ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hold the smile | โอบอรุณ ☼

    ลำดับตอนที่ #6 : โอบครั้งที่ห้า | ให้ (เยียว) ยาหน่อยนะ

    • อัปเดตล่าสุด 20 ม.ค. 66


     


     

     

          เราทั้งคู่กำลังนั่งมองรถผ่านไปมาอยู่ตรงป้ายรถเมล์ นี่ขนาดเวลาเกือบสามทุ่มกว่าแล้ว รถราบนถนนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง  อรุณนิ่งสงบลงกว่าตอนที่เจอกันหน้าทางเข้างานมากแล้ว แต่อาการเซื่องซึมยังคงเกาะกินอยู่ โอบกอดเองไม่รู้ควรจะจับสำรวจตรงไหน เพราะดูเหมือนทั้งตัวของอรุณในตอนนี้เปราะบางเหลือเกิน

     


     

     


     

     


     

     


     

     


     

     

    นัยน์ตาสีโศก

    กับรอยบีบรัดตรงข้อมือ


     


     

     

              คนอายุมากกว่าอย่างโอบกอดเป็นฝ่ายชักชวนอีกฝ่ายให้มานั่งสงบติตัวเองตรงนี้ มองรถคันแล้วคันเล่าขับสวนไปมาเป็นเวลาเกือบสิบนาที เรายังไม่ได้เริ่มบทสนทนาอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แต่ไม่ควรจะมานั่งทิ้งลมหายใจกันอยู่ตรงนี้อย่างหมดหวังหรอกนะ


     

              “พี่ให้นั่งอีกแค่สิบห้านาที แล้วกลับบ้าน”


     

              “เรายังดื่มน้ำไม่หมด..”


     

              “เอากลับไปดื่มที่บ้านก็ได้”


     

              “ไม่ ต้องดื่มตรงนี้..ไม่งั้นน้ำจะรั่วออกจากตัวเราอีก” น้องบอกก่อนจะยกซดน้ำเปล่าย้อมใจ


     

              “ยังไงนะ..”


     

              “......” นัยน์ตาที่เคลือบมวลน้ำสีใสช้อนมองโอบอย่างนั้น จนเขาแทบจะหุบปากไม่ทัน


     

              “โอเค พี่นั่งเป็นเพื่อน”


     

              “..ขอบคุณ”


     

              “งั้นระหว่างดื่มน้ำ พี่ขออนุญาตดูข้อมือได้มั้ย”


     


     

    ไม่มีเสียงตอบรับ แต่กลับยืนข้อมือข้างนั้นให้ดูอย่างง่ายดาย


     

     

              “คงช้ำไปอีกสองสามวัน แต่เดี๋ยวก็หายไป” อรุณเผลอเพิ่มแรงกำขวดน้ำเมื่อได้รับสัมผัสแผ่วเบาไล่ปาดยาไปทั่วรอยช้ำตรงข้อมือ อือ เดี๋ยวก็หายไปแล้ว เดี๋ยวความรู้สึกหวั่นไหวนี้ก็หายไป..

     

              สำหรับอรุณแล้ว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความรู้สึกแบบนั้น ที่ใครเขาเรียกว่าหวั่นไหว มันเกิดขึ้นหรือถูกหว่านเมล็ดพันธุ์ทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่า มันเบาสบายแต่หนักแน่นและดูชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ เวลาที่รุ่นพี่คนสนิทอย่างโอบกอดแผนกซ่อมบำรุงคนตรงหน้านี้ แสดงความใส่ใจและให้อรุณเป็นบุคคลหนึ่งที่จับต้องได้ทางสายตา


     


     


     


     

    ไม่ว่าจะทำด้วยมารยาท

    หรือความรู้สึกจากใจจริง

    ก็อยากขอบคุณเขามากๆ


     


     


     


     


     

              มือเล็กกอบกุมขวดน้ำในมือให้แน่นยิ่งขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวแผ่วเบา ลอยปะทะอยู่เหนือรอยช้ำ ในใจร้องตะโกนอยากให้พี่เขาหยุดทายาและเอาหน้าออกไปห่างๆ ทว่าก้อนเนื้อในอกกลับริอาจจะเต้นแรงราวกลับว่ามันต้องการทะลุโผออกมาให้พี่เขาเห็น น่าไม่อาย อรุณเป็นคนน่าไม่อายขนาดนี้แล้วหรือ


     

              “เป็นอะไรมั้ย ทำไมทำหน้าแบบนั้น”


     

              “.....” ทำได้แค่ส่ายหัวไปมาเท่านั้น


     

              “นี่ แล้วจะกลั้นหายใจทำไม”


     

              “....”


