ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฤทธา ราตรี

    ลำดับตอนที่ #3 : กาลเวลาเป็นเพียงการเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 61


    เด็กหนุ่ม ยังคงเงียบขรึมเมื่อพบเจอกับอาจารย์ของตัวเองในสภาพที่งัวเงียหลังจากที่ต้องใช้เวลาเกินครึ่งค่อนคืนเพื่อแปลจารึกโบราณและตื่นแต่เช้าเพื่อขึ้นเครื่องบินมายังเชียงใหม่ เขาเชื่อเสมอว่าอันที่จริงแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นล้วนไม่ใช่ความผิดของเขา ณ ตอนนี้เขาเพียงแต่อยู่ในสถานการณ์ที่มันยากที่จะต่อสู้ก็เพียงแค่นั้น ระชดมีเพียงกระเป๋าแบคแพคใบใหญ่เพียงใบเดียว แต่ตรงกันข้ามกับอชิตะที่มีแค่กระเป๋าเป้เล็กๆแต่เพียงใบเดียวซึ่งมองดูแล้วมันไม่เหมือนกับว่าเขาจะมาทำวิจัยหรือเก็บตัวอย่างโบราณคดีเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางออกจากสนามบินเชียงใหม่ที่คับคั่งในตอนกลางวัน แต่สำหรับในตอนเช้านี้มันกลับตรงกันข้าม บรรยากาศช่างแสนเงียบงัน มองภายนอกแล้วมันกับวังเวงเสียเหลือเกิน ท้องฟ้าเป็นสีมืดครึ้ม สายลมนิ่งสนิทไม่มีแม้แต่เสียงฝูงนกที่กรีดร้องยามเช้า เด็กหนุ่มไม่ชินกับบรรยากาศแบบนี้มันไม่เหมือนเมืองเหนือที่เขาเคยสัมผัสมาก่อน ในขณะที่อาจารย์และลูกศิษย์กำลังเดินออกจากสนามบินนั้น ฝูงนกอพยพกลุ่มใหญ่วิ่งอยู่ในสนามบินมากมายอย่างน่าตกใจ ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่นกอพยพธรรมดาแต่ระชดกลับรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก มันดูมีอะไรแตกต่างออกไปแต่เขาก็ยังอธิบายอะไรไม่ได้ ในขณะที่อชิตะนั้นกลับนิ่งสงบราวกลับว่าไม่รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์แปลกๆของธรรมชาติรอบตัว เด็กหนุ่มไม่ชอบบรรยากาศที่แสนเงียบจนเกินไปแบบนี้ เขาจึงขัดจังหวะขึ้นมาทันที

    “อาจารย์ เอากระเป๋ามาแค่นี้หรอครับ เราจะไปกันไม่นานใช่ไหมครับ” อชิตะหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของเขาเล็กน้อย ก่อนจะตอบรับคำถามของลูกศิษย์เพื่อทำลายความเงียบเช่นกัน

    “ใช่ หวังว่าเราคงไปกันไม่นาน กระเป๋าคุณมีที่ว่างอีกไหม”

    “ มีครับ อาจารย์จะฝากขายของไว้กลับผมหรือเปล่า ฝากได้นะครับ”

    เด็กหนุ่มทำท่าวางกระเป๋าลงแล้วเปิดกระเป๋าเขาพอมีที่ว่างอีกประมาณ 1 ลิตร ถ้าเทียบกับอาจารย์ที่ไม่ได้เตรียมอะไรมาใส่โบราณวัตถุเลย การที่กระเป๋าของเขาว่างเช่นนี้นั้นมันก็คงเป็นโชคดีกับพวกเขาทั้งคู่เช่นกัน

    อาจารย์หนุ่มก็เช่นกัน เขาหันไปมองซ้ายและขวาก็พบว่าสนามบินผู้คนยังไม่เยอะมากเท่ากับตอนกลางวันเขาจึงวางใจที่จะเปิดกระเป๋าของเขา ประชดแทบช็อคเมื่อพบว่าอชิตะพกตรีศูลโบราณอันนั้นมาด้วย ชายผู้นี้มักทำอะไรที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลเสมอในสายตาของนักศึกษาหนุ่ม ระชดคว้ามันมาเก็บใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า

    “ไม่ต้องตกใจไประชด เดี๋ยวเราก็ได้ใช้”

    อาจารย์พูดจาประหลาดๆอีกแล้ว ระชดคิด

    “อาจารย์ไม่กลัวมันพังหรอครับ นี่มันวัตถุโบราณนะครับ”

    “ผมไม่กลัวหรอก มันอาจจะช่วยให้เรามีชีวิตรอดกลับมา”

    เด็กหนุ่มรู้สึกเคว้งคว้างกับคำพูดของอาจารย์ของเขา คำพูดของอาชิตะดูจริงจังเกินไป ทำเอาเด็กหนุ่มอยากจะวิ่งหนีเสียแต่ตอนนี้ไปให้พ้นๆ เอาชีวิตรอดบ้าบออะไร ใช่เขาเกือบลืมไปว่าเมื่อวานนั้นเขาก็เจอเรื่องประหลาดตั้งแต่เช้าจนกระทั่งก่อนเข้านอนเสียด้วยซ้ำ เอาหล่ะ คงไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้วหล่ะ

