ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามเด็กอัจฉริยะ Chaos theory

    ลำดับตอนที่ #3 : ทุติยบท:เปลี่ยนไป?

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 55


                ภายในเมืองอันดูสงบไร้ความวุ่นวาย บ้านช่องและผู้คนต่างอยู่กันอย่างมีความสุข เมืองแห่งนี้ประกอบไปด้วยบ้านซึ่งก่อสร้างด้วยไม้ล้วนๆสูงไม่เกินสามชั้นจัดสรรพื้นที่กันอย่างเป็นระเบียบตามแผนผังเมืองซึ่งวางไว้และไม่อาจจะมีผู้ใดกล้าละเมิดได้เพราะราชา ณ เมืองนี้เป็นผู้รักในความยุติธรรมและโกรธกริ้วง่ายมาก

                เมื่อใดมีผู้กระทำความผิดและราชาอารมณ์เสียแล้วล่ะก็อาจจะถึงขั้นประหารชีวิตได้เลยทีเดียว! ว่ากันว่าที่แห่งนี้ยังมีมุมมืดแอบซ่อนอยู่เพราะรู้ว่าไม่อาจจะเผยตัวจากที่ซ่อนมาได้เพราะเมื่อใดที่ราชารู้ชีวิตในมุมมืดจะถูกทำลายจนสิ้นซากทันที

                แล้วในสถานที่แห่งหนึ่งของเมืองนั่นเอง... สถานที่ซึ่งดูภายนอกเปรียบเสมือนร้านขายนาฬิกาเก่าๆตั้งโดดเด่นท่ามกลางร้านขายอาหารรอบข้าง

                เมื่อได้ก้าวเท้าเข้าไปข้างในบ้านหลังนี้ ลองขึ้นบันไดไปสู่ชั้นสองเสียงเอี๊ยดๆแอ๊ดๆของไม้ก็ร้องเตือนให้สัญญาณทุกคราจนกระทั่งได้หยุดลงตรงหน้าประตูไม้เก่าๆโทรมๆ

                ก็อกๆๆ... ก็อกๆ ...ก๊อกๆๆๆ

                ประตูค่อยๆเปิดออกแต่ทว่ามีชายหนุ่มผมรกรุงรังไม่ต่างจากรังนกโผล่หัวออกมา “วันนี้มาเอายี่ห้ออะไร?”

                “ระฆังสีทอง ณ เมืองหิมะตัวเรือนเคลือบด้วยทองคำ วางกลไกเวลาเดินถอยหลังจากขวาไปซ้าย สายหนังสีดำราคายุติธรรม... ซ่อมเสร็จหรือยัง?” น้ำเสียงเฉยชาของชายหนุ่มหนวดเครายาวลากพื้นสวมบ็อกเซอร์ตัวเดียวกับรองเท้าแตะแม้ว่าอากาศจะหนาวหรือร้อนเพียงใดก็ตามที เขามาทำอะไรกันแน่?หนุ่มหนวดยาวยืนรอชายหนุ่มผมรุงรังประมาณไม่ถึงวินาทีเดียวประตูก็อ้ากว้างต้อนรับทันที

                แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มสวมบ็อกเซอร์ตัวเดียวจะได้เข้าไปภายในห้องลึกลับด้วยเท้าทั้งสองข้างจริงๆเสียงหนึ่งก็ดังทักทายขึ้น “ข้ารอคนสายอยู่นานแล้วนะ”

                “คงไม่ได้ไปคุ้ยขยะจนเพลินใช่ไหม?” ชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ริมหน้าต่างเอ่ยทักทายร่วมด้วยอีกคน โดยภายในห้องลึกลับนี้มีโต๊ะยาวกับเก้าอี้ทั้งสิบสามตัววางเรียงกัน โดยที่ชายหนุ่มหนวดยาวดูจะไม่สนใจคำพูดของใครทั้งสิ้นนั่งลงไปยังตำแหน่งเก้าอี้ตัวเดียวที่ว่างอยู่

                “เอาล่ะๆเรามาพูดกันต่อเรื่องทำลายระฆังนั่นจะดีกว่า ...ไซดิสคุณว่าไงบ้าง?” ชายชรา ณ มุมโต๊ะ เนื่องจากการตรวจเข้มของคนคุ้มกันจึงไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าของชายชราผู้นี้ได้เลยแม้แต่น้อย

                ชายหนุ่มสวมแว่นซึ่งนั่งอยู่ข้างกายชายชราหันมองออกไปทางหน้าต่าง ก่อนที่จะเอ่ยตอบชายชราไป “เวลายังไม่เหมาะ... เมื่อไหร่ที่บรรยากาศเปลี่ยนไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม เมื่อนั้นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การจะลงมือทำที่สุด”

