คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : 08 ' Faodail 100%
เขาเป็นชิ้นส่วนของบทกวี
ที่ถูกจรดซึมด้วยน้ำหมึก เรียงเป็นตัวอักษร
ในหนังสือเล่มโปรดของผม
08 ‘ Faodail
( n. ) a lucky to find
ฤดูหนาวหนาวขึ้นทุกที
เสียงแอร์เป็นเสียงเดียวที่ทำงานอยู่ในห้องสมุดแห่งนี้
บ้างก็มีเสียงเปิดหน้ากระดาษ แต่คนที่นี่น่ะขี้เกรงใจ
เช่นเดียวกับผมที่เปิดฝาปากกาสีไว้ทุกด้าม
ปากกาแท่งยาวกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะสีขาว ปอยผมสีแดงชี้ขึ้นเหมือนเป็ดเพราะทันที่ออกจากคลาสเรียนคนตัวเล็กก็รีบโบกลากลุ่มเพื่อน
เดินฝ่าอากาศหนาวที่ทำให้ขาสองข้างแทบขยับไม่ออก
หนาวขนาดนี้ใครจะออกไปเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกกันเล่า
มองแก้วกระดาษที่เหลือโกโก้ร้อนที่ป่านนี้คงเย็นชืด
มันคงเป็นภาพปกติที่หากใครมาที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยบ่อยๆ เจ้าของแว่นตากลม
โต๊ะสีขาว หนังสือกฎหมายเล่มหนายิ่งกว่าคัมภีร์ไบเบิ้ล -- แล้วก็แก้วกระดาษที่บางวันก็เป็นกาแฟร้อน
“อื้อ พี่ครับ”
เสียงทุ้มๆของใครบางคนที่นั่งอยู่ตรวข้ามทำลายภวังค์ที่ผมสร้างขึ้น
อ้อ
วันนี้ก็ไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว
“พี่กะจะอ่านมันจบถึงหน้าถึงสุดท้ายเลยรึไง”
เจ้าของใบหน้าคมเงยหน้าขึ้นหลังจากที่ฟุบหลับเป็นเวลาร่วมสองชั่วโมง
เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่เพิ่งไปย้อมมาเมื่อวานชี้ฟูยุ่งเหยิงจนผมอดหัวเราะเบาๆไม่ได้
ให้ตาย คิมจงอินไปอดหลับอดนอนมาจากไหน
แต่ได้ยินมาเหมือนกันว่าช่วงนี้เด็กสินกำมีเทสต์เกือบทุกวัน
คนตัวสูงลุกขึ้น
ค่อยๆบิดตัวคลายความเมื่อยล้าจนเสื้อหนาวสีเทาเลิกขึ้นไปเห็นหน้าท้องสวย
ไม่ได้อยากจะมองเลยแต่สายตาก็ยังเบนอกจากตำรากฎหมาย จงอินยกยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อจับได้ว่าผมกำลังแอบมอง
แอบมองบ้าอะไรเล่า! ตั้งสติหน่อย โด
คยองซู!
“เห็นนะครับเมื่อกี้”
มือพลิกกระดาษไปอีกหน้าอย่างรวดเร็ว
“อะไร”
พยายามเถียงถึงรู้ว่ายังไงก็แพ้ “สาวๆโต๊ะนู่นมองต่างหาก”
จงอินส่งยิ้มแซวอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะนั่งลงอีกครั้ง
เริ่มซนจากการเอาปากกาสีของผมมาเรียงต่อกันเป็นสายรุ้ง
พอมันไม่สวยก็เปลี่ยนมาต่อเป็นปราสาท -- ว่าแต่ปราสาทปากกามีที่ไหนกัน ทันใดนั้นเสียงกุกกักเล็กๆจากปากกาหลายแท่งที่ถล่มลงมา
เด็กหมีลุกขึ้นโค้งขอโทษหลายคนที่ส่งสายตาตำหนิ ผมลอบอมยิ้มหลังปกหนังสือ
ก้มหน้าอ่านต่อไปถึงจะอ่านไม่รู้เรื่องแล้วก็ตาม
ความจริงแล้วผมไม่ใช่เด็กแก่เรียนสมาธิดีขนาดนั้นหรอก
เด็กตัวผอมพยายามเรียกร้องความสนใจจากผม และใช่ ด้วยวิธีต่างๆ
ส่วนผมก็ได้แต่พยายามฝังตัวเองเข้าไปในหนังสือให้ได้นานที่สุด
เด็กตัวสูงเรียกผม
“พี่”
“หื้ม”
คิมจงอินยื่นหน้าเข้ามาใกล้
สองแขนเท้ากับโต๊ะ ... ทุกสิ่งมันเหมือนกับถูกลบออกไป
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆลอยแตะจมูก ปลายนิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยหน้าม้าที่ยาวทิ่มตาของผมออก
มันชัดขึ้น ขัดเจนเสียจนผมคิดว่าเราใกล้กันขนาดนี้ตั้งเมื่อไหร่
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าห้องสมุดมันเงียบผิดปกติ
และหัวใจส่งเสียงดังน่ารำคาญจนผมเผลอกำหนังสือแน่น
“ตัดผมได้แล้วนะครับ
ยาวทิ่มตาหมดแล้ว”
เราสบตากันนิดหน่อย
อ่า คิมจงอินกระตุกยิ้มมุมปากและจากมุมที่ผมเห็นอยู่ตรงนี้
ผมว่าผมอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ เขาส่งเสียงหัวเราะ หึ เมื่อทำภารกิจพังแผนการอ่านหนังสือสามชั่วโมงของผมสำเร็จ
“หยุดยิ้มได้แล้ว
หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือไง” พูดเสียงขึ้นจมูกอย่างขลาดอาย
“รู้ได้ไงครับ”
จงอินทำหน้าตาตกใจแบบโอเว่อร์สุดๆ
แบบที่ผมอยากจะปาปากกาสีเขียวใกล้มือใส่เพราะความหมั่นไส้
“มีแต่คำว่าน่ารักติดอยู่เต็มไปหมดเลยครับ”
... อ่า
เขามันขี้หยอดแบบนี้แหละ เมื่อเห็นผมกัดริมฝีปากอย่างไปไม่ถูก
เด็กแสบก็เริ่มป่วนหัวใจผมอีกครั้ง
ยกปากกาชี้มาทางผม
น้ำเสียงทุ้มละลาย “ตรงจมูก ตรงแก้มสองข้าง ตรงปาก ตรงตา”
“น่ารัก”
จากนั้นก็ บึ้ม! ผมกลั้นยิ้มจนโหนกแก้มสองข้างขึ้นสูงกว่าเดิม
มุมปากยกยิ้มกว้างแล้วหลุดเสียงหัวเราะออกมา
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีคนมองแล้วตำหนิเราสองคนมากกว่าเดิมแต่ก็ช่างเถอะ
ผมจะจดใส่ใจไว้ว่าอย่าปล่อยให้จงอินมาฐานลับที่นี่เด็ดขาด
ข้อแรกเพราะว่าเขาทำให้โต๊ะของผมที่เคยมีแต่ความเงียบและหนอนหนังสือใส่แว่น
ตอนนี้มันมีแต่เสียงดังตึกตักรัวเหมือนกลองชุด
และผมที่ก้าวออกมาจากโลกของตัวเอง ยิ้มมากกว่าเดิม หัวเราะมากกว่าเดิม
มีความสุขมากกว่าเดิม ... ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆเพื่อทำการกู้ชีพตัวเองที่โดนแอทแทคจากหมีตัวโต
“นายกลัวจะมีคนลักพาตัวฉันรึไง”
ได้ยินเสียงตัวเองถามกลับไปหลังจากที่ดึงสติตัวเองกลับมาได้เรียบร้อยแล้ว
คนที่นั่งเท้าคางมองผมอมยิ้มอยู่นานสองนานหยัดตัวขึ้น
ก้าวยาวๆเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดอยู่ด้านข้าง ผมเงยหน้าขึ้น
ทันทีที่เงยหน้ามือหนาก็เอื้อมมาสัมผัส ยีหัวผมเบาๆ ผมเห็นจงอินระบายยิ้มสวย
อีกแล้ว ... วันนี้ผมเก็บรอยยิ้มของเขาใส่ขวดโหล
คิมจงอินจะรู้มั้ยนะว่าตัวเองเหมาะกับรอยยิ้มกว้างแบบนี้มากที่สุดในจักรวาล คิดในใจแต่ก็ยังแสดงสีหน้ามึนปกติ
จะให้เด็กนี่รู้ได้ไงว่าผมชอบรอยยิ้มของเขามากแค่ไหน
“ผมไม่ได้กลัวว่าจะมีใครลักพาตัวพี่ไปหรอก”
“...”
