คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : กาลเวลาเป็นเพียงการเริ่มต้น
เด็กหนุ่ม
ยังคงเงียบขรึมเมื่อพบเจอกับอาจารย์ของตัวเองในสภาพที่งัวเงียหลังจากที่ต้องใช้เวลาเกินครึ่งค่อนคืนเพื่อแปลจารึกโบราณและตื่นแต่เช้าเพื่อขึ้นเครื่องบินมายังเชียงใหม่
เขาเชื่อเสมอว่าอันที่จริงแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นล้วนไม่ใช่ความผิดของเขา
ณ ตอนนี้เขาเพียงแต่อยู่ในสถานการณ์ที่มันยากที่จะต่อสู้ก็เพียงแค่นั้น
ระชดมีเพียงกระเป๋าแบคแพคใบใหญ่เพียงใบเดียว
แต่ตรงกันข้ามกับอชิตะที่มีแค่กระเป๋าเป้เล็กๆแต่เพียงใบเดียวซึ่งมองดูแล้วมันไม่เหมือนกับว่าเขาจะมาทำวิจัยหรือเก็บตัวอย่างโบราณคดีเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางออกจากสนามบินเชียงใหม่ที่คับคั่งในตอนกลางวัน
แต่สำหรับในตอนเช้านี้มันกลับตรงกันข้าม บรรยากาศช่างแสนเงียบงัน
มองภายนอกแล้วมันกับวังเวงเสียเหลือเกิน ท้องฟ้าเป็นสีมืดครึ้ม
สายลมนิ่งสนิทไม่มีแม้แต่เสียงฝูงนกที่กรีดร้องยามเช้า เด็กหนุ่มไม่ชินกับบรรยากาศแบบนี้มันไม่เหมือนเมืองเหนือที่เขาเคยสัมผัสมาก่อน
ในขณะที่อาจารย์และลูกศิษย์กำลังเดินออกจากสนามบินนั้น
ฝูงนกอพยพกลุ่มใหญ่วิ่งอยู่ในสนามบินมากมายอย่างน่าตกใจ
ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่นกอพยพธรรมดาแต่ระชดกลับรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก มันดูมีอะไรแตกต่างออกไปแต่เขาก็ยังอธิบายอะไรไม่ได้
ในขณะที่อชิตะนั้นกลับนิ่งสงบราวกลับว่าไม่รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์แปลกๆของธรรมชาติรอบตัว
เด็กหนุ่มไม่ชอบบรรยากาศที่แสนเงียบจนเกินไปแบบนี้ เขาจึงขัดจังหวะขึ้นมาทันที
“อาจารย์ เอากระเป๋ามาแค่นี้หรอครับ
เราจะไปกันไม่นานใช่ไหมครับ” อชิตะหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของเขาเล็กน้อย
ก่อนจะตอบรับคำถามของลูกศิษย์เพื่อทำลายความเงียบเช่นกัน
“ใช่ หวังว่าเราคงไปกันไม่นาน
กระเป๋าคุณมีที่ว่างอีกไหม”
“ มีครับ อาจารย์จะฝากขายของไว้กลับผมหรือเปล่า
ฝากได้นะครับ”
เด็กหนุ่มทำท่าวางกระเป๋าลงแล้วเปิดกระเป๋าเขาพอมีที่ว่างอีกประมาณ
1 ลิตร ถ้าเทียบกับอาจารย์ที่ไม่ได้เตรียมอะไรมาใส่โบราณวัตถุเลย
การที่กระเป๋าของเขาว่างเช่นนี้นั้นมันก็คงเป็นโชคดีกับพวกเขาทั้งคู่เช่นกัน
อาจารย์หนุ่มก็เช่นกัน เขาหันไปมองซ้ายและขวาก็พบว่าสนามบินผู้คนยังไม่เยอะมากเท่ากับตอนกลางวันเขาจึงวางใจที่จะเปิดกระเป๋าของเขา
ประชดแทบช็อคเมื่อพบว่าอชิตะพกตรีศูลโบราณอันนั้นมาด้วย
ชายผู้นี้มักทำอะไรที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลเสมอในสายตาของนักศึกษาหนุ่ม
ระชดคว้ามันมาเก็บใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า
“ไม่ต้องตกใจไประชด เดี๋ยวเราก็ได้ใช้”
อาจารย์พูดจาประหลาดๆอีกแล้ว ระชดคิด
“อาจารย์ไม่กลัวมันพังหรอครับ
