ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO FIC) dear you, kaisoo

    ลำดับตอนที่ #2 : 01 ‘ secret garden

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 61










    01 ‘ secret garden




    ตอนนั้นเอง .. ตอนที่หยาดน้ำมากมายเริ่มก่อตัวเป็นทะเลน้ำตา ทอร์นาร์โดแสนโหดร้ายหมุนอยู่ในใจผม


    ผมค้นพบว่าเขาเป็นหลุมหลบภัยชั้นดี

     

     




                “จะกลับเลยเหรอ”

     

                “อือ แต่ไม่ใช่ที่หอหรอก”

     


                มันเป็นบ่ายแก่ๆของวันอังคาร ผมเดินลงมาจากตึกคณะ คอนเวิร์สคู่เก่าก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน หยุดโค้งให้รุ่นพี่ที่รู้จักบ้าง ตลอดทางมีรุ่นน้องและรุ่นพี่เข้ามาทักทายอย่างไม่เงียบเหงา เอาเข้าจริงผมไม่คิดว่าคนในคณะผมจะเฟรนด์ลี่แบบนี้หรอก ทุกคนดูสดใสผิดกับผมสุดๆ

     


                ผมสีแดง ใบหน้าติดนิ่งจนคนหาว่าหยิ่ง และแว่นตาทรงกลมคู่ใจ

     


                นั่นคือสิ่งที่พวกเขานิยามความเป็นผมล่ะ

     


                “ห้องสมุดไม่ใช่หลุมหลบภัยหรอกนะ” ผมหรี่ตาใส่เจ้าของใบหน้าตี๋กวนโอ๊ยที่เดินอยู่ข้างๆ จีซูแลบลิ้นใส่ผมอย่างกวนๆจนผมอดกระทุ้งศอกใส่อย่างหมั่นไส้ไม่ได้

     

                “ชีวิตโดคยองซูก็มีแค่ไม่กี่อย่างนั่นแหละน้า”

     

                “ห้องสมุด ตำราว่าด้วยกฎหมายในประเทศ อ้อ ช่วงนี้เหมือนจะร้านกาแฟรึเปล่า”

     



                เป็นโบกอมที่เสนอขึ้นมาระหว่างทางกลับไปยังหอพักนักศึกษาที่อยู่ในมหาวิทยาลัย อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆเพราะเริ่มเข้าฤดูหนาวแล้วนั่นคือสาเหตุที่ผมสวมผ้าพันคอสีเหลืองมาสตาร์ดที่ได้รับจากเด็กสาวข้างบ้านเป็นของขวัญวันเกิด

     


                อันที่จริงที่สองคนนี้พูดมันก็เรื่องจริงน่ะนะ

     


                “ฉันจะแวะไปห้องสมุดเพื่ออ่านตำราว่าด้วยกฎหมายในประเทศแล้วก็จะแวะร้านกาแฟ ซื้ออเมริกาโน่เย็นซักแก้ว...” ผมหยุดเดินแล้วหันหลังไปมองใบหน้าที่สาวๆทั้งในคณะและนอกคณะต่างหลงใหลจนสถาปนาตัวเองเป็นเอฟซี สายลมหนาวพัดเข้ามาอีกระลอกจนเศษใบไม้ที่ร่วงอยู่ตามพื้นปลิวว่อน

     


                “จะได้มีแรงสู้กับลุงฮอบส์ต่อน่ะ :) ”  

     

                “ว้าว สุดยอดไปเลยเพื่อนฉัน”

     

                “ฉันเห็นเอแปะอยู่กลางหน้าผากนายเลยคยองซู” พัคโบกอมใช้นิ้ววาดตัวเอกลางอากาศแล้วทำหน้าเหมือนเอเลี่ยนใส่ผม

     


                ผมหัวเราะ ก่อนจะโบกมือลาเพื่อนทั้งสองคน ได้ยินว่าจีซูจะไปชิวเอาท์ที่บาร์แถวมหาลัย ส่วนโบกอมรายนั้นคงจะไปเข้ายิมคลายเครียดจากการเรียนหนักหน่วงมาตั้งแต่เช้า ให้ตายเถอะไม่อยากจะเชื่อเหมือนกว่าชีวิตนักศึกษาของโดคยองซูจะเข้าสู่ปีที่สามแล้ว เวลามันผ่านไวจริงๆ แต่นี่แหละนะความพิเศษของเวลา