ผมเอียงคอ
สบนัยน์ตาสวยคู่เดิมอีกครั้ง
“ผมกลัวว่าจะมีใครมาลักหัวใจพี่ไปต่างหาก”
อีกครั้ง
อีกครั้งและอีกครั้งที่ผมปล่อยให้ตัวเองใจเต้นแรงกับคนๆนี้
ถ้าเพียงแต่จงอินจะเห็นใจผมบ้าง
เขามันบอทใหญ่ในเกมส์ที่รู้วิธีคอนโทรลเกมส์ทั้งหมด
ถ้าเป็นเกมส์
ตอนนี้มันคงขึ้นว่า โดคยองซู out แล้วแน่ๆ
“พี่
แต่เมื่อกี้ผมฝันด้วยแหละ” ผมเขยิบไปนั่งเก้าอี้อีกตัว กระแอมไอสองสามที
หันไปเห็นคิมจงอินกำลังเล่าความฝันของตัวเองอย่างตั้งใจ
“ฝันดีหรือฝันร้าย”
“ฝันดีซี้”
เด็กหมีของผมขยับปากเล่าตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ “ผมฝันว่าตัวเองกลายเป็นหมี”
ฝันถึงตัวเองเนี่ยนะ?
ผมตัดสินใจคว่ำหนังสือลงแล้วหันไปสบตานักเล่านิทานอย่างจริงจัง
เด็กตัวผอมเห็นว่าคนตัวเล็กจ้องตัวเองตาแป๋วอย่างตื่นเต้นเลยเริ่มเล่าต่อ
“ผมได้ลูกโป่งมาแล้วหลังจากนั้นก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย”
“ฉันไม่เคยฝันว่าตัวเองได้ลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย”
ยู่ปากลง ผมคิดว่ามันคงเป็นฝันที่ตื่นตาตื่นตาใจมากแน่ๆ
ไม่แปลกใจเลยที่คิมจงอินหลับยาวขนาดนั้น
บางทีความฝันก็ทำให้เราอยากหนีออกจากโลกความจริง
และถึงแม้ว่าฝันนั้นจะสวยงามมากแค่ไหน ท้ายที่สุดคุณก็ต้องตื่นจากความฝัน
เราหนีอะไรจากความจริงไม่ได้
แต่เราทุกวันให้ดีขึ้นได้ ฮึดสู้และก้าวเดินต่อไปครับ
ส่วนเรื่องกำลังใจวันนี้ผมจะทำหน้าที่นั่นเอง /ขยิบตา
“พอลอยแล้วเจอดาวเต็มไปหมดเลย
-- ผมรู้ว่าพี่ชอบดาวมากแค่ไหน
ผมเลยหยิบมันแล้วเอาไปร้อยเป็นสร้อย สวยมากเลย อ่า
แล้วก็มีเยลลี่อุกกาบาตด้วยครับ”
“เยลลี่อุกกาบาต?”
ทวนเสียงสูง แย้มยิ้มน่ารัก
นักเล่านิทานพยักหน้ายืนยัน
“พี่ต้องชอบกินแน่ๆ เสียดายจังที่เป็นแค่ฝัน”
เด็กน้อยของผมไหล่ตก
ราวกับผิดหวังที่เอาเยลลี่พวกนั้นมาให้มาได้ ผมหลุดหัวเราะ
คิมจงอินไม่รู้อะไรเลยซะเลย
มันเป็นไปไม่ได้
ผมจึงบอก “...บางทีเราปล่อยให้มันแค่ฝันดีหนึ่งวันดีกว่า”
เขาพยักหน้าในขณะที่ตายังจับจ้องมาที่ผม
“เพราะถ้าเรารู้ว่ามันไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง
-- อย่างมงายในฝันเลย ไม่งั้นนายจะเจ็บเอานะ”
“พี่คิดว่าผมงมงายเหรอ”
ผมยิ้มอีกครั้ง
“เปล่า -- เปล่าเลย
ฉันแค่อยากสอนให้นายรู้จักความฝัน อย่างฝันของนายวันนี้ถ้าเป็นฉัน
ฉันไม่เสียเวลาร้อยดาวหรอกน่า”
“พี่กำลังทำให้มันเป็นฝันร้ายใช่มั้ย”
“ฉันจะกินมันให้หมดเลยต่างหาก
อิ่มด้วย ฉันเก็บดาวไม่ได้แต่ฉันจะเก็บเจ้าเยลลี่พวกนั่นลงท้องไปเล้ย”
คุยถึงตรงนี้เราก็ต่างหัวเราะออกมาเหมือนคนเสียสติ
แต่ก็ต้องยกมือขึ้นมาอุดปากไว้กันไม่ให้โดนหนังสือปาใส่หัวโทษฐานส่งเสียงดังในฐานลับอีกครั้ง
คนตัวเล็กหัวเราะจนตาหยี ให้ตาย จงอินคิดว่าพี่คยองซูทำให้เขาหลงหนักมากขึ้นทุกวัน
เด็กตัวผอมเซไปอีกทางเพราะโดนแกล้งผลัก
ในขณะเดียวกันผมก็โดนเอาคืนโดยมีรอยหนวดแมวบนหน้า เรานั่งชันเข่าเข้าหากัน
ปลายเสื้อหนาของจงอินแตะบนปลายเท้าของผม เราคุยกันเรื่อยเปื่อย แกล้งกันบ้าง
เป็นหนึ่งวันที่ผมชอบมากกว่าเมื่อวานหรือวันก่อนๆที่เราไปทะเลด้วยกัน
เราปล่อยความสัมพันธ์ให้เดินไปอย่างช้าๆ
... เหมือนดาวสองดวงที่แม้เคยอยู่ห่างกันมากแค่ไหน
เรากำลังโคจรเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเพื่อเรียนรู้บางสิ่งที่เรียกว่ารัก
ไปพร้อมๆกัน
หลังจากที่เราออกจากห้องสมุด
คิมจนอินบอกว่าจะแวะไปที่ย่านช้อปปิ้งก่อนจะกลับหอ
ผมพยักหน้าตามเพราะวันนี้ผมไมได้วางแผนจะทำอะไรอยู่แล้ว
ไปเดินเล่นแถวกาโรซูกิลก็น่าสนใจดีเหมือนกัน
ว่ากันตามตรงแล้วผมไม่ค่อยช้อปปิ้งซักเท่าไหร่
เห็นเด็กนี่บอกว่ามีงานเลยอยากซื้อเสื้อผ้าใหม่
ห้าโมงเย็นแล้ว
แสงสีทองอาบไล้ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่น เสียงเพลงดังตลอดสองข้างทางไม่ซ้ำกัน
ถึงจะอากาศเย็นแล้วแต่ก็คนเยอะอยู่ดี ระหว่างทางเราแวะเข้าร้านหมวก
(ผมเพิ่งรู้ว่าคิมจงอินชอบสะสมหมวก) และเด็กหมีก็ได้หมวกแก็ปสีดำเท่ๆหนึ่งใบ อวดเท่ตลอดทาง
เราเดินมาถึงร้านเคสที่มีเคสโทรศัพท์ทุกรุ่นทุกยี่ห้อแขวนเรียงราย
ยังไม่ทันจะพูดอะไรเด็กตัวโตก็จูงมือผมเข้าไปในร้านเสียแล้ว
“อันเก่าฉันก็ยังไม่พังซักหน่อย”
ผมบ่น แต่คิมจงอินก็ยังสนุกกับการเลือกซื้อเคสให้ผม
“ไม่ใช่แค่ของพี่คนเดียวซักหน่อย...”
ผมทำหน้างง และได้รับคำตอบกลับมาจากเคสสีดำลายดาวเสาร์ ส่วนอีกอันเป็นรูปดาวเคราะห์ พระอาทิตย์และสรรพสิ่งอื่นๆนอกโลก จงอินจ่ายเงินเสร็จสรรพ ก่อนจะลากผมออกมาจากร้าน
ก้มมองเคสคู่สองอันในมืออีกคน
ก่อนจะ ป็อก! โดนดีดกลางหน้าผากเบาๆหนึ่งที
คิมจงอินยกยิ้ม
“เคสคู่ไงครับ ของพี่กับของผม”
“ไม่ต้องทำหน้ามึนแล้ว
ไปกันเถอะครับ”
อ่า จริงๆเลย
ผมได้บอกคุณรึยังนะว่าคิมจงอิน เป็นหมีเจ้าเล่ห์ที่สุดในโลก L
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
เขาน่ะโคตรน่ารัก เขารู้ว่าทำยังไงผมถึงจะยิ้ม
ทุกการกระทำของเขามันเริ่มมีอิทธิพลกับผมขึ้นทุกวัน แย่แล้วคยองซู -- แย่แล้วจริงๆ
................................
