คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : โอบครั้งที่สอง | มิติสามสิบสี่ , ดาวเรืองนะ
“ไอเหี้ยโอบ!..”
คำผรุสวาทจากปากเพื่อนฝ่ายแผนกจัดซื้อกระจายสาดไปทั่วหน้าคนอายุสามสิบสี่ เมื่อรู้ตัวว่ากลายเป็นจุดสนใจเดปก็สงบปากสงบคำพ่นลมหงุดหงิดเหมือนวัวกระทิงพร้อมชนแทนคำตำหนิ โอบมองหน้าเพื่อนร่วมงานที่ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลยยกเว้นคำหยาบคาย
“มึงหงุดหงิดอะไรกู”
คนวัยสามสิบสี่ถามด้วยเหตุผล
“อยากกระโดดถีบขาคู่ให้กลับไปร้องไห้ซบนมแม่มึงเลยเชียว”
คนโมโหสวนคืนก่อนจะขยี้หัวตัวเองแรงๆ
เรื่องของเรื่องก็คือ..
เช้าวันจันทร์ที่เร่าร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟในนรกหอบเอาคนอายุสามสิบสี่ย่างก้าวเข้ามาในบริษัทสภาพดูไม่จืด
ใบหน้าคมที่เคยบดบังด้วยผมยาวถูกตัดออกเสริมให้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น
ทั้งเคราเข้มก็ถูกโกนออกจนเกลี้ยงคาง
ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจเพื่อนร่วมงานที่พบหน้ามีอันต้องพุ่งสูง อธิปซ่อมบำรุงน่ะโคตรแดดดี๊เลย...
ในมือของชายวัยสามสิบสี่หิ้วบางสิ่งเข้ามาด้วย
โอบส่งยิ้มอย่างทุกวัน โค้งหัวทักทายทุกคนด้วยความนอบน้อมเหมือนเดิมที่ทำเป็นประจำ
ทว่าก็ต้องฉงนเมื่อเคลื่อนสายตาไปพบกับใบหน้าแดงก่ำคล้ายเขินอายของรุ่นน้องผู้หญิงแผนกอื่นที่จ้องมา
คนวัยสามสิบสี่จึงเร่งฝีเท้าไปยังซอกประตูแผนกตนแล้วก้มมองเป้าตัวเอง
หรือจะลืมรูดซิป ก็ไม่ใช่แล้วเหอะ หรือจะเป้าขาดก็ไม่มี
เมื่อสำรวจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติจึงยึดอกผลักประตูแผนกเข้าไป
“ขอโทษนะครับคุณ..ที่นี่สถานที่ส่วนบุคคลนะครับ”
เจษแผนกซ่อมบำรุงรุ่นน้องเดินมารั้งเขา
“มึง..”
“หยาบคายแบบนี้กะ..”
“กูแต่งชุดฟอร์มซ่อมบำรุงขนาดนี้..กรุณาให้เกียรติชื่อบนอกกูด้วย”
โอบกอดกัดฟันพูดทำให้เจษขมวดคิ้วไล่สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดคาง
“ไอเห้เอ้ย..พี่โอบเหรอวะ”
เจษตะโกนจนตัวโก่งแถมหน้าถอดสีด้วยความตกใจ
“..หลีกทางด้วย”
อดีตคนคุกส่ายหน้ากับความตกใจเกินไปของรุ่นน้องก่อนจะเดินไปประจำโต๊ะทำงานของตัวเอง
โอบกอดเท้าคางตัวเองอย่างเบื่อหน่าย
เขาต้องตอบคำถามเดิมประมาณสามสิบครั้งต่อนาทีกะอิแค่กลับใจไปเข้าร้านตัดผมโกนหนวดออก
กว่าจะยอมแยกย้ายกลับแผนกตัวเองไปก็ตอนที่โอบบอกเพื่อนร่วมงานว่าไม่ต้องเรียกคนอื่นมาดูหรอก
ถ่ายภาพเขาส่งไปในกลุ่มก็พอ นั่นมันเรื่องแรก และอีกเรื่อง..
ต้อนรับน้องฝ่ายจัดซื้อคนใหม่..
“วันนี้ใครบอกจะหาดอกไม้มาต้อนรับน้องฝ่ายจัดซื้อนะ”
เรื่องเพื่อนน่ะจำเก่ง
“รู้ตัวอยู่”
คำตอบของอดีตคนคุกทำให้เดปยิ้มกริ่มก่อนจะส่งสายตาว่าสามสิบสี่ก็ไม่เบาวิชามาร
“อ้อ
แล้วไหนช่อดอกไม้ต้อนรับของมึง”
“เตรียมมาแล้ว..”