นี่มันวัตถุโบราณนะครับ”
“ผมไม่กลัวหรอก
มันอาจจะช่วยให้เรามีชีวิตรอดกลับมา”
เด็กหนุ่มรู้สึกเคว้งคว้างกับคำพูดของอาจารย์ของเขา
คำพูดของอาชิตะดูจริงจังเกินไป ทำเอาเด็กหนุ่มอยากจะวิ่งหนีเสียแต่ตอนนี้ไปให้พ้นๆ
เอาชีวิตรอดบ้าบออะไร
ใช่เขาเกือบลืมไปว่าเมื่อวานนั้นเขาก็เจอเรื่องประหลาดตั้งแต่เช้าจนกระทั่งก่อนเข้านอนเสียด้วยซ้ำ
เอาหล่ะ คงไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้วหล่ะ
“ครับ”
เด็กหนุ่มเดินตามอาจารย์ของเขาไปที่รถคันหนึ่ง
เมื่อชายในรถเลื่อนกระจกลง
ระชดต้องตกใจเมื่อเขาพบกับชายชาวเผ่าที่ใส่ชุดแม้วข้างในนั้น
เขารู้ดีว่าชาวเขาก็ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปแต่ไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้ในสนามบินแบบนี้
เขาพอจะนึกออกแล้วว่าเขาจะต้องออกไปไกลแค่ไหนและพอสิ่งที่เขาจะเดาได้ก็คือหมู่บ้านชาวเขาคือปากทางที่จะไปยังกรุโบราณ
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
และตอนนี้ไม่ว่าอาจารย์จะให้ทำอะไรก็ต้องทำเพราะเขาไม่อยากถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย
เมื่อทั้งสองเข้าไปนั่งในรถกระบะคันแคบ
ชายชาวเขาคนนั้นคุยกับอะชิตะด้วยภาษาพื้นเมือง
อาจารย์หนุ่มตอบโต้เป็นภาษาพื้นเมืองได้อย่างคล่องแคล่วจนระชดต้องหยุดเล่นโทรศัพท์มือถือแล้วพยายามฟังว่าพวกเขาพูดอะไรกัน
แต่ในที่สุดก็ไร้ประโยชน์ ระชดฟังไม่ออกเลยสักคำ
จนในที่สุดเด็กหนุ่มต้องกลับมาเล่นมือถืออีกครั้ง จนกระทั่งการสนทนาจบลง
อชิตะหันหลังมาหาระชดพร้อมกับยื่นหนังสือธุดงควัตรให้กับนักศึกษาที่น่าสงสารของเขา
เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก เขาจนตรอกกับเรื่องราวแปลกๆในชีวิตทั้งหมดแล้ว
และเขาก็รับหนังสือนั้นมาแต่โดยดี แถมยังไม่รู้เหตุผลว่าจะต้องอ่านไปทำไมด้วย
“อาจารย์จะฝากเฉยๆใช่ไหมครับ”
“เปล่าหรอก ผมจะให้คุณอ่านเดี๋ยวนี้เลย”
อาจารย์หนุ่มทำให้เด็กหนุ่มตกใจอีกครั้ง
“อาจารย์พูดจริงใช่ไหมครับ”
“ถ้าคุณอยากมีชีวิตรอดในป่า คุณต้องอ่านให้จบ
ดีนะที่เล่มไม่ใหญ่”
เด็กหนุ่มเบื่อกับการต้องทำตามคำสั่งของอาจารย์
รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นแค่หุ่นเชิดธรรมดา เข้าป่าสิ่งที่ควรรู้คือการเอาตัวรอดในป่าไม่เกี่ยวอะไรกับหนังสือที่อาจารย์ให้เลย
เด็กหนุ่มวางมันลงแล้วแกล้งหลับ
แค่นี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าเขาแค่ไม่อยากทำตามคำสั่ง
เพราะในตอนนี้เขาไม่เหลือความเคารพในตัวอาจารย์แม้แต่น้อย
เขาวนกลับมาคิดว่าเขาต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้ว่าเมื่อวานก่อนที่เขาจะเข้าห้องพยาบาล
ที่จริงอาจารย์อชิตะพยายามยิงเขาที่หัวใจ
เขายังคงคิดไปคิดมาถึงแผนการต่างๆในที่สุดเขาก็หาทางออกไม่ได้จนกระทั่ง
“ตื่นได้แล้วระชด หลับไปได้ยังไงตั้ง 2
ชั่วโมง”
“ถึงแล้วหรอครับ”
