยากาศในบ้านที่ไม่เปลี่ยนไปมากนัก ที่นี่ยังเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย รวมถึงเครื่องมืออุปกรณ์ตัดผมของป๊า แต่ก่อนเปิดร้านตัดผม ตอนนี่น่ะผันตัวไปเป็นช่างภาพมือดีเสียแล้ว


              “จะย้ายออกไปทำไมก็ไม่รู้..เนี่ยก็เหมือนกัน” คุณนายเธอบ่น


              “ผมโตแล้วก็ต้องย้ายออกสิ”


              “บ้านห่างกันสิบก้าวเองนะ”


              “ก็โตแล้วนี่ครับ..วันหนึ่งต้องย้ายออกอยู่ดี” จะพูดว่ามีครอบครัวก็ไม่ได้ เดี๋ยวคุณนายเธอร้องขอลูกสะใภ้อีก


              “เอาเถอะ..แล้แต่เธอ”


              “ทีแบบนี้แล้วยอมง่าย” โอบพึมพำพลางเอนหลังดูทีวี


              “หรือเธออยากให้พูดเรื่องสร้างครอบครัว” คนเป็นแม่ยิ้มหวานชวนสยองมาให้


              “ลืมที่พูดเมื่อกี้นะหม้า” แทบจะกลับคำไม่ทันเลย


              “อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอลูก”


              “ก็นิดหน่อยเอง..พอไปทำงานก็ไม่เหงาแล้ว” เรื่องจริงเลยล่ะ เหนื่อยจนไม่มีเวลาเหงา


              “อยากเป็นลุงให้ได้เลยใช่มั้ย”


              “......”


              “โอบ..”


              “ครับ?..” เขาหันกลับมามองแม่ที่ยืนเคี้ยวขนมเบื้องไม่ยอมเข้าบ้าน


              “ตัดผมโกนหนวดบ้างนะลูก..”


              “.....”


              “หม้าจำได้ว่าลูกอยู่แผนกซ่อมบำรุงไม่ใช่นักโทษแดนสามในเรือนจำ”










    พี่เปล่า พี่อยู่แผนกซ่อมบำรุ๊งงงง 





    09/11/62 

               ฝากเอ็นดู  

                                                                                                             หมีขั้วโลกเขียน.






    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×