ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hold the smile | โอบอรุณ ☼

    ลำดับตอนที่ #4 : โอบครั้งที่สาม | รอยยิ้มสีหม่น

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 64





    ( ͡ᵔ ͜ʖ ͡ᵔ )


                   ‘ออกจากบ้านเร็วกว่าปกติ ย้าย!’

                    อธิปอ้าปากหาวรอบที่สามหลังจากต้องแหกขี้ตาตื่นเร็วกว่าปกติ เขาจ้องกระดาษโน้ตลายมือพออ่านออกของตัวเองที่แปะเอาไว้ตรงกระจก กระดาษเตือนความจำนั่นแหละ ศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้คงโพสอะไรซักอย่าง ขณะอ่านทวนฆ่าเวลาระหว่างแปรงฟัน เขาไม่ลืมที่จะชะโง้กตัวมองนาฬิกาแขวนไปด้วย นอกจากเรื่องงาน เรื่องเวลาก็เป็นอีกสิ่งที่อธิปให้ความสำคัญและจริงจังมากเป็นพิเศษ พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เขาเป็นคนตรงเวลา และไม่ชอบคนผิดเวลาเอามากๆ โชคดีหน่อย หลังจากที่เขาแนะนำคนรอบข้างก็นำจุดบกพร่องไปปรับปรุงแก้ไข แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีสายบ้างประปรายอยู่ดี

              (สายเรียกเข้า)

              “ครับ..”


              “เห็นไฟบ้านเธอสว่างแล้ว”


              “อ๋อ วันนี้โอบต้องไปย้ายของ” เขาเปิดลำโพงพร้อมกับล้างแปรงสีฟันไปพลางๆ


              “ก็ดีล่ะ เอาปาท่องโก๋ไปกินที่ทำงานด้วยสิ”


              “ครับ เดี๋ยวโอบไปเอาเองนะไม่ต้องมาหรอก” เขาตอบคุณนายเธอไปก่อนปลายสายจะกดวาง


                         กิจวัตรทุกวันหลังเรียนจบใหม่มาแล้วมีบริษัทงานทาบทามทันที ก็คือการรับขนมยามเช้าจากคุณเป็นแม่ที่ชอบตื่นแต่ไก่โห่ไปเดินตลาดเช้า จับจ่ายวัตถุดิบนั่นนี่ไว้เป็นมื้อกลางวัน ทั้งยังเผื่อแผ่มาถึงเขาที่อยู่ในวัยทำงานเลี้ยงตัวเองได้แล้วนั้น หลายคนอาจจะเข้าใจว่าเขายังคงเหมือนลูกนกรอแม่มาป้อนอาหารถึงปาก แม้จริงๆ เขาและแม่จะตระหนักดีว่า เวลาเสี้ยวสั้นๆเท่านั้นที่จะยังหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ในครอบครัวเอาไว้ให้เหนียวแน่น ถ้าเป็นวัยเด็กที่คาบเกี่ยวไปจนถึงเรียนแล้วล่ะก็ ทุกคนคงตอบได้ว่าอยู่บ้านจนเบื่อหน่าย แต่เมื่อคุณทำงานและแข่งกับหน่วยเวลาวินาทีทุกวัน คุณจะยึดติดในหน้าที่ นึกถึงเรื่องที่ต้องทำในหัวอีกร้อยแปดเรื่อง จนลืมเวลาครอบครัว ลืมว่าอย่างไรก็ตาม ครอบครัวที่คุณแยกตัวมาก็ยังคงห่วงใยและเฝ้ามองคุณอยู่เหมือนกันเช่นครั้งเยาว์วัย


              “ย้ายใหม่แบบนี้ เวลาเลิกงานจะยังปกติมั้ย”


              “ปกติครับ ยกเว้นว่าเอกสารเยอะหรือมีอะไรเร่งด่วน”


              “เดินทางดีๆล่ะ อย่าลืมแมสด้วย” เขาส่งยิ้มให้คนเป็นแม่ ที่ยังคงกำกับการช่วยตรวจสอบสิ่งของก่อนไปทำงาน เหมือนตอนสมัยเรียน