     


                มันเดินไปข้างหน้าโดยไม่รอผมหรือใคร ฟันเฟืองของมันทำงานตามกลไกไปเรื่อยๆโดยไม่หยุดพัก

     


                ในขณะเดียวกันผมก็ต้องสวมรอยเป็นนักสะสมเวลา จดจำและทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะไม่ปล่อยให้เวลานั้นสูญเปล่า ผมเรียนรู้และรู้จักเวลาได้ดีมากกว่าใครนั่นทำให้ผมคุ้นชินกับการจากลา ผมคิดว่าอย่างนั้น

     

     

                สองขาลัดเลาะตามทางเดินไปเรื่อยๆ ผ่านสวนดอกกุหลาบเล็กๆ กลีบสีแดงของมันฉ่ำสวยเตะตาทุกคนที่เดินผ่านไปมา ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังฝังดอกไม้แห่งรักนี่ด้วยความตั้งใจ มีหลุมว่างๆถัดไปอีกสี่ห้าหลุม มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดของชเวยูจอง

     


                ว่ากันว่า ถ้าใครมาปลูกดอกกุหลาบที่นี่ แล้วมันอยู่จนถึงวันคริสต์มาส รักของนายจะสมหวัง


              ‘ไร้สาระน่าผมในตอนนั้นเดินผ่านสวนกุหลาบที่อบอวลไปด้วยความหวังนี้ไป

     



                แต่ตอนนี้ผมกลับยืนมองมันนิ่งๆ ผู้หญิงคนนั้นจัดการฝังมันไว้ในดินอย่างเสร็จสรรพ สองมือของเธอโอบอุ้ม ผมเห็นเธอภาวนา หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนเดินออกไป ชั่วขณะหนึ่งผมคิดว่าแปลงกุหลาบแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นอาณาเขตพิเศษสำหรับคนที่ศรัทธาในรัก

     



                คนที่ศรัทธาในรักทั้งหัวใจเท่านั้นถึงจะได้รักไป

     


                และผมไม่เคยศรัทธาต่อสิ่งๆนี้เลย

     

     

     



     

                ผมเดินมาถึงหน้าหอสมุดยี่สิบชั่วโมง พวกหนอนหนังสือทั้งหลายหลับกินอยู่ในนั้น อันที่จริงผมก็มีคนรู้จักใหม่ๆหลายคนจากที่นี้ล่ะ พวกเขารักสันโดษ มีพื้นที่หวงแหนอยู่ในโลกของตัวเอง และผมคิดว่ามันวิเศษ เหมือนกับว่าคุณต้องรอโอกาสที่คนเหล่านั้นจะหยิบยื่นกุญแจให้คุณเข้าไปท่องเที่ยวในโลกของเขา

     



                และนั่นหมายความว่าคุณเป็นคนพิเศษ

     


                เพราะคนที่รักตัวเองมากมายขนาดนั้นไม่ยอมให้ใครสัมผัสเขาอย่างง่ายดายหรอก เชื่อผมเถอะ

     

     


                “สวัสดีครับ”

     

                “สวัสดีจ้ะ”

     


                บรรณารักษ์สาวที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตา เธอดันแว่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ดูเหมือนเธอจะเป็นรุ่นพี่ปีสี่จากคณะอื่น แอร์เย็นแตะกระทบผิวกาย ห้องสมุดมักเป็นที่ๆแอร์เย็นที่สุดเสมอ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ฮ่ะๆ เด็กคณะอื่นที่ชอบมาป่วนเปี้ยนแล้วส่งเสียงดังที่สุดคงไม่พ้นนิเทศ พวกนั้นชอบมาหลบร้อนในห้องสมุดแห่งนี้

     



