คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : (OS) strawberries and cigarettes 99.999% END
Strawberries and Cigarettes
//
1
เสียงออดดังเปรียบเสมือนระฆังบอกเวลา
โถงทางเดินของโรงเรียนเริ่มพลุ่งพล่านไปด้วยผู้คน เสียงส้นรองเท้าดังแข่งกับเสียงพูดคุยจอแจ
ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงห้านาที ทันทีหลังจากจบชั่วโมงชีววิทยา
น่าเบื่อเหมือนกับมิสเตอร์ฟอกซ์ ผมสีจินเจอร์ -- เป็นจินเจอร์ที่ไม่น่าสนใจเอาซะเลย
มันเป็นช่วงเปลี่ยนวิชาเรียนและผมมีเวลาเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น
ถ้าไม่อยากถูกขังไว้หน้าประตูห้องเรียนสีแดงเหมือนลูกเชอร์รี่
มิสกิลเบิร์ตไม่เคยใจดีกับเด็กนักเรียนคนไหน ดังนั้นผมควรจะเร่งฝีเท้ามากกว่าเดิม
ระยะทางไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม มันไม่เคยเป็น จนกระทั่ง มันเป็นบ่ายเอื่อยๆของวันอังคารที่ผ่านมา
ผมนับจำนวนล็อกเกอร์ที่เดินผ่าน
มันมากกว่าสามสิบตู้ -- เหมือนเดิม ราวกับผมทำนายอนาคตได้
ข้างหน้าของผมเป็นฝาแฝดพาร์คเกอร์ที่มีกีต้าร์และเบสสะพายอยู่ด้านหลัง
“เฮ้ ลิล
รีบหน่อยสิ”
“เร็วเข้าลิลเดอเรลล่า
จะเที่ยงคืนแล้ว : - )”
คำทักทายแบบเดิมๆ
เหมือนสองฝาแฝดหัวข้าวโพดกำลังซ้อมท่องบทละครเวที ผมอมยิ้มก่อนจะเดินจนกระเป๋าสะพายกีต้าร์ของชาร์ลหรืออาจจะเป็นชาลีแฝดคนน้อง
ผมไม่เคยแยกพวกเขาออกหรอก บางวันชาร์ลก็แสดงละครเป็นชาลี พวกเขาอาจมีสิ่งๆเดียวที่แยกตัวตนของพวกเขาออกคือกีต้าร์และเบส
เบส
แทนความบ้าคลั่งและรักทุกสรรพสีของโลกนี้ บางทีอาจเป็นชาลี
หรือกีต้าร์ ความไม่แน่นอน
สัมผัสจากเสียงบ้างก็เย็นเหมือนมิ้นต์จางๆ
บ้างก็อบอุ่นเหมือนนอนหลับตาอยู่กลางชายหาด แต่แน่ล่ะ -- สองคนนั้นไม่เคยแน่นอน
ถ้าคุณมีวิธีอื่นที่สามารถแยกแฝดพาร์คเกอร์ออกได้ล่ะก็ ... นั่นแปลว่าคุณคงตกหลุมรักพวกเขาไปแล้วล่ะ
ย้อนกลับมาที่เส้นทางไปเรียนชั่วโมงศิลปะอันหฤหรรษ์ของผม
ผมเพิ่งผ่านโค้งหน้าห้องดนตรี ก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้น จนพาตัวเองมาถึงชั้นสอง
มือข้างหนึ่งยังคงโอบอุ้มกล่องใส่อุปกรณ์วาดรูปส่วนตัวและสมุดร่างภาพ
และเป็นอย่างที่ผมเคยชินอีกครั้ง เจนนิก้าโยนกระป๋องสเปรย์ข้ามหัวของผม
และลงพอดิบพอดีบนมือของแซค
แม่นเหมือนจับวาง
เธอยกมือโบกเป็นเชิงขอโทษ ผมเลยส่งยิ้มกลับไป
ตัวผมเองไม่ใช่คนที่จดจำนัก
ทุกครั้งที่ส่องกระจกผมเห็นตัวเองในกระจกที่ดูแตกต่าง เส้นผมสีช็อกโกแลต
มันแตกต่างจากพวกหนุ่มสาวผมบลอนด์ที่นี่ และความจริงคือผมไม่ใช่คนที่นี่ แอลเอ
แคลิฟอร์เนียไม่ใช่บ้าน แต่แล้วผมก็เลือกที่จะแตกต่าง
เพราะผมเรียนศิลปะ
มันคงเป็นเหตุผลที่ว่าผมสามารถแยกสีได้ถึงมันดูคล้ายคลึง
แม้เหมือนจะเป็นอนึ่งอันเดียวกัน
... มีบางสิ่งที่ประหลาดและแตกต่างไปจากทุกคนในเบย์เมาธ์
“ถ้าไม่ฟังก็ช่วยออกไปจากห้องด้วยค่ะคุณคอลลินส์”
ผู้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ
เส้นผมสีบลอนด์เหลือบเทาเคลื่อนไหว มันไม่ยุ่งเหยิงเหมือนความรู้สึกในอกของผมตอนนี้
และกว่าจะรู้ตัวผมก็หยุดยืนมองเขาจนขาเรียวยาวใต้กางเกงผ้าสีดำเนื้อดีขยับก้าวเป็นจังหวะเชื่องช้า
เหมือนกับวันอังคารวันนั้น เขาถูกไล่ออกมาจากห้องเหมือนเดิม ดูเหมือนจะเป็นวิชาแคลคูลัสสอง
น่าเบื่อ
เผลอๆมันคงมากกว่าชีววิทยาล่ะมั้ง
เหมือนมีหมอกจางคลุมรอบอาณาพื้นที่ที่ผมยืนอยู่