              “ไปเดินตลาดก็อย่ามองนั่นนี่เพลินนะครับ กอดกระเป๋าสตางค์ไว้แน่นๆ”


              “จ้าพ่อหนุ่ม” คุณนายเธอรับทราบก่อนจะหันตัวกลับเข้าบ้าน

     

                       เช้าวันนี้ยังคงเงียบสงบ อาจเพราะเป็นเวลาเจ็ดโมงหน่อยๆ ยังไม่ถึงเวลาเข้างานและถึงจะมีพนักงานมาแล้วบ้างประปราย พวกเขาดูเหมือนจะใช้เวลาไปกับการเตรียมเอกสารวางแผนงานก่อนเข้าประชุมและบางส่วนก็กำลังเพิ่มพลังกายตัวเองด้วยอาหารอุ่นร้อนจากร้านสะดวกซื้อ อนิจจา โลกสมัยนี้หมุนเร็วเกินไปจนเราไม่ทันได้ตระเตรียมรับมือกับภัยเงียบที่แทรกซึมเข้ามาในรูปแบบการใช้ชีวิต


              “สวัสดีครับพี่” อธิปย่างกรายเข้ามาในแผนกใหม่พลางยกมือฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนพนักงานที่คุ้นเคย


              “จ้า ย้ายขึ้นมาแผนกนี้แล้วเหรอ”


              “ครับ ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”


              “อย่าลืมฝากหัวใจให้แผนกเราดูแลด้วยนะจ๊ะ” รุ่นพี่อีกคนหยอกเย้าพอหอมปากหอมคอเรียกเสียงหัวเราะในเช้าของวัน เพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้น ทุกคนก็กลับไปสนใจสิ่งที่อยู่ในมือตัวเองเช่นเดิม


                    อธิปย้ายโต๊ะทำงานจากที่เดิมถัดขึ้นมาสองชั้น ด้วยเหตุผลว่าชั้นนี้แผงวงจรไฟขัดข้องบ่อย นอกจากจะทำให้งานล้าช้าแล้ว ยังเป็นการกร่อนให้เครื่องมืออุปกรณ์ขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องเชื่อมไฟชำรุดง่ายด้วย เพราะแบบนี้เขาถึงได้แยกโต๊ะทำงานมาประจำตรงจุดนี้เพื่อความสะดวกในการแก้ไขแผงวงจรและควบคุมการเดินไฟไม่ให้เกิดเหตุขัดข้องใดที่จะร้ายแรงไปถึงขั้นทำให้ห้องเก็บเอกสารเกิดความเสียหาย อีกอย่างอธิปคำนวณไปในอนาคตอีกสองสามปีข้างหน้าว่าอาจจะเปลี่ยนงานหรือสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง เพราะเขาเหนื่อยกับเอาร่างกายตัวเองไปฝ่าฟันกับปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมเต็มที


                       เมื่อตรวจตราดูว่าหยิบอุปกรณ์มาครบแล้ว เขาจึงจัดการเดินตรวจเครื่องถ่ายเอกสารและเครื่องย่อยเอกสารที่เรียงรายรอการเปิดใช้งานในเช้าของวัน หัวหน้างานพูดแว่วว่าตอนนี้บริษัทอะไหล่คงกำลังไปได้สวย แต่ไม่นานหรอก ถัดไปอีกไม่กี่ปีก็คงซบเซา เพราะธุรกิจออนไลน์แบบใหม่กำลังเข้ามา ทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องมาบริษัท แต่ใช้การสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตกันแทน มนุษย์สัมพันธ์ก็จะยิ่งห่างเหิน และหลายๆอย่างก็จะกลายเป็นเหมือนเราแค่อยู่บ้าน แล้วความสะดวกทุกอย่างก็จะถูกอำนวยมาให้ถึงที่ รวมไปถึงไอโรคระบาดนี่ด้วยที่ทำให้เราต้องกลายเป็นมนุษย์หน้ากากไปอีกหลายปีข้างหน้า หรืออาจจะตลอดไป


              “กาแฟมั้ยคะ” เสียงใสเชิญชวนเขาด้วยการยกแก้วกาแฟยี่ห้อดังเป็นสัญญาณ


              “ไม่ล่ะครับ ตามสบาย” และเขาก็ปฏิเสธอย่างที่เคยทำ

    ..

