คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Lost my way : Chapter 1
แต่วันนึงฉันผ่านมาพบเธอตรงนั้น ดวงใจเป็นเดือดเป็นร้อนช่างทรมาน
ราวกับโดนมนตร์แม่มดสะกดพลัน นาทีนั้น..
ฉันรักเธอ ‘ทันใด’
เสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นหินอ่อนของโรงแรม ร่างโปร่งขึ้นลิฟต์เพื่อพาตัวเขามุ่งทะยานไปสู่ชั้นสิบเก้า สถานที่จัดงานเลี้ยงร่วมทุนระหว่างสองบริษัท
จงอินนั่งอยู่ในงานเลี้ยงด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายทุกสิ่งรอบตัว ภาพที่เราเห็นกันคือผู้ชายใส่ชุดสูทถือแก้วไวน์ทรงสูงแล้วพูดคุยกันด้วยท่าทีเป็นมิตร แต่ความจริงทุกคนต่างสวมหน้ากากแม้ว่าที่นี่จะไม่มีงานเต้นรำ แก้วไวน์แท้จริงคือด้ามมีดหรืออาจจะเลวร้ายถึงขั้นเป็นกระบอกปืน ถ้าหากว่าเผลอเมื่อไรการกอบโกยผลประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นในสังคมของความจอมปลอมแบบนี้
ถึงแม้ว่าจงอินจะเบื่อแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของวงจรอุบาทว์พวกนี้
“อย่าเพิ่งทำหน้าเหม็นเบื่ออย่างนั้นสิ คนเค้าดูออกกันหมดแล้ว” เจ้าของคำพูดขี้เล่นคือผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งมีความสูงเกือบร้อยเก้าซิบเซนติเมตร
ชานยอลมีดวงตากลมโตพราวระยับดูเป็นมิตรและขี้เล่น จึงมักได้รับหน้าที่ในการเกลี้ยกล่อมเวลาเซ็นสัญญาลงทุนอยู่เสมอ ผิดกับจงอินที่ทุกอย่างมักจะแสดงออกผ่านสีหน้าไปเสียหมด จงอินจึงต้องทำงานเบื้องหลัง
แต่งานใหญ่ๆใช้คนเพียงแค่คนเดียวทำเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แค่เฟืองตัวเดียวไม่พอให้ล้อหมุน ฉันใดก็ฉันนั้น แค่มีคนฝีปากกล้าอย่างชานยอลคงไม่พอ จะขาดคนมีฝีมืออย่างจงอินไปได้ยังไงกัน เพราะแบบนั้นจงอินถึงได้มานั่งเบื่อโลกอยู่ตรงนี้ยังไงล่ะ
“ใครเค้าจะเสแสร้งเก่งเหมือนมึง” จงอินหันไปแขวะ ชานยอลรับคำจิกกัดนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่สนุกก็หาอะไรทำสิวะ คิดซะว่ามากินเหล้าฟรีก็ได้ มองโลกในแง่ดีหน่อยเพื่อน” ชานยอลยักคิ้ว ร่างสูงดีดนิ้วดังเปราะ เป็นสัญญาณเรียกให้บริกรเดินมาทางพวกเขา
“มีไวน์ใช่มั้ยขอซักปี 1988 ได้หรือเปล่า”
“รอซักครู่นะครับ” บริกรค้อมหัวให้แล้วเดินกลับหลังไป