เด็กหนุ่มตกใจมากที่เขานอนไปนานขนาดนั้น ตั้ง2 ชั่วโมงโดยที่ไม่สะดุ้งตื่นเลยแทบเป็นไปไม่ได้
เมื่อเขามองไปรอบๆก็ไม่พบบ้านเรือนอย่างที่เขาเคยเห็นอีกแล้ว
กลายเป็นหมู่บ้านที่ดูสะอาดตาของชาวเขา
แต่ดูสะอาดสะอ้านมากกว่าหมู่บ้านที่เขาเคยไปก่อนหน้านี้
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าที่นี่คือชนเผ่าอะไร 2 ชั่วโมงจากตัวเมืองอันที่จริงไม่ได้ไกลมากด้วยซ้ำ
ที่นี่อาจจะเป็นชนเผ่าที่ไม่ค่อยมีคนเข้าไปก็เท่านั้น
เท่าที่เขารู้บางชนเผ่าก็ทำเกษตรกรรมมากกว่าการท่องเที่ยว
การไปยังกรุโบราณอาจจะต้องใช้เส้นทางที่ผ่านหมู่บ้านชาวเขาที่มีเส้นทางโบราณก็ได้
เมื่อเขามองไปยังหมู่บ้าน ชาวบ้านทุกคนต่างแต่งตัวแบบชาวเขา
ต่างก็ออกมาด้านนอกเหมือนว่ากำลังมาต้อนรับพวกเขายังไงยังงั้น
อันที่จริงแล้วเด็กหนุ่มรู้สึกอุ่นใจ เพราะบางครั้งเราเคยได้ยินมาว่า
ถ้าหากชาวเขาเหล่านี้ไม่ชินกับคนแปลกหน้าบางทีเขาอาจจะถือปืนมาต้อนรับก็ได้
แล้วยิ่งถ้าเขาค้ายาเสพติดรับรองว่าตั้งแต่เราก้าวขาออกจากรถโดยที่ยังไม่ทันตอบคำถามอะไร
โป้งเดียวเท่านั้น เราก็จะหายสาบสูญไปจากโลก
“ใช่ ทางก็เป็นหลุมเป็นบ่อไม่น่าจะหลับลง
เมื่อคืนไม่ได้นอนมาหรือไง ”
อชิตะพูดแทรกขึ้นมาและทำลายจินตนาการอันรุ่งโรจน์ของนักศึกษาของเขาในฉับพลัน
ราวกับว่าเขาต้องการจะดึงสติลูกศิษย์ของเขาให้กลับมา
ดูเหมือนว่างานของเขาทั้งคู่กำลังจะต้องเริ่มแล้ว
รวมทั้งในตอนนี้อาจารย์หนุ่มก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มที่เขายื่นให้กับลูกศิษย์ของเขาวางปิดอยู่บนเบาะข้างๆเด็กหนุ่มที่ยังสะลึมสะลือ
อชิตะดูโกรธเล็กน้อยแต่ด้วยบุคลิกของเขาก็ทำให้มันไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่
แววตานั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสำนึกผิดเล็กน้อย
“ผมหลับจนไม่ได้อ่านเลยครับ”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ จะยังไงก็
วันนี้เรามีเวลาเข้าป่าถึงแค่ก่อนหัวค่ำ แล้วต้องออกมาให้ทันก่อนที่ฝนจะตก
บางทีความรู้ที่ผมจะให้คุณศึกษาอาจจะไม่ต้องใช้ก็ได้”
เด็กหนุ่มรู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องไปค้างแรมในป่า
จู่ๆเขาก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
เขาได้จัดการเอาผอบไปซ่อนไว้ในห้องของเขา โดยที่เขาถ่ายรูปไว้แค่ จารึกอันนั้น
ในใจลึกๆบอกเขาว่าอาจารย์ของเขาเท่านั้นที่จะสามารถช่วยไขปัญหาที่เขาพบมาเมื่อคืนได้
แต่ระชดก็ยังไม่สามารถไว้ใจชายตรงหน้าเขาได้อยู่ดี คงต้องไปจังหวะเหมาะเหมาะ
ถึงจะเล่าเรื่องนี้ให้กับอาจารย์ของเขาฟังได้ เขาบอกตัวเองแบบนั้น
“ เราจะเดินทางกันตรงนี้เลยใช่ไหมครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ ผมแค่กลัวว่าเราจะกลับมาไม่ทันฝนตก
ในป่าลึกแบบนี้เชื่อผมเถอะน้ำป่าอันตรายที่สุด”
“ผมขอบอกที่บ้านของผมก่อนนะครับ
ว่าผมมาถึงที่นี่แล้ว”
“ตามสบาย.”