                “เวลาไม่เหมาะ? นี้เราต้องทนรอไปถึงเมื่อไหร่กัน!” เสียงโทนเดียวกับที่เอ่ยถากถางคนมาสายว่ารออยู่นานแล้ว เสียงนี้เองกำลังเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งแสดงท่าทีไม่พอใจนักกับความเห็นที่ได้จากไซดิส

                “สงครามซินะ!!” ชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ริมหน้าต่างเอ่ยขัดขึ้นมา ณ​ที่ประชุมซึ่งการเอ่ยคำๆนี้ออกมาก็เล่นเอาทุกคนหันไปมองผู้ที่เอ่ยมาออกทันที “ข้าว่าอีกไม่ถึงเดือน... ข้าพอจะทำให้ได้นะ”

                “ห๊ะ!สงคราม” เจ้าคนมาสายคนสุดท้ายอย่างเจ้าบ็อกเซอร์ตะโกนลั่นห้องไม่รู้ว่าต้องการยั่วให้คนโมโหหรือเรียกร้องความสนใจกันแน่ “ข้าไม่ชอบสงคราม... ข้าไม่เอาๆ”

                “งั้นในเวลาหนึ่งเดือน... เจ้าลองสร้างบรรยากาศใหม่ให้กับที่นี้ดูหน่อยซิ  ถ้าทำได้คำที่ข้าพูดจะถือเป็นอากาศไป” หนุ่มข้างหน้าต่างเอ่ยท้าทายเจ้าบ็อกเซอร์ซึ่งดูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังโดนท้าทายอยู่ แต่เจ้าบ็อกเซอร์กลับพยักหน้ารับคำอย่างฉับไวโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

                “หัวหน้าครับ... หน่วยลาดตระเวรกำลังจะมาที่นี้!!” เสียงของชายหนุ่มผมรกรุงรังเอ่ยบอกกับทุกคนในห้อง

                “งั้นก็แยกย้าย” การกล่าวปิดประชุมสั้นจากปากชายชราก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปตามทางลับของตนและวิธีการที่แตกต่างกัน

                แต่ทว่าภายในห้องยังคงมีหนุ่มหนวดยาวรองเท้าแตะกับบ็อกเซอร์นั่งเครียดอยู่ภายในห้องกับไซดิสซึ่งนั่งเงียบๆมองคนมาสาย

                “ได้ยินข่าวว่าพบคนต่างถิ่นเข้ามาที่นี้... ว่างๆก็ลองไปดูที่บ้านเสนาธิการฝ่ายซ้ายดูซิไม่แน่อาจจะเจอก็ได้” ไซดิสเอ่ยขึ้นมาลอยแล้วก็นั่งหมุนเหรียญเล่นบนโต๊ะ

                แม้ว่าคำพูดลอยๆนั่นจะลอยไปไหนต่อไหนแต่ครั้งหนึ่งก็เคยผ่านหูชายหนวดยาวมาแล้ว เขาคงจะเข้าใจดีว่าไซดิสต้องการจะสื่ออะไร

                ฟุบ!

                หนุ่มบ็อกเซอร์ลุกขึ้นยืนและยกมือขึ้นเกาหัวเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีมึนๆไปเล็กน้อย

               

                ---
                เมื่อหลายวันก่อน...

                เปรี้ยง!

                เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องทั่วนภา ฝนตกลงมาอย่างหนักไม่ต่างจากเวลาที่อาบน้ำโดยใช้ฝักบัวฉีดจ่อหัวทั้งวัน สีของท้องฟ้าดูราวกับโกรธใครมาก็ไม่รู้

                สิ่งเดียวที่รับรู้คือเสียงฟ้าผ่าเมื่อครู่ได้ปลุกร่างชายหนุ่มผู้นอนอยู่ท่ามกลางพื้นหญ้าและพงไพรเขียวขจีให้ตื่นขึ้น

                สายตาของเขาดูแตกตื่นมึนงงกับภาพที่เห็นราวกับไม่เคยพบเจอมาก่อน ...กับแค่ใบหญ้าหลากสีสันกับต้นไม้เล็กๆซึ่งรุมล้อมตัวเขาเอาไว้

                คำถามภายในหัวของเขาอาจจะเป็นที่นี้ที่ไหน? หรือไม่ก็จะทำอย่างไรต่อไป... แต่สิ่งหนึ่งที่สองเเขนกอดเอาไว้แน่นคือกระเป๋านักเรียนกับตุ๊กตาตัวเล็กน่าเอ็นดู