ชานยอลรู้สึกพลาดเมื่อเขามองตามทางที่บริกรเดินไปนั้นก็พบกับโต๊ะที่มีเครื่องดื่มมากมายวางรวมอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญไวน์เก่าเก็บมากกว่าปี 1988 ก็ยังมีเสียด้วย
ทั้งห้องโถงกว้างขนาดใหญ่ของโรงแรมถูกจัดด้วยผ้าสีขาว คลุมแล้วจับจีบโค้งระย้าโดยรอบ มีเวทีอยู่ด้านหน้าซึ่งจงอินก็ไม่ได้สนใจฟังมากนัก แต่เมื่อมองไปด้านข้างเขากลับสะดุดตากับเปียโนที่วางอยู่
“คืนนี้จ้างคนเล่นเปียโนหรอวะ” จงอินหันไปถามชานยอลที่ดูจะใส่ใจงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้มากกว่าเขา
“ใช่ หรือมึงอยากฟังวงเครื่องสาย ชอบเปียโนไม่ใช่หรอมึงน่ะ”
“อืม ค่อยรู้สึกว่างานนี้มันน่ามาหน่อย” จงอินยิ้มมุมปาก
กลิ่นของแอลกฮอลล์คละคลุ้งอยู่ในประสาทรับกลิ่น เมื่อของเหลวสีแดงฉานแทบไม่ต่างจากเลือดหยดลงมาเป็นทางจากปากขวด เคลื่อนตัวผ่านอากาศเพื่อมาอาศัยอยู่ในพาชนะใหม่เป็นแก้วใสทรงเตี้ย บริกรรินไวน์อย่างชำนิชำนาญด้วยการหักข้อมือและยกขึ้นสูง ไวน์แต่ละชนิดมีวิธีการรินที่ไม่เหมือนกัน บางขวดชอบอากาศการเทให้สายน้ำยาวกว่าจะถึงแก้วจะทำให้ไวน์รสชาติดีมากยิ่งขึ้น แต่กับบางขวดกลับทำให้เปรี้ยวฝืดคอ
จงอินจิบของเหลวสีแดงสดนั้นลงคอดื่มดำกับความหวานและขมของผลไม้หมักที่คละเคล้าอยู่ในช่องปาก มันมีหลายรสชาติแค่หลับตาก็เห็นภาพตัวเองในช่วงวัยแรกเกิดที่ไวน์ขวดนี้เริ่มบ่มพอดี
เสียงบรรเลงเปียโนดังขึ้นจากหน้าเวที จงอินฟังแค่โน๊ตตัวแรกก็รู้แล้วว่าเป็นเพลง Canon in D minor แม่ของจงอินเป็นนักเปียโนที่เก่งกาจและมีฝีมือเอามากๆ แม่สามารถบรรเลงเพลงได้มากมายจนเขาไม่มีวันนับได้หมด เสียงเปียโนของแม่มีเสน่ห์มากกว่าใคร
แต่เสียงที่จงอินกำลังได้ฟังอยู่ในตอนนี้ก็มีเสน่ห์มากไม่แพ้กัน ไม่สิ มันมากกว่าด้วยซ้ำ เขารู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่บนตักแม่ตอนที่ได้ยินเสียงแต่ละตัวโน๊ตดังขึ้น มันกระเด้งกระดอนอยู่ในหัวของเขาซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเทปคาสเซ็ทที่ถูกเล่นวนจนเทปยืดไปหมด เขาเหมือนถูกสะกดด้วยคาถางงงันเพียงเพราะคีย์เปียโนแรกที่ถูกส่งเข้ามาผ่านประสาทการรับรู้ เขาอื้ออึง
เหมือนถูกผลักให้ตกลงไปในหลุมที่นักเปียโนคนนั้นสร้างขึ้นมา
เขามองไปข้างหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้ เหมือนนักเรียนที่สนใจอาจารย์ผู้สอนจนเกินเหตุทั้งๆที่ทุกคนในห้องไม่มีใครสนใจท่วงทำนองที่ล่องลอยไปกับสายลม มีแค่เพียงจงอินเท่านั้น
