ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    1 AM ; lonely but not alone [os/sf]

    ลำดับตอนที่ #2 : (OS) Again kaisoo (2/2) end

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ค. 61









    (OS) KAI x KYUNGSOO


     

     

     

                2018.31.12

     



     

                เสียงเพลงเป็นเสียงเดียวที่ทำลายบรรยากาศเงียบผิดปกติในรถ เจ้าของที่นั่งข้างคนขับฮืมฮัมตามเพลงที่เปิดผ่านวิทยุ ท่าทางดูมีความสุขผิดกับร่างสูงที่ทำหน้าที่ขับรถ ใบหน้าคมคายนิ่งสนิท ไม่สามารถบอกได้ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่

     


                หกโมงแล้วหลังจากที่พวกเขาขับรถออกมาจากทะเลแถวๆปูซาน ดวงอาทิตย์คล้อยจมผ่านเส้นขอบฟ้า ความจริงแล้วท้องฟ้าตอนนี้ควรจะเป็นสีส้มเหมือนเคยแต่กลับเป็นสีดำทะมึนราวกับจะมีพายุอย่างไรอย่างนั้น

     


                โดคยองซู  มีความสุขมากหลังจากที่แฟนรุ่นพี่พาไปเที่ยวทะเลในวันสุดท้ายของปีเหมือนที่เคยสัญญากันเอาไว้ คนตัวเล็กหันไปมองเสี้ยวหน้ามีเสน่ห์ที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่เจอกันที่ร้านกาแฟ สมัยที่เขายังทำงานพิเศษเป็นบาริสต้าในร้านกาแฟแถวมหาลัย

     



                ตอนที่กระดิ่งที่เขาเป็นคนเอาไปแขวนหน้าประตูด้วยมือตัวเองดังขึ้น

     



                เจ้าของส่วนสูงเหมือนนายแบบบนปกนิตยสารราคาแพงก็เดินเข้ามา เรือนผมสีเดียวกับเอสเปรสโซ่ร้อนที่เขากำลังทำอยู่ ใบหน้ารูปสลักยกยิ้มมุมปากตอนเดินเข้ามายังเคาท์เตอร์ที่เขากับพนักงานคนอื่นยืนอยู่

     



                จำไม่ได้ว่าเขารู้สึกว่าการทำงานมันไม่น่าเบื่อเหมือนเดิมหลังจากที่เราสบตากันครั้งแรกรึเปล่า

     


                และเขาก็ได้ไปสืบรู้มาว่าคนๆนี้คือ คิมจงอิน ดาวเด่นคณะวิศวกรรมศาสตร์ปีสองที่สาวๆต่างก็ต่อแถวขายขนมจีบทุกวัน ฮอตและมีเสน่ห์แม้เพียงปรายตามองนิ่งๆ แต่จนถึงตอนนี้จงอินก็ยังคงหล่อเหลาและดึงดูดสายตาของคนอื่นได้เหมือนเดิมแม้ว่าย่างเข้าวัยทำงานแล้วก็ตาม

     




                “พี่จงอินอยากแวะกินอะไรก่อนรึเปล่า”

     



                “ถ้านายอยากฉันจะแวะให้” น้ำเสียงทุ้มตอบกลับมา แต่มันไม่ทำให้ร่างบางรู้สึกดีเลยสักนิด ใช้นิ้วกดปิดเพลงรักที่ไม่เพราะอีกต่อไปจนกระทั่งความเงียบกลับมาทำงานอีกครั้ง เจ้าของใบหน้าหวานเบนสายตาออกนอกหน้าต่าง

     



                ฝนตกแน่ๆเลย ตอนนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำครื้มน่ากลัว ความเย็นจากด้านก่อให้เกิดไอน้ำเกาะตามกระจกรถ คยองซูลอบถอนหายใจ

     


                อีกแล้ว พี่จงอินตอบเขาห้วนๆอีกแล้ว

     



                แต่ใจดวงน้อยก็พยายามสู้ต่อไป แม้จะรู้สึกหน่วงๆตรงก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็ตามที

     


                “ว้า ผมอยากกินไก่ทอด พี่ก็ชอบกินนี่นา” คยองซูยิ้ม มองไปที่คนรัก

     



                คิมจงอินกำลังมองตรงไปข้างหน้า ที่ๆเขาไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ไม่นานหยดน้ำเม็ดเล็กๆก็ค่อยๆกลั่นตัวแล้วตกลงมาจากฟ้า มันแรงขึ้น แรงขึ้นจนแทบไม่มองเห็นถนนด้านหน้า ความเย็นจากฝนที่ตกลงมาด้านนอกทำให้ในรถอุณหภูมิต่ำลงกว่าเดิม คยองซูยกมือขึ้นกอดตัวเองแล้วก็หยุดชะงัก

     



                เขามองไปที่นั่งตรงคนขับรถอีกครั้ง

     



                แล้วกลับมาก้มมองมือสองข้างของตัวเองที่ไม่รู้ว่ากำลังตระกองกอดความรู้สึกในใจที่ใกล้จะแตกสลายเต็มทีหรือเพื่อป้องกันความหนาวเย็นกันแน่

     



                ไม่มีแม้แต่ความห่วงใยที่เคยมีให้

     



                หนาวเหรอ เดี๋ยวพี่เบาแอร์ให้นะหรือ เอาเสื้อพี่ไปคลุมสิ

     



                ทั้งหมดนั่นมันกลายเป็นอดีตไปแล้วจริงๆสินะ คนตัวเล็กแค่นยิ้มกับตัวเอง พยายามกะพริบตาหลายๆครั้งเพื่อขับไล่ก้อนความเสียใจที่เคลื่อนที่มากลางอก เขารู้ดีว่ามันใกล้เข้ามาเรื่อยๆตามจำนวนระยะทางที่เขากำลังกลับไป ไม่รู้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรากำลังไปในทิศทางไหน

     



                หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เราทะเลาะกันบ่อยขึ้น เขาพยายามคิดว่าพี่จงอินคงจะเครียดจากงานที่ทำอยู่แต่มันก็ไม่ใช่ บ่อยครั้งที่เราเถียงกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายสิ่งเปลี่ยนไป ช่วงแรกๆเขานึกว่าพี่จงอินคงเหนื่อยมากเลยชิงเข้าห้องนอนหลับไปก่อน

     


                ลืมว่าต้องมาจูบบอกฝันดีเขาก่อนนอน เหมือนที่เคยทำ – แต่มันไม่ใช่ คนรักของเขาเลือกที่หันหลังให้กันแล้วเดินห่างออกไปทีละก้าว ทุกครั้งที่คยองซูตื่นนอนเขารู้สึกเจ็บทุกครั้งว่าวันนี้จงอินจะห่างจากเขาไปไกลอีกมากแค่ไหน

     



                ไกล ... จนยังกลับมาหาเขาเหมือนเดิมอีกรึเปล่า

     


                ตอนนี้เราต่างเหมือนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ไม่วันหยุดเทลงมา

     



     

                “เราคบกันมากี่ปีแล้วนะพี่จงอิน” เสียงเล็กเอ่ยถาม

     


                สามปี” จงอินตอบกลับเสียงเบา

     

     


                แต่คนตัวเล็กกลับรู้สึกว่าทุกอย่างมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน – ตอนที่เราคบกัน และใช่เขารู้อยู่ทั้งใจว่าถ้ากลับไปแล้วมันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมีโอกาสยืนอยู่ข้างๆคนที่เขายกให้ไปหมดทั้งใจ สามปีมันกำลังจะจบลง ค่อยๆเลือนหายและถูกกักเก็บเป็นความทรงทำ

     



                แค่คิดถึงตอนที่ได้จับมืออุ่นเหมือนเตาผิงในฤดูหนาว ริมฝีปากรูปหัวใจวาดรอยยิ้ม ... มันบิดเบี้ยวเหมือนกับอะไรสักอย่างข้างในที่กำลังจะพัง วันนี้ถ้ามันจะต้องจบเหมือนนิทานซักเรื่อง เขาอยากให้มันเป็นตอนจบที่งดงาม

     



                ร่างเล็กเรียงเรียบคำพูดในหัวแล้วค่อยๆเอ่ยออกมา มันขาดหายเป็นบางช่วงเพราะตอนนี้มันยากเหลือเกินที่จะพูดออกมา

     



                “จำตอนที่เราคบกันครั้งแรกได้มั้ย”

     



                นั่น เขาแค่อยากรู้ว่าเขาต้องจมลงไปมหาสมุทรน้ำตาลึกมากแค่ไหน

     


                ไม่” ห้วนชัดเจน คิมจงอินพยายามประคองสติขับรถให้ช้าที่สุด – โดคยองซูฝืนยิ้ม ตอกย้ำรสชาติความเจ็บปวดที่รวดร้าวไปถึงขั้วหัวใจ เสียงฝนตกกระทบกับหลังคารถเรียกให้คยองซูเรียกสติของตัวเองกลับมา มันเหมือนค่อยๆจมลงสู่ก้นทะเลช้าๆ

     



                มันเจ็บแม้กระทั่งหายใจ

     


                แต่ก็ยังคงส่งยิ้มให้กับคนรักของตัวเอง ค่อยๆนึกย้อนปะติปะต่อเรื่องราวความรักที่เขาไม่คิดว่าในชีวิตคนธรรมดาอย่างเขาจะพบเจอ มีความสุขเหมือนฝัน แต่ตอนนี้เขาต้องตื่นจากฝันดีแล้ว

     



                “แต่ผมจำได้ดี ฮ่ะๆ ตอนที่พี่ใส่ชุดมาสคอตมาหาผม มันเป็นวันเรียนจบที่ดีที่สุดในชีวิตผมเลย” สิ้นเสียงหวาน ทำนบน้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นมาแค่ไหนค่อยๆพังลงมา มีหน่วยน้ำใสมากมายเอ่อคลออยู่ในนัยน์ตาคู่สวย

     

     

                หยุดพูดได้แล้ว”

     

     

                เย็นชาเหมือนไม่เคยรู้จักกัน น้ำใสๆไหลอาบผ่านแก้มขาว แอร์ในรถหนาวเย็นแต่ไม่เท่ากับความรู้สึกหนาวเหน็บที่ค่อยๆกัดกินบางอย่างที่คล้ายกับจะเต้นช้าลง

     


                ใจร้ายจังเลยนะ

     


                ฝนตกหนักขึ้นจนมองไม่เห็นทาง คนตัวเล็กสูดน้ำมูกพยายามพูดต่อ ค่อยๆละล่ำละลักออกมาเหมือนแบกรับทุกอย่างไหว แม้จริงๆมันไม่ไหวแล้ว ... มันทั้งจุกทั้งเสียใจที่รักของเขากลายเป็นของเล่นที่ใกล้พังเต็มทน

     


                ฝืนถามคำถามที่คยองซูไม่เคยอยากจะเอ่ยออกมา ไม่รู้ว่ามันเกิดตั้งแต่ตอนไหนที่พี่จงอินทำตัวเย็นชาใส่กันแบบนี้ เขาต้องนอนคนเดียวเพราะบางคืนพี่จงอินไม่กลับบ้าน กลับมาอีกทีก็เมาเละเทะ เขานอนร้องไห้ทุกคืนเพราะความกลัวที่เกาะกุมในจิตใจ

     


                เวลาทำให้คนเปลี่ยนได้ขนาดนี้เชียวหรือ?

     


                กล่องความทรงจำถูกเปิดขึ้น ตั้งแต่ตอนที่ไปกินข้าวด้วยกันครั้งแรก

     



                ตั๋วหนังใบแรกที่ดูด้วยกันเขายังเก็บมันไว้ในกระเป๋า หรือแม้รสจูบครั้งแรก มันยังคงหวานซึ้งสัมผัสของมันยังติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขา

     

     

                ต่อไปนี้มันคงจะไม่มีอีกแล้ว

     

     

                เราจะ...เลิกกันใช่มั้ย

     

     

                ที่ผ่านมาเรารักกันมากเกินไปจนตอนนี้มันจืดชาไปหมดหรือว่าเขายังทุ่มเทไม่พอกันนะ

     

     

                คิมจงอินยังคงเงียบไม่พูดอะไร สายตาจับจ้องไปข้างหน้า แต่ละวินาทีผ่านไปอย่างทรมานสำหรับคนรอ การรอคอยคำตอบทั้งๆที่ตัวเองรู้อยู่แล้วมันเหมือนกับโลกทั้งใบค่อยๆหยุดนิ่ง

     


                แต่เขายังอยาก “ไม่เลิกกันได้มั้ยครับ ไม่เย็นชาใส่กันแบบนี้...ไม่ได้เหรอ

           


                คยองซูยังอยากมีหัวใจไว้รักใครซักคน และเขาเลือกแล้วว่าคนๆนั้นต้องเป็นจงอิน

     


                เขายังอยากศรัทธาในรักต่อไป

     


                แต่ดูเหมือนความรักที่ยาวนานครั้งนี้มันถูกโชคชะตากำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

     

     



                ขอโทษนะ

     


                อย่าพูดออกมา ได้โปร

     


                หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลกระทบกับเบาะ แล้วหลังจากนี้เขาจะทำยังไง – ต้องทำยังไงถึงจะลบจงอินออกไปจากใจ มันไม่มีสักทางเลยเหรอ

     


                ตอนนี้มันเหมือนกับเขากำลังดึงรั้งอะไรสักอย่างที่เขามองไม่เห็น มันมืดสนิท

     


                คยองซูหลับตาลงปล่อยให้อะไรที่หมายจะพัง ให้มันพัง ปล่อยให้มันแตกละเอียดเป็นเศษเสี้ยวที่เขาไม่รู้ว่ามันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า

     


                ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาละเลยจนปล่อยให้เราลงเอยแบบนี้

     


                ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พี่จงอินหมดรักเขา

     

     



                “พี่มีคนอื่นเหรอครับ”

     

                “เปล่า”

     

                ถ้างั้นทำไมล่ะ “ทำไมเราถึงเดินด้วยกันต่อไปไม่ได้ล่ะครับ”

     


     

                ความรู้สึกทีตีกันในอกค่อยๆปะทุขึ้นเหมือนภูเขาไฟรอวันระเบิด

     

     

                “หยุดพูดซักที”

     

     

                ฟางเส้นสุดท้ายขาดผึง ที่ผ่านมามันทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บ ทำไมถึงใจร้ายแบบนี้ – เขาคิดถึงคิมจงอินคนเดิม คยองซูพยายามแล้ว พยายามทำให้ทุกอย่างมันเหมือนเดิม

     



                “ไม่! งั้นพี่ก็ตอบผมมา ผมทำอะไรผิดนักหนา!!"