มันเฟดหายไปทันทีที่เขาเปิดประตูออกมา ผมจึงแสร้งทำเหมือนก้มมองนาฬิกาบนข้อมือเหมือนเดิมและเขาไม่เคยสงสัย
นับหนึ่งถึงสามในใจผมเลยตัดสินใจเดินตรงไปที่ห้องศิลปะที่อยู่สุดทางเดิน
แต่แล้ววินาทีใดวินาทีหนึ่ง
หลังจากที่แวนส์คู่เก่าของผมขยับเพียงสิบห้าเซนติเมตร
มันอาจมากกว่านี้แต่ผมเดาว่าสิบห้าเซนติเมตร ความวุ่นวายรอบตัวเงียบหายไป
“นี่อมยิ้ม”
ก้มมองดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง
สิบเอ็ดโมงสิบนาที
มันหมายถึงผมกำลังจะสายและดีแลนรวมถึงเอเลนน่าจะขโมยพู่กันฟรีอันใหม่
ใครคนเดิมส่งเสียงเรียกผมอีกครั้ง
“ เฮ้ นายนั่นแหละ”
เขาสวมยูนิฟอร์มผูกเนคไทสีเดียวกับผม
เราอยู่ชั้นเดียวกัน รองเท้าหนังสีดำเงาวับเคาะกับพื้นเป็นจังหวะ มันส่งเสียง กึก
และ กึก เหมือนระเบิดเวลาให้ผมหันไปหาเขาซักที
“ไง” เราเริ่มด้วยบทสนทนาเรียบง่าย
ผมมองใบหน้ารูปสลักของเขา
เส้นผมบลอนด์เย่อหยิ่งและท่าทางอันตรายนั่นไม่ได้ทำให้ผมอยากจะละสายตาออกไปซักนิด เราสบตากันอยู่อย่างนั้น
ดวงตาของเขาเป็นสีดำสนิท
มันลงตัวกับสีหม่นของปลายผมที่ระต้นคอ
เขาเป็นสีเทา
ผมจำแนกคนๆนี้เป็นสีเทา
“มีอมยิ้มอีกมั้ย”
“ไม่ -- ไม่ล่ะ ฉันมีอันเดียว”
คนนี้ๆสบถเป็นคำหยาบสองสามคำ
ผมใช้ลิ้นขยับลูกอมในปาก รสหวานของมันกลืนกินไปทั่วโพรงปาก ผมเป็นพวกเสพติดลูกอม
ของหวาน อะไรเทือกนั้น ถ้าแฝดพาร์คเกอร์มีเบสกับกีต้าร์คู่ใจอยู่ด้วยตลอดเวลา
ผมกับเจ้าก้านสีเชอร์รี่ก็คงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เหมือนกัน
ผมสงสัยว่าทำไมเขาถึงยังมองผมอยู่อย่างนั้น
เหมือนกำลังชั่งน้ำหนักอะไรบางอย่างอยู่ในความคิด ผมติดก้มมองนาฬิกาทุกครั้งที่รู้สึกประหม่า
และตอนนี้มันเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงสิบเอ็ดนาที
“ใครสนกัน”
เขาลอบเลียริมฝีปากอย่างร้ายกาจจนมันกลายเป็นรอยยิ้มขี้เล่น
ผมรู้ว่าเขามันไม่สนอะไรเลยนอกจากตัวเอง
ผมรู้ชื่อเขาและคำเล่าลือเกี่ยวกับคนที่น่าประหลาดใจคนนี้
เขาไม่น่าเข้าใกล้ เรียกง่ายๆว่าวัตถุอันตราย นอกจากสาวๆเกือบทั้งโรงเรียนที่อยากใกล้ชิดเขาใจจะขาด
เราไม่ควรใกล้กันมากกว่านี้แต่เขากลับเดินตรงเข้ามา ก้าวย่างที่ตรงกับจังหวะเข็มนาฬิกา
กลิ่นคาราเมลอ่อนๆจากบุหรี่ของเขาติดอยู่ที่ปลายจมูกของผม
เราใกล้กันขนาดนั้น
ผมปล่อยให้เขาดึงก้านสีแดงออกจากปากอย่างแสนเชื่อง
มันอ้อยอิ่งและแผ่วเบา
“ strawberry? Please eat less sugar..”
“ why?”
ไม่เคยรู้ว่าสำเนียงอเมริกันกับผิวสีบรอนซ์กำลังทำให้ใจผมสั่นเหมือนขึ้นรถไฟเหาะครั้งแรก
“ you’re sweet enough already ”
“ I know you :-)”
พร้อมๆกับดันก้านลูกอมเข้าไปในปาก เขาที่ร้ายกาจใช้ปลายริ้นเลียลูกสีชมพูแดงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะใส่เข้าไปในปาก ที่เดียวกับที่ๆมันเคยอยู่ เหมือนกันในโพรงปากของผม เจ้าของสีเทาแสนอันตรายหันหลังเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงคาราเมล และรสหวานของสตรอว์เบอร์รี่จางๆบนลิ้น เขาหายไปราวกับเป็นเกลียวของบุหรี่ มันระเหยไปในอากาศ
ครั้งแรกที่เราคุยกันจบลงแบบนั้น
เข็มนาฬิกาวนไปอีกครา
11.12 AM
อื้อ และผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นจนสายไปเกือบสิบนาทีเชียวล่ะ
ผมมัวแต่คิดว่ามันเป็นการทักทายของสุดฮอตประจำโรงเรียน ดังนั้น,
ยินดีที่ได้รู้จักอย่างไม่เป็นทางการ
เคลย์ คอลลินส์ .
Remember when we first met?
33%
2.