ผิดคาดที่คนเล่นเป็นผู้ชาย จงอินไม่คิดว่าการที่จะพรมทุกตัวโน๊ตลงไปได้ด้วยความอ่อนหวานขนาดนี้จะเป็นผู้ชาย มันนุ่มละมุน อบอุ่นเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของแม่ ผู้ชายคนนั้นตัวเล็กนิดเดียว แถมไหล่ก็ยังแคบผิดกับผู้ชายทั่วไป ส่วนสูงน้อยกว่ามาตรฐานเขาสังเกตเอาจากแผ่นหลังเหยียดตรงที่มันไม่ได้มากนักของเจ้าตัว
อาหารมาเสิร์ฟแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีไก่ตุ๋นโสมจีนของโปรดอยู่ตรงหน้าแต่มันกลับชักจูงความสนใจของจงอินไม่ได้เท่ากับเสียงเพลงจากนักเปียโนคนนั้น นิ้วเรียวทั้งสี่เคลื่อนตัวอย่างพลิ้วไหวสวยงาม มีลีลาที่อ่อนช้อยและน่าติดตาม เหมือนกับนักยิมนาสติคลีลาที่เล่นกายกรรมกับริบบิ้นหลากสี จงอินแทบละสายตาไม่ได้ ยิ่งตอนที่ร่างโปร่งได้เห็นใบหน้าของใครคนนั้นอย่างชัดเจน ในช่วงท้ายของเพลงที่อารมณ์เริ่มคุกรุ่น โน้ตเพลงบางครั้งก็ไม่จำเป็นสำหรับนักเปียโนมืออาชีพที่เล่นได้เกือบทุกเพลงอย่างชำนาญ
นักเปียโนคนเก่งผินใบหน้าออกมาทางที่จงอินนั่งอยู่ ไม่มองแม้กระทั่งตัวโน๊ตหรือแป้นเปียโนแต่กลับกดได้อย่างถูกต้องแม่นยำ จงอินแน่ใจว่าเขาจำจังหวะของเพลงนี้ได้ เก่งมากเกินไปแล้วทั้งยังมีเสน่ห์อย่างหาตัวจับได้ยาก ไม่ใช่แค่การเล่นเปียโนแต่ใบหน้านั้นก็เช่นกัน
ผู้ชายคนนั้นไม่ได้แค่ตัวเล็ก แต่เครื่องหน้าก็ดึงดูดจงอินไม่แพ้เสียงเปียโนที่เจ้าตัวสร้างสรรค์มันขึ้นมา ใบหน้าได้รูป ดวงตากลมโตนั้นเหมือนมีเวทมนตร์ จงอินถูกสะกดด้วยทุกอย่างที่รวมกันเป็นคนคนนั้น ปลายจมูกรั้นรับกับริมฝีปากรูปหัวใจ ที่จงอินแทบไม่เคยเห็นรูปปากแบบนี้จากใครที่ไหน
หรือนี่อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์เดชจากไวน์ปี 1988 ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ เคลิบเคลิ้มเหมือนอยู่ในภวังค์ หลงใหลทั้งรูปรสกลิ่นเสียงของนักเปียโนตัวเล็กคนนั้น
ปลายนิ้วหยุดลงที่ตัวโน๊ตสุดท้าย แล้วนักเปียโนคนนั้นก็หันหน้ากลับไปเหมือนเดิม จากตรงนี้จงอินเห็นแค่เศษเสี้ยวของใบหน้า ผมสีดำขลับของเจ้าตัวรกปรกหน้าผาก แค่เพียงมองจากระยะไกลเขากลับรู้สึกว่ามันน่าจะนุ่มนิ่มจนอยากจะยื่นมือของตัวเองไปสัมผัส ช่วยเก็บผมนั้นทัดใบหูเผื่อว่าคนตัวเล็กจะเล่นเปียโนได้ถนัดมากขึ้น
