ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO FIC) dear you, kaisoo

    ลำดับตอนที่ #10 : 08 ' Faodail 100%

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 763
      30
      22 มี.ค. 61









    เขาเป็นชิ้นส่วนของบทกวี

    ที่ถูกจรดซึมด้วยน้ำหมึก เรียงเป็นตัวอักษร

    ในหนังสือเล่มโปรดของผม

     


    08 ‘ Faodail

    ( n. ) a lucky to find

     


     

     

                ฤดูหนาวหนาวขึ้นทุกที

     

                เสียงแอร์เป็นเสียงเดียวที่ทำงานอยู่ในห้องสมุดแห่งนี้ บ้างก็มีเสียงเปิดหน้ากระดาษ แต่คนที่นี่น่ะขี้เกรงใจ เช่นเดียวกับผมที่เปิดฝาปากกาสีไว้ทุกด้าม ปากกาแท่งยาวกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะสีขาว ปอยผมสีแดงชี้ขึ้นเหมือนเป็ดเพราะทันที่ออกจากคลาสเรียนคนตัวเล็กก็รีบโบกลากลุ่มเพื่อน เดินฝ่าอากาศหนาวที่ทำให้ขาสองข้างแทบขยับไม่ออก

     


                หนาวขนาดนี้ใครจะออกไปเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกกันเล่า มองแก้วกระดาษที่เหลือโกโก้ร้อนที่ป่านนี้คงเย็นชืด มันคงเป็นภาพปกติที่หากใครมาที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยบ่อยๆ เจ้าของแว่นตากลม โต๊ะสีขาว หนังสือกฎหมายเล่มหนายิ่งกว่าคัมภีร์ไบเบิ้ล -- แล้วก็แก้วกระดาษที่บางวันก็เป็นกาแฟร้อน

     



                “อื้อ พี่ครับ” เสียงทุ้มๆของใครบางคนที่นั่งอยู่ตรวข้ามทำลายภวังค์ที่ผมสร้างขึ้น

     



                อ้อ วันนี้ก็ไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว

     




                “พี่กะจะอ่านมันจบถึงหน้าถึงสุดท้ายเลยรึไง”

     



                เจ้าของใบหน้าคมเงยหน้าขึ้นหลังจากที่ฟุบหลับเป็นเวลาร่วมสองชั่วโมง เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่เพิ่งไปย้อมมาเมื่อวานชี้ฟูยุ่งเหยิงจนผมอดหัวเราะเบาๆไม่ได้ ให้ตาย คิมจงอินไปอดหลับอดนอนมาจากไหน แต่ได้ยินมาเหมือนกันว่าช่วงนี้เด็กสินกำมีเทสต์เกือบทุกวัน

     


                คนตัวสูงลุกขึ้น ค่อยๆบิดตัวคลายความเมื่อยล้าจนเสื้อหนาวสีเทาเลิกขึ้นไปเห็นหน้าท้องสวย

     




                ไม่ได้อยากจะมองเลยแต่สายตาก็ยังเบนอกจากตำรากฎหมาย จงอินยกยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อจับได้ว่าผมกำลังแอบมอง



     

                แอบมองบ้าอะไรเล่า! ตั้งสติหน่อย โด คยองซู!

     

     

                “เห็นนะครับเมื่อกี้” มือพลิกกระดาษไปอีกหน้าอย่างรวดเร็ว

     

                “อะไร” พยายามเถียงถึงรู้ว่ายังไงก็แพ้ “สาวๆโต๊ะนู่นมองต่างหาก”

     



                จงอินส่งยิ้มแซวอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะนั่งลงอีกครั้ง เริ่มซนจากการเอาปากกาสีของผมมาเรียงต่อกันเป็นสายรุ้ง พอมันไม่สวยก็เปลี่ยนมาต่อเป็นปราสาท -- ว่าแต่ปราสาทปากกามีที่ไหนกัน ทันใดนั้นเสียงกุกกักเล็กๆจากปากกาหลายแท่งที่ถล่มลงมา เด็กหมีลุกขึ้นโค้งขอโทษหลายคนที่ส่งสายตาตำหนิ ผมลอบอมยิ้มหลังปกหนังสือ ก้มหน้าอ่านต่อไปถึงจะอ่านไม่รู้เรื่องแล้วก็ตาม

     


                ความจริงแล้วผมไม่ใช่เด็กแก่เรียนสมาธิดีขนาดนั้นหรอก เด็กตัวผอมพยายามเรียกร้องความสนใจจากผม และใช่ ด้วยวิธีต่างๆ ส่วนผมก็ได้แต่พยายามฝังตัวเองเข้าไปในหนังสือให้ได้นานที่สุด

     



                เด็กตัวสูงเรียกผม “พี่”

     



                “หื้ม”

     




                คิมจงอินยื่นหน้าเข้ามาใกล้ สองแขนเท้ากับโต๊ะ ... ทุกสิ่งมันเหมือนกับถูกลบออกไป กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆลอยแตะจมูก ปลายนิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยหน้าม้าที่ยาวทิ่มตาของผมออก มันชัดขึ้น ขัดเจนเสียจนผมคิดว่าเราใกล้กันขนาดนี้ตั้งเมื่อไหร่ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าห้องสมุดมันเงียบผิดปกติ

     



                และหัวใจส่งเสียงดังน่ารำคาญจนผมเผลอกำหนังสือแน่น

     



                “ตัดผมได้แล้วนะครับ ยาวทิ่มตาหมดแล้ว”

     



                เราสบตากันนิดหน่อย อ่า คิมจงอินกระตุกยิ้มมุมปากและจากมุมที่ผมเห็นอยู่ตรงนี้ ผมว่าผมอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ เขาส่งเสียงหัวเราะ หึ เมื่อทำภารกิจพังแผนการอ่านหนังสือสามชั่วโมงของผมสำเร็จ

     



                “หยุดยิ้มได้แล้ว หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือไง” พูดเสียงขึ้นจมูกอย่างขลาดอาย

     

                “รู้ได้ไงครับ”

     

                จงอินทำหน้าตาตกใจแบบโอเว่อร์สุดๆ  แบบที่ผมอยากจะปาปากกาสีเขียวใกล้มือใส่เพราะความหมั่นไส้

     



                “มีแต่คำว่าน่ารักติดอยู่เต็มไปหมดเลยครับ”

     



                ... อ่า เขามันขี้หยอดแบบนี้แหละ เมื่อเห็นผมกัดริมฝีปากอย่างไปไม่ถูก เด็กแสบก็เริ่มป่วนหัวใจผมอีกครั้ง

     




                ยกปากกาชี้มาทางผม น้ำเสียงทุ้มละลาย “ตรงจมูก ตรงแก้มสองข้าง ตรงปาก ตรงตา”

     



                “น่ารัก”

     




                จากนั้นก็ บึ้ม! ผมกลั้นยิ้มจนโหนกแก้มสองข้างขึ้นสูงกว่าเดิม มุมปากยกยิ้มกว้างแล้วหลุดเสียงหัวเราะออกมา ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีคนมองแล้วตำหนิเราสองคนมากกว่าเดิมแต่ก็ช่างเถอะ ผมจะจดใส่ใจไว้ว่าอย่าปล่อยให้จงอินมาฐานลับที่นี่เด็ดขาด

     





                ข้อแรกเพราะว่าเขาทำให้โต๊ะของผมที่เคยมีแต่ความเงียบและหนอนหนังสือใส่แว่น

     



                ตอนนี้มันมีแต่เสียงดังตึกตักรัวเหมือนกลองชุด และผมที่ก้าวออกมาจากโลกของตัวเอง ยิ้มมากกว่าเดิม หัวเราะมากกว่าเดิม มีความสุขมากกว่าเดิม ... ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆเพื่อทำการกู้ชีพตัวเองที่โดนแอทแทคจากหมีตัวโต

     



                “นายกลัวจะมีคนลักพาตัวฉันรึไง” ได้ยินเสียงตัวเองถามกลับไปหลังจากที่ดึงสติตัวเองกลับมาได้เรียบร้อยแล้ว

     



                คนที่นั่งเท้าคางมองผมอมยิ้มอยู่นานสองนานหยัดตัวขึ้น ก้าวยาวๆเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดอยู่ด้านข้าง ผมเงยหน้าขึ้น ทันทีที่เงยหน้ามือหนาก็เอื้อมมาสัมผัส ยีหัวผมเบาๆ ผมเห็นจงอินระบายยิ้มสวย

     



                อีกแล้ว ... วันนี้ผมเก็บรอยยิ้มของเขาใส่ขวดโหล คิมจงอินจะรู้มั้ยนะว่าตัวเองเหมาะกับรอยยิ้มกว้างแบบนี้มากที่สุดในจักรวาล  คิดในใจแต่ก็ยังแสดงสีหน้ามึนปกติ จะให้เด็กนี่รู้ได้ไงว่าผมชอบรอยยิ้มของเขามากแค่ไหน

     





                “ผมไม่ได้กลัวว่าจะมีใครลักพาตัวพี่ไปหรอก”

     

                “...