เดปส่งเสียงผิวปากแซว แหม่ ถึงว่าวันนี่ลงทุนแต่งหล่อมาเชียว
“มาแล้ว
อยู่ที่เคาน์เตอร์รวม” โอบกอดพยักหน้าแล้วหมุนตัวไปตามตำแหน่งที่ตั้ง
เจ้าของชุดซ่อมบำรุงประจำแผนกย้ายตัวเองไปยังเคาน์เตอร์รวมของพนักงาน
ก่อนเวลาเริ่มงานจริงพนักงานส่วนใหญ่ก็จะมาทานอาหารเช้ารองท้องกันที่นี่
แต่เน้นเป็นเครื่องดื่มมากกว่า
ใครใคร่จะทานเมนูหนักหน่อยก็ต้องตื่นเช้าแวะซื้อก่อนเข้าบริษัท คนวัยสามสิบสี่สอดสายตามองหน้าคนแปลกหน้า
จนไปสะดุดกับแผ่นหลังบางที่นั่งจิบอะไรสักอย่างอยู่ตรงเคาน์เตอร์คนเดียว คงจะเป็นคนนี้..
“สวัสดีครับ..”
เริ่มต้นบทสนทนาด้วยความสุภาพยิ่ง
“..ครับ?”
คนถูกทักเหยียดแผ่นหลังตรงเผงด้วยความตกใจเล็กน้อย
“ยินดีต้อนรับครับ..ดีใจที่บริษัทมีคุณมาร่วมงานด้วยนะครับ”
คนอายุอ่อนกว่าหลบตามองช่อดอกไม้ในมือใหญ่ที่ยื่นจ่ออยู่ตรงหน้า คนตรงหน้าใครกัน?
“ครับ..ขอบคุณครับ”
“พี่ชื่ออธิปแผนกซ่อมบำรุงนะครับ”
คนร่างหนาบอกขยายความก่อนจะส่งยิ้มให้แล้วเดินจากไป
“ครับ..ขอบคุณสำหรับดาวเรืองนะครับ!” น้ำเสียงขันแข็งดีใจที่มีคนมาต้อนรับตอบกลับ
ฉุดรั้งให้พนักงานคนอื่นหยุดเท้ามองดอกไม้น้อยในมือเล็ก
ใช่ ดอกดาวเรืองน่ะ..
หลังจากต้อนรับพนักงานฝ่ายจัดซื้อคนใหม่ตามคำพูดที่ให้ไว้กับเพื่อนเดป
คนนิสัยลุงก็โดนเพื่อนร่วมงานคนนี้กระชากลากถูไปให้โดนว่าเล่น กระทืบเท้าเร่าเหมือนเด็กห้าขวบโดนขัดใจ
เดปเหลือบมองเขาด้วยหางตาก่อนจะสะบัดหน้าหนี โอบกอดจึงต้องอธิบาย
“ก็เขาดูดีใจออก..”
“ไอลุงแม่ง..”
เดปเลิกทำหน้าเหมือนวัวกระทิงแล้วปรับโหมดหูลู่เหมือนหมาหน้าบริษัท
“...กูทำดีแล้วใช่มั้ยวะ”
“กูเข้าใจแล้วว่าทำไมน้องอินไม่เลือกมึงเป็นเจ้าบ่าว”
ขืนอยู่ด้วยกันไป น้องอินต้องไปบวชแน่
“เดป..”
คนถูกข่มเรียกชื่อเพื่อนเสียงเรียบ
เจ้าของชื่อตวัดหางตามองคุณลุงวัยสามสิบสี่ของบริษัทที่เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
โอบกอดหันหน้าหนีเพื่อนสนิท
ก่อนหน้านี้เราทะเลาะกันแค่เรื่องดอกไม้ต้อนรับพนักงานฝ่ายจัดซื้อ
แต่แล้วประเด็นก็ถูกเบี่ยงมาเป็นรักเก่าของโอบกอดเสียเอง อายุอานามก็ขนาดนี้แล้ว
โอบกอดไม่คิดว่าจะหงุดหงิดขึ้นมาได้ง่ายๆ
“ขอโทษ..คนละเรื่องกัน”
“ไม่เป็นไร..”