เพลงต่อมาที่จงอินได้ยินนั้นช่างเศร้าสร้อย การเปลี่ยนเพลงของนักเปียโนคนนี้ช่างร้ายกาจ จากเพลงยุคเก่าเปลี่ยนมาเป็นเพลงร่วมสมัยอย่าง Kiss of the rain แม้ว่าจะไม่มีเสียงร้อง มีเพียงแค่เสียงเปียโนที่ขับขานจังหวะ แต่จงอินกลับรู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตา แค่ฟังก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ เพราะเสียงดนตรีที่จงอินได้ยินก็กำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน
มันไม่ใช่การร้องไห้ฟูมฟายแต่เป็นการร้องไห้แบบที่ค่อยๆปลดปล่อยน้ำตาลงมาอย่างเชื่องช้า พร้อมกับทำนองเพลงที่ค่อยๆดำเนินไป
“สนใจหรอวะ คนนั้นน่ะ” ชานยอลมองจงอินมานานแล้ว เรียกเท่าไรก็ไม่หัน เขาจึงปล่อยให้มันเพลิดเพลินกับดนตรีที่มันชอบอยู่ซักพักถึงได้ตัดสินใจสะกิด
“เค้าเล่นเปียโนเพราะดี ฝีมือไม่ธรรมดา”
“ไม่” ใช่แค่เพราะธรรมดาแล้วมั้งแบบนี้
“ก็เพราะมากไง”
“มึงกลับยังไงอะวันนี้ เอารถมามั้ย”
“เอามา วันนี้กูไม่อาศัยรถมึงไปหรอกน่า”
“เหล้าไวน์ก็อย่ากินเยอะ อ่อไม่สิมึงคงเมาอย่างอื่นมากกว่า” ชานยอลพูดด้วยดวงตาซุกซนแล้วก็ขอตัวไปที่โต๊ะอื่นเพราะเจ้าตัวยังคงต้องทำหน้าที่นักเจรจาที่ดี
แล้วเวลาก็เคลื่อนผ่านจงอินไปอย่างรวดเร็ว ตลอดเวลาร่างโปร่งแทบไม่พูดคุยกับใคร มีบ้างที่หันไปชนแก้วกับคนอื่น จนกระทั่งงานเลี้ยงสิ้นสุด ก่อนหน้าที่ตัวโน๊ตสุดท้ายจะจบลง เท้าเล็กเหยียบบนคันเหยียบ ประธานของงานกล่าวปิดพิธีแล้วเดินลงไปบนพรมแดงที่ทอดยาว
งานเลี้ยงแบบทางการจบลงแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ยังอยู่ต่อเพราะมีเครื่องดื่มชั้นดีมากมายยังคงรอให้บริการอยู่เสมอ จงอินปรายสายตาไปทางร่างเล็กที่เริ่มลุกขึ้นแล้วจัดเสื้อผ้าตัวเอง
จงอินมองเห็นนักเปียโนชัดเจนมากขึ้น มองเห็นว่าร่างเล็กใส่สูทกับเสื้อเชิ้ตพร้อมเนคไท สูทสีดำทำให้นักเปียโนตัวเล็กกว่าเดิม ยิ่งเดินอยู่กลางห้องโถงขนาดใหญ่แบบนี้ เหมือนเป็นมนุษย์ตัวจ้อยที่น่าเอ็นดู ผิวขาวเหมือนหิมะในแรกฤดูหนาว เปล่งประกายเจิดจ้าจนจงอินตาพร่ามัว
แล้วร่างโปร่งก็ตัดสินใจเดินตาม สาวเท้ายาวไม่กี่ก้าวก็สามารถตามทันคนที่ตัวเล็กกว่า นักเปียโนหยุดกึกในจังหวะเดียวกันกับที่จงอินไปยืนอยู่ข้างหน้าเรียบร้อยแล้ว
“คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” ดวงตากลมที่จงอินมามองดูใกล้ๆ มันทั้งใสและเปล่งประกายเหมือนลูกแก้ว