              “โห่ ไม่เคยจะล่อลวงสำเร็จเลยนะ”  น้ำเสียงเซ็งดังขึ้นไม่ไกลมากนักจนอธิปได้ยินบทสนทนานั้น


              “ผมไม่ถนัดดื่มกาแฟครับ” อีกฝ่ายตอบกลับทำให้อธิปต้องหันไปมอง คนปฏิเสธยกถุงน้ำเต้าหู้ขึ้นเป็นการยืนยัน และช่วยคลายความสงสัยได้อย่างดี


              “เอาเถอะ คงจะลากมาสายคาเฟอีนไม่ไหว”


              “..ครับ” รุ่นน้องคนนั้นระบายยิ้มอย่างเคอะเขินเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวกลับไปประจำที่

      

            

              ..   

              “อ่าว สวัสดีครับ” ดูเหมือนรุ่นน้องจะจำเขาได้จึงรีบวางถุงน้ำเต้าหู้แล้วค้อมหัวให้เขาเป็นการทักทาย


              “สวัสดี ปรับตัวได้แล้วสิ..” อธิปตอบกลับพลางคิดในใจว่า นี่เป็นประโยคที่ดีมั้ยนะ


                       เรามองหน้ากันโดยไม่มีใครปริปากพูดอะไรนานหลายนาที ทั้งที่สีหน้าและแววตาของเราทั้งคู่ระริกระรี้ราวกับมีเรื่องราวมาพูดคุยหลายสิบเรื่องในตอนนี้ เหมือนเราจะล้มเลิกความตั้งใจนั้น แต่แล้วจากที่กำลังจะแยกย้ายไปในที่ของตัวเอง ทั้งเขาและน้องกลับหันมาสบตากันอีกครั้ง และเป็นโอบกอดที่ไม่ได้เรื่องได้ราวในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์..


              “วันนี้มีเครื่องถ่ายเอกสารเสียเหรอครับ” น้องเป็นคนจุดประกายหัวข้อสนทนาขึ้น


              “อันที่จริง..เปล่าหรอก เป็นหน้าที่ปกติของพี่อยู่แล้ว” โอบคุมน้ำเสียงตัวเองให้อยู่ในโทนเดียวไม่ไหวสั่น


              “จริงสิ น้ำเต้าหู้มั้ยครับ”


              “...ครับ?” เขายกหางเสียงให้สูงไว้ก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายทวนคำถาม


              “หรือพี่จะสายคาเฟอีน..”


              “พี่ไม่ใช่สายคาเฟอีนเหมือนกัน” และเหมือนจะสร้างความแปลกใจให้อีกฝ่ายจนเจ้าตัวรีบยื่นถุงน้ำเต้าหู้มาแบ่งเขายกใหญ่ แถมปาท่องโก๋อีกสองคู่อุ่นๆ


              “รับไว้นะครับ มื้อเช้าสำคัญมาก”


              “อ่า..”


              “หรือพี่ทานมื้อเช้ามาแล้ว งั้นๆ” อีกฝ่ายดูจะเป็นคนคาดการณ์เก่งพอควรจึงรีบหดมือที่ยื่นถุงน้ำเต้าหู้แนบตัวดังเดิมพลางควานหาสิ่งอื่นบนโต๊ะที่สามารถแบ่งปันเขาได้


              “ถ้าไม่รบกวนเราเกินไป น้ำเต้าหู้ถุงเดียวก็พอครับ” เพราะเขามีปาท่องโก๋จากหม้าเมื่อเช้าแล้วเหมือนกัน


              “รับปาท่องโก๋ไปด้วยนะครับ น้องกำลังอุ่นๆจากกระทะ” เจ้าของน้ำเต้าหู้ยังคงใจดีแถมมาจนได้ โอบจึงต้องขอบคุณน้ำใจครั้งนี้ด้วยความซาบซึ้ง


              “อะไรกัน เช้านี้พูดคล่องปร๋อเชียวนะอรุณ”


              ระหว่างที่กำลังจะแยกย้ายก็มีน้ำเสียงคุ้นเคยของหัวหน้าแผนกน้องเอ่ยทักทายแกมแซว โอบกอดเพิ่งรู้อีกหนึ่งข้อว่าน้องพนักงานใหม่คงกำลังปรับตัวกับเพื่อนร่วมงานอยู่พอสมควร ไม่งั้นพี่พัดชาจะถึงขั้นเอ่ยปากขนาดนี้เชียวหรือ และโอบกอดจะไม่เข้าข้างตัวเองเด็ดขาดว่าเขาเป็นรุ่นพี่คนแรกๆที่น้องสนิทด้วยขนาดนี้ ..