                ผมค่อยๆใช้วิชาตัวเบาเดินผ่านชั้นหนังสือหลายชั้น ความเงียบปกคลุมโดยรอบจนเหมือนมีหมอกจางๆลอยอยู่ แสงแดดยามเย็นที่ลอดผ่านม่านสาดกระทบผิวไม้เนื้อดี ละอองฝุ่นเล็กๆถูกผมจับได้ในวินาทีนั้น กลิ่นกระดาษกลายเป็นกลิ่นประจำของที่นี่ เด็กชายที่หลงรักตัวอักษรใช้นิ้วกรีดตามร่องหนังสือไปเรื่อยๆ ก่อนจะ กึก หยุดอยู่ตรงหนังสือเล่มหนา -- แต่ยังไม่ทันที่ดึงออกมา แรงสั่นสะเทือนในกระเป๋ากางเกงก็เรียกความสนใจของผมกลับไป

     



                อ่า รู้สึกมวนท้องแปลกๆยังไงก็ไม่รู้

     


                เด็กชายเจ้าของผ้าพันคอสีเหลืองออกจากเซฟโซน โทรศัทพ์ของผมหยุดสั่นไปสักพักแล้ว และผมรู้สึกถึงสัญญาณเตือนภัยบางอย่าง บางอย่างที่ไม่ดีเลยซักนิด คุณนายโดโทรเข้ามาสามสายตามด้วยข้อความจากแอพสีเหลืองสองอัน ผมตัดสินใจโทร.กลับไปมากกว่าที่จะเข้าไปอ่านประโยคยาวเป็นขบวนรถไฟนั่น

     


                ผมได้ยินเสียงสัญญาณสามครั้ง ไม่นานน้ำเสียงหวานที่ผมคุ้นเคยก็ดังอยู่ข้างๆหู

     


                “คยองซูอา... ยุ่งอยู่เหรอจ้ะ”

     

                “ครับ แม่มีอะไรรึเปล่า”

     


                ตัดสินใจนั่งลงบนขั้นบันไดด้านหน้าห้องสมุด แสงสีส้มจากดวงอาทิตย์สัมผัสผิวหน้าของผม มันอุ่น ถึงแม้ตอนนี้อากาศจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆก็ตาม ผมได้ยินเสียงกุกกักและเสียงสูดน้ำมูกเบาๆจากปลายสาย ผมรับรู้ในวินาทีนั้น... ว่าตัวเองอ่อนแอมากแค่ไหน ดวงตากลมสีสวยกลายเป็นสีน้ำตาลทองเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ ผมจ้องมองขึ้นไปบนฟ้า สลับกับมองใบไม้สีแดงที่ร่วงลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วง

     




                สิบเมตรต่อวินาที ผมกำลังเป็นแอปเปิ้ลลูกนั้นที่ใกล้ตกกระทบกับพื้นโลก

     


                “มอกมุล คยองซูอา... ตอนนี้มันกำลังหลับ” เสียงของแม่สั่นพร่าหลังจากนั้น ผมรู้เต็มอกว่าเธอพยายามเพื่อผมมากแค่ไหน

     

                “ตลอดไปเลยใช่มั้ยครับ” และผมค้นพบได้ถึงความหวาดกลัวในเสียงของตัวเอง

     



                นิวตันไม่เคยบอกว่าวินาทีที่ร่วงหล่นและตกกระทบ เจ็บปวดขนาดนี้

     


                “แม่ขอโทษนะ คยองซู”


                “ผมก็เช่นกันครับ”

     




     

    เสียงร้องไห้ของแม่ดัง เจ็บปวดและโศกเศร้า


    ดังนั้นผมจึงหลับตาลง

     








     

                ไม่รู้ว่าเดินออกมาจากหน้าห้องสมุดนานแค่ไหน หรือแม่วางสายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คยองซูเป็นพวกยืนหยัดในความคิดของตัวเอง เพียงแต่ในเวลาเย็นๆแบบนี้กับความรู้สึกบีบรัดในหัวใจแบบนี้ ผมไม่อาจคุ้นชินกับการจากลาอย่างที่คิดมาตลอดได้เลย ผมยอมให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้าอย่างเรื่อยเปื่อย แว่นใสขึ้นฝ้าจนแทบมองไม่เห็น

     



                ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเดินต่อไป เอาจริงๆแล้วผมกลัวการมองไม่เห็น นั่นแหละ ผมกลัวความมืด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่กล้าเดินทะลุทางเดินลับๆมืดๆนี่เพื่อไปสถานที่ที่พิเศษ ที่ๆหวงแหนและน้อยคนนักจะพบเจอ มันคือสวนสาธารณะติดริมแม่น้ำ เนินเขาสีเขียวชอุ่ม