“คือผมอยากจะบอกว่า… ผมชอบคุณ เอ่อไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมหมายถึงผมชอบที่คุณเล่นเปียโนในวันนี้มากๆ ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง แต่มันเพราะจริงๆนะครับ”
“ขอบคุณครับ” แล้วจงอินก็ได้เห็นว่ามันเป็นรูปหัวใจจริงๆในตอนที่คยองซูยิ้ม
“คุณชื่ออะไรหรอครับ”
“คยองซูครับ”
“ผมจงอินนะครับ” แล้วกระดาษสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือ หรือก็คือนามบัตรถูกหยิบยื่นให้ร่างเล็กในทันที บนนั้นระบุทุกอย่างชื่อ นามสกุล ตำแหน่ง เบอร์โทรศัพท์
“คุณมาจากบริษัทเจ้าของงานสินะครับ” เมื่อคยองซูกวาดสายตาอ่านตัวอักษรพวกนั้นข้อมูลที่ได้รับรู้ทำให้เอ่ยปากถามออกไป
“ใช่ครับแต่ที่จริงผมก็ไม่ชอบนักหรอก พวกเขาน่ะใส่หน้ากาก” จงอินทำทะเล่นด้วยการเอามือของตัวเองมาบังบนใบหน้าแล้ววาดเป็นรูปหน้ากากออกมา
“ฮึ คุณนี่ตลกดีนะ” คยองซูหัวเราะ จงอินที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ดูเคร่งขรึม ถ้าอีกฝ่ายไม่เข้ามาทักก่อน เขาคงไม่กล้าจะเข้าไปคุยก่อนแน่ๆ
สิ่งที่คยองซูเห็นคือผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมเข้ม ผิวสีน้ำผึ้ง กับดวงตาเจ้าชู้ ยิ่งเวลาที่จงอินยิ้มมุมปาก มันทำให้คยองซูกลืนน้ำลายลงคอได้ยากลำบาก เพราะจงอินดูมีแรงเร่งเร้าขับเคลื่อนพลังงานบางอย่างให้พวยพุ่ง แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนักที่เราจะคิดแบบนั้นกับคนที่เพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรก
“ผมอยากชวนคุณดื่มไวน์ซักแก้วนึง จะรังเกียจหรือเปล่าครับ”
“คือว่าผมดื่มไม่ค่อยเก่งน่ะ” คยองซูไม่ค่อยถูกับของพวกนี้ พอจะกินได้บ้างแต่ว่าถ้าเมาแล้วล่ะก็จะเมาแบบสุดๆไปเลยล่ะ
“เสียดายจังนะครับ แต่มันก็แค่ไวน์เองนะ” เสียงทุ้มต่ำนั้นพยายามออดอ้อนร่างบาง
ถ้าหากว่าจงอินหลงใหลในมนต์ตราของท่วงทำนองที่คยองซูขับขานโดยใช้ปลายนิ้ว คยองซูเองก็คงไม่ต่างกันหลงใหลไปกับรูปลักษณ์ของคนตรงหน้ารวมไปถึงความช่างเอาใจใส่เล็กๆน้อยๆนี้ด้วย
“อ่านิดเดียวนะครับ” ใจอ่อนยวบไปกว่าครึ่ง จงอินยิ้มแล้วกวักมือเรียกบริกรให้เดินมาหา ขอให้ช่วยหยิบไวน์ปี 1988 ขวดเดียวกับที่จงอินกินไปตอนงานเลี้ยงเริ่ม
