คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : โอบครั้งที่สี่ | ไม่ใช่พี่ของน้อง
จากวันนั้นที่เดปบอกว่าคนที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวในวันนี้มีเรื่องอยากพูดคุยด้วย ก็ยังไม่ได้ติดต่อมาหาอย่างที่ฝากเพื่อนเขาไว้ โอบไม่ได้จับจดถึงอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเขามีเรื่องให้ทำมากมาย ไหนเลยจะมีเวลาไปคิดวกวน เปิดปฏิทินอีกทีก็ถึงวันกำหนดการงานแต่งเสียแล้ว
งานเลี้ยงแขกจัดตอนห้าโมงเย็นเป็นต้นไปตามสถานที่ในการ์ด ทั้งพี่น้องเพื่อนร่วมงานในบริษัทย่อมไปร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง โอบและเดปเองก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ดูเหมือนแผนกซ่อมบำรุงจะมากันครบแทบทุกคน นั่นคงเพราะแต่ก่อนอินมักแวะมาหาบ่อย บ่อยเสียจนเพื่อนร่วมงานเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“เดี๋ยวเลิกงานแล้วไปพร้อมกันมั้ย”
“คงกลับบ้านก่อน เจอกันที่งานดีกว่า”
“แล้ว..หม้ามึงจะมาด้วยมั้ย”
“ไม่นะ อินไม่ได้สนิทกับหม้าเท่าไหร่”
“แล้ว..”
“อะไร?” โอบละความสนใจงานในมือพลางจ้องหน้าไอเดปที่เอาแต่ซักไซ้ไม่หยุด
“..น้องคนนั้นน่ะ”
“น้อง?..ไหน” เขาไม่ค่อยเข้าใจที่เดปพูดนัก จนกระทั่งไล่สายตาหันหลังไปมองตรงบานประตูกระจกใสที่ปรากฏบุคคลคนหนึ่งยืนคอยอยู่
“น้องแผนกจัดซื้อคนนั้น”
“อ๋อ..”
จบคำขานรับในลำคอของโอบก็ไม่มีคำอธิบายใดเพิ่มเติม นอกจากท่าทีของเพื่อนที่จัดเก็บเอกสารแล้วหอบมันไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินฉิวตรงดิ่งไปยังประตูห้อง เดปจึงขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจแล้วกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อ ทำแบบนั้น ไม่ดูเสียอาการไปหน่อยหรือไงวะ
ร่างสูงประมาณร้อยแปดสิบเมตรในชุดยูนิฟอร์มประจำแผนกเดินขนาบเคียงไปกับคนอายุน้อยกว่าที่มีส่วนสูงเพียงปลายคางเท่านั้น ภาพนี้น่าจะจุดประเด็นบางอย่างให้เพื่อนร่วมงานได้แวะเวียนมาเอ่ยแซวพอหอมปากหอมคอ ทั้งที่คนทั้งคู่ไม่ได้มีท่าทีหรือส่อแววไปแบบนั้น
“พี่ไม่โกรธเหรอ”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“ก็ พี่ในแผนกแซวกันหมดเลยนี่นา” อรุณบอกในขณะที่เรากำลังเดินผ่านแผนกเอกสาร
“อรุณโกรธมั้ย ไม่สะดวกใจรึเปล่า”
“เปล่า เราแค่”
“ถ้าจะอึดอัดมันก็ไม่แปลก”
“เรากลัวว่าพี่จะโดนมองไม่ดี”
“แล้วไม่กลัวว่าพี่จะทำให้อรุณโดนมองไม่ดีบ้างเหรอ” พอโอบถามกลับ กลายเป็นน้องที่ช้อนตามองเขา
“....”