     



                ดอกแดนดิไลออน ดวงอาทิตย์ที่คล้อยลับและจมลงผ่านเส้นขอบฟ้าช้าๆ หรือโผล่ขึ้นทักทายคนที่สนิทกับเวลาพอสมควรเช่นผมในตอนเช้า ผมรู้จักสวนแห่งนี้ตังแต่เข้ามาปีหนึ่งมาใหม่ มาบ่อยแต่เจ้าสองคนนั้นไม่รู้หรอก

     



                ผมเห็นท้องฟ้าและหมู่เมฆอ้วนชัดที่สุด และ ดาวตกใกล้ที่สุดจากมุมนี้

     




                “ม็อกมุลอ่า นายกลายเป็นเมฆสีขาวนี่ไปแล้วเหรอ”

     




                พึมพำคนเดียวเหมือนคนบ้า ริมฝีปากรูปหัวใจสีพีชคลี่ยิ้มแม้ข้างในกำลังร้องไห้ฟูมฟาย เงยหน้ามองปุยเมฆอ้วน ป่านนี้มันคงกำลังหลับฝันดี ในนั้นจะมีผมกับแม่อยู่รึเปล่าหรือมันกำลังวิ่งเล่นสนุกแบบที่ชอบกันนะ ย่าห์ ไม่ยุติธรรมเลย ผมกำลังเสียใจอยู่แท้ๆแต่เจ้าหมาพุดเดิ้ลคงมีความสุขอยู่ในฝันดีตลอดกาล

     


                เวลานี้ท้องฟ้าเป็นสีส้มอมม่วง คับคล้ายคับคลาว่าจะกลายเป็นสีชมพูในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผมหอบหายใจเอากลิ่นของฤดูใบไม้ร่วงเข้าไปในปอด ก่อนจะปล่อยเสียงร่ำไห้ในหัวใจดังออกมา เป็นเดซิเบลแห่งความเสียใจ

     


                “ฮึก... ม็อกมุลอ่า ฉัน”

     


                คยองซูยังคงปล่อยให้จมลงไปในทะเลน้ำตา ตัวเล็กเหมือนจะปลิวได้ตามแรงลมสั่นไหวราวกับแผ่นดินไหว จมูกขึ้นสีแดง กระบอกตาช้ำอย่างหนักจากก้อนความเสียใจที่จุกไปทั้งลำคอ นิ้วป้อมๆปัดของเหลวร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     


                ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นบริเวณไหล่ขวา ใครสักคนกำลังปลอบโยนและกู้ภัยเขาออกมาจากทะเลน้ำตา

     





                “อย่าเสียใจไปเลย พี่ยังมีผมและคนอื่นๆ”

     





                ผมไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร ผมไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมาจากเข่าเล็กๆของตัวเอง หากแต่น้ำเสียงทุ้มใหญ่อบอุ่นและแผ่ซ่านไปทั้งใจ สายลมหอบเอาความหนาวมาอีกครั้ง ไหล่บางๆสั่นเทิ้มเล็กน้อย หลังจากนั้นบางสิ่งก็เข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งรับ

     





                ปอยผมสีบลอนด์เหมือนข้าวโพดคืออย่างเดียวที่ผมเห็น คนแปลกหน้าดึงผมเข้าไปด้วยแรงเพียงน้อยนิด แต่เท่านั้น ผมก็เซเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาโดยไม่รู้ตัว ผมซุกใบหน้าที่เปรอะได้ด้วยคราบน้ำตา หลับตาลงและจินตนาการถึงบางสิ่ง คำๆนี้ที่ผมเคยนึกถึง

     




                “หยุดร้องได้แล้ว”

     


                คยองซูสูดน้ำมูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเงยหน้าขึ้น 

     


                ใบหน้าคมคาย ดวงตาสีดำสนิทต้องมนต์ และรอยยิ้มอบอุ่น เขามีรอยยิ้มเจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์ตอนเช้าที่ผมชอบดู ผมรู้จักเขา อาจเป็นสองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ไม่แน่ใจที่ร้านกาแฟร้านโปรด ผมขยับให้ผ้าพันคอเลื่อนขึ้นมาบดบังใบหน้าตอนนี้ทีมีสภาพยิ่งกว่าหลังสงคราม เหลือเพียงนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยใต้กรอบแว่นตา