บริกรชายยังรินไวน์ด้วยวิธีการแบบเดิม คยองซูเคยเห็นภาพนี้อยู่บ่อยครั้งยามที่โดนเชิญให้ไปเล่นในงานเลี้ยงหรูหราระดับนี้
จงอินยื่นแก้วใสที่ภายในบรรจุของเหลวสีแดงสดให้คยองซู มือขาวรับมันมาถือไว้ จงอินยิ้มจนเห็นฟันขาวแล้วชนแก้วเบาๆดัง กริ๊ก
“ดื่มให้กับมิตรภาพในวันนี้ดีมั้ยครับ” แล้วจงอินก็ชูแก้วขึ้นมาอีกครั้ง ร่างโปร่งจิบไวน์รวดเดียวจนหมด
คยองซูตกใจนิดหน่อย สีหน้าของจงอินดูจะพออกพอใจกับรสชาติของไวน์ ร่างบางมองแก้วที่ตนถืออยู่ในมือแล้วก็ยกขึ้นดื่มบ้าง
จากที่ตั้งใจจะจิบแค่นิดเดียว แต่ไวน์ขวดนี้ไม่เหมือนที่เคยดื่มมาเลย บางทีอาจจะเพราะมันหมักมานาน ถูกบ่มเพาะด้วยอุณหภูมิและเวลาที่เหมาะสม ความหวานยังคงแผ่ซ่านติดอยู่ที่ปลายลิ้นแม้ว่าจะกลืนของเหลวนั้นผ่านลำคอไปแล้วก็ตาม แล้วก็มีจิบที่สองสามสี่ห้าตามมาจนกระทั่งหมดแก้ว
“อร่อยดีนะครับ”
“ไม่บอกก็รู้ ดื่มหมดแก้วขนาดนี้ เอาอีกซักหน่อยมั้ย”
“อีกแค่แก้วเดียวพอนะครับ”
“ไวน์ขวดนี้หมักตอนผมเกิดล่ะ” จงอินอวดอ้างสรรพคุณหลังจากที่คยองซูดื่มแก้วที่สองจนหมดและยังติดใจขอแก้วที่สาม
“เอ๋ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณก็อายุ 26”
“ใช่ครับ ทำไมหรอ”
“ผมอายุ 27 แล้วน่ะ” คยองซูเขินจนต้องยกมือขึ้นเกาท้ายทอย เขาคิดว่าจงอินน่าจะรุ่นเดียวกันเสียอีก ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายหน้าแก่หรืออะไรแบบนั้น แต่ท่าทางดูเป็นผู้ใหญ่ อบอุ่น น่าอยู่ด้วย
ไม่ใช่นิสัยปกติของคยองซูหรอกที่จะอยู่ด้วยกับคนไม่รู้จักนานสองนานแบบนี้ แต่พอเป็นจงอินเขาก็ลืมสิ่งที่ตัวเองทำเป็นประจำไปจนหมด ชนแก้วไปด้วยตั้งสามแก้ว และเห็นทีแม้ว่าจะติดใจรสชาติของไวน์แค่ไหนแต่ก็ควรจะพอได้แล้ว เพราะคยองซูเริ่มรู้สึกถึงกลีบกุหลาบที่ก่อตัวเป็นพายุหมุนวนอยู่ในช่องท้อง บวกกับแววตาฉ่ำเยิ่มที่เร้าเสน่ห์ของจงอิน
อย่าคิดแบบนั้นสิคยองซู
“ให้ผมไปส่งคุณมั้ย คุณไหวหรือเปล่า” จงอินพยุงข้อศอกของร่างบางเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่รู้สึกว่ามันเคลิ้มๆน่ะ” คยองซูไม่ได้มึนหัวเขายังทรงตัวได้แต่รู้สึกว่านัยต์ตาของตัวเองเริ่มจะหวานกว่าปกติ เป็นแบบนี้ทุกครั้งมันจะฉ่ำน้ำเวลาที่คยองซูดื่มของมึนเมา
