ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามเด็กอัจฉริยะ Chaos theory

    ลำดับตอนที่ #1 : เกริ่น:หน้าประตูแห่งบทความ

    • อัปเดตล่าสุด 9 ธ.ค. 54


    บทนำ

                เมื่อในหมู่ดาวบนท้องฟ้าซึ่งทอประกายแสงสว่างน้อยๆประดับท้องฟ้ายามค่ำคืน หากแต่ว่ายามนี้แล้วโรงเรียนแห่งหนึ่งยังคงสว่างไสวโดยเฉพาะห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนที่ยังคงเปิดแสงไฟอยู่ นอกจากแสงหลักจากจันทราซึ่งส่องทอแสงเมื่อครั้นราตรีกาล คำว่าจันทราคือชื่อจริงของเด็กนักเรียนคนสาว เธอเป็นคนซึ่งมักจะกลับบ้านดึกๆเป็นประจำหลังจากได้วางแผนทำโครงการประกวดงานวิจัยระดับจังหวัดและการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นส่งครูผู้ช่วยอยู่ ณ ห้องคอมพิวเตอร์ประจำโรงเรียนแห่งนี้

                นักเรียนสาวน่ารักมัดเปียสวมแว่นกรอบหนาๆ ริมฝีปากเธอเรียวบางแลดูสีสดใสราวกลีบกุหลาบแรกแย้ม และที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือดวงตาภายใต้กรอบแว่นนัยต์ตานั้นมีสีน้ำตาลเข้มช็อกโกแลตแลจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่บ่อยครั้ง ...ไม่แปลกที่จะเสียสายตาแล้วต้องใส่แว่นตั้งแต่ยังเด็กอยู่เลย เมื่อมองภาพรวมแล้วถึงแม้ใบหน้าเธอจะดูทรงเสน่ห์ น่ารัก ดูไร้เดียงสาในแบบดาวโรงเรียนมอต้น หากแต่ว่าทุกคนรู้ดีเธอคือเด็กเรียนเก่งคนหนึ่งแล้วมีชอบคบเพื่อนที่ประวัติไม่ค่อยจะดีนัก

                “ห้องจะปิดแล้วนะ” เสียงแก่ๆจากภารโรงวัยชราคนประจำเอ่ยบอกนักเรียนสาวน้อยซึ่งกำลังนั่งจดๆจ่อๆหน้าคอมอยู่กับคุณครูสาวประจำห้องเก็บข้อมูล

                ภายในห้องนี้ซึ่งกว้างขวางมาก ยังคงมีมุมหนังสือวางเรียนเป็นชั้นเรียงเป็นรูปคลื่นแปลกตากับสีห้องสีฟ้าสว่าง ห้องแห่งนี้เปรียบได้กับแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ซึ่งรวบรวมจากทุกหนแห่งทั่วโลกทั้งหาง่ายและยากสุดๆ ดังนั้นจึงไม่เเปลกที่จะมีคุณครูประจำห้องกำลังนั่งจัดการใบหน้าด้วยเครื่องสำอางอยู่รอเด็กนักเรียนมอต้นที่ยังไม่ยอมกลับบ้านซะที

                “คะ!” นักเรียนสาวรีบเร่งมือแล้วปิดคอมเพื่อไม่อยากให้พี่ภารโรงต้องมาลำบากใจ แต่ดวงตาของสาวน้อยมอต้นนั้นแสนเศร้าสร้อยหมองหม่นยิ่งนักเมื่อมันถึงเวลากลับบ้านเสียที

                “เสร็จแล้วหรอ?” เพื่อนสาวอีกคนที่ยังอยู่ภายในห้องเก็บข้อมูลกระโดดเด้งตัวเองขึ้นมาจากเบาะหลังตู้หนังสือหลังจากที่เห็นเด็กแว่นหรือหนูจันทร์เพื่อนเธอรีบปิดคอมทำท่าว่าจะกลับบ้านซะที เพื่อนหนูจันท์ไว้ผมสั้นประบ่า ดวงตาสีน้ำตาลหมองหม่นแต่ดูเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ...หากแต่ว่าเมื่อมองมาที่หนูจันทร์สาวแว่นกรอบหนาๆ  แววตาคู่นั้นกลับทอประกายอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งคู่คงจะดูไม่เข้ากันนักเพราะว่าจันทร์สวมชุดเรียบร้อยหมดจดต่างจากเพื่อนสาวของเธอซึ่งชุดหลุดลุ่ยปล่อยชายเสื้อออกมานอกกระโปรง บ่งบอกได้ดีถึงนิสัยรักสบายและไม่ชอบอยู่ตามกฏระเบียบมากนัก