“อย่าลืมสิ อรุณก็มีความรู้สึกนะ”
“..เรา”
“หรือต่อให้พี่พาอรุณไปเกเร ก็มีแค่พี่ที่รับผิดชอบ เพราะงั้นสนใจแค่นี้พอแล้ว”
“เรา..อือ”
“เข้าใจง่าย แต่จะทำได้มั้ยมันอีกเรื่อง”
“เทศนาเก่งอีกแล้ว สาธุ” ทำเอาโอบแอบขำพรืดกับท่าทีจิกกัดของน้อง
“เดี๋ยวนี้ปีนเกลียวเหรอ”
“เราเปล่า!..” สุดท้ายก็เย้าเยอะไปจนโดนเหวใส่ แล้วก็แยกย้ายกันไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ถึงอย่างนั้นก็เป็นการจบบทสนทนาที่ฝากรอยยิ้มไว้ที่แก้มของโอบเป็นอย่างดี
นัยน์ตาสีนิลสนิทละจากข้อมือตัวเองพลางกวาดสายตาไปทั่วประตูทางเข้า โอบถอนหายใจกับการเฝ้ารอคอยและเอาแต่จดจ่อเดปด้วยการมองนาฬิกาเป็นรอบที่สาม นี่มันจะหกโมงแล้วด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าจะโผล่มา เมื่อเห็นท่าว่าจะต้องรออีกพักใหญ่ เขาจึงตัดสินใจเดินไปรวมกับเพื่อนร่วมงานแผนกตัวเอง
ในนาทีที่กลุ่มมวลพนักงานบริษัทหลายแผนกกำลังเคลื่อนตัวก้าวเข้าห้องโถงใหญ่ เดปก็วิ่งกระหืดกระหอบมาได้ทันเวลา ใจจริงโอบคิดอยากจะเทศนาที่มันไม่ตรงเวลาด้วยซ้ำ แต่ติดที่ว่าตอนนี้พิธีกรบนเวลาทีกำลังดำเนินการ พวกเขาจึงต้องเร่งหาโต๊ะนั่ง
“.....”
“กูสาย..” ประโยคนั้นของเดปเรียกให้โอบปรายตามอง
“.....”
“กูรู้ตัวนะเว้ย”
“ก็ดีแล้วที่รู้ตัว กูไม่ได้คาดหวังขนาดนั้น”
“เหี้ยโอบเจ็บ..” มันครวญครางก่อนจะหันไปสนใจอย่างอื่น
งานถูกจัดขึ้นในธีมสีฟ้าครีม บรรยากาศและซุ้มถ่ายรูปก็อยู่ในสัดส่วนที่รองรับความจุสำหรับการถ่ายได้หลายคนในเฟรมเดียว ทว่าสถานการณ์โควิดที่กำลังเกิดขึ้นจึงไม่มีใครมายืนออกันมากนัก เพราะแบบนี้โอบถึงได้วางแผนคำนวณแล้วว่าจะรีบมารีบกลับ
โอบกวาดสายตามองไปรอบๆงาน ก่อนจะสะดุดกึกตรงเจ้าของร่างที่คุ้นเคยที่นั่งถัดไปไม่ไกลสายตามากนัก เขาเห็นอีกฝ่ายทอดมองไปยังคู่บ่าวสาวบนเวทีด้วยท่าทีที่คาดเดาได้ยาก และเป็นเรื่องแปลกมากเมื่อเฝ้ามองท่าทีของน้องที่แสดงออกมา พร้อมคำถามที่พรั่งพรูในหัวว่าทำไมเจ้าของดวงตาสีหม่นถึงดูเศร้าซึมขนาดนั้น
“มึงมองอะไรโอบ”
“.....”
“ดี กูถามน่ะทำหูทวนลมเข้าไป”
วินาทีถัดมาที่เขาขานรับเพื่อนด้วยน้ำเสียงในลำคอ เดปได้แต่ทำหน้างงที่โอบเพิ่งจะมาสนใจคำพูดเขาก็เมื่อเวลามันผ่านมากกว่าสิบนาทีแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งเร้าช้าไปหรือเปล่า โอบหันหน้ากลับมาจ้องเขาก่อนจะถอนหายใจ
ความจริงเดปก็อยากจะถามต่อว่ามีเรื่องอะไรให้หนักอกหนักใจนัก แต่เพราะสายตาของเจ้าสาวที่ทอดมองมายังเพื่อนเขาหลายต่อหลายครั้งนั่นแหละที่น่าสงสัยกว่า จึงกระทุ้งศอกเข้ากับแขนเพื่อนให้เลิกหันมองอย่างอื่นมาสนใจสิ่งนี้แทน
“สรุปคุยกันแล้วเหรอ”
“ไม่ อินไม่ได้ติดต่อกูมาเลยด้วยซ้ำ”
“อ่าว เหี้ยอะไรเนี่ย”
“อะไร..”