เด็กหนุ่มส่งข้อความไปหาครอบครัวอย่างรวดเร็ว
ทุกคนในบ้านยังไม่ได้ออกไปทำงาน และพวกเขาทำให้ระชดใจชื้นขึ้นมาบ้าง
ตรงที่พวกเขากำลังพยายามเร่งให้ตำรวจตามหาให้ได้ว่าใครเป็นคนวางยาเขา
และเขาจะได้พ้นมลทินเสียที ในขณะนี้ระชดทำได้แค่ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ที่เป็นคู่กรณีของเขา
อันที่จริงเขาก็ยังโชคดีอยู่ที่อชิตะยังพยายามจะเข้าใจและช่วยเขาไว้
ถ้าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่ใช่ภาพหลอนเขาคงจะเกลียดอาจารย์ประหลาดคนนี้ของเขาจนสุดขั้วหัวใจ แล้วทันใดนั้นพ่อของเขาก็มีคำถามที่น่าประหลาดจนตัวเขาเองก็แอบสงสัยไปด้วยไม่ได้
ทำไมในป่าลึกแบบนี้จึงมีสัญญาณโทรศัพท์ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลอะไรที่น่าหาคำตอบนัก
เพราะที่นี่คือประเทศไทย การสื่อสารและระบบโทรศัพท์เข้าถึงได้ทุกที่
ตามความคิดของเขา
เขาร่ำลาทุกๆคนก่อนที่จะต้องตามอชิตะเข้าไปในป่าลึกเพื่อเอาสมบัติ 1 ใน 5
ออกมาสู่โลกภายนอก
อชิตะเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไปทักทายคนในหมู่บ้านราวกับเขาเคยมาที่นี่บ่อยครั้งจนชาวบ้านมีความคุ้นเคยกับเขา
ผู้คนต้อนรับเขาเป็นอย่างดีมันดูเป็นอะไรที่ประหลาดในสายตาของเด็กหนุ่มจากเมืองกรุง
อชิตะดูเป็นมิตรอย่างน่าตกใจ เด็กหนุ่มรีบเปิดประตูตามเขาไปทันที และเขาแอบหวังลึกๆว่าชาวบ้านจะเป็นมิตรกับเขาเหมือนกับที่เป็นมิตรกับอชิตะ
แต่ในความเป็นจริงนั้นกับตรงกันข้าม เมื่อเขาก้าวลงจากรถ
ชาวบ้านแทบทุกคนหันมามองเขาด้วยแววตาที่หดหู่สิ้นหวังเขารู้สึกได้จากแววตานั้นมันไม่ใช่ความโกรธแค้นแต่มันหดหู่เหลือเกิน
จนในที่สุดเขาเลือกที่จะก้มหน้าหลบตาจากชาวบ้านทันที
บนเขานี่ก็ประหลาดเหมือนกับที่สนามบินไม่มีผิดไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง
สัตว์เลี้ยงก็ไม่มีวิ่งไปมาให้เห็น
ภายนอกนี้ช่างเงียบงันดูหดหู่ไม่ต่างกับสนามบินด้านล่าง
เด็กหนุ่มไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย ตอนนี้มันทำให้เขาคิดถึงเพื่อนที่แสนดีของเขาเพียงคนเดียว
ราตรี เด็กหญิงที่กำลังจะจากโลกหนีไปในอีกไม่นาน
เขาแสร้งทำเป็นว่าก้มลงพิมพ์โทรศัพท์เพื่อบอกเรื่องราวต่างๆให้กับเพื่อนที่เป็นที่รักของเขาได้รู้ข่าวคราวของเขาบ้าง
เขาเริ่มจากตอนที่เขาไม่ได้เล่าตั้งแต่เมื่อวาน ถ้าเล่าทั้งหมดในคราวเดียวหล่ะก็
มีหวังเขาคงจะโดนเธอดุอย่างอดไม่ได้
เธอคงจะพูดว่าไม่ต้องทำของขวัญที่เสี่ยงขนาดนี้ก็ได้
‘แกมันโง่’แค่นึกถึงคำดุของเด็กหญิงเขาก็หัวเราะออกมาซะแล้ว
ระชดเดินก้มหน้าพร้อมกับเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วยจนกระทั่งมาถึงกระท่อมหลังหนึ่งที่อยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน
ระหว่างทางเขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาที่เขาแต่เขาก็พยายามไม่สนใจอะไร
เขาต้องรู้สึกอึดอัดอยากจะพูดคุยกับผู้คนในหมู่บ้านแต่ดูพวกเขาไม่เป็นมิตรเลยแต่พวกเขาก็พูดภาษาของตัวเองที่คนภาคกลางอย่างเขาไม่มีทางเข้าใจ
ในเวลานั้นอาจารย์หนุ่มที่เดินอยู่ด้านหน้าแทบไม่ได้สนใจอะไรเขาเลย
แต่มันก็ดีนะที่เป็นแบบนั้น เมื่ออาจารย์หนุ่มหยุดยืนทักทายกับเจ้าของบ้าน
ระชดก็ต้องตกใจที่พบว่าชายวัยกลางที่เป็นเจ้าของบ้านนั้นทักทายเขาด้วยภาษากลางที่ชัดเจนราวกับไม่ใช่ชนเผ่าชาวเขาตามเสื้อผ้าที่เขาใส่กัน
“พ่อหนุ่มคนนี้แน่เลยที่จะไปกับพ่อนาย”
“ใช่ครับ คนนี้นั่นแหละ นี่ระชด
เข้ามาทักทายกับพ่อบ้านหน่อย”
พ่อบ้าน
พ่อบ้านในภาษากลางหมายถึงคนดูแลบ้านไม่ใช่เหรอ
แต่ใครจะรู้ล่ะภาษาชาวเผ่ามันย่อมมีความหมายต่างไปอยู่แล้ว
ระชดยกมือขึ้นสวัสดีพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
พ่อบ้านมองเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มแต่สีหน้ากับเป็นกังวล จนเด็กหนุ่มสามารถสังเกตได้
“เอาล่ะ
ฉันรู้นะว่าทั้งสองคนคงกินอะไรรองท้องมาแล้ว แต่เวลานี้สายแล้ว
ทั้งสองคนจะต้องรีบออกไปประเดี๋ยวนี้ เอาของแห้งติดไปก็พอ
โชคดีจริงๆที่ไอ้หนูนี่มาทันคืนนี้ เพราะคืนนี้เราจะมีสวดมนต์ใหญ่กัน
มาสวดมนต์ร่วมกันก็น่าจะดี”
“ที่นี่มีวัดด้วยเหรอครับ”
ระชดถามพ่อนายด้วยความสงสัย
“วัดหน่ะรึ ที่นี่ไม่มีหรอก เราสวดกันเอง
มีพระก็ไปอยู่ธุดงค์ในถ้ำนู่น ท่านจะไม่ลงมาหรอก”
ระชดแอบดีใจไม่น้อยที่อย่างน้อยในช่วงแรกของการตามหาสมบัติโบราณเขาก็จะได้มีช่วงเวลาทำอะไรที่ทำให้จิตใจของเขาดีขึ้นบ้าง
เขาไม่ใช่คนที่เข้าวัดบ่อยอะไรนัก แต่ก็เชื่อว่าเขามั่นคงในเรื่องของกฎแห่งกรรม
“เอาหล่ะระชด ทิ้งกระเป๋าใบใหญ่ของคุณไว้ที่นี่
เราจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วใช้กระเป๋าผ้าของที่นี่ไปแทน รีบด้วยล่ะ
เวลาไม่คอยท่าแล้ว”
“ครับอาจารย์ ของของอาจารย์ที่ฝากไว้กับผม
เราต้องเอาไปด้วยไหมครับ”
“เกือบลืมไปเลย ใช่แล้วเราต้องเอาไปด้วย
มันสำคัญเชียวหล่ะ”
ชายทั้งสองเดินอย่างสุขุมเข้าไปในบ้านของพ่อบ้าน
อันที่จริงคำว่าพ่อบ้านนั้นมาจากคำว่าพ่อบ้านพ่อเมือง
โดยที่อชิตะรู้ความหมายนี้ดีกว่าใคร
เขายังไม่คิดจะอธิบายเรื่องราวต่างๆให้กับลูกศิษย์เขาฟังในเวลานี้มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเลยเขาคิดอย่างนี้เสมอ
สำหรับในความคิดของเด็กหนุ่มนั้น
ในตอนนี้มีแต่ความสงสัยการเข้าไปในป่าลึกทำไมจะต้องใส่ชุดขาวทั้งชุดแถมวิธีการแต่งตัวยังใช้เป็นวิธีมัดเชือกแบบชาวบ้าน
การเข้าป่าลึกแบบนี้อันที่จริงควรจะต้องใส่เสื้อผ้าที่เข้ารูปง่ายกับการเคลื่อนไหวต่างหาก
อีกมุมหนึ่งอาจารย์หนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วทะมัดทะแมงราวกับว่าเขาใส่เสื้อผ้าแบบนี้เป็นประจำซึ่งตรงกันข้ามกับลูกศิษย์ของเขาอย่างสิ้นเชิงที่ดูเก้ๆกังๆ
จนดูแล้วคนเราใช้เวลาอีกไม่นานกว่าจะแต่งตัวเสร็จ
เมื่อชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็รีบจัดการเก็บข้าวของทันทีโดยที่อชิตะโยนถุงผ้าแบบชาวบ้านแต่เป็นสีขาวให้กับระชดเพื่อจะได้เอาตรีศูลใส่ลงไป
ถุงผ้ามีขนาดที่ใหญ่จึงสามารถใส่ของอย่างอื่นลงไปได้
เด็กหนุ่มกำลังจะคว้ากล้องถ่ายรูปใส่ลงไปด้วย แต่อาจารย์ของเขาก็ห้ามไว้แล้วบอกว่าเอามันออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นมีดเสียยังจะดีกว่า
ระชดก็ใจไม่ดีขึ้นมาอีกรอบ เขาชักมั่นใจแล้วว่าในป่านั้นเต็มไปด้วยอันตราย