     

                ผมเอียงคอ สบนัยน์ตาสวยคู่เดิมอีกครั้ง

     




                “ผมกลัวว่าจะมีใครมาลักหัวใจพี่ไปต่างหาก”

     

     

     

                อีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้งที่ผมปล่อยให้ตัวเองใจเต้นแรงกับคนๆนี้

     




                ถ้าเพียงแต่จงอินจะเห็นใจผมบ้าง เขามันบอทใหญ่ในเกมส์ที่รู้วิธีคอนโทรลเกมส์ทั้งหมด

     





                ถ้าเป็นเกมส์ ตอนนี้มันคงขึ้นว่า โดคยองซู out แล้วแน่ๆ

     


     

                “พี่ แต่เมื่อกี้ผมฝันด้วยแหละ” ผมเขยิบไปนั่งเก้าอี้อีกตัว กระแอมไอสองสามที หันไปเห็นคิมจงอินกำลังเล่าความฝันของตัวเองอย่างตั้งใจ

     



                “ฝันดีหรือฝันร้าย”

     




                “ฝันดีซี้” เด็กหมีของผมขยับปากเล่าตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ “ผมฝันว่าตัวเองกลายเป็นหมี”

     



                ฝันถึงตัวเองเนี่ยนะ? ผมตัดสินใจคว่ำหนังสือลงแล้วหันไปสบตานักเล่านิทานอย่างจริงจัง เด็กตัวผอมเห็นว่าคนตัวเล็กจ้องตัวเองตาแป๋วอย่างตื่นเต้นเลยเริ่มเล่าต่อ

     

     

                “ผมได้ลูกโป่งมาแล้วหลังจากนั้นก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย”

     

                “ฉันไม่เคยฝันว่าตัวเองได้ลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย” ยู่ปากลง ผมคิดว่ามันคงเป็นฝันที่ตื่นตาตื่นตาใจมากแน่ๆ ไม่แปลกใจเลยที่คิมจงอินหลับยาวขนาดนั้น

     



                บางทีความฝันก็ทำให้เราอยากหนีออกจากโลกความจริง และถึงแม้ว่าฝันนั้นจะสวยงามมากแค่ไหน ท้ายที่สุดคุณก็ต้องตื่นจากความฝัน

     




                เราหนีอะไรจากความจริงไม่ได้ แต่เราทุกวันให้ดีขึ้นได้ ฮึดสู้และก้าวเดินต่อไปครับ ส่วนเรื่องกำลังใจวันนี้ผมจะทำหน้าที่นั่นเอง /ขยิบตา

     


     


                “พอลอยแล้วเจอดาวเต็มไปหมดเลย -- ผมรู้ว่าพี่ชอบดาวมากแค่ไหน ผมเลยหยิบมันแล้วเอาไปร้อยเป็นสร้อย สวยมากเลย อ่า แล้วก็มีเยลลี่อุกกาบาตด้วยครับ”

     



                “เยลลี่อุกกาบาต?” ทวนเสียงสูง แย้มยิ้มน่ารัก

     




                นักเล่านิทานพยักหน้ายืนยัน “พี่ต้องชอบกินแน่ๆ เสียดายจังที่เป็นแค่ฝัน”

     




                เด็กน้อยของผมไหล่ตก ราวกับผิดหวังที่เอาเยลลี่พวกนั้นมาให้มาได้ ผมหลุดหัวเราะ คิมจงอินไม่รู้อะไรเลยซะเลย

     



                มันเป็นไปไม่ได้ ผมจึงบอก “...บางทีเราปล่อยให้มันแค่ฝันดีหนึ่งวันดีกว่า”

     




                เขาพยักหน้าในขณะที่ตายังจับจ้องมาที่ผม

     




                “เพราะถ้าเรารู้ว่ามันไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง -- อย่างมงายในฝันเลย ไม่งั้นนายจะเจ็บเอานะ”

     




                “พี่คิดว่าผมงมงายเหรอ”

     



                ผมยิ้มอีกครั้ง “เปล่า -- เปล่าเลย ฉันแค่อยากสอนให้นายรู้จักความฝัน อย่างฝันของนายวันนี้ถ้าเป็นฉัน ฉันไม่เสียเวลาร้อยดาวหรอกน่า”

     


                “พี่กำลังทำให้มันเป็นฝันร้ายใช่มั้ย”

     


                “ฉันจะกินมันให้หมดเลยต่างหาก อิ่มด้วย ฉันเก็บดาวไม่ได้แต่ฉันจะเก็บเจ้าเยลลี่พวกนั่นลงท้องไปเล้ย”

     



                คุยถึงตรงนี้เราก็ต่างหัวเราะออกมาเหมือนคนเสียสติ แต่ก็ต้องยกมือขึ้นมาอุดปากไว้กันไม่ให้โดนหนังสือปาใส่หัวโทษฐานส่งเสียงดังในฐานลับอีกครั้ง คนตัวเล็กหัวเราะจนตาหยี ให้ตาย จงอินคิดว่าพี่คยองซูทำให้เขาหลงหนักมากขึ้นทุกวัน

     



                เด็กตัวผอมเซไปอีกทางเพราะโดนแกล้งผลัก ในขณะเดียวกันผมก็โดนเอาคืนโดยมีรอยหนวดแมวบนหน้า เรานั่งชันเข่าเข้าหากัน ปลายเสื้อหนาของจงอินแตะบนปลายเท้าของผม เราคุยกันเรื่อยเปื่อย แกล้งกันบ้าง เป็นหนึ่งวันที่ผมชอบมากกว่าเมื่อวานหรือวันก่อนๆที่เราไปทะเลด้วยกัน

     

     

     

                เราปล่อยความสัมพันธ์ให้เดินไปอย่างช้าๆ ... เหมือนดาวสองดวงที่แม้เคยอยู่ห่างกันมากแค่ไหน



                เรากำลังโคจรเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเพื่อเรียนรู้บางสิ่งที่เรียกว่ารัก ไปพร้อมๆกัน

     

     

     

     


     

     

                หลังจากที่เราออกจากห้องสมุด คิมจนอินบอกว่าจะแวะไปที่ย่านช้อปปิ้งก่อนจะกลับหอ ผมพยักหน้าตามเพราะวันนี้ผมไมได้วางแผนจะทำอะไรอยู่แล้ว ไปเดินเล่นแถวกาโรซูกิลก็น่าสนใจดีเหมือนกัน ว่ากันตามตรงแล้วผมไม่ค่อยช้อปปิ้งซักเท่าไหร่ เห็นเด็กนี่บอกว่ามีงานเลยอยากซื้อเสื้อผ้าใหม่

     



                ห้าโมงเย็นแล้ว แสงสีทองอาบไล้ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่น เสียงเพลงดังตลอดสองข้างทางไม่ซ้ำกัน ถึงจะอากาศเย็นแล้วแต่ก็คนเยอะอยู่ดี ระหว่างทางเราแวะเข้าร้านหมวก (ผมเพิ่งรู้ว่าคิมจงอินชอบสะสมหมวก) และเด็กหมีก็ได้หมวกแก็ปสีดำเท่ๆหนึ่งใบ อวดเท่ตลอดทาง

               




                เราเดินมาถึงร้านเคสที่มีเคสโทรศัพท์ทุกรุ่นทุกยี่ห้อแขวนเรียงราย ยังไม่ทันจะพูดอะไรเด็กตัวโตก็จูงมือผมเข้าไปในร้านเสียแล้ว



     

                “อันเก่าฉันก็ยังไม่พังซักหน่อย” ผมบ่น แต่คิมจงอินก็ยังสนุกกับการเลือกซื้อเคสให้ผม

     

                “ไม่ใช่แค่ของพี่คนเดียวซักหน่อย...

     




                ผมทำหน้างง และได้รับคำตอบกลับมาจากเคสสีดำลายดาวเสาร์ ส่วนอีกอันเป็นรูปดาวเคราะห์ พระอาทิตย์และสรรพสิ่งอื่นๆนอกโลก จงอินจ่ายเงินเสร็จสรรพ ก่อนจะลากผมออกมาจากร้าน


     

                ก้มมองเคสคู่สองอันในมืออีกคน ก่อนจะ ป็อก! โดนดีดกลางหน้าผากเบาๆหนึ่งที

     



                คิมจงอินยกยิ้ม “เคสคู่ไงครับ ของพี่กับของผม”

     

                “ไม่ต้องทำหน้ามึนแล้ว ไปกันเถอะครับ”

     




                อ่า จริงๆเลย ผมได้บอกคุณรึยังนะว่าคิมจงอิน เป็นหมีเจ้าเล่ห์ที่สุดในโลก L

     



                แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาน่ะโคตรน่ารัก เขารู้ว่าทำยังไงผมถึงจะยิ้ม ทุกการกระทำของเขามันเริ่มมีอิทธิพลกับผมขึ้นทุกวัน  แย่แล้วคยองซู -- แย่แล้วจริงๆ

     

     

     


    ................................