     

                ขึ้นเสียงจนแทบเป็นตะโกน จ้องมองหน้าคนรักที่นิ่งสนิทไม่เหมือนคนรักคนเดิม วิงวอนให้เห็นใจเขาซักนิด

     

                แค่สบตากันหน่อยก็ยังดี

     



                “นายกำลังทำให้ฉันเสียสมาธินะ” จงอินตัดสินใจปริปากพูดขึ้น ใบหน้าคมเริ่มฉายแววตาร้อนรนเพราะเห็นร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆร้องไห้หนักขึ้น ไหล่เล็กสั่นสะท้านเพราะความจริงที่เผฃิญมันหนักหนาเกินไป เขาพอแล้ว

     


                ทุกอย่างมันชัดเจนมากขนาดนี้ ถึงคยองซูจะพยายามหลีกหนีไปก็ไม่มีทางออก

     


                มันจบแล้วจริงๆ

     

     

                “สบตาผมสิ ฮ..ฮึก พี่ไม่ใช่จงอินที่ผมรู้จัก” คนตัวเล็กที่ร้องไห้จนตัวโยนจ้องเข้าในดวงตาสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้าตอนกลางคืน วินาทีนั้นมันสะท้อนภาพของเขา ม่านน้ำตาบดบังโครงหน้าไร้ที่ติจนพร่าเบลอ ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปยังที่ๆมีอยู่ของหัวใจ

     


                “อย่าทำให้ฉันรำคาญไปมากกว่านี้ได้มั้ย” อีกครั้งที่เหมือนถูกกระชากหัวใจออกไปซ้ำๆ

     


                “ที่ผ่านมาผมคงเป็นคนน่ารำคาญสำหรับพี่มาตลอดเลยสินะ”

     

     


                มันเจ็บเหมือนจะตาย

     


                คยองซูสะอื้นแรงกว่าเก่า ไม่รู้เลยว่าการรักใครสักคนมันจะเจ็บได้ถึงขนาดนี้ แววตาที่แข็งกร้าวไม่อ่อนโยนเหมือนก่อนพาลทำให้ใครบางคนก้มหน้าลงกับฝ่ามือเพื่อระบายความเสียใจออกมา แต่ถ้าวันนี้ถ้าพี่จงอินผลักไสเขาออก

     


                คยองซูยินดีที่จะไป

     


                แต่หาก ... มีเพียงคำๆเดียวที่เขาอยากได้ยินเป็นครั้งสุดท้าย

     

     

                “ก่อนที่จะไป ฮึก ฃ...ช่วยบอกรักผมเป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ย”

     

     


                คำพูดครั้งสุดท้ายบาดลึกเข้าในหัวใจคนฟัง มันกระตุกวูบจนเขาเกือบจะร้องไห้ออกมา จงอินมองไปที่แฟนตัวเล็ก มันไม่เหลืออะไรแล้ว คยองซูตอนนี้คงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงมา แต่เขาได้แต่ยืนยันคำเดิมที่พูดไปก่อนหน้านี้

     


                ขอโทษจริงๆ

     


                ดังนั้นเขาเลยใช้ความเงียบแทนคำตอบ

     


                “อ่า...ไม่เป็นไรครับ” ริมฝีปากเล็กขยับตอบแม้เสียงจะหายตอนปลายประโยค คยองซูคงขอมากเกินไป

     


                มันรุนแรงจนร่างบางควบคุมสติไม่ได้อีกต่อไป มือเล็กพยายามปลดล็อคประตูรถ เมื่อร่างสูงเห็นอย่างนั้นจึงรีบคว้าแขนห้ามทันที บรรยากาศตอนนี้ทั้งห่าฝนที่เทลงมาอย่างหนัก เสียงร้องไห้แทบขาดใจ มันตีรวนจนในควบคุมแทบไม่ได้ รถเล็กเซเกือบออกนอกข้างทาง

     



                “ทำบ้าอะไร!!

     

                “ปล่อยผมลงตรงนี้เถอะนะ เราจบแล้ว! พอที”

     

                “นี่โดคยองซู!” ตะคอกเรียกชื่อจริงเวลาที่โกรธจัด แต่เจ้าของชื่อไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ประตูถูกแง้มออกจนได้ยินกลิ่นฝนผสมกับกลิ่นดิน จงอินหันกลับมามองทางแต่เขากำลังสูญเสียโฟกัสเพราะมือข้างหนึ่งต้องยื้อแขนเล็กไว้ไม่ให้ออกไปนอกรถ

     


                บ้าชิบ คิมจงอินสบถในใจ พวกเขาต่างฉุดยื้อไม่ยอมใครสลับกันตะคอกคุยกันเหมือนปรอทที่พุ่งสูงขึ้นจนใกล้แตก

     


                รถยนต์ส่ายแรงไปมาหนักกว่าเดิม หยาดน้ำที่บดบังด้านหน้าทำให้คิมจงอินหัวเสีย ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเต็มไปด้วยความกลัวที่ก่อขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเลือกที่จะสาดคำพูดแรงๆใส่คยองซูอีกครั้งเพื่อเรียกให้คนตัวเล็กกลับมา

               


                แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต

     


                คยองซูหยุดดิ้นแล้วหันมาสบตากับเขา ครั้งนี้มันเป็นครั้งแรกที่เขายอมมองเข้าไปในนัยน์ตาคู่สวย แววตาสะท้อนความเจ็บปวดออกมาราวกับแก้วที่กำลังแตกเป็นเสี่ยงๆใบหน้าหวานเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา ร่างเล็กกลืนน้ำลายอย่างลำบากกล้ำกลืนรสชาติฝาดเฝื่อนของน้ำตาลงไป

     



                มันจะเป็นครั้งสุดท้าย

     


                “ผมรักพี่แต่รู้มั้ยครับ...”

     

                “....” จงอินพยายามใช้มือเดียวควบคุมรถที่อยู่ท่ามกลางพายุฝน

     


                บางครั้ง ... แค่รักมันอาจจะยังไม่พอ

     



                แต่การที่ผมรักพี่มากขนาดนี้ มันไม่ทำให้พี่รักผมกลับบ้างเลย..ฮึก..มะ..ไม่เลย”

     

     


                ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของจงอินชาหนึบ เขาไม่เคยเห็นคยองซูร้องไห้หนักขนาดนี้ ทุกอย่างตื้อไปหมดจนเขาได้รับฟังมันอยู่เงียบๆ จงอินเลือกที่จะปล่อยผ่านไปเพราะคิดว่ามันอาจจะดีที่สุดสำหรับตอนนี้ คยองซูปาดน้ำตาออกลวกๆแล้วหันหลังไปอีกครั้ง ร่างสูงตกใจเลยรีบคว้าแขนทันที

     


                แต่เวลา มันมีค่าเมื่อคุณสูญเสียบางอย่างไป

     


                เสี้ยววินาทีหลังจากนั้นแสงไฟสีขาวก็สาดมาที่หน้ารถ จงอินรีบแตะเบรกทันทีแต่ไม่ทันเสียแล้ว เสียงอะไรบางอย่างดังกระแทกอัดอยู่ในสองหู มันดังโครมครามคล้ายกับระเบิด ภาพตรงหน้าหมุนติ้วไปมา ทั้งสองคนลอยกระแทกกับคอนโซลหน้ารถ เศษกระจกแตกละเอียดบาดเข้ากับผิวจนได้กลิ่นคาวเลือด คิมจงอินเหลือบไปเห็นคยองซูที่มองมาที่เขาเช่นเดียวกัน

     


                ไม่นะ ได้โปรด

     



                ภาพจำครั้งสุดท้ายคือรอยยิ้มที่เขาหลงรักมาตลอด

     


                พร้อมๆกับหยดน้ำตาสุดท้ายที่ไหลริน

     



                ไม่!!!” จงอินกรีดร้องเมื่อเห็นร่างเล็กกระทบกับกระจกและกำลังจะปลิวออกไปจากหน้าต่าง ริมฝีปากรูปหัวใจเคลือบไปด้วยคราบเลือดสีข้นที่ไหลมาจากด้านบน ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วร่างกายแต่มันเจ็บไม่เท่ากับภาพที่เขากำลังเห็นตอนนี้

     



                ต่อหน้าต่อตา เขาเห็นคำพูดสุดท้ายที่คยองซูพยายามจะบอก และมันทำให้เขาชาวาบไปทั้งตัว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งกับกลิ่นน้ำมันเมื่อทุกอย่างหยุดนิ่งสนิท

     


     

                น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้ม จงอินหวังว่าทั้งหมนดนี่คือความฝัน เขาทำอะไรไม่ได้เลย

     



                ภาวนาต่อพระเจ้า จงอินอยากได้โอกาส – ให้คนใจดำอย่างเขาได้รู้จักรักมากกว่าเดิม ตรงกลางอกมันเจ็บเหมือนถูกแทงแล้วบิดมีดเพื่อทรมาน เสียงคำบอกรักสะท้อนก้องในหัว ร่างสูงหอบหายใจอย่างหนักเพราะร้องไห้ฟูมฟาย น้ำตาปะปนกับคราบเลือด

     




                แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

     




                แด่ พระเจ้า ผมเสียใจและไม่อาจเสียใจไปมากกว่านี้ได้อีก หากพระองค์จะทรงเมตตาให้ผมได้แก้ไข ให้เหมือนทุกอย่างเป็นแค่ฝันไป ผมสัญญา .... ผมจะไม่เสียรักไป หรือแม้ในครั้งหน้าถ้าผมและเขาได้เจอกันอีก ได้โปรดให้ผมได้บอกรักเขาอีกครั้ง

     

     


                พลันทุกอย่างก็ค่อยๆพร่ามัว กลายเป็นภาพสีดำสมบูรณ์

     






    _______________________






              จงอินรู้สึกเหมือนท้องไส้กำลังปั่นป่วน หัวของเขาเหมือนถูกค้อนฟาดลงมาจังๆก่อนที่ทุกอย่างค่อยๆถูกทาด้วยสีขาว มันจ้ามากตอนเขาต้องหลับตาลง แสงประกายสว่างของอะไรอย่างมันทำให้ปวดกระบอกตาจนแทบลืมไม่ขึ้น

     



                บางทีนี่อาจเป็นโลกหลังความตายแบบที่ใครๆเคยพูดถึง

     


                ในตอนที่ใบหน้าของเขาเย็นเยือกราวกับตกลงไปในหุบเขาน้ำแข็ง สายลมหนาวพัดผ่านตัวของเขาไป ไม่ได้มันหนาวกลับกัน คิมจงอินรู้สึกว่ามัน ว่างเปล่า โดดเดี่ยว อย่างไรอย่างนั้น

     



                ในความเงียบจู่ๆก็มีเสียงระฆังประหลาดดังขึ้นท่ามกลางเสียงหวีดหวนของสายลม

     


     

                “คิมจงอินใช่ไหม” เสียงทุ้มโทนต่ำเอ่ยขึ้นเหมือนคนๆนั้นยืนอยู่ข้างๆ คนตัวสูงพยายามขยับตัวแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ

     



                และดูเหมือนคนบางคนล่วงรู้ความคิดของเขา

     


                “นายไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับตัวหรือหนีไปไหน”

     

                “คุณเป็นใคร”

     



                จงอินตอบกลับไป เขารู้สึกว่ากำลังนอนอยู่บนที่ไหนสักที่ ที่ๆมันดูเงียบเหงาจนข้างในของเขารู้สึกว่ามันน่าเศร้าเหลือเกิน

     



     

                เสียงทุ้มนั่นตอบกลับมาอีกครั้ง “มนุษย์เรียกฉันว่ายมทูต”

     



                ยมทูต? คนที่จะพาเขาเข้าไปในโลกหลังความตายอย่างสมบูรณ์สินะ

     



     

                “อันที่จริงฉันเป็นผู้ครองกุญแจของโลกหลังความตายที่นายว่านั่นแหละ -- นายพร้อมจะไปรึยังล่ะ”

     


     

                พลันภาพใบหน้าของใครบางคนที่เขาทำลายหัวใจออกเป็นเศษชิ้นอย่างไม่ไยดีก็ลอยเข้ามาในหัว คยองซูตายไปแล้วและเขาคงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ตอนนื้ทุกอย่างมันดูชาเสียไปหมดแม้กระทั่งก้อนเนื้อใต้แผ่นอก

     



                หากคนรักของเขากำลังไปยังที่เดียวกับเขา คิมจงอินก็พร้อมจะไป

     


                “ผมเคยอยากได้โอกาส”

     

     



                แต่มันคงไม่มีวันนั้น เขายังไม่ได้บอกรักคยองซู แม้ในวันสุดท้ายที่เราต้องห่างไกล

     



                และรู้ทั้งใจว่าไม่มีวันได้เจอกันอีก

     

     


                “งั้น...นายอยากได้มันมั้ยล่ะ”

     


                “คุณจะให้ผมกลับไปงั้นเหรอ” ตอบกลับไปแม้จะรู้สึกเหมือนริมฝีปากถูกเย็บติดกัน มันแห้งเหือดเหมือนแอ่งน้ำในทะเลทราย

     


                “บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ใช่เทวดา แต่ฉันแค่ไม่อยากเห็นใครต้องเสียใจเพราะไม่รู้จักรักษาของสำคัญอีก” เขาตอบกลับมา ปลายเสียงแผ่วลง

     



                ถ้าจงอินหูไม่ฝาดไป น้ำเสียงเขาดูเจ็บปวดไม่ต่างกัน

     



                “ฉะนั้นคิมจงอิน, นายจะได้กลับไป”

     


                “คุณหมายความว่า--

     



                เสียงของใครหลายคนดังแทรกเข้ามา เหมือนพวกเขากำลังโต้เถียงกันเสียงดัง สลับกับเสียงสัญญาณอะไรบางอย่าง ไออุ่นค่อยๆคืบคลานเข้ามาตั้งปลายเท้า มันอุ่นขึ้นเรื่อยๆจากที่มันเคยหนาวเหน็บ

     



                คิมจงอิน! ตื่นซักที

                


              ‘มึงว่ามันตายรึยัง น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นรอบตัวผม พวกเขาแย่งกันพูดไปมา

     

     


                “นายได้โอกาสที่นายต้องการ”

     

                “ขอบคุณ -- ขอบคุณจริงๆ!” น้ำตาหยดแรกไหลผ่านแก้มสองข้าง จงอินดีใจเหมือนเขากำลังได้รับพรจากพระเจ้า

     



                เขาได้ชีวิตกลับคืนมา ชีวิตที่มีคยองซู

     



                “แต่ว่า--“ เจ้าของเสียงทุ้มปริศนาเว้นช่วงไปเกือบนาที

     

     


                คิมจงอินคิดว่าเขาได้ยินเสียงคนร้องไห้

     



                “สามสิบเอ็ดวันเท่านั้นจงอิน...อย่าปล่อยให้เวลาเสียไปอย่างไร้ค่าอีกเลย รักเท่าที่นายอยากจะรักเถอะ”

               


     

                นั่นหมายความว่าทุกอย่างก็จะกลับเป็นเหมือนเดิมงั้นหรือ

     



                ตอนจบที่ไม่ว่ายังไงเราสองคนก็ต้องจาก



     


                “นั่นคือบทลงโทษของคนที่ไร้หัวใจคิมจงอิน -- นายเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แค่ได้กลับไปใช้ความทรงจำครั้งสุดท้ายร่วมกับคนที่นายรัก มันจะเหมือนเดิม”

     

     



                มันมากกว่าถูกมีดเฉือนหัวใจของเขาออกเป็นชิ้นๆ

     



                เขาได้กลับไปทั้งๆที่รู้ว่ายังไงคยองซูก็ต้องตาย ตอนจบที่ถูกคนบนฟ้ากำหนดให้มันลงเอยแบบนั้น

     



                มันโศกเศร้ายิ่งกว่าตอนจบของนิทานเรื่องไหน

     




                “ผม...ยังไม่ตายใช่ไหม”

     

                “ใช่ นายคงกำลังนอนอยู่ในห้องฉุกเฉินสักโรงพยาบาล ส่วนโดคยองซูตายไปแล้ว”

     


     

                มันบาดลึกกรีดลงไปในเนื้อ ความเจ็บปวดแล่นริ้วเข้าไปในทุกที่ที่มันสามารถไปได้ มันจะยังมีทางไหนอีกที่เราจะไม่ต้องจบลงด้วยความตายที่พรากเราออก

     


                คนที่เรียกตัวเองผู้ครองกุญแจโลกหลังความตายเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

     



                สั่งเสียราวกับว่ามันเป็นครั้งสุดท้าย

     

     



                “จงใช้เวลาอย่างคุ้มค่า จงรักให้เหมือนว่ามันเป็นครั้งสุดท้าย

     



                ที่คนๆนั้นกำลังจะสื่อ เขาบอกผมว่าอย่าปล่อยรักอีกครา

     



                เพราะไม่มีโอกาส

     



                “ครับ ผมจะกลับไป

     

     



                ไม่มีโอกาสที่หัวใจดวงเดิมจะกลับไปรักใครได้อีก

               

     

               

                .