คนวัยสามสิบสี่ตอบก่อนจะพ่นลมหายใจทิ้งหนักบ้าง
“ก็กูไม่ชอบ..”
“..หึงกู?”
“ไอลุงเหี้ย..กูหมายถึงดอกดาวเรืองที่มึงให้เขาไป”
เดปอธิบายพลางจิ้มอกแกร่ง
“ให้ไปแล้ว..เลิกเอามาชวนกูทะเลาะ”
“กูยอมแพ้ลุงอย่างมึงเลย
ความคิดความอ่านประหลาดเหลือเกิน” โอบกอดส่ายหน้า
เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายไม่คัดเคืองอะไรจึงโบกมือขอตัว
วันทั้งวันของคนวัยสามสิบสี่ก็หมดไปแล้วกับการทำงานในแผนกซ่อมบำรุง
หน้าที่ของเขาแทบจะไม่ต้องเดินออกไปโชว์หน้าประชาชีที่ไหน
ก็นั่งเช็คแผงวงจรในโปรแกรม ควบคุมและคอยเช็ควงจรรวมไปการตรวจตราอายุการใช้งานของอุปกรณ์ที่ถูกติดตั้งภายในบริษัท
ไม่ได้ดูเหมือนคนแก่มานั่งตากแอร์เล่นเสียอย่างนั้น แต่ถึงจะดูเหมือนสบายก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมต่อเหตุฉุกเฉินอยู่ตลอดในหน้าที่จนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน
แผนกซ่อมบำรุงวันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ
เนื่องจากการแปลงโฉมของลุงวัยสามสิบสี่เป็นประเด็น
“ขนมครกน้ำผึ้งจากพี่ดาวฝ่ายเอกสาร”
คนอายุอ่อนกว่าวางถุงขนมลงบนโต๊ะของรุ่นพี่ในแผนก
“พอแล้วมั้ง
จูก็เลือกไปแบ่งๆกับคนอื่นสิ”
“เลือกไปได้เหรอลุง”
จูถามรุ่นพี่น้ำเสียงตื่นเต้น
“เต็มที่เลย
พี่กินไม่หมดหรอก” ลุงประจำบริษัทส่งยิ้มให้พลางดันถุงขนมหลากชนิดให้รุ่นน้องเลือก
“ขอบคุณค้าบลุง”
รุ่นน้องพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม จนลุงประจำบริษัทอดขำไม่ได้
เมื่อขอให้จูช่วยแบ่งถุงขนมออกไปจากโต๊ะพอสมควรแล้ว
พื้นที่ว่างของโต๊ะทำงานคุณลุงก็มากขึ้นเป็นที่น่าพอใจ
ทว่าก้านนิ้วเรียวกลับไปกระแทกโดนถุงคัพเค้กขนาดเล็กที่ซุกอยู่ท่ามกลางถุงน้อยถุงใหญ่
ลุงวัยสามสิบสี่เผยยิ้มด้วยความเอ็นดูในรูปทรงที่บรรจุห่อกระดาษ
เล็กน้อยแต่แตกต่าง แถมยังรักโลกเสียด้วยซ้ำ
คุณลุงผู้ใจดีกับวัตถุขนาดเล็กค่อยๆประคองถุงกระดาษอย่างระมัดระวังพลางมองหน้าเค้กที่คงสภาพเดิม
ภายในมีคัพเค้กขนาดพอดีคำสองชิ้นบรรจุอยู่
มือหนาขึ้นเส้นเลือดจัดการฉีกกระดาษห่อภายนอกอย่างถนอมก่อนจะจับคัพเค้กชิ้นแรกขึ้นมาเชยชม
อธิปอมยิ้มกับการตกแต่งหน้าเค้กที่แสนน่ารัก
“ยิ้มบ้าอะไรลุง”
ใหญ่ทักรุ่นพี่ที่ดูละเมียดละไมกับวัตถุขนาดเล็กในมือ
“คัพเค้ก..”