     

     




                ส่วนสูงราวกับเป็นนายแบบหลุดออกมาจากปกนิตยสาร ผมดึงเสื้อตัวแล้วตัวเล่าออกมาดู แต่ก็ไม่มีตัวไหนเตะตาผมซักตัว ตอนนี้ผมกำลังเลือกเสื้อผ้าให้จงอินใส่ไปงาน เด็กนั่นบอกแค่ว่า

     



                “งานสำคัญครับ”

     

                แล้วก็ยืนเป็นแบบให้ผมหมุนไปมาแบบนี้

     

                ....อ่า ตัวนี้ดีกว่า นายขายาว เสื้อไหมพรมตัวนี้ด้วย”

     

                “ใส่ตัวไหนก็หล่อทั้งนั้นแหละครับ” ยืนเก๊กหล่อเหมือนนายแบบทำเอาสาวๆที่เดินผ่านร้านหลายคนหันกลับไปซุบซิบแอบมองจนหน้าแดงกันเป็นแถบๆ

     



                เพี๊ยะ!

     



                “รู้ตัวแล้วก็อย่ามาโชว์หล่อแถวนี้”

     

                “หวงหรอครับ”

     

                นั่น... ใครว่า ผมแค่หมั่นไส้ต่างหาก จริงๆนะ! L

     



                เหลือบเห็นเด็กตัวสูงยกลูบแขนขวาที่โดนผมตีไปเบาๆ แต่ทำเหมือนเจ็บสาหัส ริมฝีปากเชอร์รี่เบะลงเพราะชักจะหมั่นไส้จริงๆแล้ว แต่ในสายตาคนมองกลับมองว่ามันน่าบีบให้ร้องไห้มากต่างหาก ผมใช้เวลาไม่นานในการเป็นสไตลิสต์พกพาของคุณคิม  จนได้เสื้อโค้ทสีเบจและเสื้อไหมพรมสีอลิซบลู

     


     

                คิมจงอินต้องแบบนี้แหละ โทนสีอ่อน ไม่ต้องมากมาย ... ผมคิดว่าวันพรุ่งนี้ต้องมีสาวๆมองเขามากกว่านี้แน่ แต่แล้วไง นั่นผลงานมาสเตอร์พีชของผมเชียวนะ

     

     

                ระหว่างทางสองขาผมอยู่บนขอบฟุตบาทที่ทอดยาว มืออีกครั้งเปไปมาในอากาศ ดวงอาทิตย์คล้อยลับเส้นขอบฟ้าไปแล้ว ท้องถนนตอนนี้เต็มไปด้วยแสงไฟต่างๆ ครึกครืนมากยิ่งขึ้น เดินผ่านคู่รักหลายคนที่เดินอิงแอบใกล้ชิดกัน

     



                หน้าหนาวมันทำให้คนเหงาจริงๆสิน้า ผมคิดว่ามันเป็นช่วงที่ใครหลายคนได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม

     



                “พี่!

     

                “โอ๊ะ!

     




                เท้าของผมหักไปอีกทาง ตัวของผมกำลังร่วงลงบนพื้น ท่ามกลางอากาศหนาวจนควันสีขาวออกปาก มันโพยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า มืออุ่นของคิมจงอินรับผมไว้ เหมือนกับมีไฟช็อตเล็กๆทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกัน หลุบตามองเท้าตัวเองเมื่อทรงตัวได้ ฝ่ามือของเรายังประสานกัน ผมค่อยๆลงจากขอบฟุตบาทสูง

     


                จู่ๆ แก้มสองข้างก็ร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ

     


                “อ้อ นายไปงานแบบไหนนะ ฉันลืมถามไปสนิท”

     



                ปลายเท้าของผมก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ผมหันไปมองซีกหน้าของใครอีกคนที่เดินข้างกันมาตลอดทาง จงอินมีใบหน้านิ่งสนิททันทีที่ผมถาม

     


                เขายิ้มอยู่วิหนึ่ง “งานแต่งครับ”

     



                แต่เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ทันเห็นว่ามันฝืนขนาดไหน

     


                สองข้างทางมีร้านขายของเรียงรายน้อยลงเรื่อยๆเพราะเริ่มออกจากย่านช้อปปิ้งแล้ว โคมไฟสีแดงสวยประดับตามเสาข้างทาง เสียงล้อรถบดกับถนนดังสลับกับเสียงหัวเราะของใครหลายคนที่ดังข้ามมาจากอีกฟากหนึ่งของถนน สายลมหน้าหนาวพัดผ่านผิวกายจนขนลุกซู่

     



                “งี้นายต้องเนี๊ยบหน่อยซะแล้ว”

     

                “ไม่หรอกครับ -- ไม่จำเป็น”

     



                ขาเล็กสะดุดกึก น้ำเสียงทุ้มเหมือนดับเบิ้ลเบสนิ่งผิดปกติ ผมเห็นแววตาของจงอินดูเศร้า มันหม่นแสงสลับไปมาเหมือนคลื่นทะเลในวันพายุเข้า แต่แล้วเราก็ปล่อยให้ความน่าอึดอัดผ่านไปเช่นเดียวกับสายลม เราสองคนบังเอิญเจอร้านขายไส้กรอกเลือด เพราะยังไม่ไดกินข้าวเย็นเลยตัดสินใจกินกันที่นี่

     



                ภายในเต้นท์ร้านค้าสีแดงไม่มีลูกค้ามากนัก พวกผมจับจองที่นั่งด้านในสุด พร้อมกับสั่งคุณป้าที่ขายว่าจะกินอะไรบ้าง ไม่นานไส้กรอดเลือดกับต็อกร้อนๆก็มาเสิร์ฟ พร้อมกับมันดูหลายชิ้นน่าตาน่ากินจนท้องเริ่มส่งเสียงดัง

     



                “กินแล้วนะครับ” วิถีชาวเกาหลีดั้งเดิมสุดๆ จัดการคีบทุกอย่างตรงหน้าเข้าปากเพราะความหิว คนตัวเล็กกินอย่างเอร็ดอร่อย คราบซอสสีแดงเลอะมุมปากเล็กเพราะกินเก่งเกินไป


     

                “นายน่าจะหาดอกไม้ซักช่อ” พูดงึมงำเพราะแก้มป่องสองข้างอัดแน่นไปด้วยไส้กรอก

     


                คิมจงอินวางตะเกียบลง จัดการใช้ปลายนิ้วโป้งค่อยๆปาดคราบซอสออกอย่างทะนุถนอม

     



                “ฉันว่าดอกกุหลาบขาว เรียบๆแต่โดดเด่นไม่แพ้สีแดงเลยล่ะ”

     




                คนตัวเล็กเคี้ยวแก้มตุ่ยแล้วพยักหน้าขอบคุณเหมือนเด็ก เด็กตัวผอมมองภาพใบหน้าเล็กที่หัวเราะไปกินไปตอนที่เรียงไส้กรอกเป็นรูปยิ้ม ทั้งหมดนี่มันธรรมดา ดาษดื่นทว่าพิเศษ ถึงจะเป็นแค่ร้านข้างทางแต่เขาคิดว่าแม้ในวันที่อากาศเย็นแบบนี้ หัวใจของเขามันก็อุ่นขึ้นได้เหมือนกัน



     

                เพราะมีกันอยู่ตรงนี้ ... ขอบคุณแรงโน้มถ่วงในจักรวาล

     

                หรือใครบนฟ้าที่ขีดให้เขาได้เจอคยองซู หรืออาจเป็นการนำทางของแสงดาวตก

     

                เขาขอบคุณ.

     



     

                หลังจากที่จัดการฟาดอาหารจนเรียบ ผมก็เลยออกมาเดินย่อย แถมนี้มีสวนเด็กเล่นเล็กๆ มันเงียบไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน แรงลมพัดมาวูบหนึ่งจนกิ่งไม้สั่นไหว คนตัวเล็กในฮู้ดสีเหลืองสดใส ตรงกลางมีลูกเป็ดสีเหลืองเดินย้ำไปบนพื้นทราย สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดสนิทที่ตอนนี้มีพระจันทร์เสี้ยวสวยประดับอยู่บนนั้น

     



                ผมนั่งลงบนชิงช้า ค่อยๆเอนไปด้านหลัง ปลายเท้าสัมผัสพื้นไปมาราวกับหยอกล้อ รอยยิ้มน่ารักจุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ มันนานมาแล้วที่ได้มาทำอะไรแบบนี้ ผมกวาดตาหาเด็กตัวสูง จงอินโบกมือแล้วบอกว่าจะแกว่งชิงช้าให้ มันค่อยๆขยับไปข้างหน้า ผมเผลอร้องเมื่อเด็กหมีขี้แกล้งผลักจนตัวผมลอยสูง

     



                จนกระทั่งถอยกลับมาเซชนกับแผงอกกว้างดัง ปั่ก

     


                “ตอนเด็กฉันชอบเขียนจดหมายมากเลย ฉันเคยคิดอยากจะเขียนจดหมายถึงพระเจ้าด้วย”

     



                ผมเงยหน้าเห็นคิมจงอินที่ก้มมองลงมาเหมือนกัน เป็นความเงียบยาวนานสิบวินาทีที่เราเอาแต่จ้องกันอยู่อย่างนาน จนกระทั่งริมฝีปากหนาได้รูปค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ ผมตัดสินใจหลับตาลงพร้อมๆกับเสียงตีกลองในอก

     



                ... ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดจนหน้าม้าผมแตกกระจาย สัมผัสแผ่วเบาตรงกลางกระหม่อมก่อนจะหายไป

               


                “คิดอะไรอยู่ครับ J

     


                ร้าย! คิมจงอินคนร้ายกาจ!