     

                .

     

                .



         2018.01.12

               

     




                จงอินตื่นขึ้นมาพร้อมๆกับความรู้สึกวูบโหวงในใจ อกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรงเหมือนเพิ่งได้รับอากาศเข้าสู่ในปอด เขาเหมือนคนจมน้ำ ดวงตาคู่คมมองไปรอบๆ มีคนอีกสองคนอยู่กับเขาในห้องนี้ด้วย ถ้าจำไม่ผิดที่นี่คือห้องนอนของเขา

     



                บยอน แบคฮยอน เด้งตัวลุกออกจากพื้นเมื่อให้เพื่อนสนิทของตัวเองจู่ๆก็ลืมตาโพล่งขึ้นมาทั้งๆที่เมื่อกี้เขาแหกปากปลุกแทบตาย หลับลึกอะไรขนาดนั้นวะ

     

     



                “กูนึกว่ามึงตายไปแล้ว” เป็นเสียงแหบต่ำของร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังแบคฮยอน

     

     

                ก็เกือบตายแล้วน่ะสิ จงอินตอบมันในใจ

     

     

                จงอินสัมผัสถึงความชื้นตรงแถวขมับและแผ่นหลัง นี่เขากลับมาได้จริงๆเหรอเนี่ย ใบหน้าคมคายมองแฟนหนุ่มของเพื่อนสนิทที่ยืนกอดอกมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว ปาร์ค ชานยอล ยังมีเรือนผมสีเทาอ่อนแบบที่แบคฮยอนชอบ

     



                เดี๋ยวก่อน

     




                “วันนี้วันที่เท่าไหร่”

     


                “เฮ้ย นี่มึงร้องไห้เหรอ” ร่างเล็กเจ้าของตาตี่ๆเหมือนลูกหมาอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของจงอินมีหยาดน้ำใสไหลร่วงผ่านตาไป

     

     


                คนที่ยังนั่งอยู่บนเตียงนอนไม่ตอบ รีบหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จแบตทิ้งไว้ข้างเตียงมาดูวันที่ทันที

     



     

                Sat. 1 December

     

     



                ผู้ชายคนนั้นพาเขากลับมาสามสิบวันก่อนเกิดเรื่อง ชายหนุ่มวัยยี่สิบหกปีรีบเด้งตัวออกจากเตียง วิ่งออกไปไม่สนใจว่าเผลอชนชานยอลก่อนออกจากห้องเขาอยู่คอนโดนี้กับคยองซู นั่นแปลว่าตอนนี้...

     


     

                สองขาออกแรงไปข้างหน้าพร้อมๆกับหัวใจที่ลุ้นระทึก

     


                กลิ่นหอมของอาหารลอยมาจากในครัว และแล้วจงอินก็ได้ยินเสียงฮัมเพลงเล็กๆ

     


                มันก้องกังวานในหู หยาดน้ำอุ่นหล่นกระทบกับพื้นตามจังหวะก้าวเดิน

     



                ก้าวแรก ที่เห็นปอยผมสีน้ำตาลอ่อนเหมือนเปลือกไม้

     

     


                “พี่จงอิน ~ ตื่นแล้วเหรอ” มันเหมือนกับเขาได้รับลมหายใจคืนมาอีกครั้ง

     


     

                มองเห็นแผ่นหลังเล็กที่มีผ้ากันเปื้อนผูกเอวอยู่หลวมๆ ลายดอกไม้สีเหลืองอ่อนสดใส

     


               

                ก้าวที่สอง ที่ใบหน้าเล็กค่อยๆหันมาหาเขา มันงดงามเหมือนดอกไม้ราคาซักช่อ ร่างสูงปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาจนร้อนไปหมดทั้งหน้า ไหล่กว้างสั่นอย่างรุนแรงจนคนตัวเล็กรีบวางตะหลิวลงเมื่อเห็นว่าคนรักของตัวเองจู่ๆก็ร้องไห้ออกมา

     



                ริมฝีปากสีอ่อนได้รูปขยับถาม น้ำเสียงอ่อนโยนปลอบประโลมแต่นั่นยิ่งทำให้อีกคนร้องไห้หนักกว่าเก่า

     



                “พี่จงอินครับ ร้องไห้ทำไม”

     


                “ฉัน...

     



                และก้าวสุดท้ายที่ปลายเท้าของเราชิดกัน แขนเล็กโอบกอดตัวเขาไว้สัมผัสอุ่นซึมผ่านเนื้อผ้า มันค่อยๆแผดเผาเนื้อของเขาจนเขาคิดว่าอะไรข้างในมันกำลังเผาไหม้

     



                อาจจะเป็นหัวใจ

     


                อาจจะเป็นกระดูก

     



                มันยากเหลือเกินที่เขาจะไม่ร้องไห้ตอนที่สบกับดวงตาคู่นี้

     

     

     

                “ไม่ร้องแล้วนะ ผมอยู่ตรงนี้แล้วไง” เสียงเล็กกระซิบบอก

     



     

                เพราะว่าฉันอยากให้เวลามันหยุดอยู่ตรงนี้

     

             


                “พอดีฉันฝันร้ายน่ะ” ผละออกจากกันแล้วยกหลังมือปาดคราบน้ำตาออกลวกๆ คยองซูช่วยมาเช็ดให้อีกทีแถมยังบ่นต่อว่าเขาเหมือนเด็ก อุ้งมือเล็กเหมือนเด็กเอื้อมมาขยี้เรือนผมสีดำสนิทไปมาอย่างเอ็นดูก่อนจะขอตัวไปทำอาหารเช้าให้

               


     

                คนที่ยังอยู่ในชุดนอนทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวี ไม่นานแบคฮยอนกับชานยอลก็โผล่มานั่งอยู่ข้างๆ

     

     


                “มาหากูแต่เช้า มีอะไรรึเปล่า”

     


                “ที่บริษัทฝากงานมาให้ ก็มึงเล่นไม่ยอมโผล่หัวไปทำงานเลยนี่” ร่างเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสุภาพพร้อมไปทำงานตอบ แบคฮยอนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจงอินมีเรื่องเครียดอะไรรึเปล่า แต่ช่วงนี้บริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่งานยุ่งมาก มือเอกของสาขาก็เอางานมาทำที่บ้านอย่างเดียว

     


                ถ้างานเก่ายังไม่เสร็จเขาจะฟาดให้จริงๆ ไม่สนว่าคยองซูจะห้ามด้วย

     


                เพราะคนที่โดนบ่นมามันคือเขายังไงเล่า!

     

     


                “งานเก่าเสร็จแล้วเดี๋ยวส่งให้ในเมลล์” ถ้าวันนี้เป็นวันที่หนึ่ง นั่นแปลว่าเมื่อคืนเขาต้องร่างแบบบ้านจนเสร็จตั้งแต่ตีสอง

     


                คยองซูคงพามานอนที่เตียงสินะ จู่ๆก็รู้สึกผิดที่ที่ผ่านมากลายเป็นคนบ้างานไม่สนใจว่ามีใครคอยเป็นห่วง

     



                จงอินไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองมันเลยตกเป็นหน้าที่ของคยองซูไปโดยปริยาย และบางทีที่เขาแอบรำคาญเวลาคนตัวเล็กให้รีบนอนหรือเรื่องที่กินข้าวไม่ตรงเวลา

     



                เขาควรทำอะไรสักอย่าง

     


     

                “งานนี้กี่ดาว” ใบหน้าได้รูปแปรเปลี่ยนเป็นโหมดจริงจัง แบคฮยอนยกนิ้วขึ้นห้านิ้วแล้วชูใส่หน้าเขา

     


                “ห้าดาว หินมาก เพราะลูกค้าคนนี้แม่งโคตรจะเรื่องมาก”

     



                คิมจงอินถอนหายใจ  เขามองแฟ้มเอกสารสลับกับแผ่นหลังเล็กๆที่ยังร้องเพลงไปทำอาหารไปอย่างมีความสุข เขาในตอนนั้นรับงานไปยังไม่ลังเลเพราะกลัวว่าจะโดนหัวหน้าตำหนิ อะไรที่ไม่สร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตจงอินยอมทั้งนั้น

     



                แต่ว่าบทสนทนาเมื่อหลายวันก่อนก็ย้อนกลับเข้ามาในหัว

     



                “ไม่ว่ะ กูว่าจะพักซักหน่อย”

     


                “เฮ้ย เอาจริงดิ” แบคฮยอนอ้าปากกว้างไม่เชื่อสายตา แม้แต่ชานยอลที่พอได้ยินมาบ้างว่าเพื่อนแฟนของเขาทำงานเก่ง บ้างานแถมตอนเรียนจบยังคว้าเอมาได้ทุกตัว โปรไฟล์ดีแบบที่บริษัทที่ไหนก็อยากรับเข้าทำงาน ง่ายๆว่าเป็นลูกรักของสาขา

     


                เขาอยากพาคยองซูไปกินข้าวไม่ก็ไปดูหนังสักเรื่อง

     


                ถึงจะรู้สึกสับสนอยู่บ้างแต่มันก็มลายหายไปเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น จงอินหยัดตัวลุกขึ้นแล้วบอกปัดแบคฮยอนที่คะยั้นคะยอให้รับงานไป จงอินขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัวทันทีไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้

     



                ถึงรู้ว่าเปลี่ยนอะไรไม่ได้ก็ตาม

     

     

               

               


     

                จงอินขับรถพาแฟนตัวเล็กมาที่ห้างสรรพสินค้าแถวคอนโด ร่างบางที่นั่งอยู่เบาะด้านข้างจ้องมองเสี้ยวข้างดูดีของแฟนตัวโด เราไม่ได้มาเที่ยวด้วยกันนานแล้ว คยองซูเคยอ้อนให้จงอินพามาเดินเล่นที่ห้างเหมือนคู่รักทั่วไป แต่ตอนนั้นจงอินบอกว่าไม่ว่างนี่นา

     



                แถมเมื่อเช้าก็ไม่ยอมรับงานด้วย

     


                วันนี้พี่จงอินเป็นอะไรไปรึเปล่านะ

     

     

     

                “เดี๋ยววันนี้พาไปซื้อเสื้อ” พอได้ที่จอดรถเสร็จก็หันมาส่งยิ้มให้กับแฟนตัวเล็ก รอยยิ้มน่ารักจุดขึ้นมาบนใบหน้าหวาน คยองซูกวาดยิ้มดีใจ

               


                “พี่พูดจริงเหรอ?!

     


                “จริงสิ แล้วก็เลิกยิ้มได้แล้วน่า” รอยยิ้มตาหยีเหมือนเด็กได้ขนมทำเอาหัวใจที่ฟีบหมองพองโตขึ้นมาเสียดื้อๆ

     

     

                คยองซูย่นจมูกน่ารัก “ขอบคุณฮับ”

     

     


                ก่อนจะเอนหน้ามากดจมูกบนแก้มด้านซ้ายของเขาแล้วรีบลงจากรถไป ร่างสูงที่วันนี้สวมเสื้อโค้ทสีเบจเรียบง่ายยกมือขึ้นสัมผัสตรงที่ปลายจมูกรั้นกดลงไป ริมฝีปากสีสดกระตุกเป็นรอยยิ้ม

     





                วันนี้เราได้ออกมาข้างนอกด้วยกัน จงอินเลือกเสื้อผ้าสีอ่อนให้กับแฟนตัวเล็กหลายตัว รวมถึงเสื้อหนาวที่จำเป็นสำหรับเดือนนี้ คยองซูเป็นหวัดง่าย แต่พอหลังจากที่เดินซื้อของเสร็จก็ยังงอแงร้องให้เขาไปเลี้ยงไอศกรีม

     



                คนสองคนที่มีส่วนสูงต่างกันแต่เวลาอยู่ยืนด้วยกันข้าง ๆ มันลงตัวเหมือนกับไอศกรีมรสโปรดในฤดูร้อน

     


     

                เป็นเหมือนส่วนผสมของกาแฟที่เข้ากันจนกลายเป็นรสชาติกลมกล่อม

     

     

                คนตัวโตกว่ายืนกอดอกรอร่างเล็กที่ยืนเคาะนิ้วกับตู้กระจกเลือกรสไอศกรีม คนตัวเล็กมีใบหน้าสดใส คลี่ยิ้มจนพวงแก้มสองข้างล้นออกมา คยองซูหันมาส่งยิ้มให้ตาหยี ดีใจเหมือนเด็กๆ และถ้าให้เดา -- อันที่จริงไม่ต้องหรอก เขารู้ว่าคยองซูจะเลือกกินรสอะไร

     

     


                “ผมกินแต่ของหวาน น้ำหนักขึ้นแน่เลย”

     