ส่วนสูงราวกับเป็นนายแบบหลุดออกมาจากปกนิตยสาร
ผมดึงเสื้อตัวแล้วตัวเล่าออกมาดู แต่ก็ไม่มีตัวไหนเตะตาผมซักตัว
ตอนนี้ผมกำลังเลือกเสื้อผ้าให้จงอินใส่ไปงาน เด็กนั่นบอกแค่ว่า
“งานสำคัญครับ”
แล้วก็ยืนเป็นแบบให้ผมหมุนไปมาแบบนี้
“....อ่า ตัวนี้ดีกว่า นายขายาว เสื้อไหมพรมตัวนี้ด้วย”
“ใส่ตัวไหนก็หล่อทั้งนั้นแหละครับ”
ยืนเก๊กหล่อเหมือนนายแบบทำเอาสาวๆที่เดินผ่านร้านหลายคนหันกลับไปซุบซิบแอบมองจนหน้าแดงกันเป็นแถบๆ
เพี๊ยะ!
“รู้ตัวแล้วก็อย่ามาโชว์หล่อแถวนี้”
“หวงหรอครับ”
นั่น... ใครว่า
ผมแค่หมั่นไส้ต่างหาก จริงๆนะ! L
เหลือบเห็นเด็กตัวสูงยกลูบแขนขวาที่โดนผมตีไปเบาๆ
แต่ทำเหมือนเจ็บสาหัส ริมฝีปากเชอร์รี่เบะลงเพราะชักจะหมั่นไส้จริงๆแล้ว
แต่ในสายตาคนมองกลับมองว่ามันน่าบีบให้ร้องไห้มากต่างหาก
ผมใช้เวลาไม่นานในการเป็นสไตลิสต์พกพาของคุณคิม
จนได้เสื้อโค้ทสีเบจและเสื้อไหมพรมสีอลิซบลู
คิมจงอินต้องแบบนี้แหละ
โทนสีอ่อน ไม่ต้องมากมาย ... ผมคิดว่าวันพรุ่งนี้ต้องมีสาวๆมองเขามากกว่านี้แน่
แต่แล้วไง นั่นผลงานมาสเตอร์พีชของผมเชียวนะ
ระหว่างทางสองขาผมอยู่บนขอบฟุตบาทที่ทอดยาว
มืออีกครั้งเปไปมาในอากาศ ดวงอาทิตย์คล้อยลับเส้นขอบฟ้าไปแล้ว
ท้องถนนตอนนี้เต็มไปด้วยแสงไฟต่างๆ ครึกครืนมากยิ่งขึ้น
เดินผ่านคู่รักหลายคนที่เดินอิงแอบใกล้ชิดกัน
หน้าหนาวมันทำให้คนเหงาจริงๆสิน้า
ผมคิดว่ามันเป็นช่วงที่ใครหลายคนได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
“พี่!”
“โอ๊ะ!”
เท้าของผมหักไปอีกทาง
ตัวของผมกำลังร่วงลงบนพื้น ท่ามกลางอากาศหนาวจนควันสีขาวออกปาก
มันโพยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า มืออุ่นของคิมจงอินรับผมไว้
เหมือนกับมีไฟช็อตเล็กๆทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกัน
หลุบตามองเท้าตัวเองเมื่อทรงตัวได้ ฝ่ามือของเรายังประสานกัน
ผมค่อยๆลงจากขอบฟุตบาทสูง
จู่ๆ
แก้มสองข้างก็ร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ
“อ้อ
นายไปงานแบบไหนนะ ฉันลืมถามไปสนิท”
ปลายเท้าของผมก้าวไปข้างหน้าช้าๆ
ผมหันไปมองซีกหน้าของใครอีกคนที่เดินข้างกันมาตลอดทาง
จงอินมีใบหน้านิ่งสนิททันทีที่ผมถาม
เขายิ้มอยู่วิหนึ่ง
“งานแต่งครับ”
แต่เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ทันเห็นว่ามันฝืนขนาดไหน
สองข้างทางมีร้านขายของเรียงรายน้อยลงเรื่อยๆเพราะเริ่มออกจากย่านช้อปปิ้งแล้ว
โคมไฟสีแดงสวยประดับตามเสาข้างทาง
เสียงล้อรถบดกับถนนดังสลับกับเสียงหัวเราะของใครหลายคนที่ดังข้ามมาจากอีกฟากหนึ่งของถนน
สายลมหน้าหนาวพัดผ่านผิวกายจนขนลุกซู่
“งี้นายต้องเนี๊ยบหน่อยซะแล้ว”
“ไม่หรอกครับ -- ไม่จำเป็น”
ขาเล็กสะดุดกึก
น้ำเสียงทุ้มเหมือนดับเบิ้ลเบสนิ่งผิดปกติ ผมเห็นแววตาของจงอินดูเศร้า
มันหม่นแสงสลับไปมาเหมือนคลื่นทะเลในวันพายุเข้า
แต่แล้วเราก็ปล่อยให้ความน่าอึดอัดผ่านไปเช่นเดียวกับสายลม
เราสองคนบังเอิญเจอร้านขายไส้กรอกเลือด
เพราะยังไม่ไดกินข้าวเย็นเลยตัดสินใจกินกันที่นี่
ภายในเต้นท์ร้านค้าสีแดงไม่มีลูกค้ามากนัก
พวกผมจับจองที่นั่งด้านในสุด พร้อมกับสั่งคุณป้าที่ขายว่าจะกินอะไรบ้าง
ไม่นานไส้กรอดเลือดกับต็อกร้อนๆก็มาเสิร์ฟ
พร้อมกับมันดูหลายชิ้นน่าตาน่ากินจนท้องเริ่มส่งเสียงดัง
“กินแล้วนะครับ” วิถีชาวเกาหลีดั้งเดิมสุดๆ จัดการคีบทุกอย่างตรงหน้าเข้าปากเพราะความหิว คนตัวเล็กกินอย่างเอร็ดอร่อย คราบซอสสีแดงเลอะมุมปากเล็กเพราะกินเก่งเกินไป
“นายน่าจะหาดอกไม้ซักช่อ”
พูดงึมงำเพราะแก้มป่องสองข้างอัดแน่นไปด้วยไส้กรอก
คิมจงอินวางตะเกียบลง
จัดการใช้ปลายนิ้วโป้งค่อยๆปาดคราบซอสออกอย่างทะนุถนอม
“ฉันว่าดอกกุหลาบขาว
เรียบๆแต่โดดเด่นไม่แพ้สีแดงเลยล่ะ”
คนตัวเล็กเคี้ยวแก้มตุ่ยแล้วพยักหน้าขอบคุณเหมือนเด็ก
เด็กตัวผอมมองภาพใบหน้าเล็กที่หัวเราะไปกินไปตอนที่เรียงไส้กรอกเป็นรูปยิ้ม ทั้งหมดนี่มันธรรมดา
ดาษดื่นทว่าพิเศษ ถึงจะเป็นแค่ร้านข้างทางแต่เขาคิดว่าแม้ในวันที่อากาศเย็นแบบนี้
หัวใจของเขามันก็อุ่นขึ้นได้เหมือนกัน
เพราะมีกันอยู่ตรงนี้
... ขอบคุณแรงโน้มถ่วงในจักรวาล
หรือใครบนฟ้าที่ขีดให้เขาได้เจอคยองซู
หรืออาจเป็นการนำทางของแสงดาวตก
เขาขอบคุณ.
หลังจากที่จัดการฟาดอาหารจนเรียบ
ผมก็เลยออกมาเดินย่อย แถมนี้มีสวนเด็กเล่นเล็กๆ มันเงียบไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน
แรงลมพัดมาวูบหนึ่งจนกิ่งไม้สั่นไหว คนตัวเล็กในฮู้ดสีเหลืองสดใส
ตรงกลางมีลูกเป็ดสีเหลืองเดินย้ำไปบนพื้นทราย
สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดสนิทที่ตอนนี้มีพระจันทร์เสี้ยวสวยประดับอยู่บนนั้น
ผมนั่งลงบนชิงช้า
ค่อยๆเอนไปด้านหลัง ปลายเท้าสัมผัสพื้นไปมาราวกับหยอกล้อ
รอยยิ้มน่ารักจุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ มันนานมาแล้วที่ได้มาทำอะไรแบบนี้
ผมกวาดตาหาเด็กตัวสูง จงอินโบกมือแล้วบอกว่าจะแกว่งชิงช้าให้
มันค่อยๆขยับไปข้างหน้า ผมเผลอร้องเมื่อเด็กหมีขี้แกล้งผลักจนตัวผมลอยสูง
จนกระทั่งถอยกลับมาเซชนกับแผงอกกว้างดัง
ปั่ก
“ตอนเด็กฉันชอบเขียนจดหมายมากเลย
ฉันเคยคิดอยากจะเขียนจดหมายถึงพระเจ้าด้วย”
ผมเงยหน้าเห็นคิมจงอินที่ก้มมองลงมาเหมือนกัน
เป็นความเงียบยาวนานสิบวินาทีที่เราเอาแต่จ้องกันอยู่อย่างนาน จนกระทั่งริมฝีปากหนาได้รูปค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้
ผมตัดสินใจหลับตาลงพร้อมๆกับเสียงตีกลองในอก
... ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดจนหน้าม้าผมแตกกระจาย
สัมผัสแผ่วเบาตรงกลางกระหม่อมก่อนจะหายไป
“คิดอะไรอยู่ครับ J”
ร้าย! คิมจงอินคนร้ายกาจ!
