ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    1 AM ; lonely but not alone [os/sf]

    ลำดับตอนที่ #3 : (OS) Strangers END

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 247
      21
      6 ส.ค. 61






    Just a story of two stranger fell in love



     

    D.O x Jay

     

     

     

    1

     



                กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงลอยวนอยู่ปลายจมูก มันเคลื่อนที่ผ่านตัวผมไปอย่างอ้อยอิ่ง เป็นเวลาเกือบสิบนาทีที่การมีอยู่ของเจ้าของน้ำหอมราคาแพงจะเดินออกไป ไม่นานผมได้ยินเสียงก้อนกรวดกระเด็นกระดอนตามแรงของล้อรถยนต์

     



                หน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ปล่อยให้สายลมหนาวลอดผ่านม่านสีขาวบาง มันเย็นเข้าไปในผืนผ้าห่ม แต่มันไม่ได้หนาวขนาดนั้น ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงยังไม่ยอมขยับ เปลือกตาสีไข่มุกปิดสนิท -- อกกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ ทว่าแผ่วเบาราวกับกลัวว่ามีใครจะรับรู้ว่ามีเด็กชายที่ไม่ยอมไปโรงเรียนนอนคดคู้อยู่ตรงนี้

     




                เป็นวันจันทร์ วันของสีเหลืองที่ผมโปรดปราน

     



                จนกระทั่งว่าผมแน่ใจว่าผมปลอดภัย

     



                ดังนั้นผมจึงลืมตา

     

     

                เพดานสีขาวที่มีรูปดาวแปะกระจัดกระจายเป็นสิ่งแรกที่ผมมองเห็น มันเป็นสติ๊กเกอร์นีออนที่ชานโยรุเพื่อนญี่ปุ่นร่วมห้องของผมให้มาเป็นของขวัญวันเกิด แสงแดดสาดส่องบนพื้นไม้ที่ตอนนี้มีสีไม้แท่งเล็กถูกวางทิ้งไว้ ข้างๆมีสมุดระบายสีที่ถูกเปิดทิ้งไว้เป็นรูปใบโคลเวอร์

     



                ใบไม้แห่งความโชคดี

     



                เหลือบตาเห็นว่ายังเหลือส่วนสุดท้ายที่ยังไม่ได้ลงสี เจ้าของชุดนอนสีเหลืองอ่อน มันจางจนคล้ายว่าจะซีดแต่ผมก็ยังไม่ยอมทิ้งมันอยู่ดี ฝ่าเท้าเล็กแตะลงกับพื้นไม้ ความอุ่นแล่นทั่วฝ่าเท้า แต่ละก้าวย่างของเด็กชายเงียบเชียบ

     



                เพื่อที่จะเป็นผู้ครอบครอง 30 เดซิเบลในจักรวาลสี่เหลี่ยมแห่งนี้

     



                ผมย่อตัวนั่งท่าขัดสมาธิ มองหาสีเขียวที่ต้องการ และผมก็เจอมันนอนกลิ้งอยู่ไม่ไกล -- เอื้อมไปหยิบแล้วจัดการระบายอย่างไม่เร่งรีบ สีบีตเตอร์กรีนถูกเติมเต็มในกระดาษขาว ค่อย ๆ ทีละน้อยจนท้ายที่สุดภาพใบไม้แห่งโชคเสร็จสมบูรณ์ พอดิบพอดีกับใครบางคนที่ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาในห้อง

     




                ผู้มาใหม่เข้ามาพร้อมกับถาดที่มีถ้วยน้ำชาคู่กับจานกระเบื้องที่มีขนมปังน้ำตาลถูกหั่นออกเป็นชิ้นส่วนเรียงสวยงาม ข้าง ๆ เป็นถ้วยกระเบื้องเล็กที่มีช็อกโกแลตสองชิ้นอยู่ในนั้น

     



                ผมหันไปส่งยิ้มให้กับเขา

     

     


                อรุณสวัสดิ์มาร์ช

     