     



                ผมหันหน้ากลับมาเหมือนเดิม ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆไล่หลังมา -- มานับกันมั้ยว่าคิมจงอินแกล้งผมไปกี่รอบแล้ว ฮึ่ม อย่าให้ถึงทีผมเอาคืนบ้างแล้วกัน!

     



                “พี่ชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กๆเลยเหรอครับ”

     

                ชิงช้าเริ่มแกว่งไปด้านหน้าเบาๆ ลมเย็นตีปะทะหน้า “อื้อ พ่อฉันสอนน่ะ”

     



                นึกถึงวัยเด็ก ผมเริ่มเล่าวีรกรรมอย่างเช่นเอาสีชอล์กมาละเลงกำแพงบ้านจนต้องทาสีใหม่ห้องนั่งเล่นทั้งหมด บนโลกนี้มีจิตรกรคนเดียวที่วาดรูปแม่ของผมได้สวยที่สุด นั่นก็คือพ่อ น้ำเสียงเล็กเล่าเจื้อยแจ้ว

     



                “ฉันชอบตอนเด็กที่สุด ถ้าเลือกได้ก็ไม่โตหรอก”

     

                “ถ้ารู้ว่าต้องโตมาเจอโลกเส็งเคร็งแบบนี้สิน่ะครับ” ผมพยักหน้าทันที “ฉันมีความสุขที่สุดตอนนั้นเลย”

     



                ผมยิ้มกว้าง และในความเงียบ ลมหนาวเล็ดลอดช่องว่างระหว่างผมกับเด็กตัวสูง ชิงช้าหยุดแกว่งไปนานเช่นเดียวกับคิมจงอินที่เงียบไป หางตาเห็นคนที่อยู่สเว็ตเตอร์สีกรมยยี่ห้อดังนั่งลงบนชิงช้าข้างๆ โซ่ของมันขึ้นสนิมเพราะถูกน้ำและลมกัดกร่อนมานาน

     



                “งานแต่งคือวันพรุ่งนี้ครับ” เขาระบายยิ้มบาง

     

                “งั้นนายต้องรีบเตรียมดอกไม้ตอนเช้า มีเรียนสิบโมงนี่”

     



                ใช้เท้าเขี่ยทรายเล่นไปมา ขายาวใต้ยีนส์สีเข้มของใครบางคนที่นั่งข้างๆสัมผัสผืนทราย ผมหันไปเห็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อน เป็นวินาทีนั่นเอง ... ผมรู้ว่าตัวเองพลาดไปเสียแล้ว

     



                เสียงแมลงส่งเสียงกลบเสียงถอนหายใจของจงอิน วันนี้ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินสนิท ตอนนี้มันเงียบและทันที่ทีลมพัดมาผมรู้สึกว่าคืนนี้มันเศร้าผิดปกติ หรือเป็นเพราะคนข้างๆผมกันนะ ไม่นาน ใบหน้าได้รูปหันมาสบตาผมจริงจัง นัยน์ตาที่ผมหลงใหลมีม่านน้ำใสๆคลออยู่

     



                “แต่พี่ครับ... ผมไม่ยินดีเลยซักนิด”

     

     

                เด็กที่สดใส เขาส่องสว่างมากกว่าพระจันทร์บนท้องฟ้าของทุกวัน คนที่เข้าหาเข้ามากกว่าแรงดึดดูดของโลกหรือแม้แรงเหวี่ยงของโชะตา

     


                คิมจงอินลอบเลียริมฝีปาก ราวกับคำพูดมากมายค่อยๆไหลทะลักออกมา

     



                “แต่ถ้าหาก”

     

                ผมตอบรับ “ถ้าหาก”

     




                ผมเพิ่งรู้ว่ามีเรื่องราวอีกมากมายที่เขาไม่รู้ มันตกหล่นระหว่างทาง และมันเป็นผม ... ผมที่ไม่สังเกตเลยว่า

     

                คนที่พยายามปลูกดอกไม้ในหัวใจของผม อาจเคยเป็นตะวันที่เบ่งบาน

     

                แต่กลับเหี่ยวเฉาและจนในที่สุดสลายกลายเป็นเศษดิน

     


     


                “...ถ้าหากแม่ของผมมีความสุขเมื่อเห็นผมอยู่ตรงนั้น -- ยินดี และผมไม่สามารถทำได้มากกว่ามอบช่ออกไม้สวยๆให้เธอซักช่อ”

     

     


                ทานตะวันที่เบ่งบาน


                ...ผมเชื่อว่ามันงดงาม ทว่าวันหนึ่งแสงแดดที่เคยให้ความอบอุ่นจางหายไป


                ผมจะเป็นแสงแดดที่หายไปของเขาได้รึเปล่า

     

     


     

                “ตอนนี้ในหัวของผมเหมือนเทปเลยครับ มันกรอกลับไปมาตอนที่แม่ออกจากบ้าน ตอนที่พ่อออกไปตามหา ประตูมันปิดลงแล้วผมก็ไม่ได้ยินเสียงมันอีกเลย”

     

                “ฉัน....”  ตอนนี้มันยากยิ่งกว่าโอบอุ้มทะเลทั้งหมด

     



                กระแสน้ำไหลออกมาไม่หยุด มันพัดเอาตะกอนดินเอาซากปรักหักพังออกมา ผมหลับตาปล่อยให้เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ

     



                “แล้วยายก็มาหา ผมกลายเป็นเด็กเกเร เป็นอันธพาลตีกับคนอื่นได้แผลกลับ้านมาทุกวันเลยครับ ฮ่ะๆ มีแผลกลับบ้านมาทุกวัน”

     

     


                นกไร้ชื่อกำลังขับขานบทเพลงแสนเศร้า สายลมหอบเอาความหนาวเย็น มันชา ผมรู้สึกได้ ดังนั้นผมเลยลุกขึ้นและเพราะผมมันห่วยเรื่องปลอบคนอื่น สองขาไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่ตัวใหญ่กว่า เอื้อมมือลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลธรรมชาติ ท่ามกลางความเงียบทีมีแค่ผมและเขา

     


                จงอินเงยหน้า แก้วตาคู่สวยสะท้อนหยาดน้ำใส ประกายจากแสงจันทร์ด้านหลังเด่นชัดในดวงตา

     

               

                “มันหนาวนะ ... ในนี้ก็เหมือนกัน” ใช้ปลายนิ้วจิ้มลงบนแผ่นอก ที่ๆมีอยู่ของหัวใจ

     



                และผมหวังว่ากอดนี้จะแทนทุกความรู้สึกที่ผมมี เพื่อตระกองกอดเขาไว้ให้ได้นานที่สุด เขาที่ผมไม่รู้อะไรเลย จงอินไม่เคยบอกตัวตนที่แท้จริง เด็กนั่นบอกแค่เวลาจะทำหน้าที่ของมันเอง และตอนนี้เขาค้นพบแล้วว่าจงอินตัวแค่นี้เอง

     



                ทำไมถึงรับทุกความรู้สึกที่เข้ามาแบบนี้ มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราไม่สามารถห้ามตัวเองให้คิดแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราเจ็บปวดทุกครั้งก็ตาม

     




                “งั้นจากนี้เรามากอดกันให้อุ่นขึ้นดีมั้ย”

     



                มือเล็กรั้งต้นคอหนาเข้ามาใกล้ ขยับตัวไปทีละก้าว ใบหน้าของจงอินแนบอยู่ตรงบริเวณหน้าท้อง มันรู้สึกเหมือนกับมีผีเสื้อนับร้อยบินวนอยู่ในช่องท้องตอนทที่มีลมหายใจอุ่นๆเป่ารดหน้าท้อง

     



                ถ้าจงอินเป็นดอกไม้ ผมก็อยากตกแต่งและดูแลให้มันเติบโต

     


                รักก็เหมือนกัน

     

     





                “ดีขึ้นบ้างมั้ย”

     

                จงอินค้นพบเสียงของตัวเองหลังจากภาพความทรงจำวัยเด็กบีบอัดจนรู้สึกชาหนึบในใจ

     


                “...ครับ มันอุ่นมากเลย เหมือนเมื่อกี้มักำลังติดลบแต่ตอนนี้อุ่นมากๆเลยครับ”

               



                ผมยิ้มแต่มั่นใจว่าคิมจงอินไม่เห็นหรอก แย้มรอยยิ้มก่อนจะลูบกลุ่มผมของเด็กหมีตัวโตราวกับปลอบโยน  ถ้าเป็นไปได้ผมอยากบอกเขา อาจจะเป็นบางวันก่อนที่เราจะแยกกลับหอตัวเองไปว่า

     



                ไม่มีอะไรต้องห่วงเลย นายทำดีที่สุดแล้ว เมื่อตอนที่นายซ่อมแซมความรู้สึกตัวเองจนมันคล้ายกับว่าจะเป็นเหมือนเดิม แต่นั่นก็พอแล้ว

     

     


                “ฉัน... ขอโทษนะ”

     


                แวบหนึ่งผมรู้สึกผิดที่ไม่เคยรู้อะไรเลย

     