                “ให้ตายซิเปียกหมดเลย” เจ้าตุ๊กตาเพศผู้ร้องโวยวายอยู่กับตัวเองเพราะตนเองทำขึ้นมาจากผ้าย่อมทำให้เกิดคราบได้ง่าย “จันทร์ข้าว่าเจ้าเปลี่ยนไป”

                “ขอโทษนะช่วยอยู่เงียบๆหน่อยจะได้ไหม?” เสียงนุ่มลึกของชายหนุ่มเอ่ยกับเจ้าตุ๊กตาอย่างอารมณ์เสีย “มังกรอาจจะอยู่แถวๆนี้ก็ได้ ...ทางที่ดีน่าจะลองหาที่ซ่อนปลอดภัยซักที่ดูก่อน”

                “ตายๆๆพู่กันขนแกะของข้า” เจ้าตุ๊กตาร้องโอดครวญเบาๆด้วยแววตาเศร้าหมอง แต่ชายหนุ่มดูไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นกอดกระเป๋าและตุ๊กตาไว้แน่นแล้วเดินลัดเลาะไปตามป่าด้วยบาดแผลที่เท้าซึ่งเจ็บหนักเอาการอยู่

                ในเวลานี้ชายหนุ่มคงจะเหมือนเดาสุ่มเส้นทางแต่ความจริงนั้นเปล่าเลย นัยต์ตาของเขากำลังมองหาชุมชนจากต้นไม้ซึ่งถูกตัดออกไปบ่งบอกว่ามีคนอาศัย ณ บริเวณใกล้ๆกัน

                เสียงฟ้าร้องดังจนไม่ได้ยินเสียงอื่นๆมากนัก นัยต์ตาก็มองไม่ชัดเจนนัก ยิ่งบาดเจ็บหนักทำให้ชายหนุ่มฝืนตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป

                ปึง!

                ร่างของเขาเหนื่อยล้าและล้มลงกับพื้นอย่างสิ้นท่า ปอดสองข้างพยายามกักเก็บลมหายใจบริสุทธิ์เอาไว้ให้มากๆเพื่อฟอกเลือดเสียกลับมาใช้งานโดยไว ชายหนุ่มคงจะไม่รู้ตัวว่าทำไมตนเองถึงได้มีพละกำลังมากขึ้น แขนขาก็เหมือนกับดูใหญ่และยืดยาวขึ้นแต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับตัวเอง... เหมือนร่างกายเปลี่ยนแปลงไปสักอย่าง?

                 ...ในขณะที่หูแนบดิน ลมหายใจรอยรินใกล้สิ้นชีพเสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นในห้วงระหว่างสติกับจิตใต้สำนึก มันคือเสียงร้องของม้า ฝีเท้าของมันกำลังใกล้เข้ามาทุกที

                “อย่าเพิ่งหลับนะ” ...หนุ่มผู้กอดตุ๊กตากับกระเป๋าแน่นรู้สึกตัวว่ามีคนกำลังอุ้มตนขึ้นมาจากพื้นดินซึ่งเปียกเเฉะ อ้อมกอดซึ่งเต็มไปด้วยไออุ่นกับแขนใหญ่ๆโอบร่างชายหนุ่มซึ่งกึ่งหลับกึ่งตื่นเอาไว้

                ฟุบ~

                ร่างของหนุ่มน้อยถูกพาขึ้นไปอยู่บนตัวม้า โดยหนุ่มน้อยพยามที่จะลืมตามองว่าใครที่เข้ามาช่วยแต่ภาพมันมัวจนมองไม่ชัดเจนนัก

                “ให้ข้าดูแลกระเป๋าเจ้าเอง ส่วนเจ้ากอดข้าเอาไว้ให้ดีๆล่ะ” หนุ่มน้อยยอมปล่อยกระเป๋าแต่โดยดี

    เมื่อใบหน้าของชายหนุ่มผู้บาดเจ็บเสียเลือดมากแนบชิดติดกับแผ่นหลังของชายหนุ่มอีกคนผู้เข้ามาช่วยเหลือก็รู้สึกบางอย่างขึ้น

    หน้าของหนุ่มน้อยขึ้นสีแดงอ่อนๆราวกัคนมีไข้สูง รอยยิ้มจางๆก็พลันปรากฏบนใบหน้าของเธอ

    “กอดข้าไว้แน่นๆแล้วเจ้าจะรอด” ชายหนุ่มเจ้าของม้าตะโกนสู้เสียงฝนพร้อมกับมือหนุ่มน้อยเอามารัดเอวตนไว้

    กร็อบๆๆ

    เสียงม้าวิ่งอีกครั้งพร้อมกับร่างชายหนุ่มผู้เป็นดั่งฮีโร่หอบหายใจเหนื่อยเป็นพักๆ

     

    ...