                “ก็บอกอิงแล้วไงให้กลับไปก่อนได้เลย” จันทร์... เด็กมอต้นสวมแว่นลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังจากคอมพิวเตอร์ถูกปิดลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

                “จะปล่อยให้กลับคนเดียวได้ไง” อิงฟ้า...เพื่อนหนูจันทร์ท่าทางห้าวๆผมสั้นถกแขนเสื้อขึ้นสูงด้วยความร้อนเพราะเเอร์ภายในห้องถูกดับลงแล้วเรียบร้อย “กลับๆๆๆๆ... เย้ๆ”

                แล้วอิงฟ้าก็ก้าวนำหนูจันทร์เดินมาถึงที่เคาเตอร์ซึ่งมีกระเป๋าสองใบวางไว้อยู่ ในขณะที่ครูประจำห้องเองก็กำลังจะเก็บข้าวของกลับบ้านเช่นกัน

                “สวัสดีค่ะครู” หนูแว่นเรียบร้อยกล่าวลาอาจารย์ ในขณะที่เพื่อนสาวห้าวของเธอคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปทันที จนหนูจันทร์ต้องรีบเดินออกจากห้องไปหาอิงฟ้าเพื่อนเธอทันที “ก็บอกอิงแล้วว่าน่าเบื่อหน่อย”

                “ไม่หน่อยแล้วล่ะ ถ้างานนี้เสร็จคราวหน้า ฉันจะไม่ให้จันทร์เข้าห้องบ้านี้อีกเป็นเดือนแน่” สาวผมสั้นทำหน้าเบื่อหน่ายสุดๆหลังจากก้าวเท้าออกจากห้องคอม

                “จ๊ะๆ แม่อิง” หนูจันทร์ประชดเพื่อนสาวผมสั้นของเธอ แต่ดูเหมือนอิงฟ้าจะไม่ได้สนใจอะไร

                ‘อิงฟ้า’ สาวเท่ห์ตัดผมสั้นเพราะดันตัดผมทรงแปลกๆมาโรงเรียน ...เธอมักจะมีปัญหากับครูอยู่บ่อยๆแต่หลังจากได้คบกับจันทร์ที่แสนจะเรียบร้อย ความถี่ในการเข้าห้องปกครองก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

     

                เวลาผ่านไปทั้งคู่ก็ก้าวเท้าออกจากอาณาเขตโรงเรียนหรือสถานที่แห่งการเรียนรู้ ...ถึงบ้านจันทร์จะอยู่ใกล้โรงเรียนมากแต่อิงก็ไม่เคยไว้ใจให้เธอกลับบ้านคนเดียวดึกๆสักเท่าไหร่นักเพราะว่ามักมีพวกขายยาเดินกันให้ว่อนไปหมดช่วงดึกๆ

                “กลับบ้านดึกๆอย่างนี้ไม่กลัวโดนโจรดัก อันธพาลยิง หมากัดหรือไง” อิงฟ้าทำท่าเดินมองสิ่งต่างๆรอบข้างทางไปเรื่อยๆราวกับว่าที่เธอเอ่ยไปนั้นเป็นเพียงคำลอยๆเตือนสติหนูจันทร์ไม่ให้กลับบ้านดึกๆจนติดนิสัยแบบเธอเพราะอิงฟ้ารู้ดีว่าหนูจันทร์อ่อนต่อโลกเพียงใด!