“ก็น้องเหลือบมองมาทางมึงตั้งหลายครั้ง”
“ไม่เจอกันนานล่ะมั้ง”
“มึงดูไม่คิดอะไร”
“แล้วกูต้องคิดอะไร”
“ก็ไม่หรอก กูแค่รู้สึกว่าแม่งแปลก”
“ถ้ามึงเลิกให้ความสนใจ เรื่องไม่สำคัญอะไรก็จะไม่มีทางมารบกวนใจมึง”
“ครับลุงครับ” เดปพนมมือก่อนจะตบปุบนหัวราวกับรับศีลรับพรแล้ว
คงเพราะละสายตามาคุยกับเดป พอหันกลับไปก็ไม่เจออรุณตรงนั้นแล้ว พื้นที่ว่างเปล่าตรงนั้นทิ้งความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ โอบไม่อยากคาดเดาว่ามันร้ายแรงระดับไหน จนจังหวะที่เลื่อนสายตาจากที่นั่งตรงนั้นไปยังเวทีก็เป็นคราเดียวกันกับที่นัยน์ตาของโอบปะทะเข้ากับดวงตานิ่งสนิทของเจ้าบ่าวที่ยืนข้างอิน
โอบพยายามไม่คิดว่าตัวเองส่งสายตาหาเรื่องไป แต่กลับรู้สึกได้ว่าเป็นเจ้าบ่าวคนนั้นต่างหากที่ตั้งใจไม่หลบสายตา เราจ้องตากันก่อนที่อินจะสะกิดให้อีกฝ่ายหันกลับไปกล่าวบางอย่างกับพิธีกร
โอบไม่ใช่คนเข้าสังคมไม่เก่งขนาดนั้น และไม่ได้ชอบเข้าสังคมถ้าไม่จำเป็น เขามาร่วมงานแต่งานครั้งนี้ก็เพื่อแสดงมารยาทตามประสาคนรู้จักกัน แต่จะให้มาอินหรือทำหน้าอาลัยอาวรณ์จนงานต้องกร่อยก็ไม่ใช่สิ่งที่พึงกระทำ เพราะแบบนี้ โอบกอดถึงไม่อยากจะเป็นชนวนเปิดประเด็นบนโต๊ะจีนในงานแต่งงานของอิน
“กูว่าจะกลับแล้วนะ”
“อ่าว ไม่รอเจอเจ้าบ่าวเจ้าสาวก่อนเหรอ”
“แขกเยอะ คงดึกๆกว่าจะว่างเจอ กูไม่กลับบ้านดึก”
“มึงก็ โตแล้วนะเว้ย หม้ามึงไม่คุมเข้มเหมือนมัธยมหรอก” เดปสวนกลับก่อนจะหันไปกระดกน้ำอัดลม
“ไม่เกี่ยวกับหม้า”
“อีกสามสิบนาทีสิวะ”
“คนมาสายแบบมึงมีสิทธิ์ยื้อกูด้วยเหรอ” เขาย้อนมันกลับ
“แรงนะ”
“ที่บอกมึงว่าจะกลับนี่ไม่ได้ขออนุญาต บอกเฉยๆ”
“เฉย กูรับทราบแล้วครับ”
“ไม่ฝากสวัสดีนะ เดี๋ยวเพิ่มภาระให้มึงเปล่าๆ” โอบกอดบอกเพื่อนแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นกึ่งขอตัวเพื่อไม่เป็นการเสียมารยาทเพื่อนร่วมโต๊ะ
“กลับดีๆมึง”
“เออ”
พอได้ก้าวเท้าออกจากห้องโถงที่จัดงานแล้ว โอบกอดรู้สึกได้ว่าตัวเองหายใจสะดวกมากขึ้น และไม่อึดอัดเกินไปที่จะพยายามรักษาหน้าใครเอาไว้ ไม่ต้องเกร็งหน้ายิ้มตลอดเวลา โคตรเหนื่อย ในจังหวะเดียวกันเขากลับเห็นเจ้าบ่าวของงานมายืนหลบมุมกับใครบางคนข้างนอกตรงนี้ อรุณเหรอ..
อรุณ รุ่นน้องที่บริษัท
เจ้าบ่าวของอินที่โอบจำชื่อไม่ได้
รู้จักกัน เหรอ?