                รับถ้วยไอศกรีมมาแล้วแต่ก็บ่นตลอดทางว่าน้ำหนักขึ้นอย่างนู้นอย่างนี้ แต่สองมือน่ะ

     


                คุณเขาตักกินไม่หยุดปาก

     


                โธ่ ไอ้ตัวเล็กเอ้ย

     



                “ถ้าอ้วนแล้วพี่จงอินจะรักผมมั้ย .__.”จู่ ๆ ก็เอ่ยปากถาม จงอินหันไปมองร่างเล็กที่จ้องมาที่เขาตาแป๋วก่อนจะส่งรอยยิ้มแบบที่ทำให้คนตัวเล็กใจสั่นทุกครั้งที่มอง

     



                ร่างสูงใช้นิ้วโป้งปาดคราบช็อคโกแลตที่เลอะอยู่ตรงมุมปากออก ท่าทางเป็นธรรมชาติทำให้คยองซูเขินหนักกว่าเก่า ถึงจะคบกันมาตั้งนานแล้ว แต่เมื่อไหรที่พี่จงอินทำแบบนี้ หัวใจของเขาก็สั่นไม่หยุดทุกที

     


     

                “ถ้าอ้วนเดี๋ยวไปออกกำลังกายเป็นเพื่อน”

     

     


                คำตอบที่ได้ยินทำเอานัยน์ตากลมฉายแววประหลาดใจ

     

     

                “จริง ๆ นะ พี่จะไม่ติดงานใช่ไหม”

     


                “ครับ งั้นเริ่มวันนี้เลยดีไหม”

     


                “คุณจงอินของคุณคยองซูน่ารักที่สุด!” พูดจบแล้วก็กระโดดกอดคอแฟนตัวสูงทันที คิมจงอินโยกคนตัวเล็กกว่าไปมาแล้วกดจมูกลงไปตรงกลุ่มผมหอม

     


     

                วันแรกของพวกเขาผ่านไปด้วยรอยยิ้มจากเด็กชายทานตะวัน

     


                ทานตะวันที่เขาอยากเห็นมันเติบโตไปตลอดกาล

     

     


     

    ----------------------------------

                




             2018.08.12

                     

     


                หลังจากจงอินส่งจดหมายลาพักหนึ่งเดือน เขาก็เริ่มวางแผนว่าวันหยุดเราจะไปทำอะไรด้วยกันได้บ้าง อีกอย่างหนึ่งคือแฟนตัวเล็กของเขาก็ยังทำงานอยู่ และเขาเริ่มจากอะไรง่ายๆ

     



                อย่างเช่น มื้อเช้าที่เขาเป็นคนทำ

     


                หรือเก็บกวาดทำความสะอาดห้อง อย่างน้อยคยองซูกลับมาเหนื่อย ๆ จะได้พักผ่อนบ้าง

     



                ที่ผ่านมาร่างสูงไม่เคยสนใจสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ แต่เมื่อมีเวลาเขาก็ยังแบ่งเบาอะไรจากคยองซูได้บ้าง ดวงตาคมมองบนจอทีวีขนาดใหญ่ เขาเปิดหนังที่เคยซื้อมาไว้ดูที่ห้องนานแล้วรอจนกว่าแฟนตัวเล็กจะกลับมา

     



                แต่แล้วเขาก็กลับสู่ภวังค์ความคิดเรื่องเดิม ๆ อีกครั้งที่สลัดออกไปจากหัวไม่ได้ซักที

     


                ปัญหาคือเขาจำไม่ได้ว่าทำไม ... ทำไมในวันนั้นเขาถึงพูดจาใจร้ายใส่กับคยองซูแบบนั้น มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ถูกลบออกไป หรือเขายังไม่เจอมันกันแน่นะ?

     


     

                ติ๊ด!

     


                คยองซูกลับมาแล้ว

     



                ร่างเล็กในชุดสูทเนคไทถูกคลี่ออกเพราะความอึดอัดแบบที่เจ้าตัวไม่ชอบ ถ้าไม่ติดว่าต้องไปคุยงานทุกวันคยองซูไม่ยอมใส่ไปทำงานแน่ ใบหน้าเล็กคลี่ยิ้มจางเมื่อเห็นตัวสูงเจ้าของเสื้อยืดโทนสีเทาแบบที่ชอบใส่โบกมือให้เขาอยู่หน้าทีวี

     



                จงอินอ้าแขนออกเพื่อรับอ้อมกอดจากคนตัวเล็ก

     



                “เหนื่อยมั้ย” เขาถาม โยกร่างบางไปมาช้าๆ คยองซูครางฮือในลำคอ

     


                “ฮือ เหนื่อยแต่พอกลับมาเจอพี่จงอินก็หายเหนื่อยแล้วคับ”

     


                “น่ารักจังคับ” ถ้าเป็นตอนนั้นเขาคงยังไม่กลับบ้านด้วยซ้ำ

     

     


                จงอินฉวยโอกาสหอมแก้มนุ่ม แล้วบีบจมูกรั้นของแสนดื้อ วันนี้เจ้าตัวเล็กของเขาทำงานหนักทั้ง ๆ ที่เป็นวันเสาร์ เด็กดีต้องได้รางวัลสิถูกมั้ย

     

     


                “ไปดูหนังกัน” น้ำเสียงทุ้มเอ่ย คนที่เพิ่งกลับบ้านดีดตัวนั่งหลังตรงเพราะความดีใจ

     

                “ไป! งั้นรอผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”

     



                คยองซูหอมแก้มเขากลับหนึ่งทีแล้ววิ่งเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่วายตะโกนออกมาอีกว่าแค่สิบห้านาทีเท่านั้น เจ้าของเรือนผมสีดำสนิทยกยิ้มมุมปาก คยองซูก็แบบนี้แหละ ชอบดูหนัง -- เวลาเขาชวนไปดูหนังทีไรดีใจเป็นแบบนี้ทุกที

     



                อ่า อันดับแรกเขาควรจองที่นั่งในโรงหนัง

     

     

                .


     

                .

     

                .

     

                .

     

     


                ตั๋วที่หนัง C 12 , C 13 ถูกฉีกออกทันทีเราสองคนหย่อนตัวนั่งลงบนเบาะในโรงหนังขนาดใหญ่

     



                พวกเขาทำแบบนี้ประจำอยู่แล้ว  ฉีกตั๋วแล้วสะสมมันไว้

     


     

                “เขาบอกเรื่องนี้หลอนสิบกะโหลกเลย” มองใบหน้าหวานท่มีดวงตากลมโตทำท่าเหมือนหวาดระแวง แล้วก็หยิบป็อปคอร์นที่เขาถือให้เคี้ยวงุบงับ ปากก็เล่าเนื้อหาสั้นๆให้เขาฟังที่ระหว่างทางเจ้าตัวทำการค้นหาข้อมูลอย่างดี เขายิ้ม

     



                เขาชอบคยองซูที่เป็นแบบนี้

     


                แบบที่เป็นธรรมชาติ กินเก่ง โม้เก่ง แต่ก็เป็นคนมีเหตุผลในขณะเดียวกัน

     



                หนังเริ่มขึ้นแล้วพร้อมกับสรรพสิ่งในที่แห่งนี้เงียบสนิท เห็นคยองซูนั่งเงียบไม่พูดไม่จาเอาแต่จ้องไปข้างหน้าอย่างเดียว จงอินหยิบป็อบคอร์นขึ้นมากินบ้างแต่ในจังหวะที่เขาหันกลับไปดูหนังต่อ พลันสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่นั่งอยู่ด้านล่าง

     


     

                เจ้าของแถว F โดดเดี่ยว เขานั่งอยู่เกือบท้ายสุดของแถว

     


                อะไรบางอย่างสะกดให้จงอินจ้องมองแผ่นหลังของชายคนนั้นอยู่แบบนั้น เขาสวมชุดสีดำทั้งตัว มันมืดจนแทบกลืนไปกับความมืดในโรง

     

     

                “จงอินนนนนผีมา~~อ้ากก” เสียงเล็กร้องดังเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เรียกสายตาให้เขาหันกลับไปมอง เจ้าของนัยย์ตากลมสวยเอ่อไปด้วยน้ำตา ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะหลุดยิ้ม

     


                ไอกู “ไหนบอกไม่กลัวไง”

     


                “อ่าทำไงดี มันติดตาผมไปแล้ว” งอแงแล้วยกมือขึ้นมาบังหน้า

     

     

                หนังผีดูไม่คุ้มจริง ๆ นั่นแหละ ยิ่งกับคุณเขาด้วยล่ะก็นะ

     



                คนที่สวมเสื้อสีเทากับกางเกงยีนส์อวดบอดี้แบบที่ใคร ๆ ต่างก็อิจฉา โน้มหน้าเข้าไปใกล้จนปลายผมสีดำสนิทตัดกับผิวขาวเหมือนน้ำนมของใครอีกคน เขาจะจดจำทุกองค์ประกอบบนใบหน้าของคนๆนี้ให้ได้มากที่สุด

     


                ตั้งแต่ริมฝีปากรูปหัวใจที่เป็นศูนย์รวมสายตาของเขาไว้ทั้งหมด

     


                “พี่จงอินนี่มันในโรงหนัง--” คนตัวเล็กเม้มปากชิด หายใจไม่ออกเพราะมันยากลำบากเหลือเกินเวลาจ้องเข้าไปในดวงตาของคนรัก มันไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียว มันเหมือนกับมีคลื่นน้ำที่ถูกซัดไปมาอย่างรุนแรง

     


                มีคำพูดมากมายที่เขาอยากจะบอกกับคยองซู

     



                “ไม่ต้องกลัว”

     


                เพราะเขาจะปกป้องดูแลเจ้าของรอยชื่อบนหัวใจคนนี้ ... รักษาให้ยิ่งกว่าชีวิตของเขา

     


                เสี้ยวใบหน้าดูดีถอยออกเพื่อให้คนตัวเล็กได้มีพื้นที่หายใจ เขายกมือเล็กที่จับประสานวางอยู่ตรงที่พักแขน แล้วเลื่อนริมฝีปากเข้าไปใกล้กดจูบลงไปอย่างแผ่วเบา

     


     

                “ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว”

     

                “...

     



              “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่ากลัวไปเลยนะคยองซูอา”

     

     

     

     

     


     

              คืนนั้นจงอินฝัน ... เขาฝันเห็นร่างสูงของผู้ชาย -- ยืนอยู่ตรงหน้าแต่ภาพทั้งหมดเหมือนถูกละเลงด้วยสีน้ำจนมองไม่ชัดเจน และเขาพูดอะไรบางอย่างคล้ายกับภาษาของคนโบราณ

     

     

                “มันเป็นสิ่งที่เจ้าต้องยอมรับจากการกระทำของเจ้าเอง”

     

               

                ระหว่างเขากับคยองซูมันเคยเกิดอะไรขึ้นกันแน่

     





    ------------------

     

     



     

              2018.15.12

     

     


                จงอินแวะซื้อกาแฟที่ร้านแถวบริษัทของคยองซูก่อนจะเข้าไปรับแฟนตัวเล็กจากที่ทำงาน เจ้าของ่างสูงที่วันนี้เซ็ตผมขึ้นดูดีและสวมเสื้อคอเต่าสีเหลืองอ่อนกับกางเกงยีนส์สีดำขาดเข่ายี่ห้อดังก้าวขายาวตรงไปหน้าเคาท์เตอร์บาร์ แทบไม่ต้องมองเมนูที่วางอยู่ด้านหน้า

          


               “รับอะไรดีคะ”

     


                พนักงานสาวตาประกายจนแทบเป็นรูปหัวใจ นาน ๆ ทีเธอจะได้เจอลูกค้าที่หน้าตาดีราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่น แต่จงอินไม่สนใจ เขาไม่สนใจใครนอกจากคยองซูอยู่แล้ว

     


                “มอคค่าร้อนแก้วหนึ่งครับ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยสั่งก่อนจะส่งธนบัตรให้กับพนักงาน เขาเขยิบไปด้านหน้าเพื่อรอกาแฟ

     


                เจ้าของส่วนสูงร้อยแปดสิบสามเซนติเมตรล้วงกระเป๋ากางเกง หมุนตัวพยายามมองไปรอบ ๆ เพื่อที่จะไม่สบตาใครในร้าน เขากลายเป็นจุดสนใจของคนในร้านตอนนี้ และมันน่าอึดอัด จนกระทั่งเสี้ยวนาทีเขาเผลอมองผ่านออกไปนอกกระจกใส

     


                เขา ... ผู้ชายคนนั้นสวมผ้าปิดปากสีดำ ดวงตาของเขามันมืดสนิท

     


                เส้นผมสีดำเหลือบแดงยาวจนเกือบปิดบังดวงตาทั้งสองข้าง ผู้ชายคนเดิมที่เขาเจอในโรงหนัง -- ยืนมองมาที่เขาไม่พูดอะไร จู่ ๆ รอบตัวของจงอินก็เหมือนเย็นเยือกขึ้นมากะทันหัน ขนลุกแปลก ๆ

     



                ต้องใช่ผู้ชายคนนั้นแน่ ๆ เดาจากขนาดตัว น่าจะอายุสามสิบต้นๆ

               


                ผู้ชายคนนี้แอบตามเขางั้นเหรอ?

     


                “คุณคะ”

     


     

                ไม่ บางทีเขาอาจคิดมากไปเองแต่พักหลังนี้จงอินรู้สึกเหมือนมีใครแอบมองอยู่ตลอดเวลา

     



                “คุณลูกค้าคะ” เสียงเล็กของพนักงานดังเข้าในโสตประสาท จงอินดึงสายตาออกมาจากชายแปลกหน้าอีกครั้ง รับกาแฟแล้วโค้งขอโทษที่ทำให้เสียเวลาทำงาน

     



     

                และเมื่อตอนที่เขาหันกลับไปมองที่เดิม ... ชายคนนั้นหายไปแล้ว

     

     



                .

     

                .

     

                .

     

     

                .

               

                “เดี๋ยวฉันมานะ”

     

     

                ตลอดระยะทางที่กลับมาถึงคอนโด เขามีแผนอะไรบางอย่างผุดขึ้นในหัว ทันทีที่ถึงบ้านจงอินเลยขอตัวเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สิ่งที่เขาคิดมันร้ายแรง จนจงอินกลัวว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

     



                ในมนุษย์ทุกคนล้วนมีความโลภแฝงอยู่ในจิตใจ

     



                ใช่ -- เขาอยากลองเปลี่ยนมัน เปลี่ยนตอนจบไม่ให้เหมือนเดิม เขาจะไม่พาคยองซูไปที่ทะเล เราจะไม่ไปที่นั่น

     


                จงอินอยากควบคุมชะตาชีวิตของเขากับคยองซู ถ้าเกิดว่าเราสองคนไม่เกิดอุบัติเหตุล่ะ ? ร่างสูงนั่งใช้ความคิดอยู่บนเตียง มันอาจจะเป็นไปได้

     

     


                เขากำลังตามหาความหวัง ... ที่มันริบหรี่มากขึ้นทุกที

     


     

                บ้านของเขาใกล้กับคอนโดมันห่างออกไปเพียงแค่สี่บล็อกเท่านั้น คิดได้ดังนั้นก็ลุกเดินออกไปจากห้องนอน ลอบมองแผ่นหลังเล็กที่กำลังรีดเสื้อผ้าให้เขาอยู่ คนตัวสูงลอบกลืนน้ำลาย แต่พยายามควบคุมสีหน้าให้ดีที่สุด

     



                “วันสิ้นปีเราเปลี่ยนไปฉลองที่บ้านฉันแทนมั้ย” เขาพูดมันออกไปแล้ว มือเล็กวางที่รีดผ้าลงแล้วเงยหน้ามอง

     


                “ทำไมล่ะ”

     


                “พ่อกับแม่ฉันอยากเจอนายไง คิดถึงลูกชายอีกคนจะแย่” ผมส่งยิ้ม ลุ้นระทึกจนรู้สึกหวาดเสียวในช่องท้อง สัมผัสถึงความชื้นบริเวณฝ่ามือและขมับขวา

     


                คยองซูลากเสียง “อืมมมมก็ดีนะ ผมก็ไม่ได้ไปเยี่ยมพวกท่านนานแล้วด้วย”

     


                “เยี่ยมเลยฉันจะได้โทร.บอกพ่อ”

     


                “โอเค เดี๋ยวใกล้ ๆ เราไปซื้อของให้พวกท่านด้วยนะพี่จงอิน” หันกลับมาวาดรอยยิ้มหวาน จงอินทำท่าตกลงแล้วเตรียมหันหลังเข้าห้องไปโทรศัพท์

     


                ก็คงไม่มีอะไร --

     


     

                เพล้ง!

     

     


                “โอ๊ย!เสียงเล็กร้องลั่น ยังไม่ทันที่เขาจะบิดประตูห้องเลยด้วยซ้ำ ภาพที่เขาเห็นคือเตารีดที่ล้มลงตรงกลางห้องมีโคมไฟระย้าที่ตกลงมาแตกละเอียด เศษแก้วกระจายไปทั่วพรม มีร่างเล็กของคยองซูนอนอยู่ไกล ๆ

     



                ร่างสูงรีบปรี่ตรงเข้าไปทันที “คยองซู!

     

                “พี่จงอิน... ผมเจ็บ”

     

                “ตรงไหน ไหนขอฉันดูหน่อย” ช้อนประคองขึ้นมาแนบอก เท้าเปลือยเปล่าเดินตรงไปยังห้องนอนไม่สนใจว่าตัวเองจะเหยียบเศษแก้วจนเท้าสองข้างเจ็บแสบไปหมด แต่การที่เห็นคยองซูเจ็บมันทำให้เขาเจ็บกว่า

     



                เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่โคมไฟตกลงมา

     


                มันเป็นไปไม่ได้ เขาอยู่มาตั้งนาน

     


                มันไม่เคยเกิดขึ้น

     



                “นายเลือดออก”

     



                ยิ่งเห็นคราบเลือดที่ไหลออกมาจากศีรษะเล็กทำเอาใจของคนตัวโตร่วงหล่น คยองซูกระโดดหลบทันแต่หัวก็ไปกระแทกกับขอบโต๊ะ จงอินมือสั่นเขาถอดเสื้อยืดของตัวเองออกจนเหลือแต่ร่างกายเปลือยเปล่าแล้วซับเบา ๆ

     

     

                สมองของจงอินตื้อไปหมด ลึก ๆ ในใจพยายามบอกว่ามันเกี่ยวข้องกัน

     

     

                เขารู้ว่ามันไม่ผิด ถึงเขาจะเปลี่ยนมันยังไงคยองซูก็ต้องเจ็บตัว มันจะต้องรุนแรงทุกครั้งที่เขาพยายามเปลี่ยนมันแน่

     

     

                ยิ่งวิ่งหนีความจริงไปไกลมากแค่ไหน สุดท้ายเขาก็ยังอยู่ที่เดิม

     



     

                “ไปโรงพยาบาลกันเถอะ”

     



                มองไปใบหน้าเล็กที่ซีดเผือดทั้งเพราะเสียขวัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดจนเสื้อของเขาเริ่มชุ่มไปด้วยสีแดง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่แล้วอุ้มพาคยองซูขึ้นรถตรงดิ่งไปโรงพยาบาลทันที ระหว่างทางเต็มไปด้วยความเงียบ คยองซูไม่เคยเห็นคนรักมีสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนี้มาก่อน จงอินกำพวงมาลัยแน่น

     



                ต่อเรื่องราวทีละนิดจนมาค่อย ๆ กลายเป็นเรื่องราวที่ตอกย้ำเขาเหมือนตะปูหนาตอกลงไปบนหัวใจ

     

     

                เป็นเพราะที่เขาพยายามเปลี่ยนมัน

     

     


                “พี่จงอินขับช้าหน่อยก็ได้ ผมไม่เป็นไร”

     

     

                เราถึงโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วในอีกสิบห้านาทีต่อมา.

     

     



               

               

                คิมจงอินนั่งหน้าเครียดอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน สองมือประสานกันแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดออกมา ถ้าสิ่งที่เขาคิดมันเป็นเรื่องจริง -- ทั้งหมดนี่มันเป็นความผิดของเขา ไม่นานหมอก็ออกมาบอกว่าคยองซูโดนเย็บไปสี่เข็ม ไม่เป็นอะไรมากแต่เพราะเป็นคนที่เลือดออกง่าย ไม่ต้องเป็นห่วง

     

     


                คนตัวเล็กจัดการลากแฟนตัวสูงให้ไปทำแผลตรงฝ่าเท้าก่อนจะขึ้นรถกลับบ้านไปด้วยกัน มันเป็นบรรยากาศสีเทาไปตลอดทาง จงอินสวมกอดคนตัวเล็กแน่นทันทีที่ลงจากรถ ตอนนี้เขากลัวไปหมด ข้างในมันสบสนเหมือนหลงเขาไปในวงกต สมองของจงอินปวดหนึบ

     


                คนตัวสูงตกอยู่ภายใต้ความเครียดและแรงกดดันจากการกระทำของตัวเอง คยองซูพยายามปลอบเขาว่าตัวเองไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วง ซึ่งคนตัวโตได้แต่พยักหน้าและส่งยิ้มจาง ๆ กลับไปเท่านั้น

     

     


                คืนนั้นจงอินฝันอีกครั้ง ... แต่ครั้งนี้มันชัดเจนมากกว่าเดิม รูปร่างเขาเหมือนชายคนเดิมในฝันครั้งก่อน แต่ครั้งนี้เขาเห็นชุดที่เขาคนนั้นสวมใส่ มันเป็นชุดสมัยโซชอน -- ยุคสมัยก่อน ในฝันเป็นเหมือนสระบัวและมีศาลาไม้ตั้งอยู่

     



                มีใครอีกคนนั่งอยู่บนศาลา เป็นหญิงสาวในฮันบกสีขาวสนิท จงอินได้ยินเสียงพิณไพเราะก้องกังวาน

     


                ทว่าทำนองของมันเศร้าจับหัวใจ

     



                จงอินมองไม่เห็นใบหน้าเพราะมีหมองจาง ๆ ลอยอยู่รอบตัว ไม่นานเธอก็เริ่มร้องไห้ -- เสียงพิณแผ่วลงและกลายเป็นเสียงสะอื้นเจ็บปวด ผมเห็นชายคนนั้นยืนมองเธอ เขาขยับปากพูดอะไรบางอย่างแต่ดูเหมือนว่าหญิงแปลกหน้าคนนั้นจะไม่ได้ยิน

     

     


                เสียงร้องไห้ทรมานเหมือนใจจะขาด เธอยกมือดึงปิ่นทองสวยออกมาจากมวยผม ร่างสะโอดสะองค์ค่อย ๆ หันมาทางเขา แต่ใบหน้าของเธอเลือนรางจางจนแทบจะหายไปและในวินาทีต่อหน้าเธอทำสิ่งอันน่าเศร้าสลด

     



                “อย่า!

     



                เลือดสีแดงฉานทะลักออกมากลางอกตรงที่มีปิ่นสีสวยปักอยู่บนนั้น จงอินหวีดร้องและเขาค้นพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอน แสงอาทิตย์อาบไล่บนพื้นห้อง หางตาเหลือบเห็นว่าเป็นเวลาตีห้าสิบห้านาที

     

     


                เขาคิดว่ามันเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง มันอาจจะพาเข้าไปสู่ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

     

     

     

               

         -------------------------------

     



     

                แก้วเล็กใสที่บรรจุของเหลวสีอำพันวางลงบนโต๊ะอีกครั้ง

                                                                      



                เจ้าของผิวสีคร้ามแดดใช้ไฟแช็คจ่อตรงปลายมวนบุหรี่ ไม่นานมันก็เริ่มเผาไหม้ อัดนิโคตินเข้าสู่ปอดอีกครั้ง ควันสีเทาลอยคลุ้งบนอากาศ เขาออกไปค้างบ้านแบคฮยอนสองคืน อ้างกับคยองซูว่ามีเรื่องต้องช่วยแบคฮยอนทำงาน

     



                แต่ห้าวันที่ผ่านมานี้เขาคิดไม่ตก ดื่มเหล้าสลับกับสูบบุหรี่เพราะปัญหาทีเขาพยายามแก้มากแค่ไนแต่ยิ่งนึกย้อนกลับไป จงอินเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่อยากมีรัก เขาเริ่มหัวเสียเพราะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้และเผลอขึ้นเสียงใส่คยองซูหลายครั้ง ทั้งฤทธิ์เหล้าและมรสุมความเครียด

     



                เลยตัดสินใจค้างบ้านเพื่อนสนิทเพื่อไม่ให้ทุกอย่างมันแย่ไปกว่านี้

     



                จงอินอยากหยุดเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี่ อยากปกป้องคยองซูให้ได้ซักครั้ง นึกถึงบทสนทนากับแบคฮยอนก่อนจะกลับมาที่คอนโดตัวเองเมื่อสามวันก่อน

     



                แบคฮยอนเซไปมาเพราะเริ่มเมา แต่ก็ยังมีสติพอตอบคำถามของเขาได้

     




              “ถ้ามึงรู้ว่าสุดท้ายแล้วมึงกับเขายังไงก็ต้องเจ็บ มึงจะยังอยู่กับคนนั้นมั้ย”

     


              “ถ้าเป็นกู อึ่ก...กูคงอยากให้เราไม่รู้จักกันตั้งแต่แรกดีกว่า”

     


                “ไม่ก็ถอยห่างออกมา กูรู้ว่ามันเห็นแก่ตัวแต่ไม่มีใครอยากเจ็บมากขนาดนั้นหรอก”

     

              “อือ”

     

              “มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไปต่อทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นทางตัน”

     

     

               


                จงอินเลยพยายามห่างออกมา แม้ว่าจะฝืนมากแค่ไหน เขาพูดกับคยองซูน้อยลง ขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง เขารู้ว่ามันทำให้คนตัวเล็กเสียใจแต่ ณ ตอนนี้ เขามืดบอดจริง ๆ เขาชิงนอนก่อนเพื่อที่จะไม่ได้เห็นหน้าเศร้าหมองของอีกคน จูบฝันดีที่จงอินรอให้คนตัวเล็กนอนหลับไปก่อนแล้วแอบมอบมันไม่ให้คยองซูรู้ตัว

     



                ทุกค่ำคืนผ่านไปอย่างยากลำบาก จงอินร้องไห้เลยเลือกที่นอนหันหลังให้กับร่างเล็กเพื่อที่จะไม่ให้รู้ว่าตอนนี้ตัวเขาอ่อนแอมากเพียงใด

     



                จงอินกลัวทุกครั้งที่แสงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ร่างสูงที่ตอนนี้นั่งกอดเข่าอยู่ข้างเตียงปล่อยให้ความคิดของตัวเองล่องลอย คยองซูตื่นนานแล้วและออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ พลันเสียงคำพูดของใครบางคนก็ย้อนกลับเข้ามา จงอินปวดหัวอย่างแรกจนต้องหลับตาลง

     


     

                จงใช้เวลาอย่างคุ้มค่า จงรักให้เหมือนว่ามันเป็นสุดท้าย

     

               


                .ราวกับมีเสียงระฆังดังขึ้น น้ำตาอุ่นจนเหมือนกับร้อนร่วงลงไปทันทีที่เขาลืมตา

     

     

                ใช่ เพราะเขาแทบไม่เหลือเวลา

     

     


                ร่างโปร่งยันตัวขึ้นแต่ก็ล้มลงไปเพราะขาดเรี่ยวแรง หยัดตัวขึ้นอีกครั้งอย่างทุลักทุเล เขาไม่ควรจะจมอยู่กับความเสียใจ ไม่งั้นคยองซูก็จะกลายเป็นแบบวันนั้น -- มือหนาผลักประตูออกไป เขาเห็นคนตัวเล็กนั่งกอดเข่าสองข้างเช่นเดียวกับเขาเมื่อกี้

     



                ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมันเปรอะเปรื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เมื่อคยองซูเห็นเขาเลยรีบยกหลังมือปาดมันออกมอย่างลวก ๆ

     

     


                สิ่งแรกที่เขาทำคือปรับความเข้าใจ ไม่ปล่อยให้อารมณ์ของตัวเองพังทุกอย่าง

               


     

                “หิวข้าวเหรอครับ งั้นเดี๋ยวผมไปเอามาให้”

     

                “คยองซู”

     

                “พี่จงอินนั่งรอที่โต๊ะก่อนนะครับ”

     

     

                ยังไม่ทันที่ร่างเล็กจะเดินสวนออกไป จงอินคว้าข้อมือเล็กเอาไว้แล้วดึงเข้ามากอด สองแขนโอบแผ่นหลังของคนตัวเล็กกว่าเอาไว้แน่น ทุกความรู้สึกที่ซ่อนไว้ตลอดห้าวันที่ผ่านมาถูกปล่อยออกมาแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตา

     

     

                เราสองคนต่างก็ร้องไห้ออกมา

     

     

                “ฮึก..ผมขอโทษ”

     

     

              นายไม่ได้ผิดอะไรเลย เป็นฉันเองที่โลภขนาดนั้น

     

               

     

                เจ้าของเรือนผมสีดำกระซิบ เลื่อนมือมาลูบเส้นผมนิ่มปลอบเด็กน้อยของเขาหยุดร้องไห้ พึมพำคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมา

     



                “ฉันผิดเอง”