                “เป็นวันจันทร์ที่อากาศดีว่ามั้ยครับคุณหนู” ชายวัยห้าสิบปลายๆตอบกลับมา วางถาดอาหารเช้าลงบนโต๊ะญี่ปุ่นใกล้ๆ มารเชลเป็นพ่อบ้านที่ทำหน้าที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง

     



                ถึงแม้ว่าจะอายุมากแล้วแต่เขาก็ยังจำส่วนผสมของกาแฟที่ผมชอบได้

     


                เป็นเพื่อนต่างวัยที่ทำให้วัยเด็กของผมไม่เหงาไปมากกว่านี้

     

                มาร์เชลสวมชุดพ่อสูทผูกหูกระต่ายเป็นทางการ เจ้าระเบียบเหมือนเคย ผู้อาวุโสประจำบ้านทรุดตัวลงข้างหน้าผม

     


                และผมรู้ดีว่าเขากำลังจะทำอะไร

     


     

                “วันนี้ไม่ไปเรียนอีกแล้วนะดีโอ”

     


                “โรงเรียนไม่เห็นสนุกเลย” ได้ยินเสียงเล็กๆของตัวเองตอบกลับไป

     


                มาร์ชมองหน้าผมไม่พูดอะไร ก่อนจะเอื้อมมือที่เริ่มมีรอยเหี่ยวตามกาลเวลาแล้วกดมันลงบนกลุ่มผมสีคราม ลูบมันไปมาเหมือนกำลังปลอบประโลม -- ปลอบตัวผม

     


     

                แต่แล้วยังไง

     

     


                “ผมสบายดี เช้านี้ไม่เจ็บเลย”

     


                “คุณท่านฝากจดหมายมาให้ครับ”

     

     

                ไม่มีใครทำให้ผมกลับไปเหมือนเดิมได้หรอก

     


     

                มาร์เชลดึงมือกลับ ล้วงเอาบางสิ่งในกระเป๋าเสื้อ ผมยื่นมือรับมันอย่างรู้งาน ความหยาบของเศษอะไรบางอย่างสัมผัสโดนมือผม คุณพ่อบ้านแสนใจดีกุมมือผมไว้แน่นก่อนจะปล่อยออก ชายชรายันตัวลุกขึ้นแล้วเดินจากไปท่ามกลางความเงียบ

     



                ลมพัดมาอีกระรอก แต่ครั้งนี้มันกลับเย็นเยียบกรีดผิวจนร่างบางรู้สึกชา

     



                เจ้าของกลุ่มผมสีครามเหลือบเทากำมือแน่น ก่อนจะคลี่ออกและคว่ำลง เม็ดทรายร่วงตามแรงโน้มถ่วง มันเป็นสีทองยิ่งเมื่อต้องกับแสงแดด เสียงทรายกระทบพื้นดังในความเงียบจนกระทั่งมีจดหมายอันเล็กตกลงเป็นอย่างสุดท้าย

     


     

                จดหมายสีเหลืองอ่อน เป็นสีเหลืองที่ผมโปรดปราน

     


               

                ผมได้รับจดหมายทุกวันหลังจากตื่นนอน ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าข้างในมีข้อความว่าอะไร มันก็เหมือนๆกันหมด ซึ่งผมไม่เคยต้องการ ตัดสินใจหยิบขึ้นมา หมุนดูอย่างพิจารณา ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้น เดินผ่านโต๊ะญี่ปุ่น และปล่อยให้จดหมายร่วงหล่นไปในถ้วยน้ำชาร้อน

               

     


                มันไม่มีค่าหรอก เพราะรู้ดีว่าความจริงคืออะไร อย่าใช้คำพูดปลอบโยนผมนักเลย

     



                อย่าให้ผมอ่อนแอไปมากกว่านี้

     

     


                ประโยคที่ว่า แม่รักลูกนะ หรือ พ่ออยู่ข้างๆลูกเสมอ

     



                ผมเกลียดมันทั้งหมด

               

               


     

               

    2.