                เขาที่ยิ้มเก่งเสียอย่างนั้น เจ้าของรอยยิ้มที่ผมแอบบรรจุในขวดโหลใต้แผ่นอก

     





                จงอินขยับตัวออก มืออุ่นกอบกุมเจ้าของมือเล็ก ชั่ววินาทีที่สบตากันอีกครั้งผมเห็นบางอย่างวูบไหวและหายไปในนัยน์ตาคู่นั้น คิมจงอินยันตัวลุกขึ้นแล้วดันให้ผมไปนั่งแทนที่

     



                เสียงทุ้มดังก้อง ที่ตรงนี้ มันชัดเจนมากว่าที่ผ่านมา

     


                “พี่รู้มั้ยว่าการมีพี่อยู่ตรงนี้ เท่านี้ -- ผมก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว”

     

                “ฉันช่วยตามหาพ่อนายได้นะ” เขายิ้ม “พี่คยองซู”

     

                “อื้อ ว่าไง”

     

                “บางทีเวลามันเดินเร็วเกินจนไปจนหัวใจของผมเหมือนจะเต้นช้าลงเลยล่ะครับ”

     

                “...” อ่า นั่นสินะเพราะมันนานมากเกินไป

     

                “ผมไม่กล้าหาคำตอบจากคำถามนี้หรอกครับ”

     



     

                และผมรู้ว่าบางทีเราไม่จำเป็นต้องหาคำตอบของคำถามที่เรารู้อยู่แล้ว จงอินยังส่งยิ้มไม่เป็นอะไร เขาเข้าใจ แต่นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเราโตพอแล้วที่จะเข้าใจผู้ใหญ่ มันอาจจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง เชื่อเถอะถึงเวลานั้น

     



                คุณจะเข้าใจเองโดยที่ไม่ต้องออกแรงพยายาม

     



                “ชีวิตก็แบบนี้”

     

                “ครับ” เขาขานรับ “ไม่ว่ายังไงคนที่ยังอยู่ก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป”

     



                ผมบอก ชิงช้าเริ่มแกว่งไปโซ่ค่อยๆหมุนเป็นวงกลม

     

                “...ครับ แค่ผมรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่นั่นก็เพียงพอแล้ว”

     

                “นายรู้งั้นเหรอ”

     

                “ยายผมบอกว่าเงินที่ส่งเสียผมเรียนจนจบมาจากพ่อ”

     

                “แต่ทำไม--” ยังไม่ทันที่ผมจะแย้ง ชิงช้าถูกหมุนไปมาจนสุด

     

                “มนุษย์เก็บทุกความเสียใจ ความรู้สึกอับอาย ความผิดหวังในชีวิต จนในที่สุดมันกลายเป็นความรู้สึกผิด”

     



                โซ่เหล็กส่งเสียงกร๊อกแกร๊ง หลังจากที่ถูกปล่อย ตัวของผมหมุนเป็นวงด้วยความเร็ว แล้วค่อยๆมาหยุดอยู่ที่เดิม ตรงหน้าเด็กสูงผอม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มเล็กๆ

     



                “รู้สึกผิดที่ไม่สามารถเป็นพ่อที่ดีได้เลย”

     

                ผมลุกขึ้น ก้าวจนกระทั่งรองเท้าผ้าใบของตัวเองชนกับรองเท้าของเขา วาดรอยยิ้ม

     



                “รู้มั้ยว่าฉันภูมิใจในตัวนายที่สุดเลยคิมจงอิน”

     



                ภูมิใจแม้ที่ผ่านมาอาจจะผ่านไปอย่างทุลักทุเล แต่เด็กน้อยของผมก็ผ่านมาจนได้

     

     


                ถึงมันจะยาก ถึงแม้จะไม่มีใครรับรู้ความเจ็บปวดของเรา


                ... เหมือนกับมีโลกของเราที่หยุดหมุนไป แต่เชื่อผมเถอะ , พรุ่งนี้อาทิตย์ยังคงสาดแสง


                คุณแค่กำลังเติบโต

     

     



                “ขอบคุณนะครับ พี่รู้มั้ยว่าวันนี้โลกของผมมีอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง”

     


                ผมย่นจมูก วางแผนจะทำอันตรายกับหัวใจของผมอีกแล้วแน่ๆ “อะไร”

     




                “ผมชอบพี่มากกว่าเดิมอีก มากกว่าเมื่อวานแล้วก็วางแผนจะชอบไปเรื่อยๆครับ”

     



                เด็กร่างผอมค่อยๆกระตุกยิ้มกว้างเมื่อเห็นสองแก้มแดงเป็นมะเขือเทศสุกได้ที่ ริมฝีปากอิ่มขยับพึมพำ พลันเหมือนกับบรรยากาศมืดหม่นเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น

     



                “ไอ้เด็กนี่”

     

                “ว่าผมเหรอครับคุณ :-)”

     

     


                ส่วนสูงที่แตกต่าง เจ้าของเรือนผมสีแดงพุ่งเข้าไปเหยียบเท้าอีกคนก่อนจะวิ่งหนี แต่ขาสั้นๆหรือจะสู้กับขายาวของคนตัวโตกว่าได้ เอวเล็กถูกคว้าเข้าไปกอด แผ่นหลังบางชนกับแผ่นอกแกร่ง คนที่มีพลังทำลายสูงก้มลงกระซิบใกล้ใบหูเล็กที่ขึ้นสีแดงจัด

     



                บ...บ้า บ้าไปแล้ว  “ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกเรื่องเลย”

     



                   แขนแกร่งโอบรัดเหมือนกรงที่ไม่ปล่อยให้หนีออกไปง่ายๆ เจ้าของเสียงทุ้มอบอุ่นหลอมละลายคนที่อยู่ในอ้อมกอดจนแทบล้มทั้งยืน ใจดวงน้อยสั่นไหว ใบหน้าแต้มสีแดงน่ารักจนคนมองรู้สึกว่ามันน่าฟัดเป็นบ้า พี่คยองซูเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อให้เขาแกล้งรึเปล่า

     



                “พรุ่งนี้ไปด้วยกันนะ” บอกและได้รับเสียงฮืมฮัมในลำคอตอบกลับมา

     



     

                “พี่! ดูนู่นสิ ดาวตก!

     

                “ไหน -- อ๊ะ” ทันที่ผมเผลอขึ้นไปบนฟ้า หมีตัวโตก็ฉวยโอกาสขโมยหอมแก้มไปซะแล้ว

     

     


                ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าดูดี จนปลายจมูกเราเผลอชนกันโดยไม่ได้ตั้งใจ เสียงระฆังของโบสถ์ใกล้ๆดังขึ้นบอกเวลา เหมือนกับเป็นวินาทีต้องมนต์ ดวงตาคมคู่สวยสะท้อนภาพของผมในนั้น ไม่มากกว่านี้ แค่ได้เด็กน้อยของผมคืนมาก็ดีแล้ว ผมเลยตัดสินใจใช้จมูกตัวเองชนสันจมูกโด่งของอีกคน

     

     


                “ฉัน อ่า อยากกลับบ้านแล้ว”

     

                “อ้อ ใช่ ผมด้วย งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ”

     

     



                ฮู่ว ให้ตายสิ เพิ่งรู้ว่าหน้าหนาวก็ทำให้หน้าร้อนได้เหมือนกัน

     







     (90 %)

     






    08.21 .

     

     


                ดวงอาทิตย์ปล่อยให้คลื่นสีทองสาดกระทบพื้นซีเมนต์ด้านหน้าจนเป็นเงา

     


                ต้นไอวี่ที่ตั้งอยู่หน้าร้านกาแฟเล็กๆแถวมหาวิทยาลัย มีกลุ่มน้ำค้างเกาะอยู่บนกิ่ง หยาดใสสั่นเมื่อถูกลมประจำฤดูสัมผัส ก่อนจะตกกระทบลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก

     


                เห็นใครหลายคนที่เดินผ่านไปมาหายใจออกมาเป็นควันสีขาว

     




                เช้านี้ผมพาตัวเองออกจากห้องเพื่อมากินกาแฟซักแก้ว เสียงกระดิ่งของประตูร้านส่งเสียงครั้งแล้วครั้งเล่า ความอุ่นในห้องเข้ากันได้ดีกับกลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟ เช้าที่อุณหภูมิลดเหลือแค่เจ็ดองศา ดวงตาโตกวาดตามองนวนิยายรักที่ขึ้นแท่นเบสท์เซลเลอร์ ในห้วงเวลาเดียวกันเสียงคั่วบดเล็กๆและเปียโนทำนองเศร้าๆทำหน้าที่ขับกล่อมเช้านี้

     



                ยังไม่ทันที่ผมจะยกแก้วเซรามิก ใครบางคนในชุดเสื้อยืดทับกับสเว็ตเตอ์สีเขียวอมฟ้าหนานั่งลงฝั่งตรงข้าม สายน้ำสีน้ำกระฉอกเล็กน้อยตอนที่ผู้มาใหม่วางแก้วของตัวเองกับโต๊ะกระจก มันส่งเสียงดัง กริ๊ง กังวานเล็กน้อย

     



                ริมฝีบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มจางทันที่รู้ว่าคนแปลกหน้ายามเช้าคือใคร