ผมหันหน้ากลับมาเหมือนเดิม
ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆไล่หลังมา --
มานับกันมั้ยว่าคิมจงอินแกล้งผมไปกี่รอบแล้ว ฮึ่ม อย่าให้ถึงทีผมเอาคืนบ้างแล้วกัน!
“พี่ชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กๆเลยเหรอครับ”
ชิงช้าเริ่มแกว่งไปด้านหน้าเบาๆ
ลมเย็นตีปะทะหน้า “อื้อ พ่อฉันสอนน่ะ”
นึกถึงวัยเด็ก
ผมเริ่มเล่าวีรกรรมอย่างเช่นเอาสีชอล์กมาละเลงกำแพงบ้านจนต้องทาสีใหม่ห้องนั่งเล่นทั้งหมด
บนโลกนี้มีจิตรกรคนเดียวที่วาดรูปแม่ของผมได้สวยที่สุด นั่นก็คือพ่อ
น้ำเสียงเล็กเล่าเจื้อยแจ้ว
“ฉันชอบตอนเด็กที่สุด
ถ้าเลือกได้ก็ไม่โตหรอก”
“ถ้ารู้ว่าต้องโตมาเจอโลกเส็งเคร็งแบบนี้สิน่ะครับ”
ผมพยักหน้าทันที “ฉันมีความสุขที่สุดตอนนั้นเลย”
ผมยิ้มกว้าง
และในความเงียบ ลมหนาวเล็ดลอดช่องว่างระหว่างผมกับเด็กตัวสูง
ชิงช้าหยุดแกว่งไปนานเช่นเดียวกับคิมจงอินที่เงียบไป
หางตาเห็นคนที่อยู่สเว็ตเตอร์สีกรมยยี่ห้อดังนั่งลงบนชิงช้าข้างๆ
โซ่ของมันขึ้นสนิมเพราะถูกน้ำและลมกัดกร่อนมานาน
“งานแต่งคือวันพรุ่งนี้ครับ”
เขาระบายยิ้มบาง
“งั้นนายต้องรีบเตรียมดอกไม้ตอนเช้า
มีเรียนสิบโมงนี่”
ใช้เท้าเขี่ยทรายเล่นไปมา
ขายาวใต้ยีนส์สีเข้มของใครบางคนที่นั่งข้างๆสัมผัสผืนทราย
ผมหันไปเห็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อน เป็นวินาทีนั่นเอง ... ผมรู้ว่าตัวเองพลาดไปเสียแล้ว
เสียงแมลงส่งเสียงกลบเสียงถอนหายใจของจงอิน
วันนี้ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินสนิท
ตอนนี้มันเงียบและทันที่ทีลมพัดมาผมรู้สึกว่าคืนนี้มันเศร้าผิดปกติ
หรือเป็นเพราะคนข้างๆผมกันนะ ไม่นาน ใบหน้าได้รูปหันมาสบตาผมจริงจัง นัยน์ตาที่ผมหลงใหลมีม่านน้ำใสๆคลออยู่
“แต่พี่ครับ...
ผมไม่ยินดีเลยซักนิด”
เด็กที่สดใส
เขาส่องสว่างมากกว่าพระจันทร์บนท้องฟ้าของทุกวัน
คนที่เข้าหาเข้ามากกว่าแรงดึดดูดของโลกหรือแม้แรงเหวี่ยงของโชะตา
คิมจงอินลอบเลียริมฝีปาก
ราวกับคำพูดมากมายค่อยๆไหลทะลักออกมา
“แต่ถ้าหาก”
ผมตอบรับ “ถ้าหาก”
ผมเพิ่งรู้ว่ามีเรื่องราวอีกมากมายที่เขาไม่รู้
มันตกหล่นระหว่างทาง และมันเป็นผม ... ผมที่ไม่สังเกตเลยว่า
คนที่พยายามปลูกดอกไม้ในหัวใจของผม
อาจเคยเป็นตะวันที่เบ่งบาน
แต่กลับเหี่ยวเฉาและจนในที่สุดสลายกลายเป็นเศษดิน
“...ถ้าหากแม่ของผมมีความสุขเมื่อเห็นผมอยู่ตรงนั้น
-- ยินดี
และผมไม่สามารถทำได้มากกว่ามอบช่ออกไม้สวยๆให้เธอซักช่อ”
ทานตะวันที่เบ่งบาน
...ผมเชื่อว่ามันงดงาม
ทว่าวันหนึ่งแสงแดดที่เคยให้ความอบอุ่นจางหายไป
ผมจะเป็นแสงแดดที่หายไปของเขาได้รึเปล่า
“ตอนนี้ในหัวของผมเหมือนเทปเลยครับ
มันกรอกลับไปมาตอนที่แม่ออกจากบ้าน ตอนที่พ่อออกไปตามหา
ประตูมันปิดลงแล้วผมก็ไม่ได้ยินเสียงมันอีกเลย”
“ฉัน....” ตอนนี้มันยากยิ่งกว่าโอบอุ้มทะเลทั้งหมด
กระแสน้ำไหลออกมาไม่หยุด
มันพัดเอาตะกอนดินเอาซากปรักหักพังออกมา ผมหลับตาปล่อยให้เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ
“แล้วยายก็มาหา
ผมกลายเป็นเด็กเกเร เป็นอันธพาลตีกับคนอื่นได้แผลกลับ้านมาทุกวันเลยครับ ฮ่ะๆ
มีแผลกลับบ้านมาทุกวัน”
นกไร้ชื่อกำลังขับขานบทเพลงแสนเศร้า
สายลมหอบเอาความหนาวเย็น มันชา ผมรู้สึกได้
ดังนั้นผมเลยลุกขึ้นและเพราะผมมันห่วยเรื่องปลอบคนอื่น
สองขาไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่ตัวใหญ่กว่า เอื้อมมือลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลธรรมชาติ
ท่ามกลางความเงียบทีมีแค่ผมและเขา
จงอินเงยหน้า
แก้วตาคู่สวยสะท้อนหยาดน้ำใส ประกายจากแสงจันทร์ด้านหลังเด่นชัดในดวงตา
“มันหนาวนะ ... ในนี้ก็เหมือนกัน” ใช้ปลายนิ้วจิ้มลงบนแผ่นอก ที่ๆมีอยู่ของหัวใจ
และผมหวังว่ากอดนี้จะแทนทุกความรู้สึกที่ผมมี
เพื่อตระกองกอดเขาไว้ให้ได้นานที่สุด เขาที่ผมไม่รู้อะไรเลย
จงอินไม่เคยบอกตัวตนที่แท้จริง เด็กนั่นบอกแค่เวลาจะทำหน้าที่ของมันเอง
และตอนนี้เขาค้นพบแล้วว่าจงอินตัวแค่นี้เอง
ทำไมถึงรับทุกความรู้สึกที่เข้ามาแบบนี้
มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราไม่สามารถห้ามตัวเองให้คิดแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราเจ็บปวดทุกครั้งก็ตาม
“งั้นจากนี้เรามากอดกันให้อุ่นขึ้นดีมั้ย”
มือเล็กรั้งต้นคอหนาเข้ามาใกล้
ขยับตัวไปทีละก้าว ใบหน้าของจงอินแนบอยู่ตรงบริเวณหน้าท้อง
มันรู้สึกเหมือนกับมีผีเสื้อนับร้อยบินวนอยู่ในช่องท้องตอนทที่มีลมหายใจอุ่นๆเป่ารดหน้าท้อง
ถ้าจงอินเป็นดอกไม้
ผมก็อยากตกแต่งและดูแลให้มันเติบโต
รักก็เหมือนกัน
“ดีขึ้นบ้างมั้ย”
จงอินค้นพบเสียงของตัวเองหลังจากภาพความทรงจำวัยเด็กบีบอัดจนรู้สึกชาหนึบในใจ
“...ครับ
มันอุ่นมากเลย เหมือนเมื่อกี้มักำลังติดลบแต่ตอนนี้อุ่นมากๆเลยครับ”
ผมยิ้มแต่มั่นใจว่าคิมจงอินไม่เห็นหรอก
แย้มรอยยิ้มก่อนจะลูบกลุ่มผมของเด็กหมีตัวโตราวกับปลอบโยน ถ้าเป็นไปได้ผมอยากบอกเขา
อาจจะเป็นบางวันก่อนที่เราจะแยกกลับหอตัวเองไปว่า
ไม่มีอะไรต้องห่วงเลย
นายทำดีที่สุดแล้ว
เมื่อตอนที่นายซ่อมแซมความรู้สึกตัวเองจนมันคล้ายกับว่าจะเป็นเหมือนเดิม
แต่นั่นก็พอแล้ว
“ฉัน... ขอโทษนะ”
แวบหนึ่งผมรู้สึกผิดที่ไม่เคยรู้อะไรเลย
เขาที่ยิ้มเก่งเสียอย่างนั้น
เจ้าของรอยยิ้มที่ผมแอบบรรจุในขวดโหลใต้แผ่นอก
จงอินขยับตัวออก
มืออุ่นกอบกุมเจ้าของมือเล็ก
ชั่ววินาทีที่สบตากันอีกครั้งผมเห็นบางอย่างวูบไหวและหายไปในนัยน์ตาคู่นั้น
คิมจงอินยันตัวลุกขึ้นแล้วดันให้ผมไปนั่งแทนที่
เสียงทุ้มดังก้อง
ที่ตรงนี้ มันชัดเจนมากว่าที่ผ่านมา
“พี่รู้มั้ยว่าการมีพี่อยู่ตรงนี้
เท่านี้ -- ผมก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว”
“ฉันช่วยตามหาพ่อนายได้นะ”
เขายิ้ม “พี่คยองซู”
“อื้อ ว่าไง”
“บางทีเวลามันเดินเร็วเกินจนไปจนหัวใจของผมเหมือนจะเต้นช้าลงเลยล่ะครับ”