     

     

               


                เช้าวันนี้อากาศดี แสงสีทองของอาทิตย์สาดกระทบกับทุ่งหญ้าเขียวขจี ดวงหน้าเล็กปิดเปลือกตานิ่งสนิท หลับฟังเสียงของสายลม กลิ่นแห้งของใบไม้และปล่อยให้ไอความร้อนแผ่กระทบบนเปลือกตา ไล่ลงไปยังปลายจมูก บนหยักริมฝีปากสวย

     



                ไม่นานผมได้ยินเสียงกระพือปีก

     



                มันอ่อนแอเมื่อเทียบกับแรงลมหวนของฤดูร้อน

     



                เจ้าสิ่งนั้นบินบนมาใกล้ปลายนิ้ว มันจวนเจียนจะแตะนิ้วเรียวหลายครั้ง ร่างผอมที่นอนอยู่บนเก้าอี้โยกสีขาวหลังบ้านปล่อยให้สรรพสิ่งรอบตัวหยอกล้อตามใจชอบ

     

     

                ไม่นานหลังจากที่มันบินวนจนแน่ใจ เจ้าของปีกเล็กก็หยุดอยู่บนก้านนิ้วเล็ก

     

     

                ผมลืมตาเพื่อมองหาเจ้าสิ่งนั้นที่ขัดขวางเวลานอนอันสงบสุขของผม และทันทีที่ผมลืมตา ผมเห็นผีเสื้อตัวหนึ่ง ปีกของมันร้อยเรียงเป็นสีน้ำเงินไล่ระดับ บ้างก็ม่วงอ่อน บ้างก็สีชมพูเข้ม ตัดสินใจขยับปลายนิ้วเล็กน้อยแต่มันก็ยังไม่ไปไหน

     



                รอยยิ้มแรกของวันสว่างไสว เด็กชายขยับมันเข้ามาใกล้ห่างจากริมฝีปากเพียงแค่คืบ

     


                น้ำเสียงหวานกระซิบบอกข้างปีกสวย

     

     


                “ไปเถิด...ไปให้ไกลจากที่นี่ ใช้ปีกของแกแล้วจงโบยบิน”

     

     


                เพราะถ้าผมเป็นผีเสื้อ ถ้าหากเป็นอย่างนั้น -- ผมจะใช้ปีกที่แสนงดงามนี้ บินหนีไป

     



                ที่แห่งนี้ไม่มีเกสรหอมหวาน หรือหากจะหวานคงเป็นความหวานที่แสนขม

     


     


                ไม่ถึงเสี้ยววินาที ผีเสื้อตัวนี้มันก็เริ่มขยับปีกแล้วบินจากไป ท่วงท่าของมันสวยงาม ยิ่งเป็นตอนแปดโมงที่อากาศดีอย่างวันนี้ เท้าเปลือยเปล่าก้าวไปด้านหน้า เจ้าของเรือนผมสีครามลึกลับหลงกลเจ้าผีเสื้อตัวน้อย ผ่านเข้าไปในสวนทานตะวันที่ผมบอกให้มาร์ชดูแลมันอย่างดี หนึ่ง เพราะมันมีสีเหลืองที่ผมหลงรัก และสองมันตกหลุมรักแสงแดดเช่นเดียวกับผม

     



                ผมออกมาไกลจากอาณาจักรของตัวเองมากกว่าทุกครั้ง พื้นที่ด้านหลังของบ้านผมเป็นเนินเขา ความจริงแล้วผมไม่ค่อยมาที่นี่ มันเงียบสงบ เงียบแต่บางทีบางครั้งตอนกลางคืนที่ผมมองลอดจากม่านสีขาว ผมเคยเห็นเงาของใครบางคนเดินวนไปวนมา

     

     


                เชื่อมั้ยว่าพอผมเล่าให้มาร์ชฟัง เขาบอกว่านั่นมันเหลวไหล

     



                ผีมีจริงที่ไหน อือ แต่ผมก็กลัวไปแล้ว

     

     

     

                “นั่นแกจะพาฉันไปอีกไกลแค่ไหน” ผมเอ่ยถาม

     