เสียงกีต้าร์รวมถึงเสียงหัวเราะของใครบางกลุ่มกำลังทำปวดหัวแต่เช้า
กลิ่นหอมอ่อนๆของยีสต์และแป้งเรียกให้ผมลืมตาขึ้นมา
ท้องฟ้าโปร่งที่ประดับด้วยเมฆอ้วนปุยเป็นภาพแรกที่ผมเห็น
มื้อเช้าของนักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่คงไม่พ้นแซนด์วิชโง่ๆ
หรือไม่ก็ขนมปังธัญพืชกับแยม คุณมัวร์
หัวหน้าแม่ครัวยัดเยียดให้พวกเรากินแต่อาหารสุขภาพ
ประเภทผัก และมันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกขยาดทุกครั้งที่ตื่นนอน
มันทำให้ผมรู้สึกนอนไม่พอมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ (ถ้าเอียนจอมโหดไม่ปลุกตั้งแต่หกโมงน่ะนะ)
ผมไม่ได้เกลียดเบย์เมาธ์
กลับกันมันเป็นเหมือนบ้าน และผมคิดว่าเราเข้ากันได้ดีเว้นแต่เรื่องเมนูผัก สายลมเอื่อยของเดือนกันยายนพัดเอากลิ่นของฤดูใบไม้ร่วงเข้ามา
เศษใบไม้จากต้นเรดบัดร่วงโรยกระทบลงบนพื้นหญ้า
หลังพุ่มไม้สีเขียวที่เป็นเหมือนแนวกั้นระหว่างผมกับโลกที่เสียงดังนั่น
ผมวางมือไว้บนใบไม้สีม่วง
ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยบนพื้นแห้ง น่าแปลกที่มันเป็นสีม่วงแทนที่จะเป็นสีแดง -- ยิ่งกว่าจริงเหมือนกับความจริงที่ว่าเราตัดสินใครจากคำพูดของคนอื่นไม่ได้
นอกจากว่าจะมาเห็นกับสองตาของตัวเอง
อันที่จริงผมมันโคตรห่วยแตกเรื่องการเปรียบเทียบเลยว่ะ
แต่แล้วในจังหวะที่ผมกำลังหลับตาลงอีกครั้ง
เสียงเล็กของใครบางคนที่อยู่หลังพุ่มกั้นก็เรียกผมให้ออกมาจากภวังค์ความคิด
มันเล็กแข่งกับเสียงของสิ่งที่เล็กกว่า
“เมี๊ยว เฮ้ แองเจิ้ลกลับมา”
แองเจิ้ล?
วงดนตรีเล็กๆด้านหลังผมเริ่มเบาเสียง และกลายเป็นเสียงของใครคนหนึ่งแทน ดูเหมือนว่าแองเจิ้ลของคนๆนั้นกำลังหยอกล้ออยู่กับหัวของผม
และ ตุ้บ ก่อนจะส่งเสียงเล็กอยู่ด้านหน้าผม
“เมี้ยว”
ให้ตายเถอะ
สก็อตติชโฟลด์สีขาวนั่งมองหน้าผมเหมือนกำลังสื่อสารอะไรบางอย่าง
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายความสงสัยว่าไอ้มนุษย์ตรงหน้ามันมานอนอะไรตรงนี้
ใต้ต้นเรดบัดต้นใหญ่
ผมไม่ใช่พวกรักสัตว์
มันน่ารักและผมรู้ข้อนั้นดีแต่มันไม่ธุระกงการอะไรของผมไม่ใช่รึไงที่ต้องยุ่งกับแมวของคนอื่น
สิ่งมีชีวิตตัวเล็กค่อยๆมุ่งตรงมาอย่างเชื่องช้าเมื่อรู้ว่าผมไม่ไปวุ่นวายอะไรกับมัน
เสียงร้องเรียกชื่อยังคงดังอยู่เรื่อยๆ และค่อยๆไกล อ อ ก ไ ป
“เมี้ยว~~~”
ขนสีขาวนุ่มนิ่มเหมือนสายไหมเริ่มเข้ามาคลอเคลีย ผมทิ้งตัวลงนอนที่เดิมอีกครั้ง
ปล่อยให้มันกระโดดขึ้นมาเล่นบนตัวตามชอบ
มันค่อยๆใช้หน้าซุกกับหน้าท้องของผมและส่งเสียงเหมือนชอบใจนักหนา
มุมปากยกขึ้นเพราะรู้สึกจั๊กจี้เล็กๆ
“ชอบนักรึไง หื้ม”
ผมเริ่มหยอกล้อกับมันด้วยการไล้ขนของมันช้าๆ
มันหยีตาลงเหมือนมีความสุข เสียงฝีเท้าของใครบางคนใกล้เข้ามาและหยุด
เกือบสิบวินาทีที่ใครบางคนมาเยือนที่ซ่อนตัวของผม ตลอดหลายปี
แสงอาทิตย์อุ่นตอนเช้าสาดกระทบ
พลันใบหน้าของเขาก็เคลื่อนที่เข้ามา
เหมือนเป็นพลูโต แม้เพียงเซนติเมตรกลับมีความหมายมหาศาล
เส้นผมสีน้ำตาลไหม้ที่แตกต่าง
มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแต่ยามที่สะท้อนกับแสงแดดมันกลายเป็นสีเฮเซลนัทสวย แพขนตายาว
ใต้ดวงมีกระเล็กๆสองสามที่และที่ขาดไม่ได้คือก้านสีแดงสด
เหมือนหมู่ดวงดาวที่แตกกระจาย
สีน้ำตาลค่อยๆมาแทนที่สีฟ้าสว่าง
มันอาจจะดูประหลาดที่ผมนอนมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น มันเหมือนกับว่ามีใครกระซิบพร่ำบอกผมเรื่องชื่อของเขา
ไม่นานมานี้ แซคและคูเปอร์น่าเบื่อบอกผมว่าคนๆนี้เป็นใคร
“อยู่นี้นี่เอง”
เราเคยเจอกันแล้ว
เด็กชายสีน้ำตาล ผมว่าเขาเป็นเหมือนสีน้ำตาล
สีน้ำตาลแบบที่ในทุกๆจานสีไม่มี
ไม่เคยมี
“ของนาย?”