จงอินมองภาพของคยองซูที่วางแก้วทรงเตี้ยไว้กับโต๊ะ ตอบคำถามพร้อมกับมองหน้าเขาด้วยสายตาที่หวานเชื่อม มากกว่าเอาน้ำตาลทั้งถุงมากองรวมกัน แพขนตายาวกระพริบถี่ปรือ เย้ายวนจนหัวใจของเขากระตุก และเขาก็คิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็น ‘รักแรกพบ’
ด้วยมนต์ตราแห่งเสียงดนตรีและมนต์ตราแห่งความน่ารักของคยองซู
ยิ่งได้พินิจใบหน้าขาวอย่างใกล้ชิด เขาก็เห็นว่ามันทั้งขาวและใส ไม่น่าเชื่อว่าคยองซูจะอายุมากกว่าเขาถึงแม้ว่าจะแค่ปีเดียวก็เถอะ ทุกอย่างในตัวคยองซูทำให้ร่างบางเหมือนนักศึกษาวิชาดนตรีที่เพิ่งจบใหม่เสียมากกว่า
“งั้นผมไปส่งนะ อยากจะรับผิดชอบที่ทำคุณเคลิ้ม” จงอินหัวเราะและคยองซูก็ขำออกมาเช่นกัน
“งั้นรบกวนด้วยนะครับ”
ร่างบางเดินตามแผ่นหลังกว้างไป ใช้มันเป็นจุดรวมสายตา ตอนนี้เราอยู่ในอาคารจอดรถที่มืดสนิท มีเพียงแสงไฟสลัวจากเพดานด้านบนเท่านั้น แต่บรรยากาศที่โรยตัวอยู่ด้านนอกมืดจนคยองซูไม่กล้าเดินมาคนเดียวแน่นอน
“ระวังนะ” จงอินร้องทักขึ้นมาเมื่อคยองซูเกือบจะสะดุด ปูนที่ก่อตัวไว้เป็นแนวยาวสำหรับคานล้อรถ ร่างโปร่งจับแขนเล็กเอาไว้แล้วตัดสินใจจับข้อมือบางเดินไปพร้อมกัน
งานที่จงอินทำได้ค่าตอบแทนสูงและตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนใช้เงินฟุ่มเฟือยจึงพอจะมีเงินซื้อรถหรูอย่างเมอร์ซิเดสเบนซ์สีดำมันปลาบ เขากดปลดล๊อคกุญแจจนกระทั่งเสียงสัญญาณเตือนดัง จงอินเดินอ้อมไปยังฝั่งที่นั่งข้างคนขับเพื่อเปิดประตูให้คยองซู
“ขอบคุณครับ” คยองซูพยักหน้า รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะร้อน บางทีอาจจะเป็นเพราะไวน์
จงอินเปิดประตูรถออกแล้วนั่งในตำแหน่งคนขับ สตาร์ทรถแล้วขับวนลงมาที่ลานจอด ตลอดเวลาจงอินพยายามขับไม่เร็วมากนักเพราะกลัวคยองซูจะมึนหัวเวลาที่ต้องหมุนรถผ่านวงเวียน
ปลายนิ้วยาวเลื่อนไปกดปุ่มเปิดเพลงภายในรถเพื่อทำลายความเงียบสงัดที่ก่อตัวขึ้นมา เสียงเพลงเปียโนบรรเลงดังขึ้นกลบเสียงเครื่องยนต์ของรถยุโรปที่แล่นได้เบาจนแทบไม่รู้สึกตัว
“คุณชอบฟังเพลงบรรเลงเปียโนหรอ” คยองซูยิ้มกว้าง เพราะเขาเองก็ชอบเปียโนชอบมากจนถึงขนาดเล่นเป็นอาชีพ
ทีแรกก็คิดว่าจงอินเป็นคนที่คิดว่าเพลงมันเพราะธรรมดาแต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายฟังมันเป็นประจำแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าคำชมของจงอินมันพิเศษ
“ใช่ครับผมอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็กๆ แม่ผมชอบเล่นเปียโนน่ะ”