แม้จะไม่มีเจตนาอยากรู้อยากเห็น ทว่าท่าทางของคนทั้งคู่ที่โอบกอดเห็นนั้น ดูเหมือนว่าจะมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่าคำว่าแค่คนรู้จัก ซ้ำยังดูคุ้นเคยมากกว่าคำว่าสนิทด้วย แล้วนี่เขาควรจะทำเป็นมองไม่เห็นดีมั้ย คงงั้น ทำเป็นมองไม่เห็น แต่ ดูเหมือนอรุณกำลังป้องตัวหนีจากอีกฝ่าย และ ร้องไห้ด้วยใช่มั้ย ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดการณ์ของโอบกอด
คำถามมากมายผุดขึ้นพร้อมกับข้อสงสัยในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ โดยที่โอบกอดเป็นเพียงคนนอก หรือในสายตาของพวกเขาคงเป็นคนสอดรู้สอดเห็น เป็นแค่นั้น ทว่า หากเรื่องราวนี้ที่โอบกอดเห็นหลุดรอดออกไปถึงหูเจ้าสาวอย่างอิน หรือพนักงานในบริษัทเขาสักคน เรื่องคงบานปลายกว่านี้
แล้วโอบมีสิทธิ์มากกว่านั้นมั้ย
มากกว่าแค่เป็นคนบังเอิญผ่านมาเห็นหรือเปล่า
โอบกอดชั่งใจนานหลายนาทีว่าควรจะเดินวกกลับไปร่วมวงสนทนาหรือเดินหน้าต่อไปเพื่อกลับบ้านและจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนทิ้งตัวลงเตียงดี คิดแล้วเขากลับพบว่าตัวเองเป็นคนคิดมาก คิดซับซ้อนมากคนหนึ่ง ทั้งยังรับบทพระเอกแสนดีอีกหนึ่งอย่าง นี่มันบ้าอะไร
ในระหว่างที่เริ่มจะตบตีกับตัวเองในจิตใจ ภาพในสายตากลับปรากฏให้เห็นว่าทั้งคู่เหมือนจะเคลียร์กันไม่ลงตัว ซ้ำอรุณยังตกเป็นรองอีกฝ่าย ไม่ว่าจะทางใด จนตอนที่รุ่นน้องคนนั้นถูกกระชากแขนและกำมันเอาไว้แน่นแล้ว โอบกอดก็ไม่ลังเล ไม่เลยสักนิดที่จะยืนมองเฉยๆ
“ความจริงเวลานี้ทุกคนควรจะเห็นเจ้าบ่าวช่วยเจ้าสาวรับแขกในงานมากกว่านะครับ”
แดงหมดแล้ว
ทั้งแขนทั้งใบหน้าที่เห่อแดงจากการกลั้นเสียงร้องไห้
“..แล้วก็ ผมไม่เคยเห็นเจ้าบ่าวที่ไหนเขาต้อนรับแขกด้วยความรุนแรงแบบนี้เลยครับ”
โอบกอดไม่รู้ว่าตัวเองหน้าด้านขนาดไหนตอนที่พูดประโยคเสียดสีคนในชุดเจ้าบ่าว แต่ว่า แค่เห็นว่ารุ่นน้องเขาโดนกระด้วยความไม่ชอบ ก็เล่นเอาหงุดหงิดจนควันแทบออกหู คำพูดพวกนั้นดูเหมือนจะช่วยตบหน้าเรียกสติให้คนคุกคามพึงสำนึกตัวเองได้บ้าง
เขาไม่ได้เอ่ยขอโทษเพื่อแสดงความเป็นมิตร และไม่ได้ฉุดมืออรุณให้ย้ายมายืนข้างกัน เพราะแค่แรงของอีกฝ่ายเมื่อครู่ก็สร้างรอยช้ำที่ข้อมือบางนั้นให้แดงเถือกมากพอแล้ว โอบกอดทิ้งลมหายใจก่อนจะเดินถอยออกมาหันหลังให้ทั้งคู่ กลับไปตั้งหลักเตรียมใจ เผื่อวจะได้ยินคำว่า พี่มายุ่งอะไรด้วย จากปากอรุณเข้า
พี่โอบ
นั่นเป็นการเรียกชื่อเล่นของอธิปที่ไม่มีน้ำเสียงตำหนิเจือปนอยู่เลย ความกังวลในใจจึงถูกปัดเป่าออกไป แต่มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โอบกอดรู้สึกว่า คำพูดของเขาต้องส่งผลอะไรกับอรุณสักทาง ไม่อย่างนั้น น้องจะเลือกเดินตามเขามาเหรอ
เท้าของเขาหยุดก้าวที่กำลังจะเคลื่อนไปข้างหน้า หยุดนิ่งรอฟังคำพูดจากคนที่เดินตามหลังมาด้วยความเตรียมใจยอมรับผลของคำพูดตัวเอง ทว่า ดูเหมือนคนข้างหลังก็กังวลเช่นเดียวกัน ถึงได้ชั่งใจว่าจะเอ่ยปากอย่างไรออกมา
“เรียกแล้วไม่พูดนี่ ทดสอบพี่อยู่หรือไง” คนอายุมากกว่าเป็นฝ่ายหันไปถาม
“เราเปล่า แค่”
“....”
“..อยากขอบคุณที่ช่วยเราไว้”
น่าแปลกใจ
งั้นเป็นความสัมพันธ์แบบไหน
“อยากดื่มน้ำหน่อยมั้ย”
“ครับ..?
“ก็เมื่อกี้เสียน้ำตาไปเยอะไม่ใช่เหรอ พี่จ่าย” คำถามไถ่เหมือนเรื่องทั่วไปทำให้อรุณเผลอน้ำตาร่วงอีกรอบ
☼
ความคิดเห็น