คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : prologue
1. the beginning
เสียงลมพัดแรงจนกิ่งไม้สั่นไหว ใบไม้สีน้ำตาลร่วงหล่นจากต้นระนาวเพราะความโมโหของท้องฟ้า มันหอบความเย็นแผ่ไปทั่วเมืองนี้ เมืองทรีเซอร์ เป็นเมืองขนาดเล็กในแถบยุโรปตอนเหนือ สภาพอากาศเย็นเกือบทั้งปีทำให้ผู้คนล้วนชินกับอุณหภูมิที่หนาวเย็นของที่นี่ แต่วันนี้พายุฝนที่กำลังก่อตัวขนาดใหญ่จนท้องฟ้ามืดครื้มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ เสียงคำรามอื้ออึงราวกลับไม่พอใจอะไรบางอย่างของพายุลูกใหญ่ทำให้ร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับโค้ทสีน้ำตาลวิ่งไปหลบเม็ดฝนที่คาดว่าน่าจะเทลงมาในไม่ช้าหน้าร้านขายของเก่าแห่งหนึ่ง
“ให้ตายสิ พายุมาเข้าอะไรวันนี้” คนตัวเล็กบ่นกับตัวเองเบาๆ วันนี้เขาไม่ได้พกร่มมาซะด้วยสิ แถมตอนนี้ก็ใกล้หกโมงเย็นแล้วด้วย แฮมเบอร์เกอร์กับเฟรนฟรายซ์ที่ซื้อมากว่าจะกลับไปถึงบ้านน่าจะเย็นชืดหมดแล้วแน่ๆ ยัยลู่เฟิงต้องนอนท้องร้องงอแงอยู่บ้านแล้วแหง
กึก พลั่ก
เสียงเปิดประตูข้างหลังทำให้เขาหันไปทันที พบว่าเป็นชายชราคนหนึ่งพร้อมกับไม้เท้าเก่าๆ ใบหน้าที่เหี่ยวย่นตามวัยยิ้มให้ผมอย่างใจดีจนอดส่งยิ้มกลับไปให้ไม่ได้ เขาผายมือช้าๆก่อนที่จะส่งเสียงแหบพร่าออกมาว่า
“เชิญคุณหนูไปพักข้างในก่อนนะขอรับ” ร่างเล็กเม้มปากเพราะไม่รู้จะปฏิเสธคุณลุง อ่า ไม่สิ คุณตาข้างหน้านี้ยังไง อันที่จริงเขาไม่ค่อยไว้ใจคนแปลกหน้าเท่าไหร่แต่ทว่ากลุ่มเม็ดฝนขนาดใหญ่ที่ตกลงมาอย่างหนักตอนนี้ทำให้เขาหนาวมาก บางทีแค่เข้าไปหลบฝนข้างในสักแปบคงไม่เป็นไร
หรอกมั้ง?