             เหมือนน้องจะไม่รู้ด้วยว่าเขาย้ายขึ้นมาทำงานชั้นนี้เหมือนกัน

              .. แล้ว มันจำเป็นมั้ยที่จะเอ่ยปากออกไปว่าเราจะเจอกันบ่อยขึ้น

                      


                       ดูเหมือนอรุณจะไม่ทันสังเกต เพราะเจ้าตัวดูจดจ่อกับงานเอกสารที่รายรอบบนโต๊ะ แน่ล่ะ เอกสารการจัดซื้อสำคัญต่อบริษัทมาก หากผิดพลาดย่อมสร้างปัญหาก้อนใหญ่มาให้อย่างแน่นอน พอรู้แบบนั้นแล้ว เขาก็ไม่อยากเอาเรื่องทั่วไปเข้ารบกวนเวลาน้องเท่าไหร่


                       วันทั้งวันเขาเดินขึ้นลงสลับระหว่างชั้นแผนกของตัวเองกับชั้นแผนกฝ่ายจัดซื้อ เลยไม่ค่อยได้มีเวลาเพลิดเพลินไปกับโต๊ะทำงานใหม่มากมายนัก ทั้งวันนี้ดูเหมือนพนักงานทุกคนจะวิ่งวุ่นประสานงานกันแทบจะทุกแผนก โอบกอดจึงงคิดว่าวันนี้เป็นวันที่ใช้พลังงานไปเยอะจนรู้สึกว่าปาท่องโก๋ที่หิ้วมาจากบ้านและรวมกับของอรุณอีกสองชิ้นยังให้พลังงานไม่พอ


              “มึง ไปพักกัน”


              “มึงไปก่อนเลย กูกะจะตรวจผังของวงจรให้เสร็จก่อน”


              “แต่เที่ยงแล้วนะเว้ย”


              “กูถึงให้มึงไปก่อนไง ไม่ต้องรอ”


              “เอางั้นก็ได้” เดปยักไหล่ให้ก่อนจะยอมให้เขานั่งทำงานต่อ


                       โอบนั่งตรวจผังการวางวงจรใหม่ เพื่อว่าจะเอาไปใช้แก้เส้นทางการเดินวงจรภายในอาคาร ตรงส่วนที่จะต้องซ่อมแซมมัน ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ลัดวงจรและอันตรายอื่นขึ้น อันที่จริงเขาเองก็หิวมากเพียงแต่ผังวงจรจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบสูง จะให้ทำครึ่งๆกลางๆไม่ได้พลาดนิดเดียวต้องแก้ใหม่ทั้งหมด เพราะมันเกี่ยวโยงกัน ดังนั้นหากวันนี้จะหามื้อเที่ยงใส่ท้องช้ากว่าปกติคงไม่เป็นไร


                       รวมๆแล้ว คงใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงกว่าที่เขานั่งตรวจผังวงจร ในขณะที่คนอื่นทยอยไปพักเที่ยง โชคดีหน่อยที่เอางานลงมาตรวจที่แผนกตัวเอง มันจึงค่อยข้างเป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับพนักงานแผนกเขา ทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่นไร้เสียงเชิญชวนขัดจังหวะการทำงานแต่อย่างใด โอบรวบผังที่แก้ไขและผังต้นฉบับจัดเก็บแยกส่วนอย่างชัดเจน บิดกายไล่ความเมื่อยล้าก่อนจะกลับขึ้นไปยังโต๊ะทำงานใหม่