    และแล้วเวลาก็ลงเลยไป... แสงสีทองจากนอกหน้าต่างกำลังส่องตาฉันจนต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างจำยอมต่อแสงสว่างของตะวัน

    “ตื่นแล้วๆ” เด็กสาวน่าจะรุ่นเดียวกันกับฉันนั่งอยู่ข้างกายพร้อมกับผ้าและน้ำอุ่นซึ่งวางไว้อยู่ข้างๆบ่งบอกว่าเมื่อคืนใครเช็ดตัวและ... เปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับฉัน

    “อย่าเพิ่งลุกนะคะ เสียเลือดไปมากเดี๋ยวจะหน้ามืดเอา” เด็กสาวประมาณมอต้นยิ้มให้กับฉันด้วยความเป็นมิตร “ข้าอาเรีย ไม่รู้ว่านายชื่ออะไรหรอ?”

    “นาย...? คือฉัน ...เรียกฉันว่าจันทร์ก็ได้” ฉันตอบเด็กสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับเสียงของผู้ชายอาจจะเป็นไข้ขึ้นสูงจนเสียงเปลี่ยนไปก็เป็นได้

    “จันทร์หรอ... ฟังหวานๆจัง” สาวน้อยเอ่ยเสียงใสกับนัยต์ตาเธอมองฉันราวกับเทพบุตรอยู่ตรงหน้าเธอ

    “ของๆฉันล่ะ? กระเป๋า... ตุ๊กตา?”

    “อยู่กับฉันเอง” เสียงทุ้มๆของชายหนุ่มผมสั้นประบ่าสีทองสวมเสื้อสูทสีขาว-ดำ รองเท้าหนังหัวตัดดูเรียบร้อยและเท่ห์ดี แม้ว่านัยต์ตานั้นจะดูเย็นชากับทุกคนไปหน่อยก็ตาม “เดี๋ยวฉันจะไปเอามาให้”

    “ขอบใจนะ” ฉันตอบกลับไปสำหรับทุกอย่าง

    “...ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มนั่นมองตาขวางใส่ฉันราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่างแต่ฉันก้ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะสิ่งที่กังวนคือกระเป๋ากับตุ๊กตานั่นจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร

    “พี่จันทร์เล่นตุ๊กตาอย่างกับผู้หญิงเลย” หนูอาเรียเอ่ยกับฉันราวกับว่าตัวฉันเองเหมือนเป็นผู้ชายยังไงชอบกล

    “เฮ้อๆ” ฉันไม่เคยถูกใครว่ามาก่อนว่าเหมือนทอม นี้เป็นครั้งแรกในชีวิตและรู้สึกแปลกกับตัวเองขึ้นมา

    “พี่จันทร์นอนให้สบายเถอะ อ้อ!อย่าเสียงดังไปนะถ้าพ่อกลับมาได้ยินหรือเห็นพี่จันทร์เข้านะ พ่อเอาหนูกับพี่ตายแน่!” อาเรียเอ่ยเตือนด้วยท่าทีหวาดระเเวงไปมา “ลูกน้องพ่อชอบฟ้องพ่อตลอดทางที่ดีพี่น่าจะนอนพักนิ่งๆก็พอ”

    “ฉันอยากได้น้ำ” ความรู้สึกกระหายน้ำทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเรียกร้องขอน้ำจากเหยือกข้างๆเตียงนอน

    “อ้อ...” อาเรียบริการเทน้ำให้เสร็จสรรพพร้อมทั้งช่วยพยุงให้ฉันลุกขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกหนักๆร่างกายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนไม่ใช่อาการคนมีไข้เลยแม้แต่น้อย

    เมื่อรับแก้วน้ำมานั้นเองมือหนึ่งก็กระดกจนหมดพอดี แต่ภาพที่สะท้อนออกมาจากแก้วว่างเปล่าในมือทำให้หัวคิ้วทั้งสองข้างของฉันค่อยๆวิ่งเข้าหากัน

    ...

    !!!!!!!!!!!!!!   

    รูปที่1 :ราฟาเอล  ซันซิโอ  ตุ๊กตาศิลปิน ความสามารถ:สร้างสิ่งของด้วยพู่กันและน้ำหมึก

     
     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×