                และใช่มันตอบผมไม่ได้ เด็กชายทานตะวันจึงได้แต่ภาวนาว่าขอให้เขากลับไปทันครีมทีร้อนๆของมาร์ช มันอร่อยที่สุดแล้วบนเกาะแห่งนี้ ไม่ได้โม้เลยแถมอาฟเตอร์นูนทียังมีสโคน อบใหม่ๆ -- มาร์เชลเป็นพ่อบ้านที่ทำหน้าที่ทุกอย่างให้ผมแล้วล่ะ

     

     

                จนกระทั่งผมค้นพบว่าตัวเองได้มายืนอยู่บนผืนหญ้าสีเขียวและเนินเขาที่กว้างมหาศาลเหมือนเป็นมหาสมุทร ท้องฟ้าประดับด้วยเมฆปุกปุยลอยอ้วนเหมือนสายไหม มุมปากเล็กยกขึ้นเมื่อเจอหลุมหลบภัยที่ใหม่

     



                เท้าเล็กขยับไปด้านหน้า เส้นผมสีครามสะท้อนแสงแดดเหมือนกับยอดอ่อนของต้นหญ้าตอนที่โผล่ขึ้นรับแสงแดดตอนเช้า ผมยื่นนิ้วไปด้านหน้าหวังให้มันบินกลับมาหาผมอีกครั้งทว่าครั้งนี้มันกลับบินจากไปตลอดกาล

     

     



                สีเข้มของมันผ่านตาของผมไป เป็นสีดำเรียบสนิทของอะไรบางอย่างมาแทนที่

     

     


                เฮ้” ผมสบตากับเขา

     

     

                ดวงตาของเขาเป็นสีเข้มเหมือนท้องฟ้าตอนกลางคืน หน่วยน้ำคลอเป็นม่านใส มันสุขสว่างเหมือนกลุ่มดาวดวงเล็ก เขาตัวสูงกว่า ผิวของเขาเป็นสีแทนน้ำผึ้ง เขาสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยแจ็กเกตยีนส์ เส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงเหมือนเพิ่งตื่นนอน

     



                ริมฝีปากหนาของเขาฉีกยิ้มกว้างเหมือนกับว่ามีบางอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

     


     

                “เฮ้”

     

     

                “เฮ้”

     


     

                ผมตอบเขากลับไปคำเดิม และได้รอยยิ้มเจิดจ้ากลับมา

     



                เขาคนนี้สว่างไสวจนผมแสบตา ราวกับว่าดวงอาทิตย์ที่หายไป ลมเอื่อยของฤดูร้อนเย้าหยอกกับปลายผมของเขา

     


     

                “หลงทางมาเหรอคนแปลกหน้า” น้ำเสียงของเขาทุ้มเหมือนคีย์ต่ำของเปียโน

     


                ...ฉันไม่ได้หลงทาง ฉันตั้งใจ”

     

     


                ผมย่อตัวลงบนพื้นดิน ไม่ได้สนใจว่าคนแปลกหน้าจะลงมานั่งด้วยหรือไม่ แต่เขากลับไม่ลังเลที่จะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆผม บนเนินเขาตรงนี้ที่มองเห็นทะเล ผืนน้ำสีเขียวมรกตประกายระยิบระยับ เรานั่งอยู่ใต้ต้นอะไรสักอย่าง เนิ่นนานที่เราใช้สายลมแทนคำพูด

     


     

                คนแปลกหน้าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไม่เคยมีใครมาที่นี้นานแล้ว”

     

     


                ผืนดินตรงนี้คงจะเป็นที่ๆพิเศษน่าดู บางทีผมอาจจะหลงทางเหมือนที่เขาบอก

     

     

               

                “ฉันเป็นคนแรกเหรอ” หางตาของผมเห็นมุมปากของเขาเฉียงขึ้นเล็กน้อย

     

     

                “สำหรับฉัน ... นายเป็นคนแรก แต่คนอื่นฉันไม่รู้หรอกนะ”

     


                “อื้อ ฟังดูน่าสนใจ”

     

     