จนเขาเกือบจะหลุดปากถามอาจารย์แล้วว่าอาจารย์มีปืนติดไปด้วยหรือเปล่า
แต่คงจะเสียมารยาทกับชาวเขาที่รักธรรมชาติของเขาและสัตว์ป่าของเขาอย่างมากแน่ๆ
“คุณทั้งสองเสร็จแล้วใช่ไหม
พวกเราเตรียมอาหารแห้งไว้ให้คุณคุณ รีบไปแล้วรีบกลับอย่ารอจนฝนตกเชียว”
พ่อบ้านได้เข้ามาขัดจังหวะของเขาทั้งสองคน
“ครับพ่อบ้าน
ผมขอบคุณสำหรับอาหารที่เตรียมเอาไว้ให้นะครับ”
อาจารย์อชิตะเดินออกไปนอกบ้านเพื่อไปรับห่ออาหารแห้ง
โดยมีเด็กหนุ่มตามไปติดๆ อาหารแห้งนั้นดูห่อเล็กเกินไปสำหรับเขา
นี่คงเป็นอุบายให้กลับมาก่อนฟ้ามืดเป็นแน่
เมื่อทุกคนร่ำลากัน
อาจารย์หนุ่มเดินนำไปยังท้ายหมู่บ้านโดยที่ชาวบ้านทุกคนกลับไปใช้ชีวิตปกติของตัวเองกันเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาดูไม่ได้แตกตื่นกับการมาของคนแปลกหน้าและดูไม่ได้ตะเตรียมการสวดมนต์นี้เสียเท่าไหร่
หากเป็นในเมืองก็คงตกแต่งกันอย่างสวยงาม
คนที่นี่คงมีชีวิตที่เรียบง่ายและใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ก็คงจะมีความสุขไม่ใช่น้อย
เด็กหนุ่มแอบอิจฉาคนที่นี่เล็กน้อยที่ได้ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องวุ่นวาย
เช่นเดียวชีวิตของเขาที่เป็นอยู่ทุกวัน
‘ “อาจารย์ครับ
ทำไมถึงไม่มีทางคนเดินเลยล่ะครับไม่มีใครไปที่กรุโบราณนั้นเลยเหรอ”
อชิตะหยุดเดินแล้วหันมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
เช่นเดิม
“เอาล่ะ ผมคงต้องเกิดบอกคุณคร่าวๆสักหน่อย
คุณพอจะเชื่อเรื่องลึกลับอะไรรับหรือเปล่า”
“ที่จริง ผมยังไม่เคยเจอมากับตัวคงยังเชื่อไม่ได้หรอกครับ”
อชิตะหายใจเข้าลึกๆ
พร้อมกับตั้งใจอธิบายในสิ่งที่มันจะทำให้เด็กหนุ่มต้องเสียขวัญอย่างมาก
“ถึงเวลาที่คุณจะต้องเชื่อเรื่องลึกลับแล้วล่ะ
เส้นทางที่ผมว่า แทบไม่มีมนุษย์เข้าไปเลยแม้แต่คนในหมู่บ้านนี้
เส้นทางถูกปิดเสมอและคนในหมู่บ้านนี้จะต้องเฝ้าเส้นทางนั้น
เอาล่ะผมคิดว่าเส้นทางในอยู่แถวนี้แต่จะต้องเดินหรือไปอีกสัก 2
กิโลคุณพร้อมหรือยัง”
ระชดตกใจในสิ่งที่อาจารย์พูดเล็กน้อยแต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร
ไม่เคยมีคนไป นั่นหมายความว่าเราหลงได้ทุกเมื่อ นั่นสิภารกิจนี้มันช่างเสี่ยงจริงๆ
“ อาจารย์มีแผนที่หรือเปล่าครับ”
“ไม่มีหรอก ผมแค่จำปากทางเข้าได้
นานๆผมถึงจะมาสักที”
“อาจารย์มั่นใจขนาดนั้นจริงๆหรอครับ”
อาจารย์หนุ่มพยักหน้าโดยที่ไม่ตอบอะไร
แล้วกวักมือเรียกให้ลูกศิษย์ของเขารีบๆตามเข้าไป
ทั้งสองเดินเข้าไปในป่ารกชัฏอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย
ต้นไม้ที่นี่สูงมากราวกับมันไม่เคยมีในเมืองไทยมาก่อน
หมู่แมกไม้ค่อยๆปิดแสงตะวันที่ลงมาจากท้องฟ้าหากอยู่ข้างล่างนี้ตลอดทั้งวันคงจะต้องหลงเวลาอย่างแน่ๆ
ในป่านี้เงียบสงัดและหนาวเย็น อาจารย์หนุ่มยังเดินนำโดยไม่พัก
เขาก้าวขายาวๆของเขาอย่างรวดเร็วเรากับจะแข่งกับอะไรบางอย่าง
เขาพูดตัวเองเข้าไปในหมู่ดงหญ้าโดยที่ไม่มีมีดฟันนำทางไปก่อนด้วยซ้ำ
เด็กหนูต้องพยายามแหวกหญ้าที่สูงท่วมหัวตามให้ทัน
จนในที่สุดอาจารย์ของเขาก็หยุดลงบนขอนไม้ใหญ่ เขาหยุดลงอย่างรวดเร็วจนระชด
แทบจะชนเขาจากด้านหลังแต่โชคดีที่ยังหยุดทัน