     



                ผละออกมาแล้วโน้มหน้าลงไปหาคนที่มีหน่วยน้ำใสคลออยู่มากมาย ริมฝีปากร้อนแนบลงบนริมฝีปากของคยองซู มันเต็มไปด้วยแสนล้านความรู้สึก เขาถอนริมฝีปากออก ... ร่างสูงจูบซับหยดน้ำตาที่ไม่คู่ควรกับกับคยองซูเลยซักนิด เด็กน้อยของเขาหอบหายใจ

     



                เราจูบซ้ำ ๆ กันอยู่แบบนั้น มันเหมือนกับได้ต่อลมหายใจของเขาไปอีกหน่อย

     

     

     

                “ขอโทษนะที่ทำให้ร้องไห้”

     

     

                และจงอินก็ได้รู้

     

     


                “ขอโทษจริง ๆ ที่ฉันรักนายมากขนาดนี้”

     


     

                เป็นเขาเองที่เป็นคนโง่เขลา ไปต่อทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองคงเจ็บจนไม่อยากมีชีวิตอยู่







               _________________

     


     

              2018.29.12

     

     



              วันนี้พวกเขาออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแถวคอนโด

     

     


                เขาลองไปทบทวนมาอีกครั้งหลังจากวันนั้น มีบางอย่างที่เขาสมควรรู้และเขาต้องรู้ให้ได้ภายในวันนี้ เรื่องมันเกิดจากวันคริสต์มาสที่ผ่านมาเราอบคุ้กกี้แล้วก็ทำไปแจกเด็ก ๆ ที่บ้านแห่งฝัน ถึงว่าวันนั้นหิมะจะตกหนักและหนาวมากแค่ไหน เราแบ่งความอบอุ่นกัน

     



                คยองซูมีความสุขมากเพราะเขาอยากทำมันตั้งนานแล้ว

     

     

                จนถึงตอนร่างเล็กอาสาออกไปร้องเพลง หลังต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ที่มีกองของขวัญมากมายที่หลายคนนำมันมาให้แก่เด็กๆ จงอินเจอเขา -- ชุดสีดำทะมึน เหมือนมีรังสีเย็นประหลาดแผ่ออกมาตลอดเวลา ที่น่าตกใจหลังจากนั้นคือ

     

     


                พอคยองซูลงจากเวที แฟนตัวเล็กก็เอ่ยปากถามว่าเปลี่ยนเป็นชุดมาเหรอ ทำไมพอมองลงไปถึงเห็นตัวเขาใส่ชุดสีดำทั้งตัวแต่พอเจอกันถึงเปลี่ยนมาเป็นสีขาว

     

     


                เขาเหมือนผม แตกต่างอย่างเดียวคือร่างกายที่ดูหนากว่า จงอินออกจากงานมาตามหาแต่กลับไม่เจอแม้แต่ร่องรอย พอกลับมาเขาเลยนึกถึงขึ้นได้ว่า ชายคนนั้นอาจจะเป็นคนทำให้คยองซูบาดเจ็บ

     



                วันนี้จงอินเลยเลือกที่จะเสี่ยง

     

     

                “หนาวแล้วเรากลับเข้าคอนโดกันเถอะ”

     



                เพราะว่าพระอาทิตย์ตกไปแล้ว อากาศในเดือนธันวาคมหนาวตลอดทั้งเดือน เขาจับมือนคยองซูซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ท ก่อนจะเอ่ยพูด

     

     

                “ฉันว่าเราเปลี่ยนมาฉลองที่คอนโดดีกว่า”

     

                “ทำไมล่ะ? ไหนบอกจะไปคุณพ่อไง” เอียงหน้ามองเจ้าของใบได้รูปทีไหวไหล่เป็นคำตอบแทน

     

     

                จงอินสังเกตทุกอย่างรอบตัว มันไม่ค่อยมีคนเยอะนักเพราะว่าอากาศหนาว ส่วนใหญ่เลยเลือกที่จะอยู่บ้าน ด้านขวาของเขาเป็นร้านขายมันดูแล้วก็ต็อกปกกี ร่างสูงระวังทุกฝีก้าว เขาเอาคยองซูเป็นตัวล่อเท่านั้น

     



                “แต่ที่คอนโดก็ได้ พี่นี่น้า~ แต่ถ้าวันไหนว่างต้องพาผมไปทะเลนะ” จงอินเขย่ามือที่จับอยู่แทนคำสัญญา พวกเขาเดินออกจากสวนสาธาณะ เตรียมข้ามถนน

               



                มันไม่ใช่แยกจราจรที่มีรถเยอะมากขนาดนั้น เป็นเหมือนทางเล็ก ๆ ไปยังเกาะกลางถนนมากกว่า

     


                แล้วสิ่งที่จงอินคิดไว้ก็เกิดขึ้น

     



                เขามองดูแล้วมันไม่มีเงาของรถซักคนที่จะขับผ่านมาทางนี้ แต่ในวินาทีคยองซูข้ามไป เสียงบิดเร่งของมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ก็ตรงเข้ามา และจงอินจะไม่พลาดอีก -- สะบัดมือและผลักคนตัวเล็กให้หลบไป สามวินาทีนั้นเขาสบตากับเจ้าของมอเตอร์ไซค์สีดำผ่านกระจกหมวกกันน็อค

     

     


                สีดำทั้งตัว เป็นชายแปลกหน้าคนนั้นจริง ๆ

     

     


                คยองซูร้องเรียกที่เขาไม่ยอมเขยิบไปไหน เสียงล้อบดกับถนนลื่นดังไปทั่ว ครั้งนี้จงอินเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันแลกกับความจริงที่เขาต้องรู้

     

     

                ชนผมสิ เขาตะโกนท้าทายในใจ มันตรงมาที่เขาแบบไม่ลดความเร็วลงและ --

     


     

                พลั่ก

     



     

                เบี่ยงออกไปจนผมเซล้มกับพื้น สองมือขูดกับพื้นถนนจนเลือดซิบเป็นทางยาว คยองซูยกมือออกจากปากแล้ววิ่งตรงมาหาทันที

     


                “เป็นบ้าไปแล้วรึไง!

     

                “พอดีฉันตกใจ” หลบตาแล้วเบี่ยงหน้าไปข้างหลัง รถคนนั้นหายไปแล้ว

     

     


                เจ้าตัวเล็กยกมือหนาขึ้นมาดูแผล ริมฝีปากเล็กเบะลงแล้วใช้มือฟาดไปเต็ม ๆ ที่ไหล่ขวา

     


     

                “ใจผมหายหมดเลยรู้มั้ย อย่าทำแบบนี้อีก แล้วไอ้บ้านั่นมันไม่มีตารึไง”

     


               

                ถึงจะเจ็บแต่มุมปากก็ยกขึ้นเพราะความเป็นจากแฟนตัวเล็ก คยองซูประคองเขาไปนั่งบนม้านั่งใต้ต้นไม้ ทิ้งท้ายไว้ว่าจะไปซื้อยาทาแผลที่ร้านสะดวกซื้อ แผ่นหลังเล็กหายออกไปจากสายตาเรื่อย ๆ จงอินก้มมองรอยแผลของตัวเอง

     

     


                แบบนี้มันแปลว่าเขาสำเร็จแล้วรึเปล่า

     

               

                แต่ทันทีที่เงยหน้า เจ้าของมอเตอร์ไซค์คนนั้นกลับยืนอยู่อีกฟากคนนั้น เราสบตากันแปบหนึ่งแล้วเขาก็หันหลังเดินเข้าไปในตรอกด้านหลัง

     

     


                เจ้าของร่างสูงโปร่งรีบวิ่งข้ามไปทันที สองขาออกเร่งอัตโนมัติ จงอินคิดแต่ว่าเขาต้องรู้ว่าไอ้บ้านั่นมันเป็นใคร ถ้ามันเป็นคนทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ -- ถ้าต้องฆ่า เขาก็ยอม

     

     


                แวนส์สีดำตัดกับพื้นถนน เขาเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าเสื้อหลังจากที่ส่งข้อความบอกคยองซูให้ไปรอที่ห้องเลยเพราะบังเอิญเจอเพื่อนเก่า  ขาเรียวใต้กางเกงผ้าหนาสีดำตรงเข้าไปในตรอก มันเงียบสงบ มีแต่กองขยะและประโยคคำด่าพ่นสีที่อยู่ตามกำแพง

     


     

                ในและที่สุด

     

     

                ชายสวมหมวกกันน็อคนั่งไขว่ห้างอยู่บนกำแพงสูง ไม่มีใครบ้าขึ้นไปบนนั้น ซอยตันแล้ว

     

     



                “คุณเป็นใคร” ใส่คำถามทันที เขาจะไม่รออีกต่อไปแล้ว

     

                “ฉันบอกแล้วว่านายเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”

     

     

                น้ำเสียงต่ำน่ากลัวลอดออกมา เขากอดอกมองลงมาเหมือนตัวเองสูงศักดิ์

     

     

                “ฉันให้โอกาสนายแล้ว อย่ามัวแต่ทำอะไรโง่ ๆ อีกเลย”

     

                “คุณคือยมทูต?” ฟังดูประหลาด แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนวันนั้นที่เขาได้คุย

     

               


                ชายชุดดำกระโดดลงมา และจงอินมั่นใจในทันที -- ไม่ใช่มนุษย์ เพราะกำแพงสูงขนาดนั้นโดยลงมาขาไม่หักก็ให้มันรู้ไปสิ เจ้าของผิวสีแทนทรงเสน่ห์ก้าวเข้าไปใกล้ นัยน์ตาคู่คมไม่มีแววตาล้อเล่นอยู่ในนั้น เขาไม่กลัว

     

               


                “เรื่องนั้นมันไม่สำคัญ”

     

                “ถ้างั้นให้เป็นผมไม่ได้เหรอ ... คนที่ต้องไป”

     


                เขาจะอยู่ยังไง เขาจะใช้ชีวิตยังไง

     


                ทำไมถึงต้องเป็นเราสองคนที่เจอกับเรื่องแย่ ๆ แบบนี้

     

     


                “ระหว่างนายสองคน, ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็ต้องตายจากกันไป” เขาตอบ

     


     

                หรือว่ามันเกี่ยวข้องกับความฝันนั้น

     

     


                “ใช่ มันเป็นกรรมของนาย ชะตาและโศกนาฏกรรมความรักที่น่าเศร้า”

     

     

                น่าแปลกที่จงอินกลับรู้สึกเขายังมีน้ำเสียงเศร้าสร้อยไม่ต่างจากวันนั้น  คน ๆ นั้น ดีดนิ้วดัง เป๊าะ มันเหมือนภาพตรงหน้าถูกหมุนเป็นวงกลม น่าเวียนหัว และคลี่คลายออกมาเป็นภาพความทรงจำที่หลั่งไหลเหมือนน้ำหลาก ตั้งแต่เขาตกหลุมรักกัน คยองซูกลายเป็นผู้หญิง

     



                “ท่านพี่ไม่รักน้องแล้วเหรอ”

     


                ไม่นานเขาก็มีภรรยาใหม่ เมินเฉยไม่แย่แสทั้งยังทำร้ายร่างกายหญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนคยองซูคนนั้นจนบาดเจ็บ ร่างสูงยืนตัวแข็งทื่อปล่อยให้มันแล่นกรอกลับไป ความรู้สึกหลาย ๆ อย่างพากันพังเข้ามา ภาพตัดไปเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง คนที่หน้าเหมือนเขาถูกแทงแล้วตกลงมาจากหลังม้า

     



                แล้วมันก็ลงล็อคพอดีกับภาพความฝันวันนั้น

     


                จงอินได้เห็นหญิงสาวเจ้าของฮันบกสีขาวที่ดีดพิณทำนองแสนเศร้า เธอตัดสินใจฆ่าตัวตายตามสามีอันเป็นที่รักไป

     


                จู่ ๆ หยาดน้ำอุ่นก็ไหลรินออกมาอีก รสชาติความเจ็บปวด ความผิดหวัง

     


                จงอินจำได้หมดแล้ว

     

     



                “มันคือกรรมที่นายก่อไว้เมื่อชาติที่แล้ว” เพราะตัวเขาในตอนนั้นโง่เขลาและช่างน่าอดสู

     

     

                รู้หัวใจเอาก็เมื่อตอนที่สายไปเสียแล้ว  ไม่ทันได้เอ่ยบอกคำว่ารักที่นางรอคอยมาตลอด

     


                ทุกอย่างมันชี้ชัดหมดแล้ว

     



                “แล้วเมื่อไหร่ ... เมื่อไหร่ที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน” เงยหน้ามองชายคนเดิม

     



     

                จงอินสัมผัสได้ถึงความหวังในขณะเดียวกันมันเจ็บปวด

     


                คนที่สวมเสื้อดำตลอดราวกับไว้อาลัยให้ใครสักคนถอดหมวกกันน็อคออกช้า ๆดวงตาคมเบิ่งกว้างเล็กน้อย นี่มัน --

     


                เจ้าของเรือนผมสีดำยาวเพราะปล่อยทิ้งไว้เม้มริมฝีปาก กลืนก้อนอะไรบางอย่างลงคอไป

     

     



                “นายจะลืมทุกอย่างที่รู้ แม้สิ่งที่เห็นนายเห็นวันนี้”

     

                “...

               

                “ฟังไว้ให้ดี ทำสิ่งที่นายควรทำ เข้าใจมั้ยอย่าทำให้มันต้องจบลงแบบนั้น -- และอย่าฝืนชะตาตัวเองอีกเลย นายเห็นมันทุกอย่างรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้แล้ว”

     

               



                คิมจงอินทรุดตัวลงกับพื้น สิ่งที่ได้ยินผลักเข้าลงไป ไหล่กว้างสั่นสะท้านแบบคนแพ้ -- เพราะวันนี้เขาแพ้แล้วจริง ๆ

     

     

                ถึงมันจะเป็นสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง

     

     

                แต่คำพูดทั้งหมดมันเต็มไปด้วยความหวังดี

     

     

                ใบหน้าดูดีเงยหน้าขึ้น เขาหายไปโดยที่จงอินไม่ประหลาดใจอีกต่อไป เหมือนกับสายลม --ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง หูสองข้างอื้ออึง

     

     


                คิมจงอินนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นท่ามกลางความหนาวเหน็บและเศษหิมะที่ร่วงโรย.