     



                “วันนี้ดูเหมือนว่าหิมะจะตกนะ”

     



                ร่างผอมมีเรือนผมสีลูกกวาดที่มันกลายเป็นกลุ่มสายไหมไปเสียแล้วตามกาลเวลา เส้นผมยุ่งเหยิงเล็กน้อยตามปกติ ใบหน้าหวานเจ้าของดวงตาแสนสวย -- แสนเศร้า และใช่ วันนี้เขาไม่ได้สวมเสื้อกาวน์เหมือนที่จะเห็นเจ้าตัวใส่อยู่ตลอดๆ

     



                ผมเรียกมันว่าโชคดียามเช้า “พี่ลู่หาน” ดวงตาโตสุกสกาวทันที

     



                หลายวันแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน

     

                “ไง สบายดีมั้ย” คำถามเรียบง่ายแบบทั่วไปถูกยกขึ้นมาใช้

     

                “สบายดีครับ พี่ล่ะ? เรียกหนักเลยสิท่า” 

     

                “อันที่จริงแล้วก็เหมือนเดิมแหละ ฉันชินแล้ว”

     

     

                เขายกแก้วกาแฟของตัวเองขึ้นมาจิบ ดูเหมือนรุ่นพี่เด็กแพทย์ของผมคงจะหมกตัวเองอยู่แต่ในห้อง อ่านหนังสือจนกว่าจะเก็บทั้งหมดนั่นไปฝันจนได้ จะว่าไป เด็กแพทย์มีดวงตาคู่สวยที่เศร้าขนาดนี้เลยรึเปล่านะ

     


                “แล้วเรื่องอื่นล่ะ โอเซฮุน?”

     


                อ่า ตรงเผง ลู่หานเม้มปากเหมือนกับกำลังใช้ความคิด ชั่งน้ำหนำคำพูดของตัวเองในหัว

     


                ร่างบางกับใบหน้าหวานง่วงงุนเขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด “เสียงฝนตกดังแข่งกับเสียงร้องไห้ในใจเลยล่ะ”

     


                มันน่าแปลกที่หลายวันที่ผ่านมาฝนไม่ตกแต่ผมกลับเข้าใจทุกคำพูดของเขาเสียอย่างนั้น

     


                ทุกอย่างนิ่งงัน เราปล่อยให้เสียงหายใจดังสลับกับเสียงคั่วบดของกาแฟ ผมนึกถึงใบหน้าคมคายของเซฮุน จากการอนุมานเอาเองผมคิดว่าเขายังไม่รู้จักรักดีพอ

     



                “อืม...เขายังเด็ก เซฮุนถึงทำร้ายความรักยับเยินขนาดนั้น”

     


                ช้อนกระทบแก้วกาแฟ ไอร้อนพุ่งขึ้นไปในอากาศ เอสเพรสโซ่ร้อนของคนตรงข้ามไหลวนตามแรงคนของมือเล็ก

     



                “...ฉันรู้แต่คยองซูอา เขาทำร้ายฉันไม่เจ็บเท่ากับทำร้ายความรักของฉันเลย”

     


                นั่นคงหมายถึงหัวใจ

               



                มันคงเต็มไปด้วยบาดแผล สายตานิ่งมองมาที่ผมก่อนจะผละออกไป ณ ตอนวันที่แผลยังสดใหม่จนกระทั่งเวลาทำให้มันตกสะเก็ดกลายเป็นแผลเป็น มันผ่านมานานเท่าไหร่แล้วนะ คนตัวผอมยกกาแฟขึ้นจิบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแก้วเซรามิคเนื้อละเอียดจะหลงเหลือเพียงคราบสีน้ำตาลเข้มของกาแฟ

     



                “พี่ดูเหมือนไม่เป็นอะไรเลย”

     


                เขายิ้ม “มันไม่เหมือนง่าย” และผมอยากจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่านี้

     

                “เขาพยายามกลับมา” โอเซฮุนไม่แตกต่างกับจงอิน

     

                “...อื้อ ฉันรู้”

     

                “พี่จะให้อภัยเขามั้ย”

     



                เงียบ

               

                และทั้งหมดนั่นมันยากที่คนๆหนึ่งล้อเล่นกับความรักของอีกคน และอีกอย่างหนึ่งมันเป็นรักแรก

     



                มันเหมือนกับว่าตอนนั้นที่เราสบกับดวงตาคู่สวยน่าหลงใหล วินาทีที่เดินผ่าน กลิ่นน้ำหอมของเขาที่เราเผลอกลับไปค้นหา -- เป็นครั้งแรก ที่หัวใจเต้นแรงเพียงเพราะเห็นใบหน้าของอีกคน และเพราะว่ามันคือรักแรก เราสลักชื่อของเขาไว้บนหัวใจ

     


                ถึงแม้เวลาจะผ่าน กี่สิบฤดูที่ผลัดเปลี่ยน ถึงเราจะอาจจะหลงลืมไปบ้างแต่เมื่อเราเผลอค้นเจอชิ้นส่วนวามทรงจำเก่าๆ ความรู้สึกมันกลับชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง

     


                เวลาไม่ช่วยลบใครออกไปจากใจได้เลย

     

     


                ได้ยินเสียงนุ่มๆของลู่หานตอบกลับมา น้ำเสียงเล็กเจือไปด้วยความผิดหวัง

     

                “เราพยายามกันมามากเกินพอแล้ว พันครั้ง -- หรือมากกว่านั้น

     

                “ครับ” ร้านกาแฟแห่งนี้ถูกลดระดับเสียงจนเหลือเพียงเสียงฮัมของกวางตัวน้อย

     

                “ถึงจะเป็นรอบที่พันหนึ่ง ฉันก็รู้ว่าระหว่างเรามันสุดแค่นี้จริงๆ”

     

                เป็นผมเองที่ปล่อยความเงียบทำงานอีกครั้ง เขาหอบหายใจและพูดต่อ

     

                “...ฉันกลัว ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ฉันกลัวจริงๆ”

     

                “พี่กำลังกลัวว่าจะตกหลุมรักเซฮุนเป็นครั้งที่สองแต่รู้อะไรมั้ยครับ”

     


                บางทีความรักซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกตเสียอีก

     


                “พี่ไม่เคยออกจากหลุมนั่นมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก”

     

     

    .

    .

    .

    .

     

     





                “พี่อยากไปไหนต่อมั้ย”

     



                ได้ยินเสียงแหบแห้งของตัวเองเอ่ยถามระหว่างที่รอสัญญาณไฟจราจร  เราขับรถออกมาได้เกือบยี่สิบนาทีแล้ว ทันทีที่ผมเลิกคลาสก็รีบแยกย้ายออกมาจากกลุ่มเพื่อนโดยที่ไม่ได้บอกอะไรแน่ชัดถึงแบคฮยอนจะชวนดูหนังต่อก็ตามที สาเหตุที่ผมไม่ได้บอกพวกมันน่ะหรอ -- ผมรู้ว่าไอ้พวกเพื่อนจอมเว่อร์คงเป็นห่วงไม่ยอมปล่อยให้ไปแน่ๆ

     



                ท้องถนนช่วงบ่ายไม่วุ่นวายมากนัก อาจจะเพราะวันนี้อากาศเย็นจนรอบข้างมีเกล็ดหิมะกระจายเป็นหย่อมๆ เหมือนกับมีผงแป้งโรยรายอยู่สองข้างทาง

     


                “...อื้อ ไม่มี ยังไม่มีที่ไหนที่สนใจ”

     

                “เป็นพิเศษ?” หันไปมองเจ้าของเครื่องหน้าเล็ก ดวงตาโตวันนี้ไม่ได้ถูกซ่อนไว้หลังแว่นนกฮูกเหมือนเคย ปากสีพีชยู่ลง เขามันไม่มีอะไรเป็นที่สังเกตง่ายอยู่แล้ว

     


                เขาที่เหมือนจะหายไปได้ตลอดเวลา บ้างก็ทิ้งปริศนาเล็กๆไว้ให้ผมตามหาว่าเขาอยู่ที่ไหน

     


                เขาที่ยังใจดียอมให้ผมอนุญาตเข้าไปในโลกของเขาบ้างเป็นครั้งคราว

     

     

                “อ่าห๊ะ ไว้ฉันจะบอก” ผมนึกใคร่รู้และพยายามเก็บความอยากรู้ไว้ในใจ เหมือนเดทวันนั้น รถออกเคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง

     

                “นายขับรถมือเดียวเป็นรึเปล่า”

     


                น้ำเสียงเล็กขึ้นจมูก คนตัวเล็กหันมามือใหญ่ที่ประคองพวงมาลัยทั้งสองข้าง ผมเลยหันไปจ้องแก้วตาใส วันนี้คยองซูเหมือนกระต่าย สวมโค้ทสีชมพูอ่อนเหมือนซากุระ อ่า และใช่ น่ารักมากในวันที่อากาศหนาวจนติดลบแบบนี้

     


                ผมตอบ “เป็นสิครับ”

     