                       เหนือความคาดหมายเล็กน้อย ที่ทั้งแผนกจัดซื้อดูโล่งลงไปถนัดตา แต่โอบกลับเจอใครบางคนที่กำลังทำงานในเวลาพักเหมือนอย่างเขาด้วย เขาเห็นน้องนั่งก้มเงยอยู่พักใหญ่ ในขณะที่ตัวเขาเองก็เดินไปควานหยิบกระเป๋าสตางค์เพื่อจะลงไปทานมื้อเที่ยง ยังไงดี เขาควรชวนน้องดีมั้ย หรือไม่ควรขัดจังหวะน้องดี


                        เขายืนค้างตึงอยู่ตรงนั้น สงสัยจะนานจนน้องรู้สึกถึงสายตากดดัน จึงเงยหน้ามองและเคลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่เขา ใช้เวลาจ้องหน้ากันโดยไม่พูดอะไรออกมา เป็นน้องที่คงจะคาใจจนไม่สามารถทำงานในมือต่อได้ จึงเคลื่อนขยับริมฝีปากเล็กเป็นคำถาม


              “พี่อยากให้เราช่วยอะไรรึเปล่า”


              “เอ่อ อันที่จริงไม่มีหรอก”


              “....แน่ใจนะครับ” น้องถามย้ำอีกครั้งและมองมาไม่วางตา


              “คือ..”


              “....?”


              “พี่กำลังจะไปกินข้าว ไปด้วยกันมั้ย”


              “อ๋อ จริงสิ นี่มันจะบ่ายโมงแล้วนี่นา” น้องวางปากกาในมือพลางยกนิ้วเรียวนวดขมับตัวเอง


              “ถ้าไปด้วยกันพี่จะรอ”


              “งั้นสักครู่นะครับ”


                       ทุกการเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วของน้องล้วนตกอยู่ในสายตาของโอบทั้งหมด วูบหนึ่งที่ความคิดเขาออกสำรวจคนตัวเล็กอายุน้อยกว่าด้วยนัยน์ตาสีนิล ไม่ว่าน้องจะขยับตัวหรือพูดพึมพำอะไร มันชวนให้เขาต้องเคลื่อนสายตามองตามทุกที ซ้ำร้ายคงคล้ายอาการจะเป็นบ้า เพราะทันทีที่น้องเก็บของเสร็จ เจ้าตัวก็ส่งสายตาแปลกๆมาให้


              “พี่..อมยิ้มอะไรครับ”


              “หือ พี่เหรอ อ๋อ”


              “แอบขำเราในใจมั้ยเนี่ย” น้องยู่ปาก ก่อนจะบอกภายหลังว่าแซวเล่น


                       ริมฝีปากหนาที่กำลังจะขยับกลับไม่สามารถเรียบเรียงเป็นคำพูดบอกน้องได้อย่างที่ใจคิด จึงทำได้แค่แสดงอวัจนภาษาทั้งมือและหน้าไปพร้อมกัน ทำเอาอรุณอดยิ้มขำกับอาการร้อนรนนั้นไม่ได้เลย คนอายุน้อยกว่าบอกอย่างใจเย็นว่าแค่หยอกเย้าเล่นเท่านั้น โอบถึงได้หยุดท่าทีนั้นลงด้วยการเบี่ยงหน้าซ่อนความเขินอายไว้เบื้องหลัง


                       ทั้งโอบและอรุณเดินออกจากตัวอาคารบริษัทไปประมาณห้าร้อยเมตรก็ตกลงปลงใจแล้วว่ามื้อเที่ยงของวันนี้คงจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือโบราณ ปกติอรุณมักจะห่อข้าวมาเองแต่วันนี้เจ้าตัวเล่าว่านอนเพลินไปหน่อยทำให้มีเวลาไม่ทันจะเตรียมข้าวกล่อง ซ้ำยังต้องแข่งกับเวลาเพื่อแวะซื้อมื้อเช้าให้ทันก่อนเข้างาน     นี่สินะชีวิตมนุษย์พนักงงานบริษัท เช้าค่ำคงวนไปมาเหมือนเดิมทุกวัน


              “..อรุณ”


              “ครับ?” น้องละสายตาจากเมนูที่แปะตรงฝาผนังมามองคนเรียกด้วยความตั้งใจ


              “..ที่แผนกโอเคดีนะ”


              “ครับ กำลังปรับตัวได้ดีเลย พี่ๆช่วยสอนงานดีมากครับ”


              “อื้อ..” เขาครางรับในลำคอ ก่อนจะเบนสายตามองแผนเมนูบ้าง


              “.....”