แหน่ะ มีเสียงสองกุ๊กกิ๊ก
“ของปลอมเหรอ”
เขาถาม ก็เห็นลุงแกมัวแต่ชื่นชมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ส่วนนึงก็เข้าใจว่าลุงแกสายขนมหวาน
“ของจริงแต่ไม่กล้ากิน
น่ารักดี” นั่นประไร ชมแบบหยาบคายก็ได้ด้วย
“อะไรวะครับ
กินเหอะเดี๋ยวไม่อร่อย”
“ไม่เอา
กลัวหมด” นั่นอีก คนบ้าอะไรกลัวหมด หมดแล้วก็ไปซื้อใหม่ได้มั้ยวะ
“เออเนอะคนเรา
ตามใจลุง” ร่างสูงไหล่กว้างยักไหล่ปนขำ ก็ปล่อยลุงแกไปละกัน
มดแทะค่อยมาปลอบกันอีกทียังไม่สาย
ลุงวัยสามสิบสี่ละสายตาจากวัตถุขนาดเล็กในมือไปมองยังชื่อร้านที่มา
แต่ก็ไม่พบข้อมูลที่ต้องการสืบเสาะ เว้นแต่ว่าจะมีรอยปากกาหมึกซึมที่ใช้วาดเป็นรูปพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งทิ้งรอยเอาไว้ต่างหน้า
อธิปก็ยิ่งยิ้มกว้างในความน่ารัก ขนาดนี้แล้วคงไม่น่ารักแค่ขนมแล้วล่ะ
คิดว่าเจ้าของก็คงน่ารักพอๆกันเลย
“น่ารักดี
ขอบคุณนะครับ” นั่นสิ พอได้เจอขนมหวานดูเหมือนว่าอารมณ์หงุดหงิดก็ถูกปัดทิ้งหายวับไปหมดเลย
นี่จะน่าอายมั้ย ถ้าใครมาล้อว่าลุงวัยสามสิบสี่อย่างเขาใจง่ายกับขนมหวานขนาดนี้
คงเป็นเช่นนั้น
อธิปคงทำได้แค่ขอบคุณเจ้าของคัพเค้กผ่านรอยปากกาหมึกซึม
..
งานฝ่ายจัดซื้อไม่ยากเกินความสามารถ
คนร่างเล็กในชุดฟอร์มของบริษัทใหม่ประเมินกับตัวเองแล้วก็ถือว่าน่าพอใจอย่างยิ่ง
เขาเพิ่งมาทำงานวันแรกก็เจอพี่ๆในแผนกคอยต้อนรับ ดูแลและแนะนำอย่างดี
ไม่เว้นแม้แต่รุ่นพี่ต่างแผนกที่เอาดอกไม้มาต้อนรับ ถึงจะเป็นดาวเรืองก็เถอะ
“บ่ายนี้มีเอกสารจัดซื้ออีกสองชุดนะคะ”
พี่ข้าวสวยอธิบายเล็กน้อยกับงานในช่วงบ่าย
“ครับ
ขอบคุณนะครับพี่ข้าว”
“จ้า
มีอะไรถามพี่หรือคนอื่นได้เลยนะ” คนเป็นรุ่นน้องพนมมือขอบคุณอย่างสุภาพ
“ครับ
ขอบคุณครับ”
คงเป็นเรื่องราวแปลกประหลาดเหมือนกันสำหรับพนักงานคนใหม่
ดูไม่เข้าพวกไหนเลยสักกลุ่มแต่กลับเป็นที่น่าเอ็นดูของพี่ๆเพื่อนๆในบริษัท
คนร่างบางเดินไปยังทางเดินหนีไฟ
ในมือข้างหนึ่งถือกล่องข้าวห่อสีอ่อนติดไม้ติดมือไปด้วย น่าแปลกดีมั้ย
แต่ก็น่าประหลาดไม่แพ้กัน
เหมือนเด็กหนีความผิดงั้นแหละ
“น้องอรุณ..”