                นัยน์ตาโตกวาดสายตาไปทั่วเหมือนสงสัยสรรพสิ่งบนโลกตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะไม่เชื่อ เลยตัดสินใจปล่อยมือซ้ายก่อนจะเอื้อมไปจับมือคนที่นั่งเบาะข้างๆ หางตาเหลือบเห็นพวงแก้มยุ้ยสองข้ามแต้มสีแดงจางๆ พลงในวิทยุดังขึ้นเป็นพื้นหลัง

     


                ค่อยๆย้ายมาวางบนเกียร์ 

     


                จู่ๆก็นึกถึงประโยคหนึงในนั้นเรื่องโปรดตอนเด็กๆ และตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันจริงยิ่งกว่าจริงเสียอีก

     



                สิ่งสำคัญของการเดินทางไม่ใช่จุดหมาย แต่อยู่ที่ระหว่างทางต่างหากนั่น กัปตันแจ็ค สแปร์โร่

     



                ระหว่างทาง เราอาจจะหลงทางบ้าง แต่เราก็เรียนรู้ที่จะเริ่มต้นใหม่และกล้าพอที่จะไม่เดินกลับไปทางเดิมอีก ของผมมันคงเป็นเขา -- เขาที่ผมบังเอิญพบเจอระหว่างทาง

     



                ผมอาจจะเป็นเด็กหลงทางที่ยอมแพ้อยู่ตรงนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวต่อไปข้างหน้า คยองซูไม่ได้มีแม้แต่แผนที่ เขาไม่ได้บอกว่าทางออกของถนนเส้นนี้มันอยู่ตรงไหน เขาเพียงแต่บอกว่าจากนี้ไปทางมันคงจะลำบาก ขรุขระ หรือเต็มไปด้วยเศษหนาม

     


                ครั้งหนึ่งมันอาจจะเจ็บ ปลายแหลมของมันตำทุกส่วนจนหัวใจผมอาจจะชา

     


                แต่จนกว่าจะถึงปลายทาง ผมจะเรียนรู้เองเมื่อหันหลังกลับไปมองว่าตัวเองได้พยายามมากแค่ไหน  กว่าจะมีความสุข มันอาจจะแลกมาด้วยหยาดเหงื่อปะปนเคล้ากับน้ำตา ดังนั้นออกเดินทางต่อ

     


                และอย่าลืมที่จะมีความสุข  

     


     

                “...นี่ จะถึงแล้วเหรอ” เสียงเล็กเรียกออกจากภวังค์ เมื่อรถค่อยๆเลี้ยวเข้าโรงแรมหรูขนาดใหญ่  ป้ายสีทองบอกชื่อโรงแรมห้าดับที่พวกเซเลปหรือคนดังมักจะจัดงานที่นี้

     

                “ครับ เราถึงแล้ว

     



     

                เสียงเครื่องยนต์ดับสนิทลง คยองซูปลดสายเบลท์ออก หันไปซีกหน้าคมคายที่ดูเหมือนกำลังประหม่า เลยออกแรงบีบที่ฝ่ามือเบาๆ เจ้าของใบหน้าได้รูปแค่นยิ้มมุมปาก และมันช่างเป็นรอยยิ้มของผู้ชายคนหนึ่งที่เจ็บปวดมากในสายตาอีกคน

            


                เหมือนวันคืนถูกหวนกลับไปอีกครั้ง หนึ่งวันที่เด็กชายตัวน้อยตั้งตารอมาตลอด เค้กก้อนสีขาวถูกตั้งไว้บนโต๊ะไม้ โดยเบื้องหน้าเป็นรอยยิ้มกว้างของหญิงสาวคนหนึ่ง คนที่เด็กน้อยคิดว่าคงไม่มีรอยยิ้มของใครอื่นบนโลกนี้สวยเทียบเท่า

     

     

                “สุขสันต์วันเกิดนะจงอินของแม่ เป่าเค้กเร็วครับ”      

     


                ผมในตอนนั้นคงกำลังฉีกยิ้มกว้างเหมือนมีความสุขที่สุดในโลก

     



                ฟู่ว แสงสีทองอร่ามดับลงพร้อมๆกับเสียงตบมือและไฟที่สว่างขึ้นโดยฝีมือของชายวันกลางคน เหมือนกับว่า -- มีเสียงหัวเราะดังอัดหูสองข้าง ตอนนั้นผมไม่ได้อธิษฐานแค่หลับตาแล้วรีบเป่าเพื่อที่จะได้กินเค้กรสโปรด

     



                ถ้าหาก ... ถ้าหากรู้ว่าวันเกิดปีต่อมาต้องเป่าเค้กคนเดียว ผมคงจะอธิษฐาน-- ว่าอย่าพรากพวกเขาไปจากผมเลย

     



                วินาทีที่แสงเทียบดับลงแล้วไม่มีรอยยิ้มของแม่ ไม่มีมืออุ่นของพ่อที่คอยลูบผม มันเหมือนกับว่ามีหลุมอากาศขนาดใหญ่ในใจผม

     

               


                “...ฉันอยู่ตรงนี้ ถึงแม้ฉันมันห่วยเรื่องรักษาคนอื่น”

     

                “..ครับ” เป็นเขาคนเดิม

               

                “แต่ฉันสัญญาว่าถึงแม้ว่าหลังจากนี้ -- หลังจากที่นายมอบความยินดีของนายไปพร้อมกับช่อกุหลาบ นายอาจจะเจ็บจนไม่อยากจะหายใจ”

     



                เพราะว่าไม่มีใครที่คุ้นชินกับการสูญเสีย น้ำตา และการพรากจาก

     



                “ฉันจะไม่ปล่อยมือ เห็นมั้ย? มือของฉันจะจับเพื่อบอกนายว่านายจะไม่เสียใจคนเดียว”

     


                ทุกอย่างเงียบเชียบ ... เป็นเสียงของใครอีกคนที่กระซิบพร่ำบอกหัวใจอีกดวง

     


                “และถ้าวันนี้นายอยากจะร้องไห้ ได้โปรด... ร้องออกมาเถอะนะจงอินนา”

     

     

     

     

     

                เหล่าบรรดาแขกมากมายแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสั่งตัดอย่างดี สวมเครื่องประดับราคาแพง ตรงหน้าผมห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่เมตร เสียงแฟลชที่สาดกระหน่ำเพื่อมายินดีกับภรรยาใหม่ของบริษัทส่งออกอุปกรณ์กีฬาที่มีชื่อเสียง

     



                ทุกคนดูมีความสุขหากคนที่มีความสุขที่สุดคงเป็นเจ้าสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงคล้ายบัลลังก์สวย มีซุ้มดอกไม้กลิ่นหอมราคาแพงตกแต่งอยู่ตรงทางเข้าและห้องด้านใน

     



                “นายอยากเข้าไปมั้ย”

     

                ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แบบนี้ คิมจงอินเป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดา

     

                และไม่อาจฝืนคำสั่งของโชคชะตาได้

     



                “ครับ” กว่าจะเจอเสียงทุ้มของตัวเอง มันเบาเหมือนถูกริบลงไปจนแทบไม่ได้ยิน มือหนารับช่อดอกกุหลาบสีขาวราคาแพงที่ตั้งใจเลือกมาด้วยตัวเอง

     



                รองเท้าหนังสีดำก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ได้ยินเสียงผู้คนมายินดีดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงมุมหน้าห้อง ดวงตาสีน้ำทะเลมองใบหน้าของผู้เป็นแม่ แม่ไม่เปลี่ยนไปเลย ที่เปลี่ยนไปคงจะดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม

     


                “ขอบคุณมากเลยนะคะที่มาวันนี้” เธอยิ้ม

     


                แม่กำลังมีความสุขดี

     

     

                เสี้ยววินาทีที่หญิงสาวหันกลับมาเพื่อส่งรอยยิ้มหวานให้กล้อง ดวงตาคู่สวยที่หากมองไกลๆก็คงดูออกมาละม้ายคล้ายกันเสียเหลือกัน พลันเหมือนเสียงทุกอย่างถูกทำให้เงียบลง แม่ยังคงส่งยิ้มอยู่อย่างนั้น เสียงฮือฮาของรอบข้างพอจับใจความได้ ถามถึงตัวตนของผม

     



                “นั่นลูกชายจากสามีเก่าของหล่อนรึเปล่าน่ะ”

     

                “ไม่รู้สิ แต่คล้ายกันอยู่นะคะคุณนายชเว”

     

     



                แต่มันไม่สำคัญหรอก วันนี้ผมมาเพียงเพื่อยินดีกับรักครั้งใหม่ของเธอ สูดลมหายใจแล้วเดินเข้าไปท่ามกลางกลุ่มฝูงชน แสงสีส้มจากดวงไฟที่ประดับขับผิวให้เจ้าสาววัยสามสิบปลายๆดูอ่อนเยาว์ขึ้น กลิ่นหอมจากเกสรดอกไม้ลอยคลุ้งเหมือนที่แห่งนี้เป็นสวรรค์

               



                “นี่ล--

     

                “มีคนฝากมาให้คุณครับ”

     



                รู้ทั้งรู้ว่าพูดออกไปแล้วจะเจ็บมากแค่ไหน แต่คนตัวสูงรู้ดีว่าสังคมที่แม่ยืนอยู่ แบบนี้คงดีที่สุด -- ที่สุดแล้วที่ลูกชายคนหนึ่งจะทำเพื่อคนที่รักได้ น้ำใสเริ่มเอ่อคลอดวงตาของแม่ เราต่างรู้ดี แต่พูดอะไรไม่ได้