“...” อ่า
นั่นสินะเพราะมันนานมากเกินไป
“ผมไม่กล้าหาคำตอบจากคำถามนี้หรอกครับ”
และผมรู้ว่าบางทีเราไม่จำเป็นต้องหาคำตอบของคำถามที่เรารู้อยู่แล้ว
จงอินยังส่งยิ้มไม่เป็นอะไร เขาเข้าใจ
แต่นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเราโตพอแล้วที่จะเข้าใจผู้ใหญ่
มันอาจจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง เชื่อเถอะถึงเวลานั้น
คุณจะเข้าใจเองโดยที่ไม่ต้องออกแรงพยายาม
“ชีวิตก็แบบนี้”
“ครับ” เขาขานรับ
“ไม่ว่ายังไงคนที่ยังอยู่ก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป”
ผมบอก
ชิงช้าเริ่มแกว่งไปโซ่ค่อยๆหมุนเป็นวงกลม
“...ครับ
แค่ผมรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่นั่นก็เพียงพอแล้ว”
“นายรู้งั้นเหรอ”
“ยายผมบอกว่าเงินที่ส่งเสียผมเรียนจนจบมาจากพ่อ”
“แต่ทำไม--”
ยังไม่ทันที่ผมจะแย้ง ชิงช้าถูกหมุนไปมาจนสุด
“มนุษย์เก็บทุกความเสียใจ
ความรู้สึกอับอาย ความผิดหวังในชีวิต จนในที่สุดมันกลายเป็นความรู้สึกผิด”
โซ่เหล็กส่งเสียงกร๊อกแกร๊ง
หลังจากที่ถูกปล่อย ตัวของผมหมุนเป็นวงด้วยความเร็ว แล้วค่อยๆมาหยุดอยู่ที่เดิม
ตรงหน้าเด็กสูงผอม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มเล็กๆ
“รู้สึกผิดที่ไม่สามารถเป็นพ่อที่ดีได้เลย”
ผมลุกขึ้น
ก้าวจนกระทั่งรองเท้าผ้าใบของตัวเองชนกับรองเท้าของเขา วาดรอยยิ้ม
“รู้มั้ยว่าฉันภูมิใจในตัวนายที่สุดเลยคิมจงอิน”
ภูมิใจแม้ที่ผ่านมาอาจจะผ่านไปอย่างทุลักทุเล
แต่เด็กน้อยของผมก็ผ่านมาจนได้
ถึงมันจะยาก ถึงแม้จะไม่มีใครรับรู้ความเจ็บปวดของเรา
... เหมือนกับมีโลกของเราที่หยุดหมุนไป
แต่เชื่อผมเถอะ , พรุ่งนี้อาทิตย์ยังคงสาดแสง
คุณแค่กำลังเติบโต
“ขอบคุณนะครับ
พี่รู้มั้ยว่าวันนี้โลกของผมมีอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง”
ผมย่นจมูก
วางแผนจะทำอันตรายกับหัวใจของผมอีกแล้วแน่ๆ “อะไร”
“ผมชอบพี่มากกว่าเดิมอีก
มากกว่าเมื่อวานแล้วก็วางแผนจะชอบไปเรื่อยๆครับ”
เด็กร่างผอมค่อยๆกระตุกยิ้มกว้างเมื่อเห็นสองแก้มแดงเป็นมะเขือเทศสุกได้ที่
ริมฝีปากอิ่มขยับพึมพำ พลันเหมือนกับบรรยากาศมืดหม่นเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น
“ไอ้เด็กนี่”
“ว่าผมเหรอครับคุณ :-)”
ส่วนสูงที่แตกต่าง
เจ้าของเรือนผมสีแดงพุ่งเข้าไปเหยียบเท้าอีกคนก่อนจะวิ่งหนี
แต่ขาสั้นๆหรือจะสู้กับขายาวของคนตัวโตกว่าได้ เอวเล็กถูกคว้าเข้าไปกอด
แผ่นหลังบางชนกับแผ่นอกแกร่ง
คนที่มีพลังทำลายสูงก้มลงกระซิบใกล้ใบหูเล็กที่ขึ้นสีแดงจัด
บ...บ้า
บ้าไปแล้ว “ขอบคุณนะครับ
สำหรับทุกเรื่องเลย”
แขนแกร่งโอบรัดเหมือนกรงที่ไม่ปล่อยให้หนีออกไปง่ายๆ เจ้าของเสียงทุ้มอบอุ่นหลอมละลายคนที่อยู่ในอ้อมกอดจนแทบล้มทั้งยืน ใจดวงน้อยสั่นไหว ใบหน้าแต้มสีแดงน่ารักจนคนมองรู้สึกว่ามันน่าฟัดเป็นบ้า พี่คยองซูเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อให้เขาแกล้งรึเปล่า
“พรุ่งนี้ไปด้วยกันนะ”
บอกและได้รับเสียงฮืมฮัมในลำคอตอบกลับมา
“พี่! ดูนู่นสิ ดาวตก!”
“ไหน -- อ๊ะ”
ทันที่ผมเผลอขึ้นไปบนฟ้า หมีตัวโตก็ฉวยโอกาสขโมยหอมแก้มไปซะแล้ว
ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าดูดี
จนปลายจมูกเราเผลอชนกันโดยไม่ได้ตั้งใจ เสียงระฆังของโบสถ์ใกล้ๆดังขึ้นบอกเวลา
เหมือนกับเป็นวินาทีต้องมนต์ ดวงตาคมคู่สวยสะท้อนภาพของผมในนั้น ไม่มากกว่านี้
แค่ได้เด็กน้อยของผมคืนมาก็ดีแล้ว
ผมเลยตัดสินใจใช้จมูกตัวเองชนสันจมูกโด่งของอีกคน
“ฉัน อ่า
อยากกลับบ้านแล้ว”
“อ้อ ใช่ ผมด้วย
งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ”
ฮู่ว ให้ตายสิ
เพิ่งรู้ว่าหน้าหนาวก็ทำให้หน้าร้อนได้เหมือนกัน
(90 %)
08.21 น.
ดวงอาทิตย์ปล่อยให้คลื่นสีทองสาดกระทบพื้นซีเมนต์ด้านหน้าจนเป็นเงา
ต้นไอวี่ที่ตั้งอยู่หน้าร้านกาแฟเล็กๆแถวมหาวิทยาลัย
มีกลุ่มน้ำค้างเกาะอยู่บนกิ่ง หยาดใสสั่นเมื่อถูกลมประจำฤดูสัมผัส
ก่อนจะตกกระทบลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก
เห็นใครหลายคนที่เดินผ่านไปมาหายใจออกมาเป็นควันสีขาว
เช้านี้ผมพาตัวเองออกจากห้องเพื่อมากินกาแฟซักแก้ว
เสียงกระดิ่งของประตูร้านส่งเสียงครั้งแล้วครั้งเล่า
ความอุ่นในห้องเข้ากันได้ดีกับกลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟ
เช้าที่อุณหภูมิลดเหลือแค่เจ็ดองศา
ดวงตาโตกวาดตามองนวนิยายรักที่ขึ้นแท่นเบสท์เซลเลอร์
ในห้วงเวลาเดียวกันเสียงคั่วบดเล็กๆและเปียโนทำนองเศร้าๆทำหน้าที่ขับกล่อมเช้านี้
ยังไม่ทันที่ผมจะยกแก้วเซรามิก
ใครบางคนในชุดเสื้อยืดทับกับสเว็ตเตอ์สีเขียวอมฟ้าหนานั่งลงฝั่งตรงข้าม
สายน้ำสีน้ำกระฉอกเล็กน้อยตอนที่ผู้มาใหม่วางแก้วของตัวเองกับโต๊ะกระจก
มันส่งเสียงดัง กริ๊ง กังวานเล็กน้อย
ริมฝีบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มจางทันที่รู้ว่าคนแปลกหน้ายามเช้าคือใคร
“วันนี้ดูเหมือนว่าหิมะจะตกนะ”
ร่างผอมมีเรือนผมสีลูกกวาดที่มันกลายเป็นกลุ่มสายไหมไปเสียแล้วตามกาลเวลา
เส้นผมยุ่งเหยิงเล็กน้อยตามปกติ ใบหน้าหวานเจ้าของดวงตาแสนสวย -- แสนเศร้า และใช่
วันนี้เขาไม่ได้สวมเสื้อกาวน์เหมือนที่จะเห็นเจ้าตัวใส่อยู่ตลอดๆ
ผมเรียกมันว่าโชคดียามเช้า
“พี่ลู่หาน” ดวงตาโตสุกสกาวทันที
หลายวันแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน
“ไง สบายดีมั้ย”
คำถามเรียบง่ายแบบทั่วไปถูกยกขึ้นมาใช้
“สบายดีครับ
พี่ล่ะ? เรียกหนักเลยสิท่า”
“อันที่จริงแล้วก็เหมือนเดิมแหละ
ฉันชินแล้ว”
เขายกแก้วกาแฟของตัวเองขึ้นมาจิบ
ดูเหมือนรุ่นพี่เด็กแพทย์ของผมคงจะหมกตัวเองอยู่แต่ในห้อง
อ่านหนังสือจนกว่าจะเก็บทั้งหมดนั่นไปฝันจนได้ จะว่าไป
เด็กแพทย์มีดวงตาคู่สวยที่เศร้าขนาดนี้เลยรึเปล่านะ
“แล้วเรื่องอื่นล่ะ
โอเซฮุน?”