“ขอบคุณครับ”
ทันทีที่เขาตัดสินใจก้าวเข้ามาในร้าน คุณตาก็จัดแจงให้นั่งบนโซฟาพร้อมกับเสิร์ฟน้ำชาร้อนๆให้เขาอย่างดี บรรยากาศในร้านก็ไม่มีอะไรมาก มีพวกของโบราณเก่าๆอยู่บนชั้นและตามพื้น ในนี้มันไม่ค่อยอับเท่าไหร่ แล้วก็อุ่นดีด้วย
“เชิญตามสบายเลยนะขอรับ” คุณตายิ้มอย่างใจดีแม้ว่าคำพูดและการแต่งตัวจะดูโบราณไปสักหน่อยก็เถอะ
“ฮ่ะๆครับว่าแต่เพิ่งมาเปิดร้านเหรอครับ ผมไปทำงานที่คลีนิกสัตว์ตรงมุมถนนใกล้ๆนี่ทุกวันเลยไม่ยักจะเห็น” ผมเดินผ่านทุกวันตั้งแต่ที่ย้ายมาทำงานที่เมืองนี้ประมาณสามเดือนได้แล้ว ไม่เคยร้านขายของนี้มาก่อน
“กระผมเปิดมาตั้งนานแล้วครับ นานเป็นสิบยี่สิบปีเลยทีเดียว”
บ้าหน่า 20 กว่าปีเลยเหรอ แต่ผ่านตรงนี้ทุกวันเลยนะเพราะเป็นทางผ่านไปคลีนิกน่ะ หรือผมจะไม่ค่อยสังเกตเองนะ
“อ่าครับฮ่าๆผมคงไม่ทันได้สังเกต”
“อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่สมควรมากกว่า” คุณตาพูดพลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบเบาๆ
“อ่าครับ“
หรือคนตรงหน้าเขาจะไม่ค่อยเอ่อสมประกอบ แก่แล้วเลอะเลือนพูดไม่ได้ความงี้
ทว่าจู่ๆแกก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดังแข่งกับเสียงสายฝนข้างนอก ใบหน้าหวานส่ายเลิ่กลั่กเพราะไม่รู้จะทำตัวยังไงในสถานการณ์แบบนี้ดี หรือผมควรออกจากร้านไปตอนนี้เลย ดีมั้ยนะมันจะเสียมารยาทรึเปล่า
“ก่อนจะไปจะไม่แนะนำตัวหน่อยหรือขอรับ”
ราวกับอ่านใจได้ ร่างเล็กยืดหลังตรงเพื่อแนะนำตัวเอง นั่นสิเนอะลืมแนะนำตัวเองไปเลยทั้งที่มานั่งได้เกือบ 10 นาทีแล้ว
“ผมชื่อ ลู่หานครับ เป็นคนจีนเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน” ส่งยิ้มให้อย่างมีมารยาทตามที่แม่สอนมา คุณตาขยับตัวเล็กน้อยแล้วเริ่มถามคำถาม
“เป็นสัตวแพทย์หรือขอรับ”
“ใช่ครับ”
“ดูท่าทางคุณหนูจะชอบสัตว์สินะ” คุณตาถามต่อ
“อ่าครับชอบมากๆเลยเลือกเรียนสายนี้ ตอนเด็กๆผมเคยเลี้ยงหมาพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้อยู่ตัวหนึ่งแต่มันเป็นโรคแล้วก็จากผมไป ที่นี่ก็เลยอยากจะรักษาสัตว์เพราะผมรู้ว่าทุกตัวมันมีเจ้าของที่รักและดูแลมันอยู่เสมอ ไม่มีใครอยากเสียสัตว์เลี้ยงที่รักของตัวเองไปหรอกครับ” ผมพูดยาวอย่างลืมตัว เวลาพูดถึงเรื่องสัตว์เป็นเรื่องเป็นราวทุกทีเลย ลู่หานเอ๊ย
“พูดเก่งดีนะขอรับแต่โลกเราก็มักจะใจร้ายแบบนี้เสมอ ฮ่าๆทุกคนล้วนต่างต้องเสียคนสำคัญ มันไม่มีใครฝืนกฎของธรรมชาติได้” คุณตาพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่น่าฟังอย่างประหลาด