                “นายควรจะไปโรงเรียน” ผมยู่ปาก กอดเข่าสองข้างของตัวเองไว้หลวมๆ

     


               

                โรงเรียนสำหรับผมมันไม่จำเป็นหรอก การผูกพันกับใครซักคนมันน่ากลัว ผมไม่มีเพื่อนและไม่คิดจะมีซึ่งนั่นก็ดีแล้ว ผมจะได้ไม่เจ็บปวด

     


     

                ข้างในมันเต็มไปด้วยรอยร้าว มันกำลังจะพัง ใกล้จะสูญสลาย

               

     

                ผมเลยไม่ยอมให้ใครเข้ามาค้นหา -- มันถูกปิดตายไปตั้งนานแล้ว

     

     


                “นายคิดว่าจุดสิ้นสุดของโลกมันอยู่ที่ไหน” เขาเอนตัวลง ไหล่กว้างแนบกับพื้นดิน

     


               

                ผมครางรับในลำคอ ไม่รู้สิ ผมไม่เคยคิดถึงที่ๆห่างไกลขนาดนั้น มันไกลเกินไป ถึงแม้ว่าผมปรารถนาจะไปจากที่นี่มากแค่ไหนก็ตาม

     

               


                “แล้วนายว่าถ้านายไปที่นั่น นายจะหายไปรึเปล่า”

     

     

                “ไม่” ผมตอบ

     

     

                จุดจบของโลกไม่ใช่ดินแดนที่ไม่เคยมีใครค้นพบ

     

     

                “จุดจบของโลกคือตอนที่นายตกหลุมรักใครซักคนต่างหาก”

     

     

     

                ถึงตอนนั้นผมคงกลายเป็นคนที่เกิดรักตัวเองขึ้นมา เพราะการที่ผมรักตัวเอง

     


                ผมจะรักลมหายใจของตัวเองด้วยเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่, อยู่เพื่อรักเขาอย่างหนักหน่วง

     


     

                เด็กหนุ่มแปลกหน้าถอนหายใจ เขายกมือกอดอก หลับตาพริ้ม ผมลอบมองเขาอย่างเงียบๆแล้วตัดสินใจเอนตัวซุกกับพื้นดิน กิ่งก้านหนาและใบไม้ใบใหญ่เป็นเหมือนร่มคันใหญ่

     


     

                และผมกับเขาอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน

     

     

                แสงแดดตกกระทบกับผืนหญ้า ผ่านกิ่งก้านสาขาจนเกิดเงาขยับวูบไหวอยู่บนตัวของผมและเขา เหมือนกับเป็นศิลปะ มีคนละเลงสีน้ำบนตัวผม

     


     

                “นายไม่เคยอยากไปที่นั่นบ้างเหรอ” ทิ้งห่างเกือบหนึ่งนาที คนแปลกหน้าตอบผมกลับมา

     

     

                “ฉันคงไปไม่ถึง ร่างกายของฉันมันคงไม่รับฟังฉันอีกต่อไปแล้ว”

     

     

                “ทำไมล่ะ”



     

                ผมยกมือขึ้น กางนิ้วออก มองก้อนสีขาวเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่นานหยดน้ำก็ไหลกระทบกับผืนดิน

     


                ทีละหยด จนหลอมรวมเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็ก มันซึมลงไปในดิน

     

     

                เป็นเสียงทุ้มของเขาที่ดังขึ้นข้างใบหู

     

               


                “นายกำลังปลูกดอกไม้ที่นี่เหรอ” ผมหลับตา เม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นน่าอาย

     

     

                และมันเป็นวินาทีนั้น มือของเด็กชายแปลกหน้าวางลงบนหัวของผม ไม่รู้ว่าเราใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ น้ำเสียงของเขาหวานเหมือนวนิลา มันหนักแน่นแล้วก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ผมมองใบหน้ารูปสลักของเขาผ่านม่านน้ำตา เขาตะแคงข้างใช้ศอกยันกับพื้นดิน

     


     

                น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่ามันอุ่นขึ้น -- ผมร้องห้ามในใจ