เมื่อมองลงไปจากขอนไม้ใหญ่ก็พบว่าเป็นหุบเหวลึก
ธรรมชาติโดยรวมของที่นี่ไม่เหมือนป่าเมืองร้อนโดยสักนิด
แถมหุบเหวนี้ก็ยังมีหมอกปกคลุมอยู่ด้านล่างดูแล้วน่ากลัวเหลือเกิน
“เราหาทางข้ามกันเถอะครับอาจารย์
มันอาจจะมีทางที่เชื่อมกันไม่ไกลเกินไปจากที่นี่”
เด็กหนุ่มแนะนำอาจารย์ของเขา
“เรามากันถึงแล้วล่ะระชด
นับจากตรงนี้ไปจะเป็นเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่งที่ไปยังสถานที่โบราณ
คุณจะได้เห็นในสิ่งที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน
จงจำไว้และอยู่ห่างจากผม เพราะตอนนี้คุณคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง และต้องมีสติเสมอ”
“แต่อาจารย์ครับ...ตรงนี้เป็นเหวลึกนะครับแถมยังไม่มีทางข้ามด้วย
เราจะไปต่อกันไม่ได้นะครับ”
เด็กหนุ่มขนลุกชันทันที
เขาจินตนาการไปต่างๆนานา หรือว่าอาจารย์ของเขาจะพักเขาลงไปเพื่อสังเวยเทพหรือผีเฝ้าทางอะไรสักอย่าง
นี่อาจจะเป็นการบูชายัญก็ได้ การเข้าป่าลึกมา 2
คนหากใครสักคนจะตายไปย่อมไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร
เด็กหนุ่มก้าวถอยจากอาการของเขาเล็กน้อยเพื่อขอให้มีพื้นที่ที่เขาจะหนีได้
เนื่องจากเขาไม่เคยไว้ใจอาจารย์ของตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ทางฝ่ายอาจารย์หนุ่มหันมามองลูกศิษย์อย่างเยือกเย็นพร้อมกับอ้าปากพูดว่า
“เอาตรีศูลออกมา เราต้องใช้มันแล้ว”
ในใจของเด็กหนุ่มนั้นลังเลที่จะเอามันออกมา
ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นอาวุธที่เอาไว้สำหรับฆ่าเขาเพื่อบูชายัญก็ได้ จิตใจของเขาเตลิดไปไกล
หรือทางที่ดีเขาจะเก็บมันเอาไว้ฆ่าอาจารย์แทนแล้วหนีออกไปนี่อาจจะดีกว่า
ระชดทำทีว่ายังค้นกระเป๋าอยู่ แต่แล้ว
“ระชด หยุดก่อน นิมนต์พระคุณเจ้าครับ”
เมื่อเด็กหนุ่มหันไปก็พบว่ามีพระอยู่ทางด้านหลังของพวกเขา
และดูเหมือนจะเป็นพระธุดงค์ถึงสามารถเข้ามาในป่าลึกนี้ได้ เนื้อตัวดูสะอาดสะอ้านน่าเคารพเหลือเกิน
กิริยาท่าทางก็น่าเกรงขาม
ชายหนุ่มทั้งสองก้มลงนั่งกราบพระรูปนั้นโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน
เมื่อระชดเงยหน้าขึ้น ก็พบว่า เท้าของพระรูปนี้ไม่ติดพื้น
สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก เขาได้แต่นิ่งแข็งทื่อ
เขาไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนในชีวิต หรือนี่จะเป็นสิ่งลี้ลับที่เขาจะต้องเจอ
แต่ที่สำคัญก็คือนี่ยังเพิ่งเป็นการเริ่มต้นด้วยซ้ำ
“เจริญพรเถอะโยม กำลังจะไปที่ไหนกันหรือ”
“พวกกระผม จะต้องเข้าไปทางทางนี้ขอรับ
มีกิจสำคัญแต่ต้องไปทำด้านใน แล้วนี่พระคุณเจ้าจะไปไหนหรือครับ แล้วพระคุณเจ้ามาจากที่ไหน”
เด็กหนุ่มยังคงพูดอะไรไม่ออก
เขาปล่อยให้อาจารย์พูดกับพระภิกษุรูปนี้แต่เพียงลำพัง
“เด็กหนุ่มนี่น่าจะตกใจพอสมควรนะ”
“เขายังไม่ชินน่ะขอรับ”
พระภิกษุรูปนั้นจึงพูดต่อว่า
“อาตมามาจำพรรษาที่ยอดเขาลูกโน้น ตอนนี้ถึงเวลาสำคัญที่จะต้องลงไปหาญาติโยมด้านล่างแล้ว แล้วฉันทิ้งพวกเขาไว้ไม่ได้จริงๆ หากคุณโยมจะไปที่เส้นทางด้านหลังก็กลับมาให้ทันฝนตกนะโยม ไอ้หนุ่ม มีสติไว้นะโยม เจริญพร.”
ระชดเพิ่งคิดได้ว่าตั้งแต่เขาก้าวเท้ามาที่นี่ทุกคนก็พูดเรื่องฝนตกเย็นนี้กันทั้งนั้น
จนตอนนี้เขาเริ่มคิดแล้วว่าฝนตกเย็นนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปซะแล้ว
และดูท่าว่าจะต้องเป็นเรื่องที่น่ากังวลเสียด้วย
จิตใจของเด็กหนุ่มเริ่มกลับมานิ่งสงบอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว
“ลานะครับ”
เมื่ออชิตะพูดจบ
ชายหนุ่มทั้งสองก้มลงกราบพระพร้อมกัน
ถ้าทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นพระธุดงค์ก็หายไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มหันมามองหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังเสียขวัญและเขาก็เข้าใจดีว่าเด็กเมืองกรุงคงไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อนและไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ด้วย
“ ใจร่มๆไว้
เราจะได้เจออะไรมากกว่านี้แต่ตอนนี้ยื่นตรีศูลมาให้ผมหน่อยผมต้องใช้แล้วล่ะ”
ราวกับถูกมนต์สะกด
ระชดยื่นอาวุธโบราณให้กับอาจารย์ไปโดยดีจนลืมไปว่าเขาคิดอะไรไปไกลเหลือเกินก่อนก่อนหน้านั้น
เมื่ออชิตะรับมาก็เอามาปักลงบนพื้นและนิ่งไปสักพัก
เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าอาจารย์ของเขากำลังทำอะไร
โดยตัวเขาเองก็ได้แต่นิ่งและไม่เข้าไปขัดพิธีอะไรของเขา จนในที่สุดอชิตะก็พูดออกมาเสียที
“ เราต้องรอที่นี่สักพัก
เดี๋ยวจะมีคนจากฝั่งโน้นมารับเราแล้วไม่ต้องถามผมนะว่าเขาจะมาได้ยังไง
เขามีวิธีของเขา เราแค่ต้องรอ
คุณมีเรื่องอะไรจะถามผมอีกหรือเปล่าผมว่าคุณมีคำถามนะ”
เรากับอาจารย์หนุ่มสามารถอ่านใจเขาได้
สิ่งแรกที่ออกมาจากสมองของเขาก็คือจารึกโบราณแผ่นนั้น
ไม่รู้ว่าทำไมหรือจู่ๆเขาก็อยากให้อาจารย์ของเขาได้อ่านจารึกนั้น
อาจจะเป็นเพราะว่าอย่างน้อยชายหนุ่มคนนี้ก็ยังไม่ฆ่าเขาด้วยตรีศูล เอาล่ะ
อย่างน้อยเขาก็ปักมันลงบนพื้น
“คาดว่าผมอีกเรื่องนึงที่อาจารย์อาจจะพอช่วยตอบคำถามผมได้”
“เอาล่ะผมตอบคำถามได้ทั้งหมด
เพื่อรอเวลาว่ามาเลย”
“เมื่อคืน
ที่บ้านของผมเป็นร้านขายวัตถุโบราณแล้วผมก็เจอกงจักรโบราณ
มันเหมือนเป็นกุญแจคู่กับผอบโบราณสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา แถมยังมีระบบล็อกโบราณด้วย
ผมคิดว่า….”
“มีจารึกอะไรในนั้นหรือเปล่า” อชิตะขัดขึ้นมา
เด็กหนุ่มกำลังจะเล่าถึงจารึกนั้นพอดี
“มีครับ มีทั้งสองรึกอยู่ในนั้น”
“ขอผมดูหน่อย”
ระชดรีบเปิดโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายรูปเอาไว้ให้อาจารย์ของเขาดู
เด็กหนุ่มเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้อชิตะฟัง
แต่รอบนี้สิ่งที่แปลกออกไปก็คืออาจารย์หนุ่มกลายเป็นมีทีท่าตกใจ
จากที่เคยเงียบขรึมและไร้อารมณ์อย่างถึงที่สุด เขาดูสนใจในเรื่องนี้อย่างมาก
“อาจารย์รู้จักคนจารึกด้วยหรอครับ.”
ระชดสงสัย
และอยากรู้ว่าสิ่งที่เขาค้นพบนั้นสำคัญขนาดไหน
“รู้จักสิ รู้จักดีด้วย”
อชิตะตอบสั้นๆ
“อีกอย่างผมอยากรู้ว่าสิ่งที่ผมค้นพบ เนี่ย
มันสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือครับ”
“สำคัญสิ สำคัญมากด้วย
เพราะทั้งกงจักรและผอบคือลูกกุญแจและแม่กุญแจหน่ะใช่
แต่ที่จริงๆมันคือสัญลักษณ์ครุฑยุดนาค
แต่ผมจะไม่อธิบายอะไรมากเดี๋ยวคุณก็จะรู้หลังจากนี้เอง”
เมื่อสิ้นเสียงอชิตะ ทันใดนั้น ปัง ปัง ปัง!
เสียงปืนที่ถูกยิงมาจากที่ไหนสักทีดังขึ้น
แต่อันที่จริงกระสุนปืนเหล่านั้นพยายามจะยิงมาถูกพวกเขาแต่ก็ไปโดนที่ขอนไม้แทน
เด็กหนุ่มตกใจ เตือนสติแทบหลุด แต่ก็โชคดีที่กระสุนพลาดไปทางอื่น
ทันใดนั้น
อชิตะกระชากลูกศิษย์ของเขากระโดดไปหลังพุ่มไม้เพื่อเป็นที่กำบัง!
แต่แล้วชายหนุ่มก็วิ่งออกไปยังต้นเสียงของกระสุนปืนพวกนั้นโดยทิ้งเด็กหนุ่มเอาไว้เบื้องหลัง
และสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น
ความคิดเห็น