อ่า ตรงเผง
ลู่หานเม้มปากเหมือนกับกำลังใช้ความคิด ชั่งน้ำหนำคำพูดของตัวเองในหัว
ร่างบางกับใบหน้าหวานง่วงงุนเขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด
“เสียงฝนตกดังแข่งกับเสียงร้องไห้ในใจเลยล่ะ”
มันน่าแปลกที่หลายวันที่ผ่านมาฝนไม่ตกแต่ผมกลับเข้าใจทุกคำพูดของเขาเสียอย่างนั้น
ทุกอย่างนิ่งงัน
เราปล่อยให้เสียงหายใจดังสลับกับเสียงคั่วบดของกาแฟ ผมนึกถึงใบหน้าคมคายของเซฮุน
จากการอนุมานเอาเองผมคิดว่าเขายังไม่รู้จักรักดีพอ
“อืม...เขายังเด็ก
เซฮุนถึงทำร้ายความรักยับเยินขนาดนั้น”
ช้อนกระทบแก้วกาแฟ
ไอร้อนพุ่งขึ้นไปในอากาศ เอสเพรสโซ่ร้อนของคนตรงข้ามไหลวนตามแรงคนของมือเล็ก
“...ฉันรู้แต่คยองซูอา
เขาทำร้ายฉันไม่เจ็บเท่ากับทำร้ายความรักของฉันเลย”
นั่นคงหมายถึงหัวใจ
มันคงเต็มไปด้วยบาดแผล
สายตานิ่งมองมาที่ผมก่อนจะผละออกไป ณ
ตอนวันที่แผลยังสดใหม่จนกระทั่งเวลาทำให้มันตกสะเก็ดกลายเป็นแผลเป็น
มันผ่านมานานเท่าไหร่แล้วนะ คนตัวผอมยกกาแฟขึ้นจิบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแก้วเซรามิคเนื้อละเอียดจะหลงเหลือเพียงคราบสีน้ำตาลเข้มของกาแฟ
“พี่ดูเหมือนไม่เป็นอะไรเลย”
เขายิ้ม “มันไม่เหมือนง่าย”
และผมอยากจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่านี้
“เขาพยายามกลับมา”
โอเซฮุนไม่แตกต่างกับจงอิน
“...อื้อ ฉันรู้”
“พี่จะให้อภัยเขามั้ย”
เงียบ
และทั้งหมดนั่นมันยากที่คนๆหนึ่งล้อเล่นกับความรักของอีกคน
และอีกอย่างหนึ่งมันเป็นรักแรก
มันเหมือนกับว่าตอนนั้นที่เราสบกับดวงตาคู่สวยน่าหลงใหล
วินาทีที่เดินผ่าน กลิ่นน้ำหอมของเขาที่เราเผลอกลับไปค้นหา -- เป็นครั้งแรก
ที่หัวใจเต้นแรงเพียงเพราะเห็นใบหน้าของอีกคน และเพราะว่ามันคือรักแรก
เราสลักชื่อของเขาไว้บนหัวใจ
ถึงแม้เวลาจะผ่าน
กี่สิบฤดูที่ผลัดเปลี่ยน
ถึงเราจะอาจจะหลงลืมไปบ้างแต่เมื่อเราเผลอค้นเจอชิ้นส่วนวามทรงจำเก่าๆ
ความรู้สึกมันกลับชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง
เวลาไม่ช่วยลบใครออกไปจากใจได้เลย
ได้ยินเสียงนุ่มๆของลู่หานตอบกลับมา
น้ำเสียงเล็กเจือไปด้วยความผิดหวัง
“เราพยายามกันมามากเกินพอแล้ว
พันครั้ง -- หรือมากกว่านั้น”
“ครับ”
ร้านกาแฟแห่งนี้ถูกลดระดับเสียงจนเหลือเพียงเสียงฮัมของกวางตัวน้อย
“ถึงจะเป็นรอบที่พันหนึ่ง
ฉันก็รู้ว่าระหว่างเรามันสุดแค่นี้จริงๆ”
เป็นผมเองที่ปล่อยความเงียบทำงานอีกครั้ง
เขาหอบหายใจและพูดต่อ
“...ฉันกลัว
ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ฉันกลัวจริงๆ”
“พี่กำลังกลัวว่าจะตกหลุมรักเซฮุนเป็นครั้งที่สองแต่รู้อะไรมั้ยครับ”
บางทีความรักซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกตเสียอีก
“พี่ไม่เคยออกจากหลุมนั่นมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก”
.
.
.
.
“พี่อยากไปไหนต่อมั้ย”
ได้ยินเสียงแหบแห้งของตัวเองเอ่ยถามระหว่างที่รอสัญญาณไฟจราจร เราขับรถออกมาได้เกือบยี่สิบนาทีแล้ว
ทันทีที่ผมเลิกคลาสก็รีบแยกย้ายออกมาจากกลุ่มเพื่อนโดยที่ไม่ได้บอกอะไรแน่ชัดถึงแบคฮยอนจะชวนดูหนังต่อก็ตามที
สาเหตุที่ผมไม่ได้บอกพวกมันน่ะหรอ -- ผมรู้ว่าไอ้พวกเพื่อนจอมเว่อร์คงเป็นห่วงไม่ยอมปล่อยให้ไปแน่ๆ
ท้องถนนช่วงบ่ายไม่วุ่นวายมากนัก
อาจจะเพราะวันนี้อากาศเย็นจนรอบข้างมีเกล็ดหิมะกระจายเป็นหย่อมๆ
เหมือนกับมีผงแป้งโรยรายอยู่สองข้างทาง
“...อื้อ ไม่มี
ยังไม่มีที่ไหนที่สนใจ”
“เป็นพิเศษ?”