     

     

                อย่าปล่อยให้เขาเข้ามาในอาณาจักร

     

     

                อีกครั้ง

     

     

                ดีโอ นายมันคืออลิซ

     

     


                “หากนายอยากจะปลูกดอกไม้ อย่าใช้น้ำตาของนายเพื่อที่จะรดมันเลย”

     

     

                ...” แววตาของเขาอ่อนโยนทว่าเข้มแข็งราวกับเขาผ่านมันมาแล้วทั้งหมด

     


     

                เป็นเหมือนปราสาททรายที่ถูกก่อขึ้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อถูกคลื่นซัด

     

     

     

                “มันจะไม่เติบโตอย่างงดงาม นายรู้,ใช่มั้ย”

     

     

                “ฮึก...ฉันปลูกดอกไม้ไม่ได้ หรือแม้แต่เลี้ยงลูกหมาสักตัว”

     

     


                ผมซุกตัวเข้าหาเขา กลิ่นโกโก้ติดอยู่ตรงแจ็กเกต

     

     

                “เพราะฉันจะไม่ได้เห็นวันที่มันเติบโต”

     

     


                เพราะผมจะไม่ได้อยู่ถึงวันนั้น ฝ่ามือใหญ่ลูบผ่านกลุ่มผมของผมอย่างแผ่วเบา เขาบอกว่าไม่เป็นไรซ้ำไปซ้ำมา ผมปล่อยให้ไออุ่นจากตัวเขาค่อยๆหลอมละลายบางอย่างที่ผมสร้างไว้

     

     

                คนแปลกหน้าผละตัวออก เจ้าของใบหน้าคมคายยกมือของผมขึ้นมาแล้วเช็ดคราบความเสียใจที่ทิ้งร่องรอยไว้บนข้างแก้มจนหมด

     

     

                จากนั้นเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

     



                วันที่อากาศดี ผีเสื้อ ก้อนเมฆปุกปุยและแด่ทุกดอกไม้บนผืนดินแห่งนี้

     

     

                เขาโน้มลงประทับริมฝีปากบนหลังมือของผม มันเบาหวิวเหมือนขนนก

     

     


                ไปจุดจบของโลกด้วยกันมั้ย

     

     

                ผมหัวเราะทั้งน้ำตา รอยยิ้มของเขาถูกบันทึกไว้ในหนึ่งวันบนอาณาจักรเวลาของผมที่ถอยลงไปทุกที ผมพยักหน้า

     


     

                “ดีโอ”

     


                “หื้ม?”

     


                “ชื่อของฉัน”

     

     



                ผมเคยเกลียดชื่อตัวเองมันไม่ควรเป็นที่จดจำ แต่วันนี้เขากลับสร้างประวัติศาสตร์สำคัญไว้กับโลกของผม

     



                “เจย์ , เรียกฉันว่าเจย์

     


                “ยินดีที่ได้รู้จัก” เขามีรอยยิ้มขี้เล่น

     


                “ดีโอ”

     

     

                ผมขานรับอย่างว่าง่าย “ว่าไง

     

     

                “ฉันรู้จักแค่นายที่เป็นนาย แม้วันหนึ่งนายอาจจะกลายเป็นฟองอากาศในทะเลข้างล่างนั่น”

     

     

                และผมยินดีและไม่อาจยินดีไปมากกว่านี้อีกที่ได้รู้จักเขา

     

     

                ฉันจะเป็นทุกมหาสมุทรบนโลกเพื่ออยู่เคียงข้างนาย ดีโอ”

     

     

     

    00 : please be kind

     

     

     

    แต่งสั้นๆไว้นานแล้วมันอาจจะงงๆหน่อย

    แต่ก็นั่นแหละ ใจดีแล้วก็อย่าร้องไห้มาก

    เราอาจจะไม่รู้จักชื่อ เป็นคนแปลกหน้าต่อกันแต่เราจะเป็นกำลังใจให้คุณในวันที่เหนื่อยๆอย่างนี้นะคะ

    ฮึ้บๆ #fic1am



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×