              “.....”


              “..พี่มากินบ่อยมั้ย”


              “ร้านนี้เหรอ เรียกว่าพี่ว่าลูกค้าประจำดีกว่า”


              “ถึงว่า..”


              “ทำไมครับ?”


              “แก้มพี่เหมือนลูกชิ้นที่ร้าน ฮ่า”


                       นั่นคงเป็นเสียงหัวเราะแรกที่อรุณมอบให้และโอบได้สัมผัสมัน รอยยิ้มกว้างเป็นธรรมชาติกับแววตาหม่นที่ทอประกายขบขันเล็กน้อยตรงหน้าเขานั้น ดูย้อนแย้งแต่กลับน่ามองในความคิดของโอบอย่างประหลาด 


                       ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวก็หุบยิ้มและยกมือขอโทษเขาอย่างรวดเร็ว เพราะนึกว่าเขาน่ะไม่ชอบใจที่ทักว่าแก้มเขามีลักษณะเหมือนอย่างลูกชิ้น แต่โอบไม่ได้คิดแบบนั้น คำพูดเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้เขาเสียความมั่นใจสักเท่าไหร่ อาจเพราะเขาไม่มีเวลาสำรวจหน้าตัวเองอย่างพินิจหลังจากตัดแต่งทรงผมใหม่ จึงไม่รู้ว่าส่วนใดบนใบหน้าเป็นจุดดึงดูดให้คนอื่นจับจ้อง


              “เราไม่ได้จะ..”


              “อันนี้พี่โอเค เพราะพี่ก็คิดว่างั้น”


              “แต่มันไม่ได้ดูไม่ดีนะ พี่หล่ออยู่แล้ว”


              “....หล่อ?”


              “อื้อ หล่อมาก หล่อดีเลิศไปเลย”


              “ขนาดนั้นเลยเหรอ”


              “ถ้าบอกว่าเป็นลูกรักพระเจ้าเราก็เชื่อ” น้องบอกพลางประสานมือรองคาง ดูท่าทางจริงจัง


              “ไม่เกินจริงไปหน่อยหรือไง คำพูดเมื่อกี้”


              “เราไม่ชอบพูดปดนะ”


              “พี่..”


              “โต๊ะเจ็ดได้แล้วจ้า” พี่พนักงานกล่าวพลางส่งรอยยิ้มหวานให้


              “ขอบคุณนะครับ” และอรุณก็ส่งยิ้มคืนพร้อมคำของคุณ


                                 โอบทอดมองคนตรงหน้าที่จัดแจงเลื่อนถ้วยก๋วยเตี๋ยวเรือหอมฉุยส่งให้เขาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะส่งตะเกียบและช้อนตามมาให้ คนอายุน้อยกว่าผายมือให้เขาพินิจอาหารเที่ยงตรงหน้า เรามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกับปรุงตามรสที่ตัวเองชอบ และเหมือนน้องจะคิดอะไรออกจึงยั้งมือเขาด้วยการทวนคำถามเมื่อครู่ที่ค้างไว้


              “เมื่อกี้พี่จะพูดอะไรนะ”


              “จำได้ด้วยเหรอ”


              “พี่เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง”


              “แค่จะบอกว่า พี่เชื่อคำพูดได้จริงเหรอ”


              “เราคงบังคับไม่ได้ แล้วแต่พี่จะศรัทธาก็แล้วกัน”


                       จบคำพูดนั้นก็ทำเอาโอบต้องอุทานในใจ บทจะแกล้งเฉไฉให้เขาคิดเอาเองนี่ก็แสบใช่ย่อยเลย และพราะคิดว่ามันสร้างสีสันในบทสนทนาของเราให้ลื่นไหลขึ้น โอบก็จะน้อมรับคำชี้แนะน้องไป จากนั้นจึงหันไปจัดการกับก๋วยเตี๋ยวที่ส่งกลิ่นเรียกน้ำย่อยเราตรงหน้า