     

               

               



    D - 0 

     

     

               


                แล้วมันก็มาถึง

     



     

                คิมจงอิน นึกถึงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาหลังจากที่พาแฟนตัวเล็กไปเที่ยวทะเลในวันสุดท้ายของปีเหมือนที่เคยสัญญากันเอาไว้ เขาหลงรักรอยยิ้มของคยองซูเสมอ ทุกครั้ง ... มันเหมือนกับมีหมู่ดาวโอบล้อมรอบตัวเขาเวลาที่คยองซูส่งยิ้มให้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันในร้านกาแฟแถวมหาลัย

     

     


                ตอนที่เสียงกระดิ่งดังขึ้นแล้วเขาเห็นใบหน้าเล็กของบาริสต้าที่กำลังวุ่นวายอยู่กับเจ้าของกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วร้าน

     

     

     

                ส่วนสูงที่ต่างจากเขาไม่กี่เซนติเมตร ร่างเล็กมีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเช่นเดียวกับสีตา

     

     

                ผมเผลอยกยิ้มตอนที่เขาทะเลาะกับกาแฟ

     

     

                จำไม่ได้ว่าเขารู้สึกชอบกินกาแฟมากกว่าเดิมหลังจากที่เราสบตากันครั้งแรกรึเปล่า

     

     

                และเขาก็ได้ไปสืบรู้มาว่าคนๆนี้คือ โด คยองซู หัวกะทิของคณะบริหารปีหนึ่งที่มีชื่อเสียงไม่เบา หนุ่มๆหลายคนต่างก็หลงรักคนๆนี้ทั้งนั้น มีเสน่ห์ทุกครั้งที่ยิ้ม น่ารักแถมนิสัยดี จนกระทั่งตอนนี้คยองซูก็ยังน่ารักและดึงดูดสายตาของคนอื่นได้เหมือนเดิมแม้ว่าย่างเข้าวัยทำงานแล้วก็ตาม

     

     

                "ถ้านายอยากฉันจะแวะให้" ผมตอบกลับไป ไม่สามารถควบคุมความตึงเครียดผ่านน้ำเสียง รถค่อยๆเคลื่อนที่ออกจากทะเลไปไกลเรื่อยๆ โดยไม่รู้เลยว่าเสียงเพลงที่ดังมาตั้งแต่ออกเดินทางถูกปิด ความเงียบกลับมาทำงานอีกครั้ง

     

     

                ฝนตกเหมือนที่เขาคิด ตอนนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำครื้มน่ากลัว ความเย็นจากด้านนอกก่อให้เกิดไอน้ำเกาะตามกระจกรถ จงอินมือสั่นสะท้าน ออกแรงกำพวงมาลัยแน่นกว่าเดิม

     

     

                อีกแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองค่อยๆจมน้ำไปทีละนิด

     

     

              แต่ก็พยายามอดทนสู้ต่อไป แม้จะรู้สึกเจ็บแปล็บๆตรงก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายใต้แผ่นอก

     

     

                "ว้า ผมอยากกินไก่ทอด พี่ก็ชอบกินนี่นา"

     

     

                ผมจะจดจำทุกเรื่องราว ระหว่างเรา

     

     


                คิมจงอินพยายามมองตรงไปข้างหน้า แต่เขากลับรู้สึกว่ามันมืดสนิท เขามองไม่เห็นปลายทางเลยว่าหลังจากนี้เขาจะใช้ชีวิตอยู่ยังไงโดยทีไม่มีคยองซู หยดน้ำเม็ดเล็กค่อยๆกลั่นตัวตกลงมาจสกฟ้า มันแรงขึ้น แรงขึ้นจนแทบมองไม่เห็นด้านหน้า

     

     

                ความเย็นจากฝนที่เทลงมาด้านนอกทำให้ในรถอุณหภูมิต่ำลงกว่าเดิม หางตาเหลือบเห็นคนตัวเล็กยกมือขึ้นกอดตัวเอง

     

     

                วันนั้นจงอินทำพลาดไปหลายอย่าง

     

     

                ร่างสูงตัดสินใจในวินาทีต่อมา เอื้อมหยิบเอาผ้าห่มหลังรถแล้วยื่นให้ร่างบางที่กำลังกอดตัวเองอยู่ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรแล้วหันกลับไปสนใจกับถนนคดเคี้ยวข้างหน้าต่อ

     

     

                เหตุการณ์เล็กๆในวันนั้นเปลี่ยนไป แต่พวกเขายังคงเงียบ

     

     

                ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ร่างสูงเลยเริ่มเอ่ยขึ้น

     

     


                "ขี้หนาวจริงๆเลยนะ" จงอินบ่นเหมือนที่เคยทำ

     

     

                'หนาวแล้วทำไมไม่ยอมห่มผ้า' หรือ 'หัดใส่เสื้อที่มันหนากว่านี้สิ'

     

     


                ทั้งหมดนั่นมันกำลังกลายเป็นอดีต คนตัวสูงเม้มปากแน่น พยายามสูดหายใจแล้วปล่อยออกมาช้าๆเพื่อไล่พายุความเสียใจที่ตีขึ้นมา เขารู้ดีว่ามันใกล้เข้ามาเรื่อยๆตามจำนวนระยะทางที่เขากำลังกลับไป จงอินรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเรากำลังไปในทิศทางไหน

     

               

               

                สามสิบวันที่ผ่านมานี้เขาพยายามเต็มที่ เพื่อเก็บความทรงจำครั้งสุดท้ายระหว่างเราสองคนไว้ มีบ้างที่จงอินเผลอขึ้นเสียงใส่คนตัวเล็กไปเพราะความกดดันจากเรื่องทั้งหมดนี้ เขากลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายแต่ก็เพราะคยองซูนั่นแหละที่ดึงเข้าออกมาได้

     


     

                จงอินเข้านอนก่อนเพื่อที่จะพยายามข่มตาหลับ เขาอยากหนีจากฝันร้ายทั้งหมดนี่

     



                แต่เขาก็ทำไม่ได้ จงอินตื่นมากลางดึกจูบเบาๆกลางกระหม่อมเล็กเพื่อยืนยันกลับตัวเองว่าเขายังมีเวลา คยองซูยังอยู่กับเขา หากแต่ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าควรจะจัดการยังไงต่อไป ทุกครั้งที่จงอินตื่นนอนเขารู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งว่าเวลาของพวกเขาใกล้หมดลงทุกที

     

     

     

                ใกล้ .... จนเขาแทบอยากหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้

     

     

                ตอนนี้เราต่างเหมือนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ไม่มีวันหยุดเทลงมา

     




     

                "เราคบกันมากี่ปีแล้วนะพี่จงอิน" เสียงเล็กเอ่ยถาม

     

     

                "สามปี" ปลายเสียงแผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน

     

     


                แต่คนตัวสูงกลับรู้สึกว่าทุกอย่างมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน --ตอนที่เราคบกัน และใช่คิมจงอินรู้อยู่แก่ใจว่าหลังจากวันนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมีโอกาสยืนอยู่ข้างๆคนที่ยกให้ไปหมดทั้งใจ

     

     


                สามปีมันเนิ่นนาน และเขาภาวนาอยู่ทุกค่ำคืนให้มันเป็นนิรันดร์

     


                มันกำลังจะจบลง ค่อยๆเลือนหายและถูกกักเก็บเป็นความทรงจำ

     

     

                แค่คิดถึงตอนที่เรานอนจับมือกัน มันอุ่นเหมือนนั่งอยู่หน้าเตาผิงในฤดูหนาว เขารู้สึกเหมือนตอนนี้มันหนาวเหน็บ เบาหวิว และมันกำลังจะแตกสลาย

     

     

                ถ้าวันนี้มันกำลังจบลงเหมือนนิทานซักเรื่อง เขาอยากทำให้มันเป็นตอนจบที่สวยงามที่สุด

     

     

                จงอินรู้ว่าคยองซูจะเอ่ยถามอะไร เขาเลยพูดขึ้นมาก่อน พยายามเรียบเรียงมันออกมา ริมฝีปากของเขาแห้งผาก เสียงทุ้มขาดหายไปบางช่วงเพราะมันยากเหลือเกินที่จะพูดออกมา

     

     

                "ฉันจำได้ว่าตอนที่เราคบกันครั้งแรก มันเป็นวันที่อากาศดี"

     

     


                เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ภาพความสุขไหลทะลักกลับมาจนเหมือนเขากำลังจมลงไปที่ๆเคยมีเราอยู่ตรงนั้น

     


     

                "ใช่ พี่ใส่เสื้อเบสบอล ในมือมีตุ๊กตาหมี โบกมือให้ผมแล้ววิ่งเข้ามา" คยองซูเล่าพลางยิ้มออกมาอย่างมีความสุข กลับกันจงอินพยายามประคองสติขับรถให้ช้าที่สุด

     

     

     

                จงอินคลี่ยิ้มเบาบางแต่หากสังเกตใกล้ๆจะรู้ว่ามันฝืนขนาดไหน ตอกย้ำรสชาติความเจ็บปวดที่รวดร้าวไปถึงขั้วหัวใจ วันนี้เป็นเขาเองที่ต้องเจ็บ -- เสียงฝนตกกระทบกัลหลังคารถเรียกให้จงอินเรียกสติตะวเองกลับมา

     

     

                เขากำลังจมลงสู่ก้นทะเลลึกมากขึ้น

     


     

                มันเจ็บทุกครั้งที่หายใจ

     

     

                แต่ก็ยังส่งยิ้มให้แฟนตัวเล็ก มือหนาเอื้อมไปยีหัวด้วยความอ่อนโยน  พลางนึกปะติปะต่อความรักที่เขาไม่คิดว่าในชีวิตนี้เขาจะพบเจอได้อีกแล้ว มันมีความสุขเหมือนฝัน

     


     

                และตอนนี้มันถึงเวลาที่คิมจงอินต้องตื่นจากฝันแล้ว

     

     

                "ฉันจะจดจำทุกวินาทีที่ใช้เวลากับนาย การที่ฉันได้เจอนายมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันแล้ว -- ฉันสัญญา.." สิ้นเสียงทุ้ม ทำนบน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ตั้งแต่แรกค่อยๆพังลงมา หยาดน้ำอุ่นคลอเคล้าอยู่ในนัยน์ตาคู่คม

     



                "อย่าพูดแบบนั้น"

     

     

                คยองซูมองคนรักที่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาไม่แตกต่างกับฝนที่ตกลงมาอยู่ตอนนี้ ริมฝีปากรูปหัวใจส่งยิ้ม มือนุ่มเอื้อมไปจับฝ่ามือหนาที่จับอยู่ตรงเกียร์

     

     

                จงอินรู้สึกว่าแอร์ในรถหนาวเย็นแต่ไม่เท่ากับคงามรู้สึกหนาวเหน็บที่ค่อยๆกัดกินบางอย่างที่คล้ายกับว่าจะเต้นช้าลง

     

     

                ทำไมพระเจ้าถึงใจร้ายกันอย่างนี้

     

     

                ฝนตกหนักขึ้นจนแทบไม่เห็นทาง ร่างสูงสูดน้ำมูกพยายามพูดต่อ ค่อยๆละล่ำละลักออกมาเหมือนแบกรับทุกอย่างไหว แม้ความจริงจะตรงข้ามก็ตาม ... มันเจ็บไปหมดที่โชคชะตาของเรามันถูกกำหนดมาแบบนี้

     

     

                กลายเป็นโศกนาฏกรรมความรัก ที่ต่อให้ใช้เวลาอีกทั้งชีวิต

     


                เขาก็ไม่มีวันลืม

     

     


                "พี่ขอโทษนะ..." สรรพนามเปลี่ยนไปยิ่งทำให้ใจดวงน้อยรู้สึกวูบโหวง จงอินฝืนพูดต่อไป บอกเล่าเรื่องราวที่เขาเคยทำผิดต่อคนรัก เขาทำมันได้แค่นี้ สามสิบวันเท่านั้นที่ผ่านมา จงอินใช้เวลาที่ได้รับมาคุ้มค่า

     

     

                จนเขารู้แล้วว่าในเมื่อที่เรายังมีเวลา จงรักษา จงถนอม

     

     

     

                เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้า เราไม่เคยได้ยิน แต่มันทำงานตลอดเวลา อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับอดีตแล้วเดินไปข้างหน้า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

     

     

                กล่องความทรงจำถูกรื้อออกมา ตั้งแต่ตอนที่ไปกินข้าวด้วยกันครั้งแรก

     

     

                ตั๋วหนังใบแรกที่ดูด้วยกันเขาเก็บมันไว้อย่างดีในลิ้นชัก หรือแม้แต่จูบครั้งแรก มันยังหวานซึ้งราวกับยังติดอยู่ตรงริมฝีปากของเขา

     

     

                แต่ต่อไปนี้มันจะไม่มีอีกแล้ว

     

     

                ที่ผ่านมาเขาอาจจะทำตัวไม่ดี เขารู้สึกผิดที่สามปีที่ผ่านมามีบางครั้งที่เขาทำคยองซูร้องไห้

     



                "ขอโทษที่ทุ่มเทให้นายไม่พอ"

     

     

                "ไม่เป็นไรนี่นา พี่จงอินจะยังมีผมอยู่ข้างๆเสมอ" แฟนตัวเล็กลูบหลังมือหนาเพื่อปลอบโยน

     

     

                คิมจงอินกลืนทุกคำพูดลงไป สายตาจับจ้องไปข้างหน้า แต่ละวินาทีผ่านไปอย่างทรมานาสำหรับใจเขา การรอคอบคำตอบทั้งๆที่ตัวเองรู้อยู่แล้วมันเหมือนกับโลกทั้งใบค่อยๆหยุดนิ่ง

     

     

     

                แต่เขายังอยาก "ใช่ เราจะมีกันตลอดไปเลยนะ"

     

     

                จงอินอยากมีหัวใจไว้เพื่อรักใครซักคน และเขาเลือกแล้วว่าคนๆนั้นต้องเป็นคยองซู

     

     

                เขายังอยากศรัทธาในรักต่อไป

     

     

                แต่ดูเหมือนความรักที่ยาวนานครั้งนี้มันถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

     

     

                "ฉันอยากให้วันนี้ผ่านไป ... เป็นเพียงแค่วันที่สามสิบเอ็ดธรรมดา"

     

     


                อย่าไปเลย ได้โปรด

     

     

                หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลกระทบกับเบาะ แล้วหลังจากนี้เขาจะทำยังไง -- ต้องทำยังไงถึงจะสามารถมีชีวิตอยู่โดยไม่มีคยองซู มันไม่มีเลยสักทางเดียว

     

     


                ตอนนี้มันเหมือนกับเขากำลังดึงรั้งอะไรสักอย่างที่เขามองไม่เห็น มันมืดสนิท

     

     

                จงอินกระพริบตาสองสามที ปล่อยให้อะไรที่หมายจะพัง ให้มันพัง ปล่อยให้มันแตกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่ไม่มีวันกลับมาเป็นดังเดิม

     

     


                เขาอยากให้มันเป็นเพียงวันธรรมดาหนึ่งวัน หลังจากที่เข็มนาฬิกาชี้ตรงไปที่เลขสิบสองตอนที่ท้องฟ้ามืดสนิท เขาจะตื่นมาเห็นคยองซูหลับสนิทอยู่ข้างๆ เราเติบโตด้วยกันอีกหนึ่งปี