     


                “ปลอบผมทำไม”  ผมเอ่ยถาม ในหัวก็ยังพึมพำถึงคำบางคำไม่หยุด แต่ผมยังไม่เอ่ยออกมาตอนนี้หรอก

     


                เขาชันเข่า กางเกงยีนส์สีดำขาดๆ เสื้อยืดสีขาวเรียบ ไม่มากมายทว่าดูดี

     


                “นั่งอยู่บนนี้คนเดียวมันหนาวนะครับ” คนๆนี้ไม่ตอบคำถาม เจ้าของไหล่กว้างที่เสียสละให้ผมร้องไห้ออกมาจนพอใจเบนสายตาไปข้างหน้า ผมจ้องมองเสี้ยวหน้าคมได้รูป ยิ่งเป็นเวลาเย็นแบบนี้ ทุกองค์ประกอบ ทั้งพื้นหลังที่เป็นสะพาน แม่น้ำหรือแม้กระทั่งแสงแดด

     


                ผมนึกขอบคุณเขาในใจ

     


                “เบียร์หน่อยมั้ย” ผมส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ขอบคุณ”

     




                ความเงียบกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ผมทอดสายตาไปข้างหน้าและผมรู้เขาไม่ได้มองในที่เดียวกับผมหรอก มือเล็กค่อยๆแตะแดนดิไลออนสีขาว มันอยู่ข้างๆผมนานแล้วเพียงแต่ผมไม่สังเกต ผมหยิบมาขึ้นมายื่นไปข้างหน้า รอไม่นานคลื่นลมก็หอบพัดกลีบสีขาวเล็กจนฟุ้งกระจาย

     


                “มาที่นี่บ่อยเหรอครับ”

     

                “อื้อ ... เวลาอยากอยู่คนเดียวน่ะ” ผมตอบ เขาพยักหน้าเหมือนเด็กนักเรียนหน้าห้องที่กระตือรือร้นเก็บข้อมูลสำคัญลงไป สักพักเขาก็หันมาทางผมอีกครั้ง แววตาที่เคยนิ่งสนิทผมเหมือนเห็นดวงดาวหลายดวงส่องประกายอยู่ในนั้น

     


                เฮ้ อย่าเพิ่งว่าผมอวยเขาเกินไปล่ะ

     


                “มาที่นี่ช่วยได้เหรอ ไม่เห็นจะพิเศษอะไร”


                “ผิดแล้ว” ผมตอบทันที เราสบตากันอีกครั้ง

               

                “นายสามารถเห็นท้องฟ้า เห็นดาวตก ได้รับอ้อมกอดสายลมและรอยยิ้มให้กำลังจากพระจันทร์...

     


                ที่ผมอยากจะสื่อก็คือ ตรงนี้ เนินเขาเล็กๆแห่งนี้ ผมสามารถใกล้ชิดสิ่งเหล่านั้นได้มากที่สุด

     


                “ที่นี่เท่านั้น”


                “อ่าห๊ะ ที่นี่เท่านั้น” เขาครางรับในลำคอเสียงฮึมฮัมเหมือนหมีร้องเพลง

     


                ที่ผมพูดธรรมดากับเขาผมคิดว่าเขาคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เขาไม่ตอบอะไรกลับมาแต่วาดรอยยิ้มให้ผมอีกครั้ง ถ้าผมเก็บรอยยิ้มของเขาใส่ขวดโหลได้ มันคงจะดีเหมือนกัน :-)

     



                แหมก็เขาน่ะมีรอยยิ้มเจิดจ้าเหมือนกับปริ๊นซ์ชาร์มมิ่ง ผมสีบลอนด์อีก อย่ายิ้มแซวใส่ผมแบบนั้นซี นี่ผมกำลังเศร้าอยู่นะ

     



                “แล้วนายมาที่นี่บ่อยมั้ย”

     

                “ครั้งแรกครับ” เขาตอบ

     