     

              “พูดอะไรสักคำสิ พี่ใจไม่ดีนะ” พี่เขาขยับคืบเข้ามาอีกเท่าตัวก่อนจะล่าถอยไป


     

              “..คือเราเจ็บ” เสียเมื่อไหร่กันล่ะ มันแทบไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ นั่นเพราะพี่เขาแตะเบามากต่างหาก


     

              “เหรอ พี่ขอโทษ” คนอายุมากกว่ารีบผละออกด้วยความรู้สึกผิด


     

              “..มะ ไม่เป็นไร”


     

              “ครบสิบห้านาทีแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”


     

              “ครับ”


     

              “แล้วขามา..มายังไง พี่ไปส่งมั้ย”

     

              น้ำเสียงของพี่เขายิ่งสร้างความปั่นป่วนให้อรุณต้องหนักใจอีกระลอก แววตาที่ทอดมองมานั่นก็ด้วย ถ้าหากอรุณกลั้นใจปฏิเสธไป พี่เขาจะเสียใจมั้ย นั่นเป็นสิ่งที่สะกิดให้เขาต้องใช้เวลาทบทวนว่าจะเลือกตอบรับอีกฝ่ายอย่างไร เหมือนพี่เขาเองจะดูออกด้วย ถึงได้หลุดยิ้มขำออกมาแบบนั้น


     

              “มันดึกแล้ว พี่อาสาไปส่งเอง”


     

              “เอางั้นเหรอครับ”


     

              “เอางี้แหละ ให้กลับเองคนเดียวพี่ก็เป็นห่วงอยู่ดี”


     


     


     


     


     

    ตึกตัก ตึกตัก

    ใจง่ายจริงๆด้วย


     


     


     


     


     

              อรุณเลือกจะเดินตามหลังโอบกอดแบบทิ้งระยะเล็กน้อย อรุณยอมรับแต่โดยดีว่าหลายปีมานี้ไม่มีใครจับวางเขาไว้ในสายตาได้อย่างที่พี่อธิปคนนี้ทำ ไม่มีใครคอยเดินเข้ามาชวนคุยคลายเหงา หรือพาไปหาอะไรอร่อยๆกิน มันนานจนตัวอรุณเองเฉยชากับสิ่งเหล่านี้ ไม่ยินดียินร้าย กระทั่งมาเจอคนที่กำลังเดินนำหน้าอยู่


     

              ทันทีที่เราวางก้นลงบนเบาะ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของพี่เขาก็ดังขึ้น เขาไม่ได้เป็นเหมือนคนอื่น ที่จะเลี่ยงออกไปแล้วทิ้งให้อรุณนั่งคอยแล้วคอยเล่า กลับกัน พี่เขายังคงวางเฉยและเพิ่มเสียงจนทะลุออกให้เขาได้ยินไปด้วย แถมตลอดทั้งสายก็คุยด้วยน้ำเสียงสุภาพมากๆ พี่เขาดูสุขุมดีจัง..


     

              “เดี๋ยวโอบจะแวะไปส่งน้องก่อน”


     

              (อรุณเหรอ ไกลมั้ย)


     

              “ไกลมั้ยอรุณ..นิดหน่อยครับหม้า”


     

              (เหรอ ไม่มาค้างด้วยกันล่ะ พรุ่งนี้วันเสาร์นี่)


     

              “น้องไม่ได้เตรียมตัวเลยสิ..เดี๋ยวโอบถามน้องก่อน”


     

              (ไม่ต้องแล้ว หม้าคุยกับน้องดีกว่า)


     

              เสียงแจ้งประสงค์ของปลายสายที่เล็ดลอดออกมาทำให้อรุณตาโต ทำตัวไม่ถูกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รับมือไม่ถูกเลยแหะ ก็ไม่เคยมีใครอนุญาตให้อรุณเข้าไปมีตัวตนในชีวิตของพวกเขาเลย.. พี่โอบคนแรก

     

              (อรุณ ได้ยินหม้ามั้ยคะ)


     

              “ครับ สวัสดีครับคุณป้า”


     

              (ป้าอะไร เรียกหม่าม้าเหมือนพี่เขานั่นแหละ) ปลายสายบอกนั่นยิ่งทำให้เขาต้องเหลือบมองหน้าพี่โอบที่กำลังติดเครื่องยนตร์และถอยรถออกจากลานจอด


     

              “คะ คุณหม้า”


     

              (เสียงน่ารักจังเลยลูก นี่ มาดูละครเป็นเพื่อนหม่าม้ามั้ยคะ)


     

              “ครับ?..”