หันไปมองเจ้าของเครื่องหน้าเล็ก ดวงตาโตวันนี้ไม่ได้ถูกซ่อนไว้หลังแว่นนกฮูกเหมือนเคย
ปากสีพีชยู่ลง เขามันไม่มีอะไรเป็นที่สังเกตง่ายอยู่แล้ว
เขาที่เหมือนจะหายไปได้ตลอดเวลา
บ้างก็ทิ้งปริศนาเล็กๆไว้ให้ผมตามหาว่าเขาอยู่ที่ไหน
เขาที่ยังใจดียอมให้ผมอนุญาตเข้าไปในโลกของเขาบ้างเป็นครั้งคราว
“อ่าห๊ะ
ไว้ฉันจะบอก” ผมนึกใคร่รู้และพยายามเก็บความอยากรู้ไว้ในใจ เหมือนเดทวันนั้น
รถออกเคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง
“นายขับรถมือเดียวเป็นรึเปล่า”
น้ำเสียงเล็กขึ้นจมูก
คนตัวเล็กหันมามือใหญ่ที่ประคองพวงมาลัยทั้งสองข้าง ผมเลยหันไปจ้องแก้วตาใส
วันนี้คยองซูเหมือนกระต่าย สวมโค้ทสีชมพูอ่อนเหมือนซากุระ อ่า และใช่
น่ารักมากในวันที่อากาศหนาวจนติดลบแบบนี้
ผมตอบ “เป็นสิครับ”
นัยน์ตาโตกวาดสายตาไปทั่วเหมือนสงสัยสรรพสิ่งบนโลกตลอดเวลา
เพราะกลัวว่าจะไม่เชื่อ เลยตัดสินใจปล่อยมือซ้ายก่อนจะเอื้อมไปจับมือคนที่นั่งเบาะข้างๆ
หางตาเหลือบเห็นพวงแก้มยุ้ยสองข้ามแต้มสีแดงจางๆ พลงในวิทยุดังขึ้นเป็นพื้นหลัง
ค่อยๆย้ายมาวางบนเกียร์
จู่ๆก็นึกถึงประโยคหนึงในนั้นเรื่องโปรดตอนเด็กๆ
และตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันจริงยิ่งกว่าจริงเสียอีก
‘สิ่งสำคัญของการเดินทางไม่ใช่จุดหมาย
แต่อยู่ที่ระหว่างทางต่างหาก’ นั่น กัปตันแจ็ค สแปร์โร่
ระหว่างทาง
เราอาจจะหลงทางบ้าง แต่เราก็เรียนรู้ที่จะเริ่มต้นใหม่และกล้าพอที่จะไม่เดินกลับไปทางเดิมอีก
ของผมมันคงเป็นเขา -- เขาที่ผมบังเอิญพบเจอระหว่างทาง
ผมอาจจะเป็นเด็กหลงทางที่ยอมแพ้อยู่ตรงนั้น
ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวต่อไปข้างหน้า คยองซูไม่ได้มีแม้แต่แผนที่
เขาไม่ได้บอกว่าทางออกของถนนเส้นนี้มันอยู่ตรงไหน
เขาเพียงแต่บอกว่าจากนี้ไปทางมันคงจะลำบาก ขรุขระ หรือเต็มไปด้วยเศษหนาม
ครั้งหนึ่งมันอาจจะเจ็บ
ปลายแหลมของมันตำทุกส่วนจนหัวใจผมอาจจะชา
แต่จนกว่าจะถึงปลายทาง
ผมจะเรียนรู้เองเมื่อหันหลังกลับไปมองว่าตัวเองได้พยายามมากแค่ไหน กว่าจะมีความสุข
มันอาจจะแลกมาด้วยหยาดเหงื่อปะปนเคล้ากับน้ำตา ดังนั้นออกเดินทางต่อ
และอย่าลืมที่จะมีความสุข
“...นี่ จะถึงแล้วเหรอ”
เสียงเล็กเรียกออกจากภวังค์ เมื่อรถค่อยๆเลี้ยวเข้าโรงแรมหรูขนาดใหญ่ ป้ายสีทองบอกชื่อโรงแรมห้าดับที่พวกเซเลปหรือคนดังมักจะจัดงานที่นี้
“ครับ เราถึงแล้ว”
เสียงเครื่องยนต์ดับสนิทลง
คยองซูปลดสายเบลท์ออก หันไปซีกหน้าคมคายที่ดูเหมือนกำลังประหม่า เลยออกแรงบีบที่ฝ่ามือเบาๆ
เจ้าของใบหน้าได้รูปแค่นยิ้มมุมปาก และมันช่างเป็นรอยยิ้มของผู้ชายคนหนึ่งที่เจ็บปวดมากในสายตาอีกคน
เหมือนวันคืนถูกหวนกลับไปอีกครั้ง
หนึ่งวันที่เด็กชายตัวน้อยตั้งตารอมาตลอด เค้กก้อนสีขาวถูกตั้งไว้บนโต๊ะไม้ โดยเบื้องหน้าเป็นรอยยิ้มกว้างของหญิงสาวคนหนึ่ง
คนที่เด็กน้อยคิดว่าคงไม่มีรอยยิ้มของใครอื่นบนโลกนี้สวยเทียบเท่า
“สุขสันต์วันเกิดนะจงอินของแม่
เป่าเค้กเร็วครับ”
ผมในตอนนั้นคงกำลังฉีกยิ้มกว้างเหมือนมีความสุขที่สุดในโลก
ฟู่ว
แสงสีทองอร่ามดับลงพร้อมๆกับเสียงตบมือและไฟที่สว่างขึ้นโดยฝีมือของชายวันกลางคน
เหมือนกับว่า --
มีเสียงหัวเราะดังอัดหูสองข้าง
ตอนนั้นผมไม่ได้อธิษฐานแค่หลับตาแล้วรีบเป่าเพื่อที่จะได้กินเค้กรสโปรด
ถ้าหาก ... ถ้าหากรู้ว่าวันเกิดปีต่อมาต้องเป่าเค้กคนเดียว
ผมคงจะอธิษฐาน-- ว่าอย่าพรากพวกเขาไปจากผมเลย
วินาทีที่แสงเทียบดับลงแล้วไม่มีรอยยิ้มของแม่
ไม่มีมืออุ่นของพ่อที่คอยลูบผม มันเหมือนกับว่ามีหลุมอากาศขนาดใหญ่ในใจผม
“...ฉันอยู่ตรงนี้
ถึงแม้ฉันมันห่วยเรื่องรักษาคนอื่น”
“..ครับ” เป็นเขาคนเดิม
“แต่ฉันสัญญาว่าถึงแม้ว่าหลังจากนี้
--
หลังจากที่นายมอบความยินดีของนายไปพร้อมกับช่อกุหลาบ นายอาจจะเจ็บจนไม่อยากจะหายใจ”
เพราะว่าไม่มีใครที่คุ้นชินกับการสูญเสีย
น้ำตา และการพรากจาก
“ฉันจะไม่ปล่อยมือ
เห็นมั้ย? มือของฉันจะจับเพื่อบอกนายว่านายจะไม่เสียใจคนเดียว”
ทุกอย่างเงียบเชียบ
... เป็นเสียงของใครอีกคนที่กระซิบพร่ำบอกหัวใจอีกดวง
“และถ้าวันนี้นายอยากจะร้องไห้
ได้โปรด... ร้องออกมาเถอะนะจงอินนา”
เหล่าบรรดาแขกมากมายแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสั่งตัดอย่างดี
สวมเครื่องประดับราคาแพง ตรงหน้าผมห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่เมตร เสียงแฟลชที่สาดกระหน่ำเพื่อมายินดีกับภรรยาใหม่ของบริษัทส่งออกอุปกรณ์กีฬาที่มีชื่อเสียง
ทุกคนดูมีความสุขหากคนที่มีความสุขที่สุดคงเป็นเจ้าสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงคล้ายบัลลังก์สวย
มีซุ้มดอกไม้กลิ่นหอมราคาแพงตกแต่งอยู่ตรงทางเข้าและห้องด้านใน
“นายอยากเข้าไปมั้ย”
ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แบบนี้
คิมจงอินเป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดา
และไม่อาจฝืนคำสั่งของโชคชะตาได้
“ครับ”
กว่าจะเจอเสียงทุ้มของตัวเอง มันเบาเหมือนถูกริบลงไปจนแทบไม่ได้ยิน
มือหนารับช่อดอกกุหลาบสีขาวราคาแพงที่ตั้งใจเลือกมาด้วยตัวเอง
รองเท้าหนังสีดำก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน
ได้ยินเสียงผู้คนมายินดีดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงมุมหน้าห้อง
ดวงตาสีน้ำทะเลมองใบหน้าของผู้เป็นแม่ แม่ไม่เปลี่ยนไปเลย
ที่เปลี่ยนไปคงจะดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม
“ขอบคุณมากเลยนะคะที่มาวันนี้”
เธอยิ้ม
แม่กำลังมีความสุขดี
เสี้ยววินาทีที่หญิงสาวหันกลับมาเพื่อส่งรอยยิ้มหวานให้กล้อง
ดวงตาคู่สวยที่หากมองไกลๆก็คงดูออกมาละม้ายคล้ายกันเสียเหลือกัน
พลันเหมือนเสียงทุกอย่างถูกทำให้เงียบลง แม่ยังคงส่งยิ้มอยู่อย่างนั้น