“โว้
ตกใจหมดเลยครับพี่พัดชา” เจ้าของชื่อกุมมือที่อกราวกับว่าหัวใจมันจะหยุดเต้นเฉียบพลัน
ทักทายพนักงานรุ่นพี่แผนกเดียวกันเสียงเบาจนคนถูกทักหันหน้ามองรอบข้าง
“ทำท่าทางแปลกๆนะเราน่ะ”
“ปะ แปลกเหรอครับ” น้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ ถามกลับ
“ก็มัวมายืนชะเง้ออยู่ตรงนี้คนเดียว ไม่ไปทานข้าวที่เคาน์เตอร์ล่ะคะ”
“ทานตรงนี้ก็สะดวกดีแล้วครับ ตรงนั้นมีแต่พี่ๆรุ่นใหญ่ทั้งนั้นเลย” พนักงานใหม่อย่างอรุณหลบตาลงเพื่อลดอาการเกร็ง
"ถ้าสะดวกตรงนี้พี่ก็ไม่บังคับ แต่ถ้าอยากร่วมวงมาได้นะ" พี่สาวร่วมแผนกพูดพลางส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร และอรุณก็พยักหน้ารับ
เวลามื้อเที่ยงจบลงอย่างรวดเร็ว
คนวัยสามสิบสี่เองก็คิดแบบนั้น วันนี้เขาแทบไม่ได้ลุกจากโต๊ะทำงานไปไหนเลย
เพราะต้องจัดการกับขนมคาวหวานที่มีผู้เอ็นดูนำมาฝาก ถึงให้ออกตัวว่าเป็นสายขนมหวานแต่เยอะขนาดนี้ก็อาจจะเสี่ยงเป็นเบาหวานในวัยสามสิบสี่ได้ง่ายๆ
คุณลุงแผนกซ่อมบำรุงจัดการแจกจ่ายจนโต๊ะโล่งจึง
ลุกไปยังแผงควบคุมของบริษัทเพื่อตรวจตราระบบและเช็คสัญญาณให้พร้อมใช้งานทุกเมื่อ
ขายาวภายใต้ชุดซ่อมบำรุงชะลอเท้าอย่างเงียบเชียบเมื่อได้ยินเสียงกุกกักมาจากหลังบานประตูหนีไฟที่อยู่ระหว่างชั้น
ตามคมขลับจ้องมองบานประตูเพื่อรอดูท่าทีว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็นจนกระทั่งบานประตูเปิดออกปรากฏเป็นพนักงานหน้าใหม่ที่เขาเพิ่งจะแสดงความยินดีไปเมื่อเช้า
“....”
“เอ่อ..ขอโทษครับ”
คนอายุน้อยกว่าเป็นคนเริ่มบทสนทนา
“ขอโทษทำไม”
“คือ
ผมตกใจก็เลยกลัวว่าจะทำให้ตกใจไปด้วย” คนถูกถามก็ดูจะเกร็งจึงตอบกลับด้วยการไม่สบตา
“ไม่เป็นไร”
“อ่า ผมขอทางหน่อยได้มั้ย” อธิปจึงทำได้เพียงแค่ขยับตัวหลีกทางให้คนที่สูงแค่คางเขาเดินกลับแผนกไป
และเราก็แยกย้ายกันตรงนั้นเลย
วันทั้งวันของอธิปวัยสามสิบสี่กำลังจะจบลงเหมือนเดิม
และก็จะวนไปอย่างนี้จนกว่าเขาจะรู้สึกเบื่อกับงานที่ทำอยู่และมองหาอะไรใหม่ๆทำในตอนที่อายุย่างเข้าวัยเกษียณอย่างจริงจัง
ตามปกติ ก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้น่าเบื่อมากคนหนึ่ง
และจากปากของเพื่อนสนิทด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการยืนยันว่าน่าเบื่อสุดๆ
“ลุง
วันนี้ไปบาร์กันมั้ย”
“ชวนพี่ไปบาร์?
ไปบาร์เนี่ยนะ” คนวัยสามสิบสี่พับเก็บผ้าเช็ดหน้าพลางใช้นิ้วชี้เข้าหาตัวเอง
ย้ำเตือนว่าคนวัยเขาเนี่ยนะ อย่างเขาเนี่ยนะถึงขั้นมีรุ่นน้องมาชวนไปผ่อนคลาย
“ลุงไม่สะดวกเหรอ
ไปนั่งจิบเบียร์เบาๆไง” แน่นอน อธิปส่ายหน้าปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดให้มากความ
“ไม่ดีกว่า
พอดีต้องรีบกลับบ้าน”
“เฮ้ย
ร้อยวันพันปีไม่เคยจะรีบกลับบ้าน แปลก”