                       เขาใช้เวลาทานมื้อเที่ยงบวกลบกับเวลาเดินกลับบริษัทก็ประมาณชั่วโมงหนึ่งพอดี โอบไม่ได้ตามขึ้นไปส่งน้อง เราแยกย้ายกันไปทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ อรุณเองไม่ได้อิดออดด้วยซ้ำ แต่น้องน่ะ เดินฉิวนำหน้าเขาไปก่อนจะหันมาขยับปากแบบไม่มีเสียงว่า ขอบคุณ แค่นั้น


              “มึงยิ้มอะไรก่อน”


              “ยิ้มอะไร”


              “ก็มึงยิ้ม ยิ้มอยู่เนี่ย” เดปพิงสะโพกกับขอบประตูพลางชี้ที่หน้าเขา


              “มึงว่างเหรอ ว่างมากสินะ”


              “อะไร แค่นี้ทำมาเป็นดุกู”


              “.....”  


              “เมินกูเฉยเลย ใจกูเจ็บนะ”


              “กูรู้หรอกมึงคิดอะไร” เขาหรี่ตาก่อนจะตบไหล่ดังปัก


              “โอ้ย เขินแล้วต้องรุนแรงกับเพื่อนเหรอมึง”


              “งั้นมึงจะมาเอาอะไรจากกู พูด”


              “กูแค่จะถามว่างานแต่งอิน มึงไปมั้ย”


                       น้ำเสียงไร้แววล้อเล่น ชวนให้โอบหยุดชะงัก เขาถอนหายใจก่อนจะสูดดึงอากาศเข้าไปใหม่ ร่างสูงหมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับเดป เล่นจ้องตากันโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่เพื่อนดูคาดหวังกับคำตอบมาก แต่เชื่อเถอะว่า เดปเองก็รู้คำตอบของโอบดี


              “มึงรู้อยู่แล้ว กูจะไม่ไปได้ยังไง”


              “ถ้ามึงจะติดธุระกูก็ไม่ติดอะไร”


              “ความรู้สึกกู กูจะจัดการมันเอง ไม่ต้องทำให้เรื่องมันเดือดร้อนจิตใจคนอื่นหรอก” โอบคิดว่าอย่างนั้น


              “.....”


              “มึงพูดกับกูตามตรงดีกว่า คงไม่ใช่แค่นี้”


              “น้องอินอยากคุยกับมึง”


              “แล้วทำไมฝากมึงมาบอก?”


              “กูก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ หรือว่ามึง..”


              “กูยังใช้เบอร์เดิม อีเมลเดิม ถ้าอยากคุยก็แค่ติดต่อมา”


              “...มึงว่า”


              “กูไม่ใช่น้อง และจะไม่ทำตัวเป็นน้องคอยคิดว่าจะทำยังไง”


              “อือ”


              “มึงอย่าเก็บมาใส่ใจ ถ้าทำให้รู้สึกอึดอัดมากก็เมินๆมันไป”


              “มึงก็เหมือนกัน” เดปดูสีหน้าโล่งใจขึ้นหน่อย และเราก็ไม่ได้พูดขยายความอะไรถึงเรื่องเมื่อครู่อีก


                       โอบไม่แน่ใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงทำเช่นนั้น ดูจากสีหน้าเดปเองคงลำบากใจมาก หากว่าเขาไม่ง้างมันก็คงจะอึกอักแล้วตอบปัดให้เขาเลิกติดใจไป โอบนึกไม่ออกและไม่อยากนึกว่าอีกฝ่ายจะแสดงท่าทีแบบนั้นไปเพื่อะไร หากว่าเพื่อให้เขาหายโกรธ ก็จะตอบไปไม่ลังเลว่าไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย ไม่สักนิด เพราะงั้นก็ช่วยไปใช้ชีวิตของตัวเองให้มีความสุขจะดีกว่า.










    ...

    อันที่จริง..  การดำเนินไปของชีวิตไม่ได้ยุ่งเหยิงอย่างที่คิด เพียงแต่ 

    อาจะเป็นฝีมือของเราเองที่ลากเส้นให้มันยุ่งเหยิง

    #โอบอรุณ





    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×