    “ครับ”

    เด็กหนุ่มเดินตามอาจารย์ของเขาไปที่รถคันหนึ่ง เมื่อชายในรถเลื่อนกระจกลง ระชดต้องตกใจเมื่อเขาพบกับชายชาวเผ่าที่ใส่ชุดแม้วข้างในนั้น เขารู้ดีว่าชาวเขาก็ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปแต่ไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้ในสนามบินแบบนี้ เขาพอจะนึกออกแล้วว่าเขาจะต้องออกไปไกลแค่ไหนและพอสิ่งที่เขาจะเดาได้ก็คือหมู่บ้านชาวเขาคือปากทางที่จะไปยังกรุโบราณ เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และตอนนี้ไม่ว่าอาจารย์จะให้ทำอะไรก็ต้องทำเพราะเขาไม่อยากถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย

    เมื่อทั้งสองเข้าไปนั่งในรถกระบะคันแคบ ชายชาวเขาคนนั้นคุยกับอะชิตะด้วยภาษาพื้นเมือง อาจารย์หนุ่มตอบโต้เป็นภาษาพื้นเมืองได้อย่างคล่องแคล่วจนระชดต้องหยุดเล่นโทรศัพท์มือถือแล้วพยายามฟังว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่ในที่สุดก็ไร้ประโยชน์ ระชดฟังไม่ออกเลยสักคำ จนในที่สุดเด็กหนุ่มต้องกลับมาเล่นมือถืออีกครั้ง จนกระทั่งการสนทนาจบลง อชิตะหันหลังมาหาระชดพร้อมกับยื่นหนังสือธุดงควัตรให้กับนักศึกษาที่น่าสงสารของเขา เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก เขาจนตรอกกับเรื่องราวแปลกๆในชีวิตทั้งหมดแล้ว และเขาก็รับหนังสือนั้นมาแต่โดยดี แถมยังไม่รู้เหตุผลว่าจะต้องอ่านไปทำไมด้วย

    “อาจารย์จะฝากเฉยๆใช่ไหมครับ”

    “เปล่าหรอก ผมจะให้คุณอ่านเดี๋ยวนี้เลย”

    อาจารย์หนุ่มทำให้เด็กหนุ่มตกใจอีกครั้ง

    “อาจารย์พูดจริงใช่ไหมครับ”

    “ถ้าคุณอยากมีชีวิตรอดในป่า คุณต้องอ่านให้จบ ดีนะที่เล่มไม่ใหญ่”

    เด็กหนุ่มเบื่อกับการต้องทำตามคำสั่งของอาจารย์ รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นแค่หุ่นเชิดธรรมดา เข้าป่าสิ่งที่ควรรู้คือการเอาตัวรอดในป่าไม่เกี่ยวอะไรกับหนังสือที่อาจารย์ให้เลย เด็กหนุ่มวางมันลงแล้วแกล้งหลับ แค่นี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าเขาแค่ไม่อยากทำตามคำสั่ง เพราะในตอนนี้เขาไม่เหลือความเคารพในตัวอาจารย์แม้แต่น้อย เขาวนกลับมาคิดว่าเขาต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้ว่าเมื่อวานก่อนที่เขาจะเข้าห้องพยาบาล ที่จริงอาจารย์อชิตะพยายามยิงเขาที่หัวใจ เขายังคงคิดไปคิดมาถึงแผนการต่างๆในที่สุดเขาก็หาทางออกไม่ได้จนกระทั่ง

    “ตื่นได้แล้วระชด หลับไปได้ยังไงตั้ง 2 ชั่วโมง”

    “ถึงแล้วหรอครับ”

     เด็กหนุ่มตกใจมากที่เขานอนไปนานขนาดนั้น  ตั้ง2 ชั่วโมงโดยที่ไม่สะดุ้งตื่นเลยแทบเป็นไปไม่ได้ เมื่อเขามองไปรอบๆก็ไม่พบบ้านเรือนอย่างที่เขาเคยเห็นอีกแล้ว กลายเป็นหมู่บ้านที่ดูสะอาดตาของชาวเขา แต่ดูสะอาดสะอ้านมากกว่าหมู่บ้านที่เขาเคยไปก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร  เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าที่นี่คือชนเผ่าอะไร  2 ชั่วโมงจากตัวเมืองอันที่จริงไม่ได้ไกลมากด้วยซ้ำ ที่นี่อาจจะเป็นชนเผ่าที่ไม่ค่อยมีคนเข้าไปก็เท่านั้น เท่าที่เขารู้บางชนเผ่าก็ทำเกษตรกรรมมากกว่าการท่องเที่ยว การไปยังกรุโบราณอาจจะต้องใช้เส้นทางที่ผ่านหมู่บ้านชาวเขาที่มีเส้นทางโบราณก็ได้ เมื่อเขามองไปยังหมู่บ้าน ชาวบ้านทุกคนต่างแต่งตัวแบบชาวเขา ต่างก็ออกมาด้านนอกเหมือนว่ากำลังมาต้อนรับพวกเขายังไงยังงั้น อันที่จริงแล้วเด็กหนุ่มรู้สึกอุ่นใจ เพราะบางครั้งเราเคยได้ยินมาว่า ถ้าหากชาวเขาเหล่านี้ไม่ชินกับคนแปลกหน้าบางทีเขาอาจจะถือปืนมาต้อนรับก็ได้ แล้วยิ่งถ้าเขาค้ายาเสพติดรับรองว่าตั้งแต่เราก้าวขาออกจากรถโดยที่ยังไม่ทันตอบคำถามอะไร โป้งเดียวเท่านั้น เราก็จะหายสาบสูญไปจากโลก