“แต่ก็คนบางกลุ่มที่ทำลายกฎธรรมชาติเหล่านั้น คุณหนูอยากจะฟังเรื่องเล่ามั้ยขอรับ”
ลู่หานก้มมองนาฬิกาบนข้อมือขาวพบว่าหกโมงเย็นแล้ว ใจก็นึกถึงน้องสาวตัวเองที่อยู่คนเดียวที่บ้าน แต่ฟังเรื่องเล่าก่อนกลับบ้านก็น่าสนใจดีไม่ใช่น้อย นั่งฟังอยู่อีกสักสิบนาทีจะเป็นไรไป
“ครับผมอยากฟัง” ชายชราตรงหน้ายิ้มน้อยๆแล้วกระแอมไอเพื่อเริ่มเล่านิทาน
“มันเป็นเพียงเรื่องเล่าต่อๆกันมาหลายศตวรรษ ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่มีพลังวิเศษ พวกเขาใช้ชีวิตธรรมดาทั่วไปปะปนกับมนุษย์ บ้างก็ว่าคนเหล่านี้เป็นพ่อมดที่มีอายุหลายร้ายปีแต่บางตำราก็ว่าเป็นปิศาจ มันมีทางอำนาจมืดที่พร้อมจะคราชีวิตผู้คนได้ทุกเมื่อ สามารถแปลงกายจำแลงตนเป็นอะไรก็ได้เพื่อหลอกคนไปฆ่า”
“.....” ลู่หานนั่งฟังอย่างตั้งใจ เขาชอบเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆถึงจะมีกลัวบ้างแต่เนื้อหามันดึงดูดให้เข้าไปค้นหา ขึ้นชื่อว่าเรื่องเล่าเท็จจริงอย่างไงบ้างไม่มีใครรู้ได้
“ในช่วงเวลาเหล่านั้นมีคนตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดผู้นำในตอนนั้นตัดสินใจให้ล่าหัวพวกมันแล้วจับมาเผาทิ้งให้หมด “
“เขาฆ่าคนยังไงเหรอครับ”
มันต้องมีสาเหตุการตายที่ชัดพอเพื่อโยงไปว่าคนพวกนี้ทำสิ
“บางรายโดนดูดเลือดไปจนหมดตัว แต่ส่วนใหญ่มักมีรอยช้ำตามตัวจากแรงกระแทกจนเสียชีวิต อ้อ ขาดอากาศหายใจและโดนเผาทั้งเป็นก็มี”
“วะ...แวมไพร์งั้นเหรอครับ” เขาพอรู้เรื่องพวกนี้มาบ้างจากในหนัง แต่ก็ไม่คิดว่ามีจริงหรอก
“มันมีพลังมากกว่านั้นอีกน่ะสิ แค่กๆ ต่อเลยนะ ชาวบ้านเรียกพวกอมนุษย์เหล่านี้ว่า ไอซาริส มันมีหลายกลุ่ม แยกย่อยออกเป็นพวกลูเซนต์และเฟธเธอร์ ชาวบ้านต่างหวาดกลัวแต่ก็มีบางกลุ่มที่ฝึกเพื่อคัดไปเป็นนักล่า ตามฆ่าพวกไอซาริส”
“แล้วมันแตกต่างยังไงล่ะครับเอ่อ คุณ" ลืมถามชื่อคุณตาเสียสนิท
“ซีโคลัส ลีนช์”
“ครับคุณลีนช์ว่ามันแตกต่างกันยังไงครับ” เขาถามต่อ
“อะแฮ่มกระผมพอได้ยินมาบ้างพวกลูเซนต์จะพวกอัศวินปิศาจ กลุ่มที่แข็งแรงแล้วก็ไร้ความปรานี เฟธเธอร์จะเป็นพวกไร้ชีวิต ไร้หัวใจหรือที่เรียกว่าแวมไพร์ ว่าแต่กระผมลืมอีกกลุ่มหนึ่งไปได้ยังไง” ซีโคลัสตีหัวตัวเองเบาๆ
“กลุ่มไหนเหรอครับ” ลู่หานด้วยความตื่นเต้น ฟังไปฟังมายิ่งเหมือนเรื่องจริงขึ้นทุกทีเลยแฮะ แถมบรรยากาศตอนนี้ฝนก็เพิ่งซาลง
เสียงซอกแซกของเศษใบไม้ดังขึ้นเคล้ากับบรรยากาศ
“พวกโคเฮธน่ะคล้ายๆพวกจีนี่แต่ชนชั้นต่ำกว่าสองกลุ่มแรก มีพลังรักษาคนได้ฉลาดเป็นกรด ที่สำคัญหาตัวจับยากมากซ่อนตัวเก่ง พวกไฮซาริสกว่าครึ่งกลุ่มโดนล่าและถูกเผาตาย เวลาผ่านมาเรื่อยๆก็ไม่มีใครพูดถึงคนเหล่านี้อีก”