     

              (หม้าเป็นห่วงทั้งคู่นั่นแหละ ไม่อยากให้ขับรถดึกๆ)


     

              “อ่า..ครับ”


     

              (หม้าเลยถือโอกาสนี้ชวนหนูมาดูละครด้วยกัน จะได้แวะค้างคืนกับโอบด้วยเลย) ประโยคยืดยาวแต่ได้ใจความตามจุดประสงค์ทำให้อรุณต้องเผลอกลั้นหายใจ


     

              “ผมเกรงใจ..”


     

              (แต่ว่าละครที่บ้านหม้าสนุกมาก ไม่อยากให้หนูพลาดเลยนะ)


     

              “หม้า พอแล้ว น้องกลัวหมดแล้วเนี่ย” พี่เขาแทรก นั่นทำให้อรุณแอบเห็นด้วยในใจ


     

              (..หม้าแค่อยากมีเพื่อนดูละคร ดูคนเดียวมันเหงา)  


     

              น้ำเสียงหงอยเหงาฉุดดึงให้อรุณนึกถึงตัวเองเวลาที่ โดนทิ้งเอาไว้คนเดียว ต่างกันแค่ หม่าม้าพี่โอบไม่ได้โดนทิ้ง จึงอาจจะแค่เหงาเล็กน้อย แต่อรุณน่ะ ทั้งเหงาทั้งเจ็บปวดชะมัด ทำไมจะไม่เข้าใจว่าเวลาเราต้องการใครสักคนมันเป็นยังไง แล้วถ้าคนที่เราร้องขอ กอดเข่าอ้อนวอนแล้วเขาเมินเฉย ยิ่งเจ็บปวดสุดๆไปเลยล่ะ


     

              “ผม..ไปก็ได้” ท้ายเสียงแผ่วเบาชวนให้โอบกอดต้องเผลอระบายยิ้มเล็กน้อย


     

              “ต้องไม่บอกว่าก็ได้สิ อย่าตามใจคนแก่นักเลย”


     

              (เจ้าโอบ ปัดโถ่ หม้าจะขอทำความรู้จักน้องหน่อยไม่ได้หรือไง) น้ำเสียงงุบงิบตอบกลับ


     

     

              พอหลุดจากแยกใจกลางเมืองมาหน่อย การจราจรก็เริ่มคล่องตัวมากขึ้น คนทำหน้าที่สารถีเหลือบมองคนข้างกายที่ยังคงทำหน้าวิตก หลังจากวางสายหม้าเขาไปเมื่อห้านาทีก่อน ดูเหมือนว่าอรุณจะยังคงคิดทบทวนคำเชิญชวนอยู่ เขาบอกไปก่อนหน้าแล้วว่าเรื่องเหงาเป็นความธรรมดา เหมือนลมนั่นแหละ วันไหนพัดแรงหน่อยก็เหงามาก วันไหนบางเบาพัดพอให้รู้สึกเหงาวูบหนึ่งก็จางไป หม้าเขาเป็นแบบนั้น ถึงจะเหงาแต่ก็ไม่ยอมปล่อยตัวเองให้จมจ่อมคนเดียว


     

              “ยังคิดไม่ตกเหรอ”


     

              “..เราเข้าใจว่าคนที่อยู่กับความเหงาเขารู้สึกยังไง”


     

              “อรุณดูไม่ออกหรอก หม้าพี่แค่หาข้ออ้างอยากเจออรุณเท่านั้นแหละ”


     

              “.....” ไม่มีคำพูดแต่โอบรับรู้ได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่


     

              “และ..พี่พอเข้าใจด้วยว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะต้องไปนอนค้างบ้านของคนที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน”


     