    “ใช่ ทางก็เป็นหลุมเป็นบ่อไม่น่าจะหลับลง เมื่อคืนไม่ได้นอนมาหรือไง ”

    อชิตะพูดแทรกขึ้นมาและทำลายจินตนาการอันรุ่งโรจน์ของนักศึกษาของเขาในฉับพลัน ราวกับว่าเขาต้องการจะดึงสติลูกศิษย์ของเขาให้กลับมา ดูเหมือนว่างานของเขาทั้งคู่กำลังจะต้องเริ่มแล้ว รวมทั้งในตอนนี้อาจารย์หนุ่มก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มที่เขายื่นให้กับลูกศิษย์ของเขาวางปิดอยู่บนเบาะข้างๆเด็กหนุ่มที่ยังสะลึมสะลือ อชิตะดูโกรธเล็กน้อยแต่ด้วยบุคลิกของเขาก็ทำให้มันไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ แววตานั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสำนึกผิดเล็กน้อย

    “ผมหลับจนไม่ได้อ่านเลยครับ”

    “ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ จะยังไงก็ วันนี้เรามีเวลาเข้าป่าถึงแค่ก่อนหัวค่ำ แล้วต้องออกมาให้ทันก่อนที่ฝนจะตก บางทีความรู้ที่ผมจะให้คุณศึกษาอาจจะไม่ต้องใช้ก็ได้”

    เด็กหนุ่มรู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องไปค้างแรมในป่า จู่ๆเขาก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เขาได้จัดการเอาผอบไปซ่อนไว้ในห้องของเขา โดยที่เขาถ่ายรูปไว้แค่ จารึกอันนั้น ในใจลึกๆบอกเขาว่าอาจารย์ของเขาเท่านั้นที่จะสามารถช่วยไขปัญหาที่เขาพบมาเมื่อคืนได้ แต่ระชดก็ยังไม่สามารถไว้ใจชายตรงหน้าเขาได้อยู่ดี คงต้องไปจังหวะเหมาะเหมาะ ถึงจะเล่าเรื่องนี้ให้กับอาจารย์ของเขาฟังได้ เขาบอกตัวเองแบบนั้น

    “ เราจะเดินทางกันตรงนี้เลยใช่ไหมครับ”

    “ก็ใช่น่ะสิ ผมแค่กลัวว่าเราจะกลับมาไม่ทันฝนตก ในป่าลึกแบบนี้เชื่อผมเถอะน้ำป่าอันตรายที่สุด”

    “ผมขอบอกที่บ้านของผมก่อนนะครับ ว่าผมมาถึงที่นี่แล้ว”

    “ตามสบาย.”

    เด็กหนุ่มส่งข้อความไปหาครอบครัวอย่างรวดเร็ว ทุกคนในบ้านยังไม่ได้ออกไปทำงาน และพวกเขาทำให้ระชดใจชื้นขึ้นมาบ้าง ตรงที่พวกเขากำลังพยายามเร่งให้ตำรวจตามหาให้ได้ว่าใครเป็นคนวางยาเขา และเขาจะได้พ้นมลทินเสียที ในขณะนี้ระชดทำได้แค่ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ที่เป็นคู่กรณีของเขา อันที่จริงเขาก็ยังโชคดีอยู่ที่อชิตะยังพยายามจะเข้าใจและช่วยเขาไว้ ถ้าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่ใช่ภาพหลอนเขาคงจะเกลียดอาจารย์ประหลาดคนนี้ของเขาจนสุดขั้วหัวใจ  แล้วทันใดนั้นพ่อของเขาก็มีคำถามที่น่าประหลาดจนตัวเขาเองก็แอบสงสัยไปด้วยไม่ได้ ทำไมในป่าลึกแบบนี้จึงมีสัญญาณโทรศัพท์ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลอะไรที่น่าหาคำตอบนัก เพราะที่นี่คือประเทศไทย การสื่อสารและระบบโทรศัพท์เข้าถึงได้ทุกที่ ตามความคิดของเขา เขาร่ำลาทุกๆคนก่อนที่จะต้องตามอชิตะเข้าไปในป่าลึกเพื่อเอาสมบัติ 1 ใน 5 ออกมาสู่โลกภายนอก

    อชิตะเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไปทักทายคนในหมู่บ้านราวกับเขาเคยมาที่นี่บ่อยครั้งจนชาวบ้านมีความคุ้นเคยกับเขา ผู้คนต้อนรับเขาเป็นอย่างดีมันดูเป็นอะไรที่ประหลาดในสายตาของเด็กหนุ่มจากเมืองกรุง อชิตะดูเป็นมิตรอย่างน่าตกใจ เด็กหนุ่มรีบเปิดประตูตามเขาไปทันที และเขาแอบหวังลึกๆว่าชาวบ้านจะเป็นมิตรกับเขาเหมือนกับที่เป็นมิตรกับอชิตะ แต่ในความเป็นจริงนั้นกับตรงกันข้าม เมื่อเขาก้าวลงจากรถ ชาวบ้านแทบทุกคนหันมามองเขาด้วยแววตาที่หดหู่สิ้นหวังเขารู้สึกได้จากแววตานั้นมันไม่ใช่ความโกรธแค้นแต่มันหดหู่เหลือเกิน จนในที่สุดเขาเลือกที่จะก้มหน้าหลบตาจากชาวบ้านทันที บนเขานี่ก็ประหลาดเหมือนกับที่สนามบินไม่มีผิดไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง สัตว์เลี้ยงก็ไม่มีวิ่งไปมาให้เห็น ภายนอกนี้ช่างเงียบงันดูหดหู่ไม่ต่างกับสนามบินด้านล่าง เด็กหนุ่มไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย ตอนนี้มันทำให้เขาคิดถึงเพื่อนที่แสนดีของเขาเพียงคนเดียว ราตรี เด็กหญิงที่กำลังจะจากโลกหนีไปในอีกไม่นาน เขาแสร้งทำเป็นว่าก้มลงพิมพ์โทรศัพท์เพื่อบอกเรื่องราวต่างๆให้กับเพื่อนที่เป็นที่รักของเขาได้รู้ข่าวคราวของเขาบ้าง เขาเริ่มจากตอนที่เขาไม่ได้เล่าตั้งแต่เมื่อวาน ถ้าเล่าทั้งหมดในคราวเดียวหล่ะก็ มีหวังเขาคงจะโดนเธอดุอย่างอดไม่ได้  เธอคงจะพูดว่าไม่ต้องทำของขวัญที่เสี่ยงขนาดนี้ก็ได้ ‘แกมันโง่’แค่นึกถึงคำดุของเด็กหญิงเขาก็หัวเราะออกมาซะแล้ว

    ระชดเดินก้มหน้าพร้อมกับเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วยจนกระทั่งมาถึงกระท่อมหลังหนึ่งที่อยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน ระหว่างทางเขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาที่เขาแต่เขาก็พยายามไม่สนใจอะไร เขาต้องรู้สึกอึดอัดอยากจะพูดคุยกับผู้คนในหมู่บ้านแต่ดูพวกเขาไม่เป็นมิตรเลยแต่พวกเขาก็พูดภาษาของตัวเองที่คนภาคกลางอย่างเขาไม่มีทางเข้าใจ ในเวลานั้นอาจารย์หนุ่มที่เดินอยู่ด้านหน้าแทบไม่ได้สนใจอะไรเขาเลย แต่มันก็ดีนะที่เป็นแบบนั้น เมื่ออาจารย์หนุ่มหยุดยืนทักทายกับเจ้าของบ้าน ระชดก็ต้องตกใจที่พบว่าชายวัยกลางที่เป็นเจ้าของบ้านนั้นทักทายเขาด้วยภาษากลางที่ชัดเจนราวกับไม่ใช่ชนเผ่าชาวเขาตามเสื้อผ้าที่เขาใส่กัน

    “พ่อหนุ่มคนนี้แน่เลยที่จะไปกับพ่อนาย”

    “ใช่ครับ คนนี้นั่นแหละ นี่ระชด เข้ามาทักทายกับพ่อบ้านหน่อย”

    พ่อบ้าน พ่อบ้านในภาษากลางหมายถึงคนดูแลบ้านไม่ใช่เหรอ แต่ใครจะรู้ล่ะภาษาชาวเผ่ามันย่อมมีความหมายต่างไปอยู่แล้ว ระชดยกมือขึ้นสวัสดีพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร พ่อบ้านมองเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มแต่สีหน้ากับเป็นกังวล จนเด็กหนุ่มสามารถสังเกตได้

    “เอาล่ะ ฉันรู้นะว่าทั้งสองคนคงกินอะไรรองท้องมาแล้ว แต่เวลานี้สายแล้ว ทั้งสองคนจะต้องรีบออกไปประเดี๋ยวนี้ เอาของแห้งติดไปก็พอ โชคดีจริงๆที่ไอ้หนูนี่มาทันคืนนี้ เพราะคืนนี้เราจะมีสวดมนต์ใหญ่กัน มาสวดมนต์ร่วมกันก็น่าจะดี”