                “เรียนที่นั่นเหมือนกันเหรอ” ผมบุ้ยปากไปทางมหาลัยขอตัวเอง เขาพยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นยืดขายาวๆไปข้างหน้า เท้าแขนสองข้างไว้ข้างหลัง ก่อนที่เขาจะหลับตาลง

     

                “อีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าเนินเขาตรงนี้มันพิเศษ”

     

                “...” ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่จมลงเรื่อยๆ เป็นภาพแสนงดงาม และผมหวังว่ามันจะปลอบประโลมหัวใจที่ไม่แข็งแรงของผม ไม่มากก็น้อย

     

                “ผมสามารถตามหาคนๆหนึ่งได้จากที่นี่”

     



                วูบหนึ่งผมเผลอหลงคิดเข้าข้างตัวเอง แต่คนแปลกหน้าที่ผมไม่รู้จัก ใช่ นั่นหมายความว่าเราไม่รู้จักกัน ผมไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของเขา มากที่สุดคือคณะที่เขาเรียน ผมปล่อยให้เขาพูดต่อไปในขณะเดียวกันก็จดจำวินาทีตรงนี้ไว้ ผมรู้สึกว่าอากาศตรงนี้มันไม่หนาวเลยซักนิด

     


                ผมคิดว่านี่มันบ้าสิ้นดี ผมปล่อยให้คนที่ไม่รู้จักกอด แตะตัวเองทั้งๆที่ผมรักตัวเองเสียยิ่งกว่าอะไร

     


                และมันตลกร้ายยิ่งกว่านั้นคือมันอบอุ่นและมันปลอดภัย ผมรู้สึกว่ามันปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขา เหมือนหลุบหลบภัย

     


                “ดูเหมือนผมต้องไปแล้วล่ะ” โทรศัพท์แผดเสียง ใครบางคนกำลังตามหาเขาจากข้างนอกนั่น ผมทำเพียงส่งยิ้มเล็กๆ ไม่แม้แต่โบกมือลา เหมือนเดิม เขาหยัดตัวลุกขึ้นผมเริ่มจดจำแผ่นหลังกว้างๆของเขาได้ หากแต่คราวนี้

     


                เขาวิ่งไกลออกไป ผ่านเนินเตี้ยๆ และหันหลังกลับมา เรือนผมบลอนด์สวยแจ่มแจ้งในสายตา

     


                “ผมชื่อคิมจงอิน คิม - จง -อิน ได้ยินมั้ย” เพิ่มระดับเสียงเหมือนตะโกน เขาโบกมือให้ผมเหมือนเด็กจากข้างล่าง ผมสูดน้ำมูกเข้าอีกครั้งเพราะอุณหภูมิที่ต่ำลง

     


                คนตัวสูงส่งยิ้มอบอุ่นใจดี จนผมเผลอยิ้มออกมาเสียไม่ได้ เขาก็ยังหยุดยืนไม่ไปไหน เจิดจ้าท่ามกลางผู้คนมากมาย สว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์

     



                ในตอนนั้นเอง ผมรวมรวมความกล้าพูดออกไป

     



                “ได้ยินแล้ว! ตะโกนออกไปอย่างน่าอาย ยกมือขึ้นถูจมูกเวลาทำอะไรไม่ถูก เขาจ้องมองมาที่ผมเนิ่นนาน

     



                เนิ่นนานจนกว่าเขาจะพอใจ จนกระทั่งผมเห็นแผ่นหลังโตๆนั่นไกลออกไป จนลับสายตา

     



                และเนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้ที่ผมเผลอยิ้มออกมา

     







     


    ค่ำวันนั้นผมเปิดไดอารี่ออก เลขวันที่บ่งบอกว่าผมหายไปนานพอสมควร




    ผมจรดปากกาลงบนกระดาษ หมึกสีดำซึมลงไปเป็นร่องรอยตัวอักษร ชื่อของเขา





    คิมจงอิน

     





    TBC

     

    ให้ทายว่าคยองซูเรียนคณะอะไร

    เขาคุยกันแล้ว เย้ ฟิคเรื่องนี้เราตั้งใจให้มันค่อยเป็นค่อยไป

    ฝากด้วยนะคะ ขอให้เป็นวันที่ดี

    #ficdearyouks


    (c)              Chess theme
      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×