ก้านลูกอมขยับตามริมฝีปากเล็ก
“ใช่ ของฉัน”
แต่ผมดันจำได้แม่นว่าในเบย์เมาธ์ไม่มีใครอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์
เขาขี้หวงพอตัว
“ไม่น่าใช่”
ตอบพร้อมๆกับชันตัวลุกขึ้น เจ้าสีขาว (ผมว่ามันเหมาะกว่าแองเจิ้ล)
ร้องเสียงดังเหมือนกำลังไม่พอใจ ผมคิดว่ามันคงติดผมแล้วแน่ๆ
ทันทีที่ผมลุกขึ้นสายลมฤดูใบไม้ร่วงก็พัดขึ้นมาอีกระรอก
หากคราวนี้กลิ่นหวานของอะไรบางอย่างลอยเฉียดจมูกของผม -- แน่ล่ะ
มันคือกลิ่นผลไม้สีแดง กลิ่นหวานของมันมาพร้อมกับเขาเสมอ
เหมือนกับครั้งแรก
เราไม่เคยรู้จักกันแต่เราเคยสบตากันมากกว่าสิบครั้งและภาพจำของเขาคือเด็กผู้ชายมาจากอังกฤษ
เขาเป็นนักเสพติดความหวาน ผมเห็นเขาพยายามจะจับเจ้าสีขาว
และท่าทางตลกๆนั่นกำลังเปลี่ยนองศามุมปากของผม แต่แน่นอนว่าเขาไม่รู้หรอก
ผมมันนักซ่อนความรู้สึกตัวยง
“อย่าหนีฉันสิ”
เสี้ยววินาทีผมตัดสินใจช้อนตัวแมวตัวเล็กด้วยสองมือ
มันดิ้นเล็กน้อยผมจึงปลอบมัน ชู่ว ทันทีทันใดมันก็นิ่งลง
มีเพียงช่องว่างเพียงแค่สิบห้าเซนติเมตรระหว่างผมกับเขา ระยะห่างเท่านี้
ผมยื่นเจ้าสีขาวไปและเขารีบอุ้มมันไว้ราวกับว่าเป็นลูกของตัวเอง
ตลกชะมัด
นี่มันแค่แมว หรือว่ามันเป็นนางฟ้าจริงๆอย่างที่เขาเรียกกัน
“ขอบคุณ”
ตอบก่อนจะเม้มริมฝีปากเหมือนประหม่า
ยิ่งเขาพูดผมยิ่งได้กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่มากกว่าเดิม ที่จริงแล้วผมไม่ใช่พวกชอบกินของหวานมากนักหรอก
แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงทำให้ผมเริ่มอยากเสพติดของหวานขึ้นมา
“ด้วยความยินดี”
ผมตอบ เจ้าของกลิ่นหวานทุกครั้งที่เจอค่อยๆถอยห่างออกไปทีละก้าว
ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมา
ล้วงหยิบซองบุหรี่แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งตัว แต่สิ่งสำคัญอย่างไฟแช็กกลับหายไป
มันไม่อยู่ในกระเป๋ากางเกง ผมเลยตัดสินใจเรียกเขาไว้
ร้องถามเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลว่าคนอย่างเขาจะพกมัน
“ขอโทษนะนายมีไฟแช็กมั้ย”
เขาหันกลับมาและเจ้าสีขาวดีดดิ้นอย่างแรงจนกระโดดออกไปจากอ้อมกอดเล็ก
เราไม่รู้จักกัน
ผมไม่แน่ใจว่าเขารู้ชื่อของผม สองขาเล็กเดินกลับมา เขายื่นไฟแช็กอันเล็กให้กับผม
ใบหน้าหวานเริ่มขึ้นสี
มันเป็นสีพีชผมไม่แน่ใจว่าตาฝาดรึเปล่าหรือเป็นเพราะแสงอาทิตย์กันแน่
นี่คงเป็นการทักทายแบบของเขา
ผมคีบบุหรี่ไว้บนก้านนิ้วก่อนจะยื่นไปด้านหน้า
“จุดให้หน่อยสิ”
คนตัวเล็กดูเหมือนไม่พอใจเล็กน้อย
ก้มหน้างุด
ไม่รู้ว่าอากาศวันนี้มันร้อนไปรึเปล่าหูเล็กๆขึ้นสีแดงเหมือนมะเขือเทศสุก
ผมเร่งเขา “เร็วสิ”
“ฉันไม่ได้สูบมันหรอกนะ”
“ฉันรู้”
“นายไม่รู้จักฉัน”
ผมได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆของตัวเอง ไม่นานบุหรี่ก็เริ่มเผาไหม้
เขาเหมือนแมวตัวเมื่อกี้
นัยน์ตาของเขากำลังท้าทายและกลิ่นหวานของสตรอว์เบอร์รี่จากตัวเขามันกำลังทำให้ผมคลั่งและเริ่มเสพติดมันจริงๆ
ผมก้าวเข้าไปใกล้จนปลายเท้าของเราชิดกัน ย่อตัวลง สบตากับเขาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้
อัดนิโคตินเข้าปอด
และปล่อยมันออกไป เกลียวควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นบนอากาศ
มันลอยขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง
เขาไม่เขยิบหนีไปไหนเหมือนที่ผมคิดเอาไว้
ฉะนั้นแผนการที่ผมหวังจะแกล้งเขาก็เลยพังไม่เป็นท่า
คนๆนี้แตกต่างไม่เหมือนกับคนอื่น
ในที่แห่งนี้ สายตาเหมือนอยากรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่มันฉายชัดแต่ผมจะไม่ปล่อยให้เขารู้ง่ายๆหรอก
เพราะถ้าเขารู้แก้มสองข้างคงจะขึ้นสีแดงมากกว่านี้
ค่อยๆปล่อยบุหรี่ที่เหลือเกือบครึ่งม้วนทิ้งลงกับพื้น ใช้ปลายเท้าขยี้จนมันมอดสนิท
“ฉันบอกแล้วว่าฉันรู้จักนาย”
ริมฝีปากของเขาเป็นสีแดงสด ผมชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันและชอบมากกว่าเดิมทุกครั้งที่เราใกล้กัน จนสิบห้าเซนติเมตรของเราหายไป ผมจ้องมองริมฝีปากอย่างเผลอไผล มันมีเสน่ห์ มันดึงดูดตัวผมเข้าไปราวกับเรากำลังจูบกัน
ผมไม่เคยรู้ว่าเราสามารถตามหาพระจันทร์ได้บนโลกจนกระทั่งเจอเขา
“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการ...”
“...”
“ลิลลี่ โรเซ่”
And I could already feel your kiss
66 %
3.