    “ที่นี่มีวัดด้วยเหรอครับ”

    ระชดถามพ่อนายด้วยความสงสัย

    “วัดหน่ะรึ ที่นี่ไม่มีหรอก เราสวดกันเอง มีพระก็ไปอยู่ธุดงค์ในถ้ำนู่น ท่านจะไม่ลงมาหรอก”

    ระชดแอบดีใจไม่น้อยที่อย่างน้อยในช่วงแรกของการตามหาสมบัติโบราณเขาก็จะได้มีช่วงเวลาทำอะไรที่ทำให้จิตใจของเขาดีขึ้นบ้าง เขาไม่ใช่คนที่เข้าวัดบ่อยอะไรนัก แต่ก็เชื่อว่าเขามั่นคงในเรื่องของกฎแห่งกรรม

    “เอาหล่ะระชด ทิ้งกระเป๋าใบใหญ่ของคุณไว้ที่นี่ เราจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วใช้กระเป๋าผ้าของที่นี่ไปแทน รีบด้วยล่ะ เวลาไม่คอยท่าแล้ว”

    “ครับอาจารย์ ของของอาจารย์ที่ฝากไว้กับผม เราต้องเอาไปด้วยไหมครับ”

    “เกือบลืมไปเลย ใช่แล้วเราต้องเอาไปด้วย มันสำคัญเชียวหล่ะ”

    ชายทั้งสองเดินอย่างสุขุมเข้าไปในบ้านของพ่อบ้าน อันที่จริงคำว่าพ่อบ้านนั้นมาจากคำว่าพ่อบ้านพ่อเมือง โดยที่อชิตะรู้ความหมายนี้ดีกว่าใคร เขายังไม่คิดจะอธิบายเรื่องราวต่างๆให้กับลูกศิษย์เขาฟังในเวลานี้มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเลยเขาคิดอย่างนี้เสมอ สำหรับในความคิดของเด็กหนุ่มนั้น ในตอนนี้มีแต่ความสงสัยการเข้าไปในป่าลึกทำไมจะต้องใส่ชุดขาวทั้งชุดแถมวิธีการแต่งตัวยังใช้เป็นวิธีมัดเชือกแบบชาวบ้าน การเข้าป่าลึกแบบนี้อันที่จริงควรจะต้องใส่เสื้อผ้าที่เข้ารูปง่ายกับการเคลื่อนไหวต่างหาก อีกมุมหนึ่งอาจารย์หนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วทะมัดทะแมงราวกับว่าเขาใส่เสื้อผ้าแบบนี้เป็นประจำซึ่งตรงกันข้ามกับลูกศิษย์ของเขาอย่างสิ้นเชิงที่ดูเก้ๆกังๆ จนดูแล้วคนเราใช้เวลาอีกไม่นานกว่าจะแต่งตัวเสร็จ

    เมื่อชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็รีบจัดการเก็บข้าวของทันทีโดยที่อชิตะโยนถุงผ้าแบบชาวบ้านแต่เป็นสีขาวให้กับระชดเพื่อจะได้เอาตรีศูลใส่ลงไป ถุงผ้ามีขนาดที่ใหญ่จึงสามารถใส่ของอย่างอื่นลงไปได้ เด็กหนุ่มกำลังจะคว้ากล้องถ่ายรูปใส่ลงไปด้วย แต่อาจารย์ของเขาก็ห้ามไว้แล้วบอกว่าเอามันออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นมีดเสียยังจะดีกว่า ระชดก็ใจไม่ดีขึ้นมาอีกรอบ เขาชักมั่นใจแล้วว่าในป่านั้นเต็มไปด้วยอันตราย จนเขาเกือบจะหลุดปากถามอาจารย์แล้วว่าอาจารย์มีปืนติดไปด้วยหรือเปล่า แต่คงจะเสียมารยาทกับชาวเขาที่รักธรรมชาติของเขาและสัตว์ป่าของเขาอย่างมากแน่ๆ

    “คุณทั้งสองเสร็จแล้วใช่ไหม พวกเราเตรียมอาหารแห้งไว้ให้คุณคุณ รีบไปแล้วรีบกลับอย่ารอจนฝนตกเชียว”

    พ่อบ้านได้เข้ามาขัดจังหวะของเขาทั้งสองคน

    “ครับพ่อบ้าน ผมขอบคุณสำหรับอาหารที่เตรียมเอาไว้ให้นะครับ”

    อาจารย์อชิตะเดินออกไปนอกบ้านเพื่อไปรับห่ออาหารแห้ง โดยมีเด็กหนุ่มตามไปติดๆ อาหารแห้งนั้นดูห่อเล็กเกินไปสำหรับเขา นี่คงเป็นอุบายให้กลับมาก่อนฟ้ามืดเป็นแน่

    เมื่อทุกคนร่ำลากัน อาจารย์หนุ่มเดินนำไปยังท้ายหมู่บ้านโดยที่ชาวบ้านทุกคนกลับไปใช้ชีวิตปกติของตัวเองกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาดูไม่ได้แตกตื่นกับการมาของคนแปลกหน้าและดูไม่ได้ตะเตรียมการสวดมนต์นี้เสียเท่าไหร่ หากเป็นในเมืองก็คงตกแต่งกันอย่างสวยงาม คนที่นี่คงมีชีวิตที่เรียบง่ายและใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ก็คงจะมีความสุขไม่ใช่น้อย เด็กหนุ่มแอบอิจฉาคนที่นี่เล็กน้อยที่ได้ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องวุ่นวาย เช่นเดียวชีวิตของเขาที่เป็นอยู่ทุกวัน

    ‘ “อาจารย์ครับ ทำไมถึงไม่มีทางคนเดินเลยล่ะครับไม่มีใครไปที่กรุโบราณนั้นเลยเหรอ”

    อชิตะหยุดเดินแล้วหันมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ เช่นเดิม

    “เอาล่ะ ผมคงต้องเกิดบอกคุณคร่าวๆสักหน่อย คุณพอจะเชื่อเรื่องลึกลับอะไรรับหรือเปล่า”

    “ที่จริง ผมยังไม่เคยเจอมากับตัวคงยังเชื่อไม่ได้หรอกครับ”

    อชิตะหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับตั้งใจอธิบายในสิ่งที่มันจะทำให้เด็กหนุ่มต้องเสียขวัญอย่างมาก

    “ถึงเวลาที่คุณจะต้องเชื่อเรื่องลึกลับแล้วล่ะ เส้นทางที่ผมว่า แทบไม่มีมนุษย์เข้าไปเลยแม้แต่คนในหมู่บ้านนี้ เส้นทางถูกปิดเสมอและคนในหมู่บ้านนี้จะต้องเฝ้าเส้นทางนั้น เอาล่ะผมคิดว่าเส้นทางในอยู่แถวนี้แต่จะต้องเดินหรือไปอีกสัก 2 กิโลคุณพร้อมหรือยัง”

    ระชดตกใจในสิ่งที่อาจารย์พูดเล็กน้อยแต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ไม่เคยมีคนไป นั่นหมายความว่าเราหลงได้ทุกเมื่อ นั่นสิภารกิจนี้มันช่างเสี่ยงจริงๆ

    “ อาจารย์มีแผนที่หรือเปล่าครับ”

    “ไม่มีหรอก ผมแค่จำปากทางเข้าได้ นานๆผมถึงจะมาสักที”

    “อาจารย์มั่นใจขนาดนั้นจริงๆหรอครับ”

    อาจารย์หนุ่มพยักหน้าโดยที่ไม่ตอบอะไร แล้วกวักมือเรียกให้ลูกศิษย์ของเขารีบๆตามเข้าไป

    ทั้งสองเดินเข้าไปในป่ารกชัฏอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ต้นไม้ที่นี่สูงมากราวกับมันไม่เคยมีในเมืองไทยมาก่อน หมู่แมกไม้ค่อยๆปิดแสงตะวันที่ลงมาจากท้องฟ้าหากอยู่ข้างล่างนี้ตลอดทั้งวันคงจะต้องหลงเวลาอย่างแน่ๆ ในป่านี้เงียบสงัดและหนาวเย็น อาจารย์หนุ่มยังเดินนำโดยไม่พัก เขาก้าวขายาวๆของเขาอย่างรวดเร็วเรากับจะแข่งกับอะไรบางอย่าง เขาพูดตัวเองเข้าไปในหมู่ดงหญ้าโดยที่ไม่มีมีดฟันนำทางไปก่อนด้วยซ้ำ เด็กหนูต้องพยายามแหวกหญ้าที่สูงท่วมหัวตามให้ทัน จนในที่สุดอาจารย์ของเขาก็หยุดลงบนขอนไม้ใหญ่ เขาหยุดลงอย่างรวดเร็วจนระชด แทบจะชนเขาจากด้านหลังแต่โชคดีที่ยังหยุดทัน เมื่อมองลงไปจากขอนไม้ใหญ่ก็พบว่าเป็นหุบเหวลึก ธรรมชาติโดยรวมของที่นี่ไม่เหมือนป่าเมืองร้อนโดยสักนิด แถมหุบเหวนี้ก็ยังมีหมอกปกคลุมอยู่ด้านล่างดูแล้วน่ากลัวเหลือเกิน

    “เราหาทางข้ามกันเถอะครับอาจารย์ มันอาจจะมีทางที่เชื่อมกันไม่ไกลเกินไปจากที่นี่”

    เด็กหนุ่มแนะนำอาจารย์ของเขา

    “เรามากันถึงแล้วล่ะระชด นับจากตรงนี้ไปจะเป็นเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่งที่ไปยังสถานที่โบราณ