เสียงฮือฮาของรอบข้างพอจับใจความได้ ถามถึงตัวตนของผม
“นั่นลูกชายจากสามีเก่าของหล่อนรึเปล่าน่ะ”
“ไม่รู้สิ
แต่คล้ายกันอยู่นะคะคุณนายชเว”
แต่มันไม่สำคัญหรอก
วันนี้ผมมาเพียงเพื่อยินดีกับรักครั้งใหม่ของเธอ
สูดลมหายใจแล้วเดินเข้าไปท่ามกลางกลุ่มฝูงชน แสงสีส้มจากดวงไฟที่ประดับขับผิวให้เจ้าสาววัยสามสิบปลายๆดูอ่อนเยาว์ขึ้น
กลิ่นหอมจากเกสรดอกไม้ลอยคลุ้งเหมือนที่แห่งนี้เป็นสวรรค์
“นี่ล--”
“มีคนฝากมาให้คุณครับ”
รู้ทั้งรู้ว่าพูดออกไปแล้วจะเจ็บมากแค่ไหน
แต่คนตัวสูงรู้ดีว่าสังคมที่แม่ยืนอยู่ แบบนี้คงดีที่สุด -- ที่สุดแล้วที่ลูกชายคนหนึ่งจะทำเพื่อคนที่รักได้
น้ำใสเริ่มเอ่อคลอดวงตาของแม่ เราต่างรู้ดี แต่พูดอะไรไม่ได้
ริมฝีปากหนาเม้มลงเพื่อสะกดกลั้นทุกคลื่นความเสียใจ
“เขาฝากบอกว่าให้คุณดูแลตัวเองดีๆ”
“...” อย่าร้องไห้บ่อยเกินไปนะครับ
“อย่าป่วย
อย่าเจ็บปวด อย่าทำอะไรด้วยตัวเองคนเดียวจนทำให้ตัวเองเจ็บ”
ยิ่งกว่ามีเข็มนับพันเล่มแทงเข้าไปทุกส่วนของห้องหัวใจ
ท้ายเสียงสั่นเครือเมื่อใครอีกคนเข้ามาในสายตา เป็นผู้ชายใส่สูทราคาแพง
ใบหน้ายังดูเด็กและคิดว่าคงห่างจากผมไม่กี่ปี
นั่นคงเป็นลูกของประธานอี
อ่า ลูกชายคนใหม่สินะ
ไวกว่าความคิดสายตาเห็นริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีสวยกำลังขยับ
และมันเป็นชื่อของเขา
“คิมจ--”
เจ้าของส่วนสูงน่าอิจฉา แม้ใบหน้าจะยังนิ่งสนิท ขยับปากไร้เสียง
อย่าพูดออกมา
แค่นยิ้มออกมาแม้ข้างในร้าวไปหมด
เหมือนกับกำลังจมลงสู่ก้นบึ้งน้ำตาช้าๆ ส่งช่อดอกไม้ในมือให้ก่อนที่สองขาค่อยๆก้าวเท้าถอยหลัง
โค้งลงอย่างสุภาพช้าๆ มันแสนสั้นและรวดเร็ว
“ลาก่อนครับ” ไม่มีอีกแล้ว
ลาก่อน คำนี้ ณ
วินาทีนี้ คงหมายถึง ไม่มีอีกแล้ว มันจบแล้วจริงๆ
หันหลังกลับไปจากโลกที่คุ้นเคย
พลันภาพตรงหน้าก็มัวขึ้นเหมือนกล้องที่ยังไม่ได้ปรับโฟกัส
หยาดน้ำใสหยดแรกไหลกระทบอาบแก้ม ร่วงหยดแล้วหยดเล่า ... ตามจังหวะรองเท้าที่ไกลออกไป
ก่อนทีจะหยุดอยู่ตรงหน้าใครคนหนึ่ง
เท้าเล็กเขย่งขึ้นแล้วรั้งต้นคอหนาซบกับบ่าแคบๆของตัวเอง
มันอาจจะเป็นท่าทางเก้งก้าง
แต่คนตัวเล็กหวังว่ามันคงจะเป็นที่พักพิงยามที่จงอินกำลังเสียใจอยู่บ้าง
ร่างเล็กสัมผัสถึงของเหลวเย็นที่กระจายซึมผ่านเสื้อตัวหนา
และตามด้วยเสียงสะอื้นแทบขาดใจ
“ฮ..ฮึก ผมขอโทษ” มันพังอีกแล้ว
“ขอโทษที่ไม่อาจยินดีได้มากกว่านี้
ฮึก พี่ครับ... ไม่ไปได้มั้ย”
ไหล่กว้างสองข้างสั่นเทาไปหมด
เหมือนมีแผ่นดินไหว มันโคลงเคลงเสียจนแทบยืนไม่อยู่
สุดท้ายแล้วเราต่างก็ซ่อมแซมหัวใจของกันและกัน
“ฮึก..จงอินอา ขอบคุณที่รักษาสัญญา -- ขอบคุณที่ไม่เก็บมันเอาไว้”
เสียงนุ่มของคนตัวเล็กที่กอดเขาไม่ยอมปล่อย คยองซูร้องไห้
คนหนึ่งเจ็บที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ไป
ส่วนอีกคน เจ็บที่เห็นคนที่เข้มแข็งมาตลอด
มาแตกสลายตรงหน้า
เด็กน้อยของเขาล้มลง จงอินมีหัวใจที่แหว่งเว้า มันเจ็บแม้กระทั่งหายใจ คนตัวเล็กไม่รู้เลยว่าหนึ่งคนจะสามารถแบกรับโลกไว้ได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ
อย่าเจ็บอีกเลย
ฉันเกลียดที่ตัวเองทำไม่ได้นอกจากตระกองกอดตัวตนของนายที่แตกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อย
เพื่อที่จะไม่ให้มันหายไป แต่ที่ฉันเกลียดมากที่สุดคือน้ำตาของนาย
เสียงตะโกนร้องทุกห้องแห่งความเจ็บปวดมันดังออกมา
“...ฉ ฉันรู้แล้ว
ไม่เป็นไรนะ ได้โปรด”
คยองซูอ้อนวอนให้โลกหยุดทำร้ายเด็กน้อยในอ้อมกอดของเขาเสียที
คิมจงอินไม่คู่ควรกับน้ำตา
....แต่แล้วจะมีใครบนโลกนี้กัน
ที่คู่ควรกับน้ำตา ทุกหยดกลั่นออกมาจากความเสียใจ มันเจ็บปวด เจ็บปวดเกินไป
เขารู้สึกว่าแค่หายใจยังลำบาก
“ตอนนี้เจ็บมากใช่มั้ย”
เสียงของเจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่น ผมพยักหน้า
“งั้นเราแบ่งกันคนละครึ่งดีมั้ย
ให้ฉันเจ็บบ้าง เพื่อที่นายจะได้เจ็บน้อยลง”
ค่อยๆผละออกจากกัน
ใบหน้าเล็กเปรอะไปด้วยน้ำตา แต่คยองซูก็ยังเป็นคนเดิมเหมือนตลอดมา
ร่างเล็กวาดรอยยิ้ม “แบบนี้ -- ส่งความเสียใจมาให้ฉันนะ”
หน้าผากเล็กแนบชนกับหน้าผากกว้าง
ผมตัดสินใจหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในทะเลน้ำตา
“...อย่ารู้สึกโดดเดี่ยวอีกเลยนะ”
คยองซูหวังว่ามือคู่นี้จะสามารถปลอบโยน
มอบอ้อมกอดแทนผ้าห่ม หลับตาเถอะนะ -- จงอินอา
เดี๋ยวมันจะผ่านไปเมื่อถึงตอนที่พายุสงบ จงอินจะยังมีเขาอยู่ เขายินดีที่จะปลุกจงอินจากฝันร้าย
กอดแม้เสียงร้องไห้และหยดน้ำตาเหล่านั้นจะหลอมรวมกลายเป็นพายุคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
“แม้ในวันหนึ่งนายอาจจะไม่มีฉันและนายกำลังผิดหวัง
-- เหมือนกับตอนนี้
ได้โปรดรับรู้ว่าฉันไม่ได้หายไปไหนไกล ฉันยังอยู่ ... อยู่เพื่อยินดีและแตกสลายไปพร้อมๆกับนาย”
ผมไม่อาจนับจำนวนเหตุผลที่ตกหลุมรักเขาได้เลย
กับการมีอยู่ของคนๆนี้
เป็นเหมือนจักรวาลหรือโลกใบเล็ก
ผมจะไม่ปล่อยรักไป
TBC
สวัสดีค่ะมาอัพแล้ววว ตอนนี้ทุกคนคงดูพี่หมื่นจบแล้วใช่มั้ยเจ้าคะ
งั้นข้าฝากออเจ้าคอมเมนท์ แล้วก็
ติดแฮชแท็ก #ficdearyouks
คุยกันได้นะคะ
แล้วก็ตอนนี้เราตั้งใจให้ทุกคนเห็นมุมอ่อนแอของจงอินบ้าง
ทุกคนยิ้มได้
เสียใจได้แล้วก็ร้องไห้เป็นน้า ดังนั้นถนอมความรู้สึกคนอื่นเสมอเลยนะ!
เป็นไงเศร้ามั้ย ด่าได้แต่อย่าแรงนะ
555555 แง
เราหวังทุกตอนของเราจะฮีลทุกคนได้นะเพราะว่ารักมันไม่ได้มีแค่สวีทอย่างเดียวเนอะ
แล้วก็ขอให้มั่นใจว่าฟิคเรื่องนี้ไม่มีเรื่องมือที่สามหรือแฟนเก่า
ผู้หญิงมาวอแวแน่น๊อนคั้บ
เจอกันตอนใหม่ถ้าไม่เม้นก็กดให้กำลังใจเค้าด้วยนะฮับ
ขอเยอะๆเลยเหนื่อยมากค่ะเพิ่งหายป่วย TT
@olivesvee แอคเราไปฝอยฟิคกันได้เล้ยยย
ความคิดเห็น