จู่ ๆ
ก็มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับผม
ไม่ใช่ว่าผมคุยกับงูได้หรือได้รับจดหมายเชิญไปโรงเรียนสอนเวทมนตร์
-- แต่มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจไม่ต่างจากเรื่องที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมา
วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ที่ผมตื่นไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดตามปกติ
ทบทวนเนื้อหาที่จะเรียนวันนี้ ไม่นานก็เป็นหนึ่งในฝาแฝดที่ส่งข้อความเรียกให้ผมไปทานข้าวเช้า
ทางเดินห้องโถงยาวเต็มไปด้วยนักเรียนมากมาย
กลิ่นขนมปังอบเสร็จใหม่และเสียงระฆังบอกเวลาดังขึ้น ขายาวรีบสาวเท้าไปข้างหน้า
ดวงหน้าหวานก้มมองเพียงแต่ปลายเท้าเล็กๆของตัวเอง
ผมกำลังเดินผ่านทางเดินยาวที่มุ่งสู่ห้องอาหาร
หมากฝรั่งสีชมพูถูกพ่นข้ามหัวของผมไป
ตามด้วยเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนหนึ่ง
จำไม่ได้ว่าอยู่ปีเดียวกันรึเปล่าแต่เธอน่าจะชื่อเร็จจี้
เรจิน่า เรจนังตัวแสบหรืออะไรก็แล้วแต่
ผมเร่งฝีเท้ามากกว่าเดิม
แต่แล้วเสียงผิวปากแซวของพวกก๊วนเด็กแสบประจำโรงเรียนที่มักนั่งอยู่ตามระเบียงส่งเสียงดังจนผมเผลอหยุดเดิน
“ไงโรเซ่
สาวน้อยของฉันจะรีบไปไหนซะล่ะ”
ผมไม่เคยเกลียดชื่อหรือนามสกุลตัวเองเลยซักครั้ง
ถึงมันจะดูเหมือนผู้หญิงแต่ผมชอบที่มาของมัน
เมื่อเห็นคนตัวเล็กไม่ตอบโต้
คาร์ลและกลุ่มของเขาเลยเดินตรงเข้ามา ผมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
ผมไม่เคยเข้าไปทันมื้อเช้าและจบลงที่แซนด์วิชโง่ๆที่พวกแฝดเก็บมาให้
“หลบไป”
บอกแล้วเตรียมท่าเดินหนี
แต่พวกเขาไม่ปล่อยผมไปง่ายๆจนกว่าจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ
นักเรียนคนอื่นลอบมองอยู่ห่างๆ -- ไม่คิดจะช่วย แหงล่ะ
ไม่มีใครอยากยื่นหน้าเข้ามาช่วยหรอก คาร์ลเป็นอันธพาล
หมอนี่อกล้าอัดได้แม้กระทั่งภารโรง
ไม่แปลกใจทำไมถึงถูกส่งมาในโรงเรียนประจำแห่งนี้
คนสูงกว่าส่งยิ้มเยาะ เรจสะบัดผมสีรูบี้เรดของเธอไปด้านหลัง
แล้วเข้ามาสมทบอีกคน
“นี่ลิลลี่ที่รัก
ฉันน่ะขี้เกียจเข้าไปเจอหน้าไอ้เบเนดิกซ์”
“เซอร์เบเนดิกซ์
อ่าห๊ะแล้วไงต่อ” ให้ตายสิ หมอนี่มันไร้มารยาทชะมัด
คาร์ลยกมือสองข้างก่อนจะเอ่ยปากขอโทษ
ท่าทางกวนประสาทกำลังทำให้ผมหัวเสียตอนนี้ผมพลาดมื้อเช้าทั้งที่ๆหิวสุดๆ
ถอนหายใจอีกครั้งแล้วเดินออกไปแต่คอเสื้อก็ถูกคว้าโดยลูกสมุนของเจ้าของผมสีแดงพวกเขาผิวปากส่งเสียง
โว้ว
“ไปเอาข้าวเช้ามาเสิร์ฟฉันหน่อยสิ”
ผมเอียงคอ
เขามันเกินไปแล้ว
“เอามาเสิร์ฟต่อหน้าฉันแล้วฉันจะปล่อยนายไป
อ้อ เผื่อเพื่อนๆของฉันด้วยล่ะ” พูดจบพร้อมกับกระชากก้านลูกอมออกจากปากผมอย่างแรงจนผมหลุดร้องออกมา
และมันเป็นตอนนั้นที่เจ้าของดวงตาสีดำสนิทเดินเข้ามา
ในมือของเขามีเบอร์เกอร์หมูที่ราดด้วยชีสสีเหลืองน่ากิน เคลย์ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม
เขาโผล่มาอย่างเงียบๆ ผมรู้สึกเหมือนมีของเหลวร้อนกำลังเอ่อคลออยู่แถวดวงตา
แต่แล้วมันก็จางหายไป
ผมเกลียดวันจันทร์
มันไม่เคยเป็นวันที่ดี
คาร์ลหัวเราะในลำคอ
“ไงคอลลินส์ เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม”
“โอ้ สบายดี”
ไม่มีความขี้เล่นในน้ำเสียงทุ้มที่ส่งออกมา
เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่ผมเห็นเขามองมา
คนเริ่มมามุงมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นดาวเด่นของโรงเรียนปรากฏตัวในตอนเช้าของวันจันทร์ที่น่าเบื่ออย่างนี้
ผมบอกแล้วว่ามันไม่ใช่วันที่ดี
เคลย์สวมฮู้ดสีดำสนิทหมวกของมันปกปิดเส้นผมสีบลอนด์สว่าง
“นายอยากร่วมแจมเรื่องสนุกๆของเราเหรอ
เฮ้ พวกดูสิ คอลลินส์แม่งโคตรเหงาเลยว่ะ”
ตามด้วยเสียงหัวเราะที่โผล่มาจากทุกทิศ
ใจร้าย พวกเขาไปเรียนรู้คำพูดใจร้ายแบบนี้มาจากที่ไหน ไหล่สองข้างเริ่มห่อลงเหมือนผักเหี่ยวๆ
เจ้าของนามสกุลดังไหวไหล่เหมือนไม่สนใจคำพูดและเสียงหัวเราะเหล่านั้น
กลับกันคอนเวิร์สสีดำกลับตรงไปที่กลุ่มเด็กอันธพาลประจำโรงเรียน
ท่าทางเยือกเย็นเหมือนมีกลุ่มควันสีขาวล้อมรอบทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง
เคลย์เดินตรงเข้ามา
ประกายในดวงตาของเขาชัดเจนขึ้นในทุกวินาทีที่พื้นผ้าใบก้าวตรงมาทางนี้
ผมพอรู้สาเหตุที่ทำให้คนดังอย่างเขาถึงอยู่คนเดียว สมมติฐานข้อแรกที่ผมตั้งคือ
เขาร้อนแรงเหมือนเปลวเพลิง
รอยสักภาษาละตินตรงข้อนิ้วกลางมันมีเสน่ห์ทุกครั้งยามที่จรดบุหรี่ขึ้นเหนือริมฝีปาก
ทั้งยังรอยแผลเป็นใต้ดวงตา เขามีทุกส่วนผสมที่พระเจ้าประทานให้ แต่เคลย์เกลียดมัน -- คนอื่นใส่ใจแต่เพียงภายนอก เขาเกลียดความไม่จริงใจ
“ฉันมันขี้เหงาพอตัวเลยล่ะ
เลยอยากหาอะไรสนุกๆทำซักหน่อย” ได้ยินเสียงแหบต่ำของคนตัวสูงตอบกลับไป
คาร์ลสบถคำหยาบแล้วถุยน้ำลายลงที่พื้น พวกเขายังคงส่งสายตาอย่างไม่มียอมใคร -- ผมไม่รู้ว่าเคลย์เคยมีเรื่องกับพวกนี้รึเปล่า
แต่การหาเรื่องคนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
ว่าแต่เขาจะหาเรื่องคนพรรค์นี้ไปทำไมล่ะ
นั่นคอลลินส์นะ
เขาไม่สนใจใครอยู่แรก
เป็นที่มาจากสมมติฐานข้อที่สองของผมว่าทำไมคนที่ทำตัวเหมือนหวงตัวเองขนาดนั้น ถึงมายืนอยู่ตรงนั้นผม
ในเวลานี้ อ่า และใช่ เขาขยิบตาให้ผมหนึ่งที
เคลย์ยกยิ้มมุมปาก
“บอกไว้ก่อนฉันไม่ใช่พวกรังแกใคร”
ยังไม่ทันที่หนึ่งในสมุนของคาร์ลตั้งท่ามุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อ
เบอร์เกอร์หมูที่หน้าตามันน่ากินมากกว่าสปาเก็ตตี้ของโรงเรียนก็ลอยไปอยู่บนหน้าเจ้าของเรือนผมสีแดงสนิท
“holy shit”
ผมหลุดสบถออกมา ยกมือปิดปากด้วยความตกใจ
เขามันตัวแสบ
หลุดโลก บ้าหรืออะไรก็ตามแต่ที่ผมหาคำนิยามตัวเขาไม่เจอ
เคลย์
คอลลินส์กำลังหัวเราะและปาดคราบชีสบนปลายนิ้วอย่างช้าๆ ร้ายกาจ -- ในขณะเดียวกันนั้นก็จ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก
ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะขยับเป็นคำพูดไร้เสียง
‘I like your lips’
,มันแปลว่าฉันชอบริมฝีปากของนาย
-- ให้ตายเถอะเคลย์ เขากำลังสร้างพายุ
ทันทีที่พูดจบพวกของคาร์ลก็รุมเข้าไกระชากคอเสื้อและสวนหมัดเข้าไปเต็มแรง
ฮู้ดสีดำตกลงจนเห็นกลุ่มผมบลอนด์สว่างราวกับเป็นเจ้าชาย
เสียงดังโกลาหลวุ่นวายจนผมได้ยินนักเรียนคนหนึ่งบอกว่าให้ไปตามครูใหญ่มา
บ้าชะมัด
หมอนั่นหาเรื่องใส่ตัว ร่างสูงนอนอยู่ที่พื้น ชายเสื้อหลุดลุ่ย
ได้ยินเสียงกระดูกกระทบกับเนื้อ เป็นอย่างที่ผมคิด -- เคลย์ปล่อยให้ตัวเองโดนรุมอยู่กับพื้น
เจ้าของผิวสีคร้ามแดดมีรอยฟกช้ำบนใบหน้า หางคิ้วแตกจนเลือดซิบ
“ครูใหญ่มาแล้วๆ
ขอทางหน่อย”
ไม่รู้ว่าก่นด่าตัวเองในใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แต่สองขาตรงออกไป
ออกแรงจนเหมือนวิ่ง ผมผลักใครคนหนึ่งที่กำลังจะซัดเคลย์ครั้งที่สามแล้วกระชากคอเสื้อของเขา
ใบหน้าคมคายปนคราบเลือดแต่เคลย์ยังคงวาดรอยยิ้มเหมือนพอใจอะไรบางอย่าง ผมโน้มหน้าลงไปจนได้กลิ่นหวานจากปลายจมูกโด่ง
รสชาติของบุหรี่
“จำเอาไว้ว่าฉันไม่ได้อยากช่วยนาย”
เขากระตุกรอยยิ้ม
ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งจับข้อมือของผมแล้วออกวิ่งไปด้วยกัน เป็นวินาทีที่ลุ้นระทึก
ผมปล่อยให้ตัวเองถูกเขาลากออกไปจากหน้าห้องโถง ผ่านสวนหย่อม
สายลมพัดผ่านจนเส้นผมของเราปลิวไหว
เราออกวิ่งไปข้างหน้าเหมือนกลัวว่าแสงอาทิตย์กำลังจะหายไป
ผมได้ยินเสียงตะโกนด่าทอดังแว่วมาจากด้านหลัง
ไม่รู้ทำผมถึงเผลอยิ้มออกมาทั้งๆที่กำลังออกตัววิ่งไปให้ไกลจากผู้คน
ผมหันไปหาเขาเช่นเดียวกับที่เขาหันมาผม
ผมบลอนด์ของของพลิ้วตามแรงลมเหมือนฉากเจ้าชายในนิทานซักเรื่อง
“ฉันต้องขอบคุณนาย”
“ไม่ ฮ -- แฮ่ก
ฉันไม่ได้อยากจะช่วย” ตอบกลับไป แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมาแทนคำตอบคือ
ปลายนิ้วของเราสอดประสานกัน
ไออุ่นจากฝ่ามือร้อนเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่า เคลย์ คอลลินส์ อยู่กับผม
น่าแปลกที่ผมกลับปล่อยให้เราจับมือกันอยู่อย่างนั้น
จนกระทั่งเราหยุดพักตรงใต้ต้นโอลีฟ มันอยู่ไกลจากหอพักและอาคารใหญ่พอสมควร ใกล้ๆเป็นอู่ซ่อมรถสำหรับพวกที่เรียนเครื่องกล
ในเวลาแบบนี้ผมกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นและมันรุนแรงมากกว่าเดิม