              “พี่ใช้เหตุผลตัดสินใจให้เด็ดขาดขนาดนี้ได้ยังไง”


     

              “..เปล่า พี่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ”


     

              ใบหน้าสุขุม บัดนี้มีรอยยิ้มแต้มประดับเป็นการสร้างบรรยากาศผ่อนคลายจากประเด็นที่ค่อนข้างน่าปวดหัว อรุณจ้องมองรอยยิ้มนั้นด้วยใจระส่ำ ตัวเขาเองไม่เคยเจอใครยิ้มได้สดใสและอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์อ่อนๆสาดส่องขนาดนี้มาก่อน พี่เขาดูตรงไปตรงมา ทั้งยังเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ว่าควรพูดอย่างไรให้ผู้ฟังไม่รู้สึกถึงการโดนถากถาง แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นในมุมมองหนึ่ง


     

              ท้ายที่สุด การเดินทางท่ามกลางบทสนทนาที่เรียบง่ายก็เป็นอันต้องจบลง พี่โอบเป็นคนมาส่งเขาถึงบ้านพัก ไม่มีสีหน้ารีบร้อนหรือเร่งรัดให้เขารีบย้ายตัวเองลงจากรถเลยด้วยซ้ำ เขาจำได้ว่าตัวเองขอบคุณซ้ำๆหลายครั้งจนพี่เขาต้องยกมือปราม และเราก็หลุดขำใส่กันเสียอย่างนั้น


     

              “..ล็อกบ้านดีๆด้วย”


     

              “ครับ พี่ก็ขับกลับดีๆด้วย”


     

              “อ้อ ยานี่ก็เอาไปใช้ทา ห้ามลืมเด็ดขาด” พี่เขาส่งกล่องยาลดอาการบวมช้ำที่ข้อมือให้ก่อนจะช่วยปิดรั้ว

     

              อรุณเหมือนเด็กน้อยที่รับฟังผู้ปกครองอย่างง่ายดาย เขาพยักหน้ารับคำพี่โอบอยู่หลายครั้ง กว่าเราจะแยกย้ายกันจริงจังก็ตอนที่พี่เขาเอื้อมมือมาปิดรั้วแกมบังคับให้เลิกทราบซึ้งใจแล้วเข้าบ้านเสียที หลังจากบานประตูบ้านปิดสนิท อรุณรับรู้ได้ว่าตัวเองใช้เวลาอยู่ตรงนั้นอีกหลายสิบนาที ตั้งแต่จ้องมองกล่องยาในมือ หรือแม้กระทั่งตอนที่แอบแง้มม่านดูว่าพี่เขากลับไปหรือยังก็ด้วย


     

              ทว่า จังหวะที่เขาแง้มมอง ก็เห็นว่าพี่โอบเป็นฝ่ายจ้องอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นแบบนั้น เขารีบถอยร่นตัวเองออกจากผ้าม่านทันที ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเห็นอย่างไรกับการกระทำดังกล่าวที่ดูเหมือนคนหวาดระแวงกำลังเกาะม่านถ้ำมองคนที่อยู่นอกบ้าน จนเมื่อสูดลมหายใจเข้าออกเรียกสติอีกครั้งก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เคลื่อนตัวออกไปพอดี


     


     


     


     


     

    ตึกตัก ตึกตัก 

            

    หลังจากพักให้อัตราหัวใจกลับมาเต้นปกติ อรุณก็อาบน้ำและจัดเตรียมชุดทำงานในวันรุ่งขึ้น นัยน์ตาสีหม่นเหม่อมองบรรยากาศยามค่ำคืนผ่านบานกระจกห้องนอน รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างง่ายดายเมื่อนึกถึงใครบางคนในซอกหลืบหัวใจ 

    เจ้าของใบหน้าซบลงกับผ้าขนหนูในมือ พร้อมกับหัวใจที่เต้นโครมครามอีกครั้ง อรุณภาวนาอยู่เสมอว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรุ่นพี่แผนกซ่อมบำรุงจะเรียบง่ายเช่นนี้ หากแต่สบายใจได้ไม่นาน… 

     

    ความหวาดกลัวก็ไล่ตามาทันจนเคาะประตูทักทายเขาอีกครั้งในรอบหนึ่งปี 
     


     


     


     


     


     


     


     

     


     


     


     

     

     

     

     

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×