“แบบนี้คุณก็เก่งเลยล่ะสิ”
“ไม่หรอกครับตรงกันข้าม ผมเล่นแทบไม่เป็นเลย ฟังออกอย่างเดียว แค่ได้ยินโน้ตก็รู้แล้วว่าเป็นเพลงไหน คงเพราะฟังมานานมั้งครับ”
จงอินเป็นลูกไม้ที่หล่นไกลต้น แม่มีความสามารถด้านดนตรีแต่ตัวเขากลับไม่มี ทั้งๆที่อยากจะลองเล่นเปียโนดูแต่ก็พบว่ามันไม่ใช่ทางที่เหมาะเท่าไร จงอินชอบที่จะเป็นผู้ฟังมากกว่า
“ก็แปลกดีนะครับ” คยองซูรู้สึกสนุก เวลาที่จงอินเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง ถึงแม้ว่าร่างโปร่งจะเล่นเปียโนไม่เป็นแต่ก็สามารถคุยเรื่องเปียโนกับคยองซูได้
“คุณหนาวหรือเปล่า” จงอินสังเกตเห็นคยองซูกระชับเสื้อสูท เขาจึงถามออกไป
“นิดหน่อยครับ”
“งั้นผมเบาแอร์ให้นะ” จงอินยิ้มบาง มือหนาปรับแรงลมให้อ่อนกำลังลงหน่อย
คยองซูหันมองออกไปภายนอกหน้าต่าง แล้วมุมปากก็ยกตัวขึ้นเช่นกัน ผู้ชายที่ดูเคร่งขรึมออกอย่างนั้น เนื้อแท้กลับอ่อนโยนแถมยังช่างเอาใจใส่
จงอินขับรถมาจนถึงบ้านที่คยองซูอยู่ เป็นบ้านขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีรั้วรอบขอบชิด ไม่ได้ติดกันเป็นแนวกับบ้านหลังอื่นบ้านแต่ละหลังมีการเว้นระยะจากกันเพื่อความเป็นส่วนตัว
“เข้าไปดื่มน้ำหน่อยมั้ย คุณคงจะเหนื่อย”
“ยินดีเลยครับ ผมหิวจะแย่แล้ว”
จงอินเดินตามคยองซูเข้าไปในตัวบ้าน ร่างบางให้จงอินรออยู่ในห้องที่มีเปียโนหนึ่งหลัง ไม่ใช่ แกรนด์เปียโนแบบที่ร้านอาหารแต่เป็นเปียโนสีดำสนิท มันปลาบเหมือนกับรถของเขา
ร่างโปร่งเดินเข้าไปใกล้มีผ้าคลุมสักหลาดสีแดงวางอยู่ แทบทุกตรารางนิ้วของเปียโนเงาวับ ไม่มีแม้แต่ไรฝุ่นให้เห็น คยองซูคงจะรักษาเป็นอย่างดีและหมั่นเล่นเป็นประจำสม่ำเสมอ
คยองซูหายลับไปในห้องครัว ไม่นานก็กลับมาพร้อมน้ำเปล่าที่เย็นจนมีไอน้ำเกาะอยู่ข้างแก้ว มือบางยื่นให้จงอินที่รอรับอยู่ก่อนแล้ว
“ผมอยากฟังคุณเล่นเปียโนจัง”
“แค่คุณกับผม…ในตอนนี้”
TALK
รู้สึกว่าเปียโนกับเคะเป็นสิ่งที่เกิดมาเพื่อคู่กัน มันพังอย่างบอกไม่ถูก TT
ตอนอี้เล่นเปียโน แบคเล่นเปียโนมันแบบ บีบคั้นในความรู้สึก #ชอบดูคนเล่นเปียโนแต่เล่นไม่เป็น
เรื่องนี้เลยมโนว่าคยองเล่นเปียโนบ้างไรบ้าง
อ่า เผื่อมีคนงงเนอะ นี่ย้อนเรื่องอยู่นะคะ
ทำไมชอบเขียแนวนี้นะ -*- จากหลังแล้วย้อนมาข้างหน้า 5555
ฝากด้วยนะคะ สครีม #ฟิคซาดิส ได้เสมอจ่ะ
@TEYA_Wu
ความคิดเห็น