    คุณจะได้เห็นในสิ่งที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน จงจำไว้และอยู่ห่างจากผม เพราะตอนนี้คุณคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง และต้องมีสติเสมอ”

    “แต่อาจารย์ครับ...ตรงนี้เป็นเหวลึกนะครับแถมยังไม่มีทางข้ามด้วย เราจะไปต่อกันไม่ได้นะครับ”

    เด็กหนุ่มขนลุกชันทันที เขาจินตนาการไปต่างๆนานา หรือว่าอาจารย์ของเขาจะพักเขาลงไปเพื่อสังเวยเทพหรือผีเฝ้าทางอะไรสักอย่าง นี่อาจจะเป็นการบูชายัญก็ได้ การเข้าป่าลึกมา 2 คนหากใครสักคนจะตายไปย่อมไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร เด็กหนุ่มก้าวถอยจากอาการของเขาเล็กน้อยเพื่อขอให้มีพื้นที่ที่เขาจะหนีได้ เนื่องจากเขาไม่เคยไว้ใจอาจารย์ของตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

    ทางฝ่ายอาจารย์หนุ่มหันมามองลูกศิษย์อย่างเยือกเย็นพร้อมกับอ้าปากพูดว่า

    “เอาตรีศูลออกมา เราต้องใช้มันแล้ว”

    ในใจของเด็กหนุ่มนั้นลังเลที่จะเอามันออกมา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นอาวุธที่เอาไว้สำหรับฆ่าเขาเพื่อบูชายัญก็ได้ จิตใจของเขาเตลิดไปไกล หรือทางที่ดีเขาจะเก็บมันเอาไว้ฆ่าอาจารย์แทนแล้วหนีออกไปนี่อาจจะดีกว่า ระชดทำทีว่ายังค้นกระเป๋าอยู่ แต่แล้ว

    “ระชด หยุดก่อน นิมนต์พระคุณเจ้าครับ”

    เมื่อเด็กหนุ่มหันไปก็พบว่ามีพระอยู่ทางด้านหลังของพวกเขา และดูเหมือนจะเป็นพระธุดงค์ถึงสามารถเข้ามาในป่าลึกนี้ได้ เนื้อตัวดูสะอาดสะอ้านน่าเคารพเหลือเกิน กิริยาท่าทางก็น่าเกรงขาม ชายหนุ่มทั้งสองก้มลงนั่งกราบพระรูปนั้นโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน เมื่อระชดเงยหน้าขึ้น ก็พบว่า เท้าของพระรูปนี้ไม่ติดพื้น สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก เขาได้แต่นิ่งแข็งทื่อ เขาไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนในชีวิต หรือนี่จะเป็นสิ่งลี้ลับที่เขาจะต้องเจอ แต่ที่สำคัญก็คือนี่ยังเพิ่งเป็นการเริ่มต้นด้วยซ้ำ

    “เจริญพรเถอะโยม กำลังจะไปที่ไหนกันหรือ”

    “พวกกระผม จะต้องเข้าไปทางทางนี้ขอรับ มีกิจสำคัญแต่ต้องไปทำด้านใน แล้วนี่พระคุณเจ้าจะไปไหนหรือครับ แล้วพระคุณเจ้ามาจากที่ไหน”

    เด็กหนุ่มยังคงพูดอะไรไม่ออก เขาปล่อยให้อาจารย์พูดกับพระภิกษุรูปนี้แต่เพียงลำพัง

    “เด็กหนุ่มนี่น่าจะตกใจพอสมควรนะ”

    “เขายังไม่ชินน่ะขอรับ”

    พระภิกษุรูปนั้นจึงพูดต่อว่า

    “อาตมามาจำพรรษาที่ยอดเขาลูกโน้น ตอนนี้ถึงเวลาสำคัญที่จะต้องลงไปหาญาติโยมด้านล่างแล้ว แล้วฉันทิ้งพวกเขาไว้ไม่ได้จริงๆ หากคุณโยมจะไปที่เส้นทางด้านหลังก็กลับมาให้ทันฝนตกนะโยม ไอ้หนุ่ม มีสติไว้นะโยม เจริญพร.”

    ระชดเพิ่งคิดได้ว่าตั้งแต่เขาก้าวเท้ามาที่นี่ทุกคนก็พูดเรื่องฝนตกเย็นนี้กันทั้งนั้น จนตอนนี้เขาเริ่มคิดแล้วว่าฝนตกเย็นนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปซะแล้ว และดูท่าว่าจะต้องเป็นเรื่องที่น่ากังวลเสียด้วย จิตใจของเด็กหนุ่มเริ่มกลับมานิ่งสงบอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว

    “ลานะครับ”

    เมื่ออชิตะพูดจบ ชายหนุ่มทั้งสองก้มลงกราบพระพร้อมกัน ถ้าทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นพระธุดงค์ก็หายไปเสียแล้ว ชายหนุ่มหันมามองหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังเสียขวัญและเขาก็เข้าใจดีว่าเด็กเมืองกรุงคงไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อนและไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ด้วย