                จันทร์หันไปหาเพื่อนสนิทด้วยแววตาเป็นมิตร “ก็มีอิงอยู่นี้แล้วไง”

     

                เหอะๆ

                อิงฟ้าหัวเราะในลำคอเบาๆล้อเลียนจันทร์ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้... มือของอิงฟ้าก็รีบล้วงเข้าไปในกระเป๋านักเรียนใบใหญ่ด้วยท่าทีตกใจ

                “ลืมอะไรหรอ?” จันทร์ขมวดคิ้วสงสัยเพื่อนว่ากำลังทำหาอะไรอยู่?

                “เฮ้ๆวันนี้วันเกิดเธอไม่ใช่หรอ?” อิงฟ้าหยิบเอาตุ๊กตาผ้ารูปร่างเหมือนคนตัวเล็กๆหัวโตๆสวมแว่นน่ารักน่าชังยื่นให้กับจันทร์เป็นของขวัญวันเกิด “ลูบหัวได้นะ ...มันจะมีเสียง”

                 จันทร์เผยยิ้มแก้มปริรับของขวัญจากเพื่อนเอาไว้ “ขอบใจนะ ...แต่ว่าวันเกิดฉันวันพรุ่งนี้ต่างหาก”

                คำขอบคุณสั้นๆเป็นสิ่งตอบแทนน้ำใจเพื่อนสนิทอย่างอิงฟ้า

    แม้ว่าอิงฟ้าจะไม่ถนัดเลือกของขวัญสักเท่าไหร่แล้วหวังอยู่ในใจลึกๆว่าจันทร์จะชอบมัน เหมือนที่เธอเห็นว่ามันน่ารักดี

    คำแก้เขินของอิงฟ้าเพื่อกลบเกลื่อนความเข้าใจผิดหรือความทรงจำเรื่องวันเกิดอันไม่ได้เรื่องก็คือ “ฉันอยากให้ของขวัญเธอคนแรกต่างหากล่ะ แล้วนี้ก็เป็นวูดูร่างทรงของจันทร์ ถ้าฉันเกิดเก็บไว้แล้วนั่งทับแบนขี้แตก ...เธอจะทำไง?”

    “กลัวฉันจะแบนว่างั้น” หนูจันทร์ยิ้มๆแล้วยักคิ้วมองอิงฟ้าที่หลบหน้าไม่กล้าสบตา

     

                “ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” อิงฟ้าโบกมือลาเพื่อนสาวแสนเรียบร้อยของเธอ เด็กสาวมอต้นซึ่งแสนจะอ่อนโยนแล้วอ่อนแอเสียเหลือเกิน

                “ไว้เจอกัน ...บาย” จันทร์เดินเข้าไปในบ้านของเธอเอง โดยที่แสงสว่างยังเปิดจ้าทั่วบ้าน เจ้าน้องชายต่างพ่อก็กำลังนั่งเล่นเกมอยู่ ส่วนพ่อเลี้ยงเองก็คงกำลังนั่งทำงานอยู่ชั้นสองของบ้านแน่ๆ มีเพียงแม่เธอที่ยิ้มทันทีที่เห็นลูกสาวเดินกลับบ้านมาด้วยท่าทีเป็นห่วงนักหนา

                “กลับมาแล้วหรอจ๊ะ” หญิงสาววัยกลางคนยืนรอจันทร์จนดึกโดยที่ตนยังไม่ได้กินอะไรลงท้องตั้งแต่ตอนเย็นเลยด้วยซ้ำไป “หิวไหมเดี๋ยวจะได้หาอะไรให้กิน”

                “ไม่หรอกคะ” หนูจันทร์ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายพร้อมกับแววตาซึ่งเปลี่ยนไป นัยต์ตาสีน้ำตาลหมองหม่นหลบหน้าหลบตาแม่แท้ๆของเธอแล้วเดินขึ้นไปชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องนั่งเล่นอย่างไม่สนใจแม่ตัวเองเท่าไหร่นัก

                ตึงๆๆๆๆๆ!!!