มันปลอดภัย -- แม้ว่าถ้าตอนนี้กำลังเผชิญกับพายุ
เคลย์ทำสำเร็จ
เขาปั่นหัวผมจนมันใกล้ระเบิดและปะทุออกมาเหมือนลาวา
“ไม่เคยล่ะสิ”
เขายืนพิงฟอร์ดมัสแตงสีดำเรียบ
มือสองข้างซุกในกระเป๋าด้านหน้าฮู้ดจ้องมองมาที่ผมที่กำลังนั่งพิงใต้ต้นโอลีฟต้นใหญ่
“หมายถึงอะไร”
“แหกกฎโรงเรียนไง
นายตกเป็นสมรู้ร่วมคิดกับฉันแล้ว” เสียงแหบแห้งนั่นกระซิบลอดผ่านสายลมฤดูใบไม้ผลิ
ผมหันไปมองค้อนใส่เขา คนแบบไหนกันถึงนอนยอมให้คนอื่นซ้อมอยู่แบบนั้น
ผมเลยตอบกลับไป
“ฉันเป็นพวกรักษากฎและนาย -- ทำฉันพัง”
คะแนนพฤติกรรมของผมดีมาโดยตลอดแต่ดูเหมือนครั้งนี้มันคงโดนหักจนติดลบ
บ้าจริง L
“ฉันช่วยนายไว้ต่างหาก”
“ฉันไม่ได้อยากให้นายช่วย”
สวนกลับไป เคลย์เคาะส้นรองเท้ากับพื้นหญ้า
“นายโกหก อย่าพยายามอีกเลย”
ดวงตาเขาของเขายามนี้มันเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีถ่าน
เราสบตากันเพียงเสี้ยววินาทีอีกครั้งก่อนมันจะจบลงโดยที่ร่างสูงล้วงหยิบซองบุหรี่ออกจากกระเป๋า
เป็นธรรมชาติมากกว่าเดิมเหมือนไฟแช็คอันเดิมถูกเปิดออกแล้วจ่อกับปลายบุหรี่
และผมแปลกใจเหลือเกินว่าทำไมเขาถึงทำเหมือนรู้จักผมดีขนาดนั้น
เขากับข่าวลือมากมายหลายหยิบมือ
คนที่ไม่สมควรเข้าใกล้ที่สุดในโรงเรียนช่วยผมจากพวกอันธพาล
มันไม่สมเหตุสมผลเลยซักนิด
เผลอตกในภวังค์ความคิดของตัวเองจนไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าของสีเทาเดินเข้ามาใกล้และยืนอยู่ใต้เงาต้นไม้เดียวกัน
ผมได้กลิ่นคาราเมล
มันอ่อนนุ่ม
ราวกับว่าจะสลายไปในอากาศ
“รู้มั้ยทำไมฉันถึงช่วยนาย”
ในที่สุดก็มีใครซักคนปริปากออกมาและเป็นเคลย์
ผมละสายตาจากเสี้ยวใบหน้าของเขาแล้วมองตรงไปยังที่ไกลๆ
โบสถ์ประจำโรงเรียนและหอนาฬิกาใหญ่
ผมปล่อยให้ความเงียบแทนคำตอบ
“ฉันอยากรู้ ... ความหมายของชื่อนาย”
โดยไม่รู้ตัว
อีกครั้งที่ผมเผลอปล่อยให้ตัวเองใจเต้นแม้ในยามที่เราใกล้กันมากกว่าเดิม
ชู่ว
หยุดร้องโวยวายผมกระซิบบอกกับหัวใจ อย่าให้เขาได้ยิน
พยายามนั่งนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“บางทีเช้านี้นายอาจจะเหงาเหมือนที่พวกนั่นบอกจริงๆ”
บุหรี่มวนแรกร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วง
มอดไหม้และดับไป
“เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ฉันช่วยนายไง”
ไม่เชื่อหรอก ผมหยิบเศษบุหรี่ขึ้นมาเล่น
เคลย์ย่อตัวนั่งลงข้างๆผม
เขาชันเข่าขึ้นมาหนึ่งข้าง ริมฝีปากเผยอปล่อยไอสีขาวลอยละล่องตามแรงลม
มันพัดผ่านเฉียดแก้มและริมฝีปากของผม
เขากระแอมไอสองสามทีเหมือนกำลังประหม่า
“นี่ ฉันสารภาพก็ได้”
“จริงๆแล้วฉันแค่อยากรู้จักนาย”
จู่ ๆ
ผมก็อยากได้ลูกอมหรืออมยิ้ม
อะไรสักอย่างที่หวานและควบคุมการเต้นของหัวใจได้ดีกว่านี้
เด็กหนุ่มเจ้าของผมสีบลอนด์หันหน้ามาทางผม แผลเล็กๆกระจายอยู่ตามใบหน้า
มันไม่ได้ทำให้คนอย่างเขาดูแย่ลงซักนิด
ยิ่งกว่านั้น
เขามีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ
วินาทีนั้นเราสบตากัน
มันเงียบจนผมคิดได้ว่าต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อหยุดพายุในตัวผม
เลยหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวในกระเป๋าเสื้อ มีตัวอักษรสีครีมปักอยู่ตรงมุมขวาล่าง
Lily -- แล้วส่งให้กับเขา
“ขอบคุณ”
เคลย์ส่งยิ้มหวาน
เขาปาบุหรี่ลงกับพื้นแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ร่างกายของผมแข็งทื่อ
แบดบอยประจำโรงเรียนเม้มปากก่อนจะลอบเลียริมฝีปาก
มันขึ้นสีแดงสดอยู่เสมอแม้เขาจะสูบบุหรี่
เสียงทุ้มต่ำเล็ดรอดออกมาใกล้ใบหูจนผมรู้สึกเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลัง
“ฉันบอกแล้วว่าฉันชอบริมฝีปากนาย
ลิลลี่”
จวนเจียน และหยอกเย้า ผมเผลอกัดริมฝีปากล่างด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ผีเสื้อนับร้อยบินวนและโหมกระพือปีกอย่างรุนแรง ดวงตาสีถ่านสะท้อนรูปหน้าของผม ยิ่งตอนที่เสียงของเขาเรียกชื่อผม
ผมกำลังมึนเมาในเกลียวควัน
ดวงตาสีเทาเข้ม และวานิลลา เคลย์มอมเมาผมผ่านบุหรี่
“ลิลลี่เป็นดอกไม้ที่พ่อให้แม่ฉันตอนที่เดทกันครั้งแรก...”