    “ ใจร่มๆไว้ เราจะได้เจออะไรมากกว่านี้แต่ตอนนี้ยื่นตรีศูลมาให้ผมหน่อยผมต้องใช้แล้วล่ะ”

    ราวกับถูกมนต์สะกด ระชดยื่นอาวุธโบราณให้กับอาจารย์ไปโดยดีจนลืมไปว่าเขาคิดอะไรไปไกลเหลือเกินก่อนก่อนหน้านั้น เมื่ออชิตะรับมาก็เอามาปักลงบนพื้นและนิ่งไปสักพัก เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าอาจารย์ของเขากำลังทำอะไร โดยตัวเขาเองก็ได้แต่นิ่งและไม่เข้าไปขัดพิธีอะไรของเขา จนในที่สุดอชิตะก็พูดออกมาเสียที

    “ เราต้องรอที่นี่สักพัก เดี๋ยวจะมีคนจากฝั่งโน้นมารับเราแล้วไม่ต้องถามผมนะว่าเขาจะมาได้ยังไง เขามีวิธีของเขา เราแค่ต้องรอ คุณมีเรื่องอะไรจะถามผมอีกหรือเปล่าผมว่าคุณมีคำถามนะ”

    เรากับอาจารย์หนุ่มสามารถอ่านใจเขาได้ สิ่งแรกที่ออกมาจากสมองของเขาก็คือจารึกโบราณแผ่นนั้น ไม่รู้ว่าทำไมหรือจู่ๆเขาก็อยากให้อาจารย์ของเขาได้อ่านจารึกนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าอย่างน้อยชายหนุ่มคนนี้ก็ยังไม่ฆ่าเขาด้วยตรีศูล เอาล่ะ อย่างน้อยเขาก็ปักมันลงบนพื้น

    “คาดว่าผมอีกเรื่องนึงที่อาจารย์อาจจะพอช่วยตอบคำถามผมได้”

    “เอาล่ะผมตอบคำถามได้ทั้งหมด เพื่อรอเวลาว่ามาเลย”

    “เมื่อคืน ที่บ้านของผมเป็นร้านขายวัตถุโบราณแล้วผมก็เจอกงจักรโบราณ มันเหมือนเป็นกุญแจคู่กับผอบโบราณสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา แถมยังมีระบบล็อกโบราณด้วย ผมคิดว่า….”

    “มีจารึกอะไรในนั้นหรือเปล่า” อชิตะขัดขึ้นมา

    เด็กหนุ่มกำลังจะเล่าถึงจารึกนั้นพอดี

    “มีครับ มีทั้งสองรึกอยู่ในนั้น”

    “ขอผมดูหน่อย”

    ระชดรีบเปิดโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายรูปเอาไว้ให้อาจารย์ของเขาดู เด็กหนุ่มเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้อชิตะฟัง แต่รอบนี้สิ่งที่แปลกออกไปก็คืออาจารย์หนุ่มกลายเป็นมีทีท่าตกใจ จากที่เคยเงียบขรึมและไร้อารมณ์อย่างถึงที่สุด เขาดูสนใจในเรื่องนี้อย่างมาก

    “อาจารย์รู้จักคนจารึกด้วยหรอครับ.”

    ระชดสงสัย และอยากรู้ว่าสิ่งที่เขาค้นพบนั้นสำคัญขนาดไหน

    “รู้จักสิ รู้จักดีด้วย”

    อชิตะตอบสั้นๆ

    “อีกอย่างผมอยากรู้ว่าสิ่งที่ผมค้นพบ เนี่ย มันสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือครับ”

    “สำคัญสิ สำคัญมากด้วย เพราะทั้งกงจักรและผอบคือลูกกุญแจและแม่กุญแจหน่ะใช่ แต่ที่จริงๆมันคือสัญลักษณ์ครุฑยุดนาค แต่ผมจะไม่อธิบายอะไรมากเดี๋ยวคุณก็จะรู้หลังจากนี้เอง”

    เมื่อสิ้นเสียงอชิตะ ทันใดนั้น ปัง ปัง ปัง!

    เสียงปืนที่ถูกยิงมาจากที่ไหนสักทีดังขึ้น แต่อันที่จริงกระสุนปืนเหล่านั้นพยายามจะยิงมาถูกพวกเขาแต่ก็ไปโดนที่ขอนไม้แทน เด็กหนุ่มตกใจ เตือนสติแทบหลุด แต่ก็โชคดีที่กระสุนพลาดไปทางอื่น

    ทันใดนั้น อชิตะกระชากลูกศิษย์ของเขากระโดดไปหลังพุ่มไม้เพื่อเป็นที่กำบัง! แต่แล้วชายหนุ่มก็วิ่งออกไปยังต้นเสียงของกระสุนปืนพวกนั้นโดยทิ้งเด็กหนุ่มเอาไว้เบื้องหลัง และสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×