                ใครจะไปรู้ว่าการกระทำของจันทร์ระหว่างที่โรงเรียนกับที่บ้านนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง สาวน้อยรีบเข้าห้องนั่งเล่นโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกใดๆจากภายนอกประตูห้องซึ่งล็อกเรียบร้อย

                ห้องนั่งเล่นแห่งนี้... คือแหล่งรวมคนในครอบครัวแล้วเป็นแหล่งกักตุนขนมคบเคี้ยวชั้นเยี่ยม มันจึงเป็นสถานที่แรกๆซึ่งควรมานั่งเล่น กินขนมรองท้องก่อนจะอาบน้ำช่วงดึก ประตูก็ล็อกเรียบร้อยคงจะไม่มีใครเข้ามากวนใจจนกระทั่งเจ้าน้องชายต่างพ่อตัวดีจะเข้านอนประมาณ3ทุ่มนั่นล่ะพ่อเลี้ยงถึงมาไล่เธอไปนอน มือนวลๆผิวขาวๆอมชมพูคว้ารีโมทกดเปิดโทรทัศน์จอพลาสม่า 65 นิ้ว ดูแก้เซ็งด้วยทั้งชุดนักเรียนซึ่งเหม็นอับ ...จะมีใครรู้ไหมว่าจอพลาสม่านั้นเก่งที่สุดแล้ว จอLEDหรือจะมาสู้ได้ อุณหภูมิของจอLEDน่ะประมาณเดียวกับการอ๊อกซ์เหล็กได้เลยทีเดียว  แน่นอนมันทำให้คนตาบอดได้ถ้าจ้องมันนานๆ ถึงจะให้ภาพที่มันชัดเจนขึ้นก็ตาม หลังจากจอพลาสม่าออกมาแก้ข้อเสียเรื่องกินไฟและแสงสะท้อนได้ จอชนิดนี้ก็กลับมาฮิตอีกครั้ง

                พรึบ!

                จอโทรทัศน์ทำงานได้คมชัดเมื่อดูกับรายการจากทางสถานีโทรทัศน์ แล้วภาพตรงหน้าคือผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานข่าวรอบวันที่ผ่านมา

                จันทร์นั่งลงบนเบาะของโซฟา นิ้วเรียวๆวางรีโมทไว้ข้างกาย ในขณะที่อีกมือหนึ่งนวดขมับตัวเองเบาๆ

                เปลือกตาเธอปิดลงแต่เสียงจากลำโพงรอบห้องยังคงดังอยู่ สาวน้อยเบื่อกับการต้องการมาที่บ้านหลังนี้ ...เบื่อบ้านที่เธออยู่แล้วไม่มีความสุข

                พรึบ!!?

                “ช่วยด้วย!?” เสียงชายหนุ่มที่ไม่คุ้นเคย แต่ฟังดูใกล้ตัวจนเธอต้องเปิดเปลือกตามองหาเจ้าของเสียงนั่นด้วยความตกใจ

                “ช่วยฉันด้วย!!” ที่แท้ก็มาจากโทรทัศน์หนูจันทร์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ภาพบนจอแสดงถึงชายหนุ่มกำลังยืนมือออกมาจากทีวีให้ได้

                แน่นอนว่าระบบ3มิติทำงานได้อย่างดีเยี่ยม แม้แต่ภาพมือที่ยื่นออกมาจากจอโดยไม่ต้องสวมแว่นก็ทำออกมาได้สมจริง ถ้าเป็นหลายปีก่อนคงจะตกใจเก้าอี้หงายไปแล้ว!

                “สะ...สาวน้อยช่วยฉันที!?” เสียงชายหนุ่มร้องอ้อนวอนเหมือนกำลังพยายามคุยกับสาวน้อยหน้าจอโทรทัศน์ตัวเป็นๆอยู่ หนูจันทร์มองดูโทรทัศน์พลางขมวดคิ้วเพราะนิ้วเธอกดเปลี่ยนช่องหนีไปไหนไม่ได้คำตอบเดียวมันคงจะพลังงานหมด!!

                ...จะบ้าตาย!!

                เด็กสาวมอต้นหันมองดูรีโมทซึ่งเพิ่งชาร์จมามาดๆแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่ทำหน้าที่ตามคำสั่งเสียที หรือว่ามันเสื่อมแล้ว?

                จันทร์ลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อกดเปลี่ยนช่องจากตัวโทรทัศน์เอง นิ้วสาวน้อยในชุดนักเรียนยื่นไปแตะปุ่มเปลี่ยนช่องเบาๆหากแต่ว่า...