“ไม่มีใครบอกเหรอครับว่าพวกนี้อาศัยอยู่ที่ไหน”
ลู่หานไม่ใช่คนงมงาเพียงแต่ว่าเรื่องนี้มันน่าสนใจเป็นบ้า แม่เขาชอบเล่าให้ฟังบ่อยๆ ดูสิมันเหมือนกับว่าพวกเขามีตัวตนจริงๆ แล้วเราอาศัยอยู่กับพวกเขามาตลอดเพียงแค่ไม่รู้เท่านั้นเอง
เราแค่อาศัยอยู่คนละโลกกับกลุ่มพวกวิเศษหล่านี้ ไม่แน่... เราอาจเคยโดนสวนผ่าน ส่งยิ้มให้กัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นมนุษย์เหมือนเรารึเปล่า
“อืมเคยได้ยินว่าอยู่แถบไอร์แลนด์แต่พอถูกล่าก็ย้ายมาอยู่ในเมืองนี้นี่แหละ” ผมที่กำลังยกน้ำชาขึ้นมาจิบเกือบสำลักเพราะประโยคเมื่อกี้
“นี่คุณลีนช์รู้เรื่องนี้เยอะจังนะครับ เหลือเชื่อจัง” นั่นสิ คุณตาแกก็รู้เยอะเนอะนึกว่าคนสมัยก่อนมานั่งเล่าเองว่าแต่
คุณตาแกอายุเท่าไหร่เนี่ย
“กระผมก็อยู่มานาน อีกอย่างมันก็แค่เรื่องเล่าน่ะขอรับคุณหนู” ร้องอ๋อในใจแล้วก้มดูนาฬิกาอีกทีจนถึงกับเด้งตัวลุกจากโซฟาทันที
ทุ่มห้านาที ให้ตาย! เวลามันเดินเร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ตายๆๆเขาต้องรีบกลับบ้านตอนนี้ ป่านนี้ยัยลู่เฟิงบ่นตายแล้วแน่ๆ
“คือผมต้องกลับแล้วครับ ฝนก็ซาลงเยอะแล้วด้วย”
“ขอรับ รอสักประเดี๋ยวจะไปเอาร่มมาให้”
คุณลีนช์ลุกขึ้นแล้วเดินหายไปข้างหลัง ไม่นานก็กลับมาพร้อมร่มสีดำในมือ มือย่นๆยื่นให้ ผมโค้งหัวแล้วรับร่มไว้ในมือ แกส่งยิ้มมาให้แล้วค่อยๆเดินไปเปิดประตูร้านให้ผม จริงๆไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ อายุเยอะแล้วด้วย ช่างเป็นตาแก่ใจดีจริงๆ
“ผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับชาร้อนๆแล้วก็เรื่องเล่า” โค้งตัวขอบคุณคุณลีนช์รอบหนึ่งแล้วเตรียมตัวหันหลังเดินออกไปแต่ทว่า เสียงแหบพร่าของชายชราก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“กางร่มสิขอรับกระผมมีของขวัญให้กับลูกค้าคนแรกด้วย ราตรีสวัสดิ์นะขอรับ” ลู่หานไม่ได้หันกลับไป มือสวยกางร่มออกก็พบกับสร้อยธรรมดาเส้นหนึ่งแต่มีรูปพระจันทร์เสี้ยวอยู่ตรงกลาง ความรู้สึกแปลกปะหลาดคับแน่นในอก มันเหมือนกับว่าสร้อยนี่เป็นเครื่องรางอะไรสักอย่าง
ไม่น่าจะมีอะไรหรอกมั้ง กลับบ้านดีกว่า ตาแก่ที่ท่าทางเหมือนหลงยุคมาคนนั้นคงไม่มีอะไรหรอก ร่างเล็กก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่ามีสายตาของชายชราหลงยุคคนนั้นจ้องมองด้วยความเป็นห่วงอยู่ตลอด
100% up!
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันน้า ฝากสกรีมแท็ก #fichhsweet คอมเม้นเยอะๆเป็นกำลังใจคนเขียนน้า ด้วยรัก.
ความคิดเห็น