ไอสีเทาคลุ้งเพียงไม่กี่วินาทีตรงหน้าผม
ทันทีที่มันเฟดหายไปผมจึงเล่าต่อ
“เป็นดอกไม้ที่ปู่ให้ย่าตอนวันแต่งงาน, ทวดฉันถูกขอแต่งงานกลางทุ่งดอกลิลลี่”
บอกที่มาความหมายที่ผมตกหลุมรักตั้งแต่ได้ยินครั้งแรก เหมือนกับตัวแทนความรัก
ความอ่อนหวานของครอบครัว ผมไม่เคยอายด้วยซ้ำแม้จะโดนคนอื่นล้อตั้งแต่ยังเด็ก
“นั่นและความหมายของมัน”
เจ้าของสันกรามได้รูปพยักหน้า
ใช้ปลายนิ้วไล้ตั้งแต่หัวคิ้วของผม ผ่านสันจมูก ละเอียดอ่อน
แผ่วบางราวกับขนนกและหยุดอยู่ตรงริมฝีปากของผม สายตาของเขาวุ่นวายอยู่กับมัน
ทำให้ผมหน้าเห่อร้อนจนแทบจะกลายเป็นภูเขาไฟ
เคลย์กระซิบเย้า
“กลิ่นนายหวาน ฉันไม่เคยชอบสตอรว์เบอร์รี่”
“แต่ฉันคิดว่าฉันชอบนาย
ลิล”
ถ้อยคำที่เตรียมกรองออกไปถูกกลืนหาย
ริมฝีปากหนาสีกุหลาบแนบลงมาทันทีเหมือนกับว่าห้วงเวลาหยุดเดิน
บดขยี้เหมือนโหยหารสชาติความหวานที่ตัวเองเกลียด ท้องไส้ของผมปั่นป่วนเมื่อได้ลิ้มลองรสชาติบุหรี่
ถอนออกและค่อยๆกดจูบลงมาซ้ำๆ ใช้มือหนารั้งต้อคอเล็กที่ปวกเปียก
ร่อแร่เหมือนถูกสูบพลังไปจนหมด
พลันกำแพงสูงที่ใครบางคนสร้างไว้ก็ล่มไม่เป็นท่า
รสขมของบุหรี่กำลังเผาไหม้
เสียงจูบทำให้ร่างกายของคนตัวเล็กบิดเร่า
พวกเขาไม่ปล่อยให้หนึ่งวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า
มันมอมเมาจนสติของร่างเล็กหายไปจนหมดสิ้นเผลอตัวปล่อยให้ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาลิ้มรสความหวานที่ยังคงที่ร่องรอยไว้ในโพรงปากเล็ก
-- เหมือนเจลลี่
ริมฝีปากเล็กบวมเจ่อเป็นสีสตรอว์เบอร์รี่ลูกโต
ผมต้านพายุไม่ไหวอีกต่อไป
“เคลย์”
ผละออกเหมือนคนไม่รู้จักพอ
ความหวานของสตรอว์เบอร์รี่ดึงดูดให้เขาอยากสัมผัสมันอีกครั้ง
ลิลลี่แก้มแดงแจ๋เหมือนมะเขือสุก และเคลย์ชอบมัน
เคลย์ไม่ใช่คนเขลาอีกต่อไป
เขารู้จักตัวเองพร้อมๆกับการรู้จักเจ้าของชื่อดอกไม้แสนหวาน
“ฉันพยายามวิ่งหนี
ฉันพยายามแล้วที่จะไม่จูบนาย” คนที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้กำลังทำลายเศษซากสติสุดท้ายที่เหลืออยู่ของอีกคนแนบริมฝีปากลงไปบนกลีบดอกลิลลี่หวาน
กลีบดอกลิลลี่ดอกนี้นุ่ม
น่าหลงใหล เคลย์กดย้ำอย่างแผ่วเบา ... อ่อนโยน
เขาไม่เคยปฏิเสธตัวเองได้
กลิ่นบุหรี่คุกรุ่นอยู่ในโพรงปากและมันมากขึ้นเหมือนเราเริ่มต้นมันอีกครั้ง
ไม่สนใจวันและเวลา เรากำลังดึงดูดเข้าหากันเหมือนที่มันควรจะเป็นตั้งแต่ต้น เนิ่นนานจนหยุดลงเมื่อต่างคนต่างพอใจ
เคลย์บีบริมฝีปากเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะผละออกไปนั่งตามเดิม
บุหรี่มวนที่สองถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
พร้อมๆกับวงแหวนควันสีเทาพวยพุ่งในอากาศ
วันนี้อากาศดี
“อยากจะไปมั้ยหรือว่าอยู่ต่อ”
เขาถาม ผมก้มหน้างุดและพึมพำเสียงเบา
เป็นคำตอบที่น่าอายชะมัดแต่ช่างทุกเหตุผลบนโลกเถอะ
ผมอยากอยู่กับเขา
“ฉันอยากอยู่ต่อ”
เห็นเสี้ยวรอยยิ้มหล่อประกายออกมาเช่นเดียวกับเสี้ยวพระจันทร์ทอสวย
“ฉันอยากจูบนายอีกแล้ว”
มันเหมือนกัน
“ถ้าฉันเสพติดบุหรี่ขึ้นมานายโดนแน่คอลลินส์”
ทั้งผมและเขาต่างยิ้มออกมา
เหตุผลมีเพียงแค่เรากำลังตกหลุมรัก
ตกหลุมรักบางสิ่งที่หวานและขม
เป็นสิ่งที่ดึงดูดเราไว้ด้วยกัน รสชาติที่เราจดจำในทุกส่วนของหัวใจ
ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้
But strawberries and cigarettes
always taste like you
99.999%
เพราะไม่มีความรักไหนที่สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์
:-)
กรี๊ดดด ขอกรี๊ดก่อน os เรื่องแรกของหน่องเป็นไงบ้างคะ
ถูกใจมั้ย
ตั้งใจมากนี่เขียนตอนตีสองสิบเก้านาที
แนะนำให้เปิดเพลงฟังไปด้วย
ก็ชอบกันตั้งนานแล้ว
จะรออะไรอยู่ล่ะ
ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจด้วยนะคะ! ขอบคุณเสมอ
ฝากสกรีมติดแท็ก #fic1am
@olivesvee
ความคิดเห็น