                หมับ!!!?

                มือของชายหนุ่มในจอมันยื่นออกมา... หนูจันทร์รู้สึกได้ว่ามีคนจับข้อมือเธอไว้อยู่

                “ชะ... ช่วยฉันด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงอ้อนวอนแล้วใกล้หูจนเด็กสาวมอต้นต้องตื่นตระหนก เมื่อพบว่าใบหน้าชายหนุ่มนั้นยื่นหลุดออกมาจากจอโทรทัศน์ได้จริงๆ!!

                ไม่เคยมีตรรกะใดๆ บทวิจัยจากมหาวิยาลัยใด สมมุติฐานอะไรหรือข้อมูลจากชาติไหนที่เธอเคยเห็นว่าโทรทัศน์สามารถทำงานแบบนี้ได้!!

                “ปล่อยนะ!!”สาวน้อยสะบัดแขนสุดแรงหากแต่ว่าชายหนุ่มกลับยิ่งกำแน่นมากขึ้นไปอีก “ฉันเจ็บนะ”

                “ช่วยด้วย”

                พรึบ!!!!!

                โฮก!!!!!!!!~~~~

                เสียงสัตว์ขนาดใหญ่บางตัวที่เธอไม่เห็นกำลังร้องคำรามเสียงดังอยู่ภายในจอโทรทัศน์จนน่ากลัว เรี่ยวแรงอันหนักหน่วงของชายหนุ่มไว้เครากำลังกระชากร่างสาวน้อยเข้าไปในจอพลาสม่า!!!

                ไม่!!

                “ช่วยด้วย!!” เสียงของหนูจันทร์ตะโกนดังลั่นทั่วห้อง หากแต่ว่าเธอคงจะลืมไปว่าห้องนี้เก็บเสียงได้ดียิ่งนัก แถมประตูก็ปิดผนึกเอาไว้เสียด้วย

                “ช่วยด้วยๆ!!!!!” หนูจันทร์ร้องเสียงดังสุดชีวิตเพราะแรงมหาศาลกำลังดังเธอไปในจอ แล้วแรงเธอสู้ก็เยื้อเอาไว้ไม่ได้แล้ว สาวน้อยกำลังจะพุ่งเข้าไปในจอพลาสม่าจริงๆ

                มะ... มือถูกกลืนเข้าไปในจอเรียบร้อยแล้ว

                ไม่ๆ!!!

                ปล่อยฉันนะ!!!

                พรึบ!!!!!

                ร่างจันทร์กระเด็นเข้าไปในจอพลาสม่าเรียบร้อย

     

    เป็นเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง แม่ของจันทร์เดินขึ้นมาชั้นสอง ณ ห้องนั่งเล่นพร้อมกับข้าวต้มอุ่นๆ ...มือของแม่หนูจันทร์ค่อยๆเลื่อนประตูแต่พบว่ามันล็อกอยู่ ทำให้หญิงสาวต้องใช้กุญแจดอกเล็กในการเปิด

                ครืนๆ

                ประตูเลื่อนเปิดออก แม่หนูจันทร์พบว่าเสียงที่ดังออกมานอกห้องบ้างนั้นที่แท้ก็โทรทัศน์นั้นเอง สงสัยเจ้าตัวดีจะเข้าห้องนอนเร็วแล้วลืมปิดโทรทัศน์

                แม่หนูจันทร์วางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะแล้วคว้ารีโมทกดปิดโทรทัศน์ ก่อนจะปิดที่ตัวโทรทัศน์อีกครั้ง

                พรึบ!!

                จอพลาสม่าดำมืดเพราะถูกปิดจอไป แต่ระบบยังคงทำงานเพราะแหล่งจ่ายไฟยังส่งมาหล่อเลี้ยงโทรทัศน์เอาไว้

                แล้วจะทำยังไงล่ะที่นี้?

                แม่หนูจันทร์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกสาวเธอนั้นยังอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่ซิ!อยู่ในจอโทรทัศน์พลาสม่าขนาด 60นิ้วแสนแพง

                คงไม่มีใครช่วยจันทร์ได้นอกจากตัวเธอเองอีกแล้วล่ะ... 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×