“ไม่ได้หาข้ออ้างจะเบี้ยวนะแต่พี่มีนัดกับแม่
โทษที” อธิปบอกกล่าวไปตามความจริง เพราะวันนี้มีนัดกับคุณนายเธอ
จะชวนกันไปเดินตลาด หิ้วต้นไม้กลับบ้านสักสองสามต้น
“อ๋อ
งั้นไว้คราวหน้านะพี่โอบ” เจ้าของชื่อเพียงแค่พยักหน้ารับที่เข้าใจ
แกมขำในใจที่นานครั้งจะได้ยินรุ่นน้องในแผนกเรียกชื่อเล่นตามกำเนิด
ก็ถึงคราวจริงจังนี่เองถึงยอมเรียก
อธิปเก็บและจัดระเบียบโต๊ะทำงานของตัวเองให้เรียบร้อย
พร้อมสับสวิตช์ไฟในแผนกลงก่อนจะล็อคบานประตูให้เรียบร้อย
เหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมือพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ
เวลาห้าโมงกว่าเป็นช่วงที่พนักงานในบริษัทเริ่มทยอยกลับบ้านกันหมดแล้ว
และเมื่อสถานที่เงียบสงบลงก็ดูจะไร้ชีวิตชีวาขึ้นมาทันที อาจเพราะเขาทำงานที่นี่มาหลายปี
คุ้นชินกับความเป็นกันเองของเพื่อนร่วมงานและเจ้านายที่สนิทสนมกับลูกน้อง
กลายเป็นว่าบริษัทแห่งนี้เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของอธิปไปแล้ว
จึงรู้สึกอยู่เสมอว่ามันอบอวลไปด้วยชีวิตชีวา
ร่างสูงใหญ่ยิ้มรับให้แม่บ้านที่สวนกันระหว่างชั้น
ก่อนจะมุ่งไปยังประตูทางออกและในหัวก็คิดไปเย็นวันนี้คุณนายเธอจะชวนเขาทำอะไรที่ตลาดอีก
เพราะอธิปรู้ดีว่านัดครั้งนี้ดูสำคัญกว่าครั้งไหน
แน่นอนว่ามันมากกว่าการไปช่วยหิ้วต้นไม้กลับบ้านเหมือนทุกที อย่างนั้นก็เถอะ
อธิปก็เต็มใจเต็มกายยินยอมคนเป็นแม่อยู่แล้ว
(เสียงเรียกเข้า)
--- คุณนาย
ไม่ทันขาดคำเลย
“ครับ
กำลังออกจากบริษัท”
(เจอกันที่ตลาดนะ
พอดีวันนี้ออกมาทำเล็บกับเพื่อน)
“ครับ
เจอกันครับ” เขาตอบรับเพียงประโยคสั้นๆ
ยังไม่ทันจะก้าวพ้นขอบประตู
เขาก็เผลอหันไปมองตามสัญชาตญาณเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง
กระทั่งสายตาเลื่อนไปหยุดตรงแผ่นหลังบางของใครสักคนที่นั่งมองแสงอาทิตย์ในเวลาห้าโมงตกกระทบผ่านกระจกเข้ามา
อธิปหยุดมองและเห็นเสี้ยวหน้านั้นที่ถูกแสงยามเย็นอาบไล้กรอบหน้าขาวเพียงนิด
ไล่สายตาไปจรดที่ริมฝีปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเป็นการอมยิ้ม
และอธิปที่ได้เห็นภาพตรงหน้าก็ยกริมฝีปากขึ้นเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ
อธิปยิ้มตามคนๆนั้น
และชะงักมุมปากเมื่อมีสายเรียกเข้าดึงสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
(เสียงเรียกเข้า)
--- คุณนาย
(อยู่ไหนน่ะ หลงตลาดรึเปล่า)
“เปล่า
ยังไปไม่ถึงต่างหาก”
(หม้าว่าโอบปิดบังหม้าอยู่)
“ไม่มีอะไรให้ปิดให้บังทั้งนั้นแหละ
จะรีบไปนะ” อธิปไม่อยากยืดเยื้อเวลา
ไม่งั้นก็จะเป็นประโยชน์ให้คุณนายเธอต้องวกไปเรื่องสาวที่ไหนสักคนมาเป็นลูกสะใภ้อีก
(เดินทางปลอดภัยจ้า หม้ารอที่ร้านต้นไม้เลยแล้วกันนะ)
“ครับ สวัสดีครับ”
ไม่นานนักโอบกอดก็มาถึงตลาดยามเย็น