     



                ริมฝีปากหนาเม้มลงเพื่อสะกดกลั้นทุกคลื่นความเสียใจ “เขาฝากบอกว่าให้คุณดูแลตัวเองดีๆ”

     



                “...”  อย่าร้องไห้บ่อยเกินไปนะครับ

     

                “อย่าป่วย อย่าเจ็บปวด อย่าทำอะไรด้วยตัวเองคนเดียวจนทำให้ตัวเองเจ็บ” ยิ่งกว่ามีเข็มนับพันเล่มแทงเข้าไปทุกส่วนของห้องหัวใจ ท้ายเสียงสั่นเครือเมื่อใครอีกคนเข้ามาในสายตา เป็นผู้ชายใส่สูทราคาแพง ใบหน้ายังดูเด็กและคิดว่าคงห่างจากผมไม่กี่ปี

     


                นั่นคงเป็นลูกของประธานอี อ่า ลูกชายคนใหม่สินะ

     


                ไวกว่าความคิดสายตาเห็นริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีสวยกำลังขยับ และมันเป็นชื่อของเขา

     

     

                “คิมจ--” เจ้าของส่วนสูงน่าอิจฉา แม้ใบหน้าจะยังนิ่งสนิท ขยับปากไร้เสียง

     


                อย่าพูดออกมา

     


                แค่นยิ้มออกมาแม้ข้างในร้าวไปหมด เหมือนกับกำลังจมลงสู่ก้นบึ้งน้ำตาช้าๆ ส่งช่อดอกไม้ในมือให้ก่อนที่สองขาค่อยๆก้าวเท้าถอยหลัง โค้งลงอย่างสุภาพช้าๆ มันแสนสั้นและรวดเร็ว

     



                “ลาก่อนครับ”  ไม่มีอีกแล้ว

     

                ลาก่อน คำนี้ ณ วินาทีนี้ คงหมายถึง ไม่มีอีกแล้ว มันจบแล้วจริงๆ

     



     

     

                หันหลังกลับไปจากโลกที่คุ้นเคย พลันภาพตรงหน้าก็มัวขึ้นเหมือนกล้องที่ยังไม่ได้ปรับโฟกัส หยาดน้ำใสหยดแรกไหลกระทบอาบแก้ม ร่วงหยดแล้วหยดเล่า ... ตามจังหวะรองเท้าที่ไกลออกไป ก่อนทีจะหยุดอยู่ตรงหน้าใครคนหนึ่ง

     


                เท้าเล็กเขย่งขึ้นแล้วรั้งต้นคอหนาซบกับบ่าแคบๆของตัวเอง มันอาจจะเป็นท่าทางเก้งก้าง แต่คนตัวเล็กหวังว่ามันคงจะเป็นที่พักพิงยามที่จงอินกำลังเสียใจอยู่บ้าง ร่างเล็กสัมผัสถึงของเหลวเย็นที่กระจายซึมผ่านเสื้อตัวหนา

     



                และตามด้วยเสียงสะอื้นแทบขาดใจ

     


               

                “..ฮึก ผมขอโทษ” มันพังอีกแล้ว

     

                “ขอโทษที่ไม่อาจยินดีได้มากกว่านี้  ฮึก พี่ครับ... ไม่ไปได้มั้ย

     


                ไหล่กว้างสองข้างสั่นเทาไปหมด เหมือนมีแผ่นดินไหว มันโคลงเคลงเสียจนแทบยืนไม่อยู่

     


                สุดท้ายแล้วเราต่างก็ซ่อมแซมหัวใจของกันและกัน

     


                “ฮึก..จงอินอา ขอบคุณที่รักษาสัญญา -- ขอบคุณที่ไม่เก็บมันเอาไว้” เสียงนุ่มของคนตัวเล็กที่กอดเขาไม่ยอมปล่อย คยองซูร้องไห้

     



                คนหนึ่งเจ็บที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ไป ส่วนอีกคน เจ็บที่เห็นคนที่เข้มแข็งมาตลอด

     


                มาแตกสลายตรงหน้า เด็กน้อยของเขาล้มลง จงอินมีหัวใจที่แหว่งเว้า มันเจ็บแม้กระทั่งหายใจ คนตัวเล็กไม่รู้เลยว่าหนึ่งคนจะสามารถแบกรับโลกไว้ได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ

     


                อย่าเจ็บอีกเลย ฉันเกลียดที่ตัวเองทำไม่ได้นอกจากตระกองกอดตัวตนของนายที่แตกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อย เพื่อที่จะไม่ให้มันหายไป แต่ที่ฉันเกลียดมากที่สุดคือน้ำตาของนาย

     


                เสียงตะโกนร้องทุกห้องแห่งความเจ็บปวดมันดังออกมา

     


                “...ฉ ฉันรู้แล้ว ไม่เป็นไรนะ ได้โปรด

     


                คยองซูอ้อนวอนให้โลกหยุดทำร้ายเด็กน้อยในอ้อมกอดของเขาเสียที คิมจงอินไม่คู่ควรกับน้ำตา

     


                ....แต่แล้วจะมีใครบนโลกนี้กัน ที่คู่ควรกับน้ำตา ทุกหยดกลั่นออกมาจากความเสียใจ มันเจ็บปวด เจ็บปวดเกินไป เขารู้สึกว่าแค่หายใจยังลำบาก

     



                “ตอนนี้เจ็บมากใช่มั้ย” เสียงของเจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่น ผมพยักหน้า

     

                “งั้นเราแบ่งกันคนละครึ่งดีมั้ย ให้ฉันเจ็บบ้าง เพื่อที่นายจะได้เจ็บน้อยลง

     

     

                ค่อยๆผละออกจากกัน ใบหน้าเล็กเปรอะไปด้วยน้ำตา แต่คยองซูก็ยังเป็นคนเดิมเหมือนตลอดมา ร่างเล็กวาดรอยยิ้ม “แบบนี้ -- ส่งความเสียใจมาให้ฉันนะ”

     


                หน้าผากเล็กแนบชนกับหน้าผากกว้าง ผมตัดสินใจหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในทะเลน้ำตา

     


                “...อย่ารู้สึกโดดเดี่ยวอีกเลยนะ”

     

               

                คยองซูหวังว่ามือคู่นี้จะสามารถปลอบโยน มอบอ้อมกอดแทนผ้าห่ม หลับตาเถอะนะ -- จงอินอา เดี๋ยวมันจะผ่านไปเมื่อถึงตอนที่พายุสงบ จงอินจะยังมีเขาอยู่ เขายินดีที่จะปลุกจงอินจากฝันร้าย กอดแม้เสียงร้องไห้และหยดน้ำตาเหล่านั้นจะหลอมรวมกลายเป็นพายุคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเขาครั้งแล้วครั้งเล่า




                “แม้ในวันหนึ่งนายอาจจะไม่มีฉันและนายกำลังผิดหวัง -- เหมือนกับตอนนี้ ได้โปรดรับรู้ว่าฉันไม่ได้หายไปไหนไกล ฉันยังอยู่ ... อยู่เพื่อยินดีและแตกสลายไปพร้อมๆกับนาย”

     

     


     

     

     

    ผมไม่อาจนับจำนวนเหตุผลที่ตกหลุมรักเขาได้เลย

    กับการมีอยู่ของคนๆนี้ เป็นเหมือนจักรวาลหรือโลกใบเล็ก

    ผมจะไม่ปล่อยรักไป

     



     

    TBC

     

     

    สวัสดีค่ะมาอัพแล้ววว ตอนนี้ทุกคนคงดูพี่หมื่นจบแล้วใช่มั้ยเจ้าคะ

    งั้นข้าฝากออเจ้าคอมเมนท์ แล้วก็ ติดแฮชแท็ก #ficdearyouks

    คุยกันได้นะคะ แล้วก็ตอนนี้เราตั้งใจให้ทุกคนเห็นมุมอ่อนแอของจงอินบ้าง

    ทุกคนยิ้มได้ เสียใจได้แล้วก็ร้องไห้เป็นน้า ดังนั้นถนอมความรู้สึกคนอื่นเสมอเลยนะ!

    เป็นไงเศร้ามั้ย ด่าได้แต่อย่าแรงนะ 555555 แง 

    เราหวังทุกตอนของเราจะฮีลทุกคนได้นะเพราะว่ารักมันไม่ได้มีแค่สวีทอย่างเดียวเนอะ

    แล้วก็ขอให้มั่นใจว่าฟิคเรื่องนี้ไม่มีเรื่องมือที่สามหรือแฟนเก่า ผู้หญิงมาวอแวแน่น๊อนคั้บ

    เจอกันตอนใหม่ถ้าไม่เม้นก็กดให้กำลังใจเค้าด้วยนะฮับ ขอเยอะๆเลยเหนื่อยมากค่ะเพิ่งหายป่วย TT

    @olivesvee แอคเราไปฝอยฟิคกันได้เล้ยยย


     

     


     

               

     

               

     

               

     

     

     

     

               

     

               

     

               

     

               

               

     

     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×