     

     


              ปีหน้าจะไม่มีกันแล้วนะคยองซูอา

     

     


                "ทำไมวันนี้พี่ถึงร้องไห้หนักขนาดนี้เนี่ย" คยองซูใช้นิ้วเกลี่ยคราบน้ำตาให้คนรักออก เจ้าของที่นั่งเบาะคนขับปล่อยให้ทุกๆความรู้สึกปะทุขึ้นเหมือนภูเขาไฟ แล้วปล่อยมันออกมา

     

     

                "ถ้าพี่ไม่หยุดร้อง ผมจะร้องไห้แล้วจริงๆด้วย"

     

     

                สิ้นเสียงร่างเล็กที่เก็บความรู้สึกมานานก็ร้องไห้ออกมา เขาไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น -- จงอินกระชับมือเล็กแน่นราวกับกลัวว่ามันจะหลุดออกมาในวินาทีครั้งหน้า เขาพยายามแล้ว

     

     

                และมันจะไม่จบแบบเดิมๆอีกต่อไป

     

     

                เขาจะอยู่บอกลา บอกรักคยองซูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไปแล้ว

     

     

                "ฉันแค่อยากบอกในเมื่อมันเป็นวันสุดท้ายของปี"




                "ฮ...ฮึก ปีหน้าต้องห้ามสูบบุหรี่บ่อยๆนะครับ ละ...แล้วก็อย่านอนดึกด้วย ห่มผ้าหนาๆ"

     


     

                เขาจะสลักลึกมันลงบนแผ่นอก ให้มันฝังรากลึกลงไปในหัวใจ เจ้าของใบหน้าคมพยักหน้ารับ ฟังสิ่งที่คนที่เป็นเหมือนครึ่งชีวิตกำลังจะบอก

     

     

                "ไปออกกำลังด้วย ตอนที่หนวดขึ้นก็อย่าลืมโกน ปีหน้าพี่ต้องห้ามเจ็บป่วยด้วยนะครับ"

     

     

                คยองซูยิ้ม เป็นเพียงคำอวยพรที่เขาอยากมอบให้คนที่เขารัก

     

     

                แต่จงอินรู้อยู่ทั้งใจว่ามันเป็นคำร่ำลา

     

     

                "อ่า ทิชชู่หายไปไหนเนี่ย" คนตัวเล็กเอี้ยวตัวไปด้านหลังเพื่อหาทิชชู่มาซับน้ำตา

     

     

                "นั่งดีๆสิ" จงอินรีบปริปากพูด ใบหน้าคมฉายแววตาร้อนรนเมื่อรู้ว่ามันใกล้เข้ามาแล้ว เขาไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นตอนไหน เขาพยายามไล่ก้อนความเสียใจออกไป แล้วก็เรียกกำลังใจของตัวเองมาอีกครั้ง

     



                พลันเสียงเข็มนาฬิกาก็ดังขึ้นในหัว มันดังกว่าเสียงหยาดฝนที่สาดลงมาด้านนอก

     

     

                มันจบแล้ว

     

     

     

                "คยองซูครับ...ถ้าเราได้เจอกันอีกในเวลาข้างหน้า ฮะ..ฮึก --ได้โปรดสบตาพี่แล้วรักคนที่มีแต่คยองซูทั้งหัวใจมาตลอดด้วยนะครับ" คนตัวสูงเม้มปากกลั้นแต่เสียงแห่งความเสียใจก็หลุดออกมา จงอินร้องไห้จนตัวโยน เขาจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน วินาทีนั้นมันสะท้อนภาพของเขา

     

     

                ม่านน้ำตาบดบังโครงหน้าเล็กจนพร่าเบลอ ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปยังที่ๆมีอยู่ของหัวใจ

     

     

                "ครับ ผมสัญญา" อีกครั้งที่เหมือนถูกควักหัวใจออกมาแล้วถูกขยี้จนแหลกไม่เหลือชิ้นดี

     

     

                "ที่ผ่านมาขอบคุณมากเลยนะ ขอบคุณจริงๆ"

     

     

     

                มันเจ็บเหมือนจะตาย

     


     

                จงอินสะอื้นแรงกว่าเก่า ไม่รู้ว่าการรักใครสักคนมันจะเจ็บได้ถึงขนาดนี้

     


               

                แววตาที่ถูกส่งออกมาแสนอ่อนโยนจนพาลให้ใครบางคนต้องเบนสายตาออกไปข้างหน้าเพื่อหวังว่ามันจะเจ็บน้อยลง

     

     

     

                วันนี้ที่โลกผลักไสเราออกจากกัน

     

     


                จงอินไม่ยินดีเลยซักนิดแต่หากความตายกำลังพรากเราสองคนออก

     

     


                เขาอยากบอกคำๆนี้เป็นครั้งสุดท้าย

     


     

              "จนกว่าเราจะพบกันอีก ได้โปรดรอพี่"

     

     

                "พี่จงอิน--"

     


                ทั้งหมดนี่บาดลึกลงไปในหัวใจของคนทั้งสองคนที่ถูกโชคชะตาทำร้ายจนสาหัส

     

     

     

                "น้องจงอย่าไปรักใคร ได้โปรดรอจนกว่าจะถึงวันที่พี่พูดคำๆนี้กับน้องอีกครั้ง" สายน้ำแห่งความเศร้าโศกไหลร่วงเหมือนกับจะไม่สามารถร้องไห้ให้ใครได้อีก จงอินไม่รู้เขาไปเอาคำพูดพวกนี้มาจากไหน

     


                มันเหมือนกับเขารอคอยที่จะพูดคำๆนี้มาเนิ่นนานแล้ว

     

     

     

                ติ้ก

     

     

     

                "ฉันรักนาย"

     

     

     

                ครั้งนี้เราสบตากันยาวนานกว่าเดิม เพื่อบอกทุกอย่างก่อนที่มันจะสายไป ร่างเล็กพยักหน้าเขยิบเข้าไปใกล้คนตัวสูงอีกนิด นัยน์ตาสีดำสนิทที่เขาหลงรัก ตอนนี้มันดูเจ็บปวดคล้ายแก้วที่กำลังงจะแตก

     

     

     

                มือเล็กรั้งต้นคอหนาลงมา ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขารู้ว่าเราควรทำ

     

     

                คยองซูจรดลงไปบนริมฝีปากหนายาวนานราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด หยาดน้ำที่ไหลลงมาจงอินกล้ำกลืนรสชาติขมปร่าขิงน้ำตาลงไปพร้อมๆกับรับรสจูบแสนหวาน

     

     

              มันจะเป็นครั้งสุดท้าย

     

     

     

                "ผมรักพี่...รักคิมจงอินคนนี้หรือไม่ว่าคนไหน เพราะถ้าเป็นพี่"

     

     

                "..." ค่อยๆผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง จงอินพยายามใช้มือเดียวควบคุมรถที่อยู่ท่ามกลางพายุฝน

     


     

                ดั่งเช่นคำสัตย์สาบาน

     

     

     

                ติ้ก

     

     

     

                "ผมจะรอเพื่อที่เราจะได้รักกันตลอดไป" ช่างไม่รู้อะไรเลย ก้อนเนื้อในอกซ้ายของจงอินชาหนึบ มองหน้าคนรักในเสี้ยววินาทีสุดท้าย เหมือนเดิม -- แต่เขาทำมันแล้ว จงอินเปลี่ยนมันให้กลายเป็นรักที่สวยงามอย่างที่ควรเป็น

     



              แต่เวลามันมีค่าเมื่อคุณสูญเสียบางอย่างไป

     

     

     

                ติ้ก

     

     

     

                ครั้งสุดท้ายที่เสียงนาฬิกาเงียบลง แสงไฟสีขาวสาดมาที่หน้ารถ  เหมือนทุกอย่างถูกทำให้ช้าลง มันเงียบและได้ยินเพียงเสียงร้องไห้ของตัวเอง ภาพตรงหน้าค่อยๆหมุน ร่างของเราลอยละล่องในอากาศ ชิ้นเศษกระจกค่อยๆบาดลึกเข้าไปทุกส่วนช้าๆ

     

     

     

                จากนั้นเขาได้ก็ได้กลิ่นคาวเลือด จงอินก้มมองฝ่ามือของเราที่แนบแน่นสนิท เงยหน้าขึ้นไปเห็นคนรักที่อยู่ข้างๆส่งยิ้มมาให้ทั้งน้ำตา

     

     

              ฉันรักนาย

     

     

              ผมรักพี่

     

     

     

                ภาพจำครั้งนี้เจ็บปวดแต่งดงาม คนที่เขาหลงรักมาตลอด ขอบคุณที่เอ่ยคำว่ารักแทนคำบอกลา โดคยองซูค่อยๆหลับตาลง ภสพตรงหน้ากรีดหัวใจของเขาออกเป็นสองส่วน

     

     


              ต่อหน้าต่อของเขา น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบสองข้างแก้มเขารู้ว่าคยองซูจะทำตามสัญญา ดังนั้นจงอินเลยหลับบตาลง

     


     

                ขอบคุณต่อพระเจ้า -- ขอบคุณที่ให้โอกาสเขาได้บอกรักคยองซูอีกครั้ง ทำให้เขารู้จักรักมากกว่าเดิม ได้ยินเสียงตัวเองตะโกนร้องไห้เรียกชื่อคนที่จากไปแล้วซ้ำๆ ทรมานจนไม่อยากหายใจ

     




     

                       แด่พระเจ้า ผมเสียใจและไม่อาจเสียใจไปมากกว่านี้ได้อีก หากภพหน้าพระองค์จะโปรดเมตตา ให้เราได้อยู่รักกันจนตราบสิ้นความตายพรากเราออก ผมจะใช้หัวใจเพื่อตกหลุมรักเขาคนเดิม ให้รักได้ผูกเราเอาไว้ ... ได้โปรดให้ผมบอกรักเขาอีกครั้งเหมือนเช่นวันนี้ อาเมน

     

     

     




    We'll be together once again








              รถยนต์คันเล็กคว่ำตลบหลังจากที่หักหลบรถบรรทุกสีขาวคันใหญ่ ไอควันลอยขึ้นเหนือหน้ารถมากขึ้นเรื่อย ๆ แสงไฟยังคงสาดลงกับพื้นถนน เศษแก้วของกระจกที่แตกละเอียดกระเด็นออกมาบนถนนเส้นนี้ที่เงียบเสียง

               



                รองเท้าหนังเคลื่อนที่ไปใกล้ มนุษย์หลีกหนีชะตากรรมแห่งความตายไม่ได้ กายสูงโปร่งมีผ้าคลุมสีดำผูกไว้และชายของมันลากยาวผ่านคราบน้ำมันและรอยแก้วแหลม ใบหน้านิ่งเย็นชาก้าวเพียงก้าวเดียวก็ไปโผล่ตรงฝั่งคนขับรถทีตอนนี้นอนหงายห้อยหัวลงมา กลิ่นคาวเลือดที่เขาเคยเจอมาหลายต่อหลายครั้งทำให้บุรุษยามวิกาลไม่รังเกียจมันแต่อย่างใด

     



                กลับกัน

     



                กระจกหน้ารถที่นอนแอ่งแม้งอยู่ที่พื้นฉายรูปหน้าสลัก ไร้ที่ติ มีสันจมูกโด่ง นัยน์ตาคมหากแต่ทอความเศร้าหมองคล้ายมีเมฆดำลอยตลอดเวลา กายโปร่งยืนมองมนุษย์สองคนที่วันนี้คนใดคนหนึ่งจะต้องตาย มือของพวกเขายังคงสอดประสาน

     

     

     

                “ตัวนายเองตอนนี้คงเจ็บปวดเหมือนอยากจะตายไปพร้อม ๆ กับคยองซูเลยสินะ”

               


                “ฉันรู้...

     



                ทั้งประโยคสั่นพร่า ที่เขารู้เพราะมันเป็นตัวเขาเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว

     

     


                จงอินในอีกสิบเอ็ดปีต่อมาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ห้าปีใ้ห้หลังจากที่คยองซูจากไป เขาพยายามรักษาสัญญาแต่ร่างกายมันไม่ฟังเสียงขอร้อง ... โลกหลังความตายไม่ได้สวยงามเหมือนที่ใครหลายคนพูดไว้ เขารับรู้การกระทำของตัวเองและร้องขอโอกาสครั้งสุดท้าย

     

     


                เพื่อที่จะกลับมาแก้ไขอดีต เพื่อที่จะได้บอกรักคนที่รักสุดหัวใจซักครั้ง

     


                และวันนี้เขาก็ทำสำเร็จ

     



                สายลมพัดวูบแรงขึ้นจนต้นไม้บริเวณนั้นสั่นไหว หมอกสีดำคืบคลานเข้ามาจนใกล้กับกายสูงที่หายไปละทีส่วน ตั้งแต่ข้อเท้า ขึ้นมาเรื่อยๆ น้ำตาเม็ดสุดท้ายร่วงหล่น จงอินยังคิดถึงใบหน้าของคยองซูทุกครั้งไม่เคยลืม

     

     

     

     


                ไม่มีวันลืม ตราบจนนิรันดร์

     

     

     

     






    99.99%





     ทอล์คยาวหน่อยนะ TT มาอัพตอนจบแล้วนะคะ


    ไม่รู้ว่าหลายคนจะงงมั้ย แต่เราพยายามไล่เรียงไทม์ไลน์เหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว


    บอกตรง ๆ ว่าเป็นพล็อตที่หินที่สุด ห้าดาวที่เคยเขียนมา


    ไม่ใช่ทุกตอนจบของรักที่สวยงามเสมอ เราคิดแบบนั้นค่ะ มันอาจจะไม่ใช่ตอนจบที่ทุกคน


    ชอบ แต่เราพยายามร้อยเรียงให้ดีที่สุด หลายครั้งที่เราใส่อะไรบางอย่างลงไปในทุกตอนของฟิคทุกเรื่องที่เราเขียน


    และเราหวังว่าคุณจะค้นหามันจนพบ :-)


    /แล้วก็ จริง ๆ อยากต่งอะไรที่มันดราม่านานแล้วค่ะ 5 ไม่รู้จะเศร้าสุดแบบที่คิดไว้มั้ย


    ยังไงอ่านแแล้วอย่าลืมบอกรักคนที่ตัวเองรักด้วยนะคะ


    สกรีมกันได้ใน #againKs คอมเมนท์ให้หน่องด้วยน้า รออ่านอยู่อยากรู้ความรู้สึกหลังอ่านตอนนี้จบมาก ๆ !


    THX 

               

     

     

     

     

     

     

               

     

     

               

     

     

     

     

               

     

               

                

         







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×