สองเท้ารีบมุ่งตรงไปยังร้านขายต้นไม้ร้านประจำของหม้าเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าคุณนายเธอกำลังจิบน้ำมะพร้าวปั่นสบายใจ
พลางพูดคุยกับเจ้าของร้านท่าทางสนิทสนม ก่อนจะหันมาขยิบตาให้อย่างอารมณ์ดี
เขาจึงไม่อยากเสียเวลารั้งรอ รีบเดินตามไปดูพันธุ์ไม้ด้วยความกระตือรือร้นชดเชยเวลาที่ต้องให้หม้ามานั่งรอ
“ลูกว่าต้นไหนสวยกว่ากัน”
“เอาที่หม้าชอบ
โอบโอเคหมด”
“งั้นสองต้นนี้
วันเสาร์นี้จะเอาลงดินเลย” เธอตอบพลางเดินตัวเบาไปคิดเงิน
ซึ่งมีเขาเป็นนางหิ้วตามต้อย
หลังจากได้ต้นไม้สมใจแล้ว
คุณนายเธอก็พาเขาเดินดูร้านขนมที่ขนาบยาวไปจนเกือบสุดสองข้างทาง
อธิปยังไม่รู้แน่ชัดว่านอกเหนือจากซื้อต้นไม้ หม้ายังมีจุดประสงค์อะไรอีก
แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามไปตามตรง
เพราะดูเหมือนว่าหม้ายังคงอารมณ์ดีกับการที่เขามาเดินตลาดเป็นเพื่อนวันนี้จนเมื่อคุณนายเธอหยุดหน้าร้านขายสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์
อธิปก็ถึงบางอ้อ
“ชอบตัวไหนเป็นพิเศษมั้ย”
“อ๋อ ที่แท้ก็อยากให้เลี้ยงสัตว์เหรอ”
“แค่พามาดูเผื่อสนใจเฉยๆ”
โอบกอดพยักหน้า ใจหนึ่งก็อยากจะเลี้ยงแต่อีกใจหนึ่งกลัวว่าเลี้ยงไว้แล้วจะเลี้ยงได้ไม่ดี
จึงยังลังเล
"โอบคงจะ.."
“ไว้ตัดสินใจได้ค่อยมาดูอีกทีก็ได้” คุณนายเธอโคลงศีรษะ ไม่จริงจังนักพลางมองไปรอบๆร้าน
“..ขอบคุณนะหม้า” โอบกอดไม่รู้ว่าควรจะพูดคำไหนได้อีกนอกจากคำนี้
หม้ามักจะรับรู้และเข้าใจความคิดเขาเสมอ ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของความคิดเขาไปด้วย
“ขอบคุณอะไรกันล่ะ ก็แค่กลัวจะเหงา”
“...”
“..เป็นอะไรไป”
“หม้าว่าการให้ดอกดาวเรืองเป็นเรื่องแปลกมั้ย”
“ให้เนื่องในโอกาสอะไรล่ะ”
คุณนายเธอถามย้อนพลางเดินไปแวะร้านขนมครก
“ก็..แสดงความยินดี” เขาตอบเสียงเบากว่าปกติ
“แล้วคนรับแสดงอาการยังไงตอนเธอให้ดาวเรือง?
สองกล่องนะจ๊ะ” คุณนายถามกลับเหมือนไม่ได้เดือดร้อนกับดอกดาวเรืองเท่าไหร่ เพราะมัวอุดหนุนแม่ค้าขนมครก
“เขาก็ขอบคุณปกติ” เออ
ก็ปกติดีนี่ ไม่ได้มองแหยะเขาสักหน่อย
“นั่นแหละคำตอบของคำถาม จะว่าไปมันก็ทำให้นึกถึงตอนที่ป๊าเธอหอบถุงดอกพุดมาจีบฉันถึงหน้าบ้านเหมือนกันนะ” คำพูดของคุณนายสายชิลทำให้อธิปถึงกับต้องนิ่งค้าง ทั้งที่เตรียมใจว่าคงมีแค่เขาคนเดียวที่พกพาความคิดแปลกประหลาดไปสู่คนอื่น ที่ไหนได้ ป๊าก็เป็นเหมือนกัน และดูเหมือนหม้าเองก็ไม่ได้คิดมากอะไร ออกจะติดใจด้วยซ้ำ (รึเปล่า) หรือมีแค่ป๊าคนเดียวที่ใช้วิธีนี้ครอบครองหัวใจหม้าจนอยู่หมัด
☼
หรือบางสิ่งบางอย่างที่กระทำแตกต่างไปจากเดิม แท้จริงก็เป็นเรื่องปกติอย่างหนึ่ง
เพียงแค่คนหมู่มากไม่เคยชิน จึงใช้คำว่า แปลก ประหลาด มาตีกรอบการกระทำกันนะ
...
ความคิดเห็น