ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฤทธา ราตรี

    ลำดับตอนที่ #2 : เธอจงระลึกให้ได้......

    • อัปเดตล่าสุด 11 ธ.ค. 61




              ระชดลืมตาขึ้นมาท่ามกลางห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่ถูกสาดส่องด้วยแสงสีส้มอ่อนๆ จากผ้าม่านด้านข้าง เด็กหนุ่มมองดูตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ทั้งๆที่ไม่แน่ใจด้วยซ็ำว่าเขานั้นตายไปแล้วหรือยัง เขาคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาด้วยหัวใจที่สั่นระรัว ในขณะที่หัวของเขากำลังเรียบเรียงข้อมูลที่พึ่งเกิดขึ้นไปอยู่นั้น เขาต้องสะดุ้งโหยงสุดตัวเมื่อเสียงฝีเท้าของชายหนุ่มที่เขาระลึกได้ว่าพยายามยามจะฆ่าเขานั้นก้าวเข้ามาในห้องพยาบาลที่เหลือเพียงแต่เด็กหนุ่มเพียงลำพัง เด็กหนุ่มจ้องไปที่อาจารย์ที่ตอนนี้กลาบเป็นคนอื่นไปเสียแล้ว เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาบนหน้าของเขาอีกครั้ง หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากร่าง ระชดทาบมือลงบนหน้าอกที่เขาถูกยิง ไม่...ไม่มีรอยกระสุนเลยแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ของเขา
    "อาจารย์...." ระชดพูดอะไรไม่ออกเมื่อต้องสบตากับอาจารย์ของเขา
    "ตื่นแล้วเหรอ หัวขโมย" อาจารย์หนุ่มจ้องตาระชดเขม็ง
    "........." เด็กหนุ่มอึ้งในสิ่งที่อาจารย์พูด ขโมยอะไรตอนไหน เขาต่างหากที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด
    "อยากดูอะไรมั้ย" อชิตะพูดขึ้นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
    "ครับ...." ในหัวของเด็กหนุ่มมีแต่ความสงสัย ทำไมเหตุการณ์มันเหมือนทำให้ตัวเขาผิดเต็มกระทงแบบนั้น จนอชิตะคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วเปิดคลิปโทรศัพท์ที่เขาถ่ายมาอีกทีจากห้องควบคุมที่ตึกคณะ เขายื่นโทรศัพท์ให้ระชดดูคลิปนั้นพร้อมกับยืนกอดอกอย่างใจเย็น เขาเอามือลูปหน้าราวกับสิ่งที่อยู่ในหัวระชดนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน
              ในคลิปนั้นคือวิดีโอที่ระชดกำลังกลายเป็นหัวขโมยน่าโง่ เขาถึงกับจ้องย้อนดูคลิปวิดีโออีกรอบ ใช่...เด็กหนุ่มเห็นตัวเองในสภาพเก้ๆกังๆ บุกเข้าห้องพักอาจารย์ในขณะที่ไม่มีใครอยู่ในห้อง เมื่ออชิตะเดินเข้ามา เรื่องราวก็พลิกกลายเป็นว่า พอเด็กหนุ่มเห็นอาจารย์เข้ามาในห้องก็วิ่งเข้าทุบกรอบรูปกระจกเพื่อเอาตรีศูรมาทำร้ายอาจารย์ตัวเอง อชิตะถึงกับช็อคในเรื่องที่กำลังพบเจออยู่ตอนนี้ เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อกระจกแตกออก ในคลิปนั้นเขาเลือดออกเยอะมากจนตัวเองดูแล้วถึงกับขนลุก แต่พอมาดูที่แขนของเขาตอนนี้มีเพียงรอยถลอกที่ไม่ได้มีรอยแผลลึกเท่าไร มันน่าแปลกมาก เมื่อเขาตั้งสติแล้วดูคลิปต่อไป เขาก็เห็นตัวเองคว้าตรีศูรนั้นขึ้นมาเพื่อง้างแขนพร้อมจะแทงไปที่อาจารย์ของเขา ไม่ทันได้กระพริบตา อชิตะก็กระโดดพุ่งเข้าทุบลงที่อกของเขาจนสลบ แค่ทุบที่ออกอย่างงั้นเหรอถึงกับทำให้สลบได้ เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง และที่สำคัญเขาจะคิดสั้นขโมยวัตถุโบราณแถมจะทำร้ายอาจารย์ตัวเองด้วยหน่ะหรือ ไม่มีทาง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่มีเหตุและผล มันไม่น่าเกิดขึ้นได้ทั้งคลิปนั้นเลย เขารู้ตัวดีเสมอ
              "อาจารย์ครับ ผมไม่คิดว่าผมจะทำอะไรแบบนั้นนะครับ" ระชดยังคงเข้าข้างตัวเองและไม่แน่ใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับเขากันแน่ และใครบางคนอาจจะกำลังแกล้งเขาก็ได้ แต่ใครกันหล่ะจะสามารถตัดต่อคลิปได้เร็วขนาดนั้น
    "ผมพยายามจะเชื่อคุณนะ ถ้าผมไม่ได้เป็นคนซัดคุณลงกับพื้น อันที่จริง คุณมาเรียนคลาสของผม ผมก็ว่าคุณออกจะเป็นคนเรียบร้อย" อชิตะเริ่มมีปากเสียงบ้าง แต่เขาก็ยังนิ่งสงบในแบบของเขา 
              เด็กหนุ่มกล่ำกลืนขอโทษอชิตะโดยที่ในใจลึกๆนั้นไม่เห็นด้วยอย่างถึงที่สุ ซึ่งในตอนนี้ระชดอยู่นิ่งไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เด็กหนุ่มกระวนกระวายจนเห็นได้ชัด เขาพยายามกระเสือกกระสนเพื่อช่วยเหลือตนเองจากการที่ถูกกุเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เขาไม่สามารถหาเหตุผลใดๆที่จะทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ได้เลยในเมื่อหลักฐานมัดตัวเขาได้คาตาขนาดนี้ แต่อาจจะมีสิ่งหนึ่งที่พอเป็นหลักฐานได้ เมมโมรี่กล้องวิดีโดอของเขานั่นเอง
              เด็กหนุ่มเปิดกระเป๋าเป้ของตัวเองออกมาเพื่อหยิบกล้องวิดีโอที่เป็นหลักฐานเดียวของเขา แต่เขาก็ลืมคิดไปว่าอาจารย์อชิตะกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ เพราะที่สลบไปนานทำให้เขาลืมไปแล้วว่าอชิตะคือศัตรูที่กำลังจะเอาชีวิตของเขา ระชดหยิบกล้องวิดีโอขึ้นมาทันที เมื่อเขาเปิดวิดีโอก็พบว่ากล้องพังแม้กระทั่งเมมโมรี่ โน๊ตบุ้คของเขาก็อ่านอะไรจากเมมโมรี่ไม่ได้เลย ชีวิตของเขากำลังเหมือนถูกจัดฉากเอาไว้ เด็กหนุ่มทั้งเคืองและโมโห แต่เขาก็ถูกขัดจังหวะที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาจากอาจารย์หนุ่ม
    "ไม่ต้องพิสูจน์อะไรทั้งนั้นแล้วหล่ะระชด คุณกำลังจะถูกไล่ออก"
    เด็กหนุ่มอึ้งในสิ่งที่พึ่งได้ยินจนแทบเป็นสลบลงไปอีกรอบ ระชดอ้าปากค้าง แถมยังไม่มีทางออกให้กับโชคชะตาของตัวเอง
    "มีวิธีไหนที่จะไม่ทำให้ผมถูกไล่ออกมั้ยครับ" ระชดพูดเสียงสั่นเพราะเขารู้เพียงแต่ว่าอชิตะเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เขารอดจากสถานการณ์นี้ แถมอชิตะยังเป็นคู่กรณีคนสำคัญของเขาด้วย
    "คุณไม่ได้แค่ทำร้ายอาจารย์แต่คุณยังทำลายโบราณสถานด้วย จากห้าชิ้น คุณทำให้ตรีศูรเหลือแค่อันเดียว ความผิดของคุณมันมากเกินไป มหาวิทยาลัยต้องรับเอาคุณออกก่อนที่จะเป็นข่าวใหญ่โต"
    "ผม ...ผม ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง อาจจะมีใครวางยาผมก็ได้ ถ้าสติผมเต็มร้อย ผมคิดว่าผมมั่นใจว่าผมไม่มีทางทำแน่ๆ " ระชดไม่มีข้ออ้างหรือความเห็นใดๆอีกแล้ว และเขาคิดออกเพียงเท่านี้
              อชิตะเองก็มองไปที่นักศึกษาของเขาราวกับจะรู้ในทุกๆคำตอบจากปากของเด็กหนุ่ม
    "ผมเข้าใจนะว่าคุณต้องการโอกาส แต่มันคงต้องแรกกับสิ่งที่ต้องชดใช้ที่ยิ่งใหญ่พอๆกัน เพราะผมเองต้องย้ายขึ้นไปทางเหนืออาทิตย์หน้า"
    "ผมต้องชดใช้ยังไงบ้าง ผมจะโดนไล่ออกตอนไม่ได้นะครับ อีกแค่ปีเดียวผมก็จะจบแล้ว อาจารย์พอจะช่วยอะไรผมได้มั้ยครับ"
              ระชดขอร้องอชิตะด้วยใบหน้าที่น้ำตาคลอ ทั้งๆที่เขารู้ดีว่านั่นไม่ใช่ความผิดของเขา อาจารย์หนุ่มมองหน้าเขาอย่างไร้ความหวัง แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้อชิตะเปิดกระเป๋าใบสี่เหลี่ยมที่เข้าสะพานอยู่ประจำออกมา จากนั้นเขาก็หยิบตรีศูรอันเดียวกับในกรอบรูปนั้นขึ้นมา ยังไม่ทันที่ระชดจะได้อ้าปากถามอะไร
              "คุณว่าตรีศูรนี้เอาไว้ทำอะไร" จู่ๆอชิตะก็เอ่ยปากถามลูกศิษย์ที่น่าผิดหวังของเขา
              "อาจารย์หมายถึง....." ระชดตกใจในคำถามนั้น
              "หมายถึงตรีศูรนี่ไง อย่าคิดนาน ผมจะได้รู้ว่าผมควรจะช่วยคุณรึเปล่า" อชิตะพูดกึ่งคำรามจนระชดไปไม่ถูก
              "ครับ....ตรีศูรคืออาวุธของพระเจ้าทั้งในเอเชียและฝั่งตะวันตกด้วยครับ แล้วก็......" 
              "พอได้แล้ว ผมว่าคำตอบของคุณยังไม่ดีพอสำหรับผม ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว ขอให้ไม่ทำอะไรแบบนี้กับที่เรียนใหม่ ผมต้องไปแล้ว"
              ระชดแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง อาจารย์หนุ่มกำลังก้าวขาออกจากห้องนั้นโดยไม่หันมามองเขาด้วยซ้ำ และทันใดนั้น จู่ๆก็มีคำพูดหนึ่งประเดประดังเข้ามาในสมองของเด็กหนุ่ม ราวกับว่าตรีศูรนี้มันมีหน้าที่เป็นอย่างอื่น บางสิ่งที่เขาเท่านั้นที่รู้ว่ามันเอาไว้ทำอะไร เขาคนเดียวเท่านั้น
              "เดี๋ยวครับอาจารย์...ตรีศูรไม่ได้เอาไว้รบราฆ่าฟัน."
               ระชดพูดมันออกมาอย่างคล่องแคล่วราวกับว่าเขาเคยพูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อชิตะหยุดยืนนิ่งที่ประตู เขาหันหลังกลับมาเพื่อณฮฟังคำตอบของระชด และราวกับคำตอบนี้เขายินดีที่จะรับฟังเสียมากกว่า
              "ตรีศูรคือความอุดมสมบูรณ์ ทรัพย์บนดินสินในน้ำ ตรีศูรเป็นสิ่งย้ำเตือนเพื่อให้..จิต...ระลึกถึงกัน"
              ระชดแทบพูดอะไรต่อไปไม่ออก ถึงเขาจะเรียบเรียงมันออกมาได้ไม่ราบลื่นเท่าสิ่งที่อยู่ในสมองของเขา เเต่ เขากลับรู้สึกละอายถึงคำตอบที่โง่เง่าของตัวเอง ไม่มีหนังสือเล่มไหนในโลกที่บอกว่าตรีศูรคือเครื่องระลึกความจำหรือถ้าเป็นตัวแทนของทรัพย์สินนั้นอาจพอได้ แต่หนังสือทุกเล่มที่เขาอ่านล้วนพูดถึงความหมายของตรีศูรไปอีกหลายอย่าง เขายอมรับแต่โดยดีแล้วว่า เขาคงถูกไล่ออกตอนนี้แล้วจริงๆ
              อชิตะมองหน้าเด็กหนุ่ม พร้อมกับขมวดคิ้วจนดูเหมือนกำลังโมโห จนทำให้ระชดก้มหน้าลงรับความผิดพลาดของตัวเอง แต่แล้ว
              "อันที่จริงคำตอบของคุณมันไม่ได้ถูกต้องซะทีเดียว แต่เป็นคำตอบที่ผมอยากจะฟังมากกว่าอันแรก ผมพอจะคิดออกแล้วว่าจะให้คุณช่วยอะไรเพื่อชดใช้มหาวิทยาลัยได้บ้าง"
              ระชดตกใจในคำตอบของอาจารย์อย่างที่สุด หรืออาจารย์อชิ จะบ้าไปเสียแล้ว
              "แต่อาจารย์ครับ ผมต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าผมถูกวางยา" ระชดขอร้องอาจารย์อย่างสิ้นหวัง
              "อย่าเสียเวลาเลยระชด คำสั่งของคุณออกมาแล้ว ถึงคุณจะพยายามแจ้งความก็อาจทำให้คุณต้องพักการเรียนอยู่ดี บางที งานที่ผมจะให้คุณช่วยทำนี้อาจจะช่วยให้คุณพ้นความผิดได้" อชิตะพูดจาประหลาดจนสัญชาตญานของระชดไม่สามารถไว้ใจเขาได้อีกแล้ว
              "แล้วอาจารย์จะให้ผมช่วยงานอะไรครับ"
              "ไปตามเอาสมบัติชาติอีกสี่ชิ้น"
              "อาจารย์หมายถึงแบบเดียวกับที่ในกรอบ อันที่พังไปใช่มั้ยครับ" 
    ระชดเสียงอ่อนลง เพราะเขาเองทำพังทั้งหมด จากที่ดูในคลิป
              "ใช่ ผมต้องเดินทางพรุ่งนี้แล้ว คำสั่งของผมก็อนุมัติแล้วเหมือนกัน กลับไปเก็บข้าวของแล้วขึ้นเหนือไปด้วยกัน" อชิตะพูดพรางมองไปที่นาฬิกาข้อมือ
              "เราไม่ได้สำรองไว้ที่พิพิธภัณสถานหรอครับ ผมแค่สงสัยหน่ะครับ" 
              อชิตะส่ายหัวให้ระชดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
              "ไม่หรอก เราเอามาแค่ตัวอย่างเพื่อเตรียมไปแสดงเดือนหน้า เราต้องกลับไปเปิดกรุโบราณ ที่ใส่ในกรอบรูปแบบที่คุณเห็นอันนั้น เพราะคนที่เป็นเจ้าของเดิมเอามาให้ไว้กับมหาวิทยาลัย ก็เลยทำไว้สวยงาม เราต้องรีบไปเพราะมีแต่ผมคนเดียวที่ถือใบอนุญาติจากกรม พอใกล้ฤดูน้ำหลากเราจะเขาไปไม่ได้"
              "ครับ อาจารย์จะออกกี่โมงครับ แล้วไปจังหวัดไหนครับอาจารย์"
              "ไปเชียงใหม่เจ็ดโมงเช้า ไฟท์ที่สอง ตามผมมาให้ทันนะ เจอกันที่สนามบินเชียงใหม่" เมื่ออชิตะพูดจบ เขาได้เดินออกไปทันที โดยทิ้งให้ระชดงุนงงอยู่กับเหตุการณ์ที่ตนพึ่งรอดพ้นจากการถูกมหาวิทยาลัยไล่ออก เหมือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นถูกจัดฉากไว้ไม่มีผิด เขาคิดเรื่องนี้วนไปวนมาเพื่อหารอยต่อและสุดท้ายเขาก็ดันตัวเองเพื่อกลับไปบ้านโดยเขาเลือกที่จะทิ้งหอพักเอาไว้เบื้องหลัง ก่อนที่สายที่ไม่ได้รับจะมากไปกว่านี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไม การต้องมาทำงานกับอาจารย์ที่ตัวเขาเองไม่ไว้ใจนั้นมันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับอยู่ในอุ้งมือของเสือ ที่เขาหนีไปไหนก็ไม่พ้น
              เมื่อระชดกลับมาถึงบ้าน เขาต้องนั่งอธิบายให้กับทุกคนในบ้านฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาในวันนี้ ทุกคนตกใจกันยกใหญ่ โดยที่พ่อของเด็กหนุ่มพยายามรวบรวมข้อมูลจากเขาเพื่อแจ้งความใครก็ตามที่พยายามวางยาลูกชายตัวเอง แต่สำหรับระชดเขารู้ดีว่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นก่อนได้ดูคลิป มันดูจริงเกินกว่าจะเชื่อว่าตัวเองถูกวางยา เขาจำเป็นต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆเท่านั้น เมื่อเขาเข้าไปที่โรงเก็บของเก่าซึ่งบ้านของเขามีอาชีพขายวัตถุโบราณ เหลือวัตถุโบราณอีกห้าชิ้นที่เขายังไม่ได้ตั้งมูลค่า การเรียนโบราณคดีทำให้เขาทำงานนี้ได้ง่ายขึ้น แต่บางครั้งเขาก็รู้สึกผิดที่ต้องเอาสมบัติชาติมาค้าขายเพื่อหาเงินส่วนตัวแบบนี้ แต่เขาก็ยังคงหลงไหลวัตถุโบราณอย่างอดไม่ได้ หลายครั้ง เขาเคยคิดว่าจะเลิกช่วยครอบครัวหาเงินด้วยวิธีนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องวนกลับมาที่วัตถุโบราณอีกครั้ง มันเหมือนเขากำลังตามหาชิ้นส่วนบางอย่างที่เป็นของเขา แต่เขาก็ยังหาไม่พบ เมื่อระชดเช็ควัตถุโบราณไปได้สามชิ้น เขาง่วงมากจนแทบจะต้องหยุดวิเคราะห์ข้อมูล แต่วัตถุชื้นที่สี่มีบางอย่างที่น่าสนใจจนเขาต้องฝืนร่างกายทำงานต่อ 
              วัตถุโบราณชิ้นนี้คือกงจักรห้าแฉกที่มีรูปร่างแปลกตา มันดูเหมือนถูกออกแบบมาเพื่อทำอะไรสักอย่างมากกว่าจะเป็นเครื่องรางในยุคโบราณ เมื่อระชดลองเช็คดูอย่างคร่าวๆ ตามที่เขาเข้าใจก็คือ กงจักรนี้น่าจะมาจากยุคของอยุธยาสักช่วงหนึ่งที่ยังระบุเวลาไม่ได้แน่ชัด เพราะโบราณวัตถุชิ้นนี้ดูยังมีสภาพดีอย่างไม่น่าเชื่อ จนเขาชักจะไม่แน่ใจแล้วว่านักหาของเก่าที่เอามาขายนั้นต้มครอบครัวเขาอยู่หรือเปล่า ระชดพลิกกงจักรไปมาอีกหลายครั้ง เขารู้สึกว่ามันเหมือนมีชีวิต มันช่างต่างกับวัตถุโบราณชิ้นอื่นๆที่เขาตีราคาเมื่อเกือบทั้งชีวิต เด็กหนุ่มง่วงจนสุดที่จะทานทนแต่เขาก็ยังอยากชื่นชมกงจักรก่อนที่มันจะตกไปอยู่ในมือคนอื่น
              เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อซีซ่าแมวที่เขาเลี้ยงไว้เข้ามาปลุกถึงในห้อง เขาเผลอหลับไปทั้งที่มือยังถือกงจักรนั้นอยู่ ตาของเด็กหนุ่มมัวไปหมดก่อนที่เขาจะทันได้คว้าแว่นมาใส่ ระชดยกมือข้างที่ถือกงจักรขยี้ตาเบาๆ เขาก็พบว่าแสงสามารถส่องรอดกงจักรลงมาได้ เขาไม่รอช้า เขารีบกระเทาะเศษดินรอบๆออก เมื่อเขาส่องกับแสงอีกครั้ง เงาที่ปรากฏขึ้นมานั้นคือรูปครุฑที่แสนจะสง่างามและแสงทำให้กงจักรทองเหลืองนั้นแวววาวสวยงามไปด้วย
               จู่ๆซีซ่าก็กรีดร้องด้วยความตกใจและกระโดดไปมาจนระชดสะดุ้งตกใจไปด้วย เมื่อเขามองไปที่ซีซ่า ขาของเขาถึงกับอ่อนในทันที เขาเห็นเขาตะคลุ่มของงูสีดำขนาดใหญ่นอนขดอยู่ มือของมีหวังเจ้าแมวได้โดนกินแน่ๆเขาจึงรีบคว้าแว่นตามาใส่ทันที และเขาก็พบว่าซีซ่าก็ยังอยู่ที่เดิม ส่วนบริเวณที่เขาคิดว่าเป็นงูก็เป็นแค่กองม้วนเชือกโบราณขนาดใหญ่ที่ยังไม่ได้ประมูลเท่านั้นเอง
               "ไอ้แมวโง่" เด็กหนุ่มประชดแมวของเขาอย่างตื่นตระหนก เจ้าแมวดูเสียขวัญไม่ใช่น้อย ระชดเดินไปที่แมวของเขาเพื่อปลอบประโลมมัน เมื่อเข้าก้มลงอุ้มแมวอ้วนของเขา เขาก็พบกับ ผอบทองเหลืองทรงห้าเหลี่ยมรูปทรงประหลาดพอๆกับกงจักรที่เขาถืออยู่ด้านข้างขอบผอบมีลักษณะคล้ายกับงูขนาดเล็กพันล้อมรอบอยู่ ผอบนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันวางอยู่ภายในกองเชือกม้วนนั้น ใครกันนะ....เก็บของไม่เป็นที่เสียเลย ระชดเกิดรำคาญขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่สบอารมณ์ทุกครั้งเวลาที่เห็นข้าวของที่ไม่เป็นที่ 
              และเขาก็ปล่อยซีซ่าลงบนพื้นแล้วคว้าเอาผอบนั้นขึ้นมาแทน ผอบนั้นมีร่องลึกคล้ายกงจักร เขาคิดไปเองว่าถ้าเอาผอบนั้นมาประกบกับกงจักรได้พอดีจะมีอะไรเกิดขึ้น มันน่าแปลกที่ในใจลึกๆของเขาบอกให้เอามาประกบกันอย่ารอช้า เขาจึงคิดสนุกขึ้นมาและเอาวัตถุโบราณทั้งสองชิ้นนั้นมาประกบกัน เด็กหนุ่มถึงกับต้องตกใจในทันทีที่มันประกบกันได้สนิท แต่เมื่อเขาจะแยกมันออกจากกันกลับไม่สามารถทำได้ของพยายามงัดมันออกแต่ก็ทำไม่ได้เสียทีจนในที่สุดเขาจึงต้องพยายามหมุนไปทางซ้ายทีขวาที พอเขากดมันลงและหมุนไปทางขวา มันกลับสามารถหมุนได้อย่างน่าอัสจรรย์ เขาหมุนมันไปได้สามรอบ ผอบก็สามารถเปิดออกได้ ช่างน่าแปลกภายในนั้นว่างเปล่า ด้วยกลไกที่มีความซับซ้อนจนต้องมีกุญแจมาไขในลักษณะนี้มันควรจะต้องมีอะไรข้างในอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในความคิดของเด็กหนุ่มเมื่อกุญแจและแม่กุญแจถูกแยกออกมาอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่เริ่มสร้าง เพราะไม่มีรอยไขบนผอบเลย นี่จึงมีความเป็นไปได้ว่านี่คือการไขครั้งแรกแน่นอน จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ข้างใน เด็กหนุ่มตั้งสติแล้วตั้งใจหาร่องรอยของคำตอบนี้ในทันที
              ไม่มีอะไรที่เป็นไปได้เลย หนึ่งชั่วโมงผ่านไป  ระชดไม่พบร่องรอยอะไรทั้งสิ้น จนเขาคิดว่านี่อาจจะเป็นกล่องที่ไว้เก็บสมบัติแบบตู้นิรภัยในปัจจุบันเพียงแต่ชิ้นนี้อาจจะเป็นแค่สินค้าตัวอย่างเหมือนในสมัยนี้เท่านั้น เขาพยายามค้นหาข้อมูลจากในอินเทอร์เน็ตและหนังสือเก่า น่าแปลกที่เขาไม่เจออะไรเลย เอาหล่ะ...มันคือวัตถุที่มีเพียงชิ้นเดียวแต่ไร้ซึ่งข้อมูลโดยสิ้นเชิง ระชดรู้สึกเสียดายเวลาที่เสียไปไม่ใช่น้อย วันนี้มันวันอะไรของเขากันนะ เด็กหนุ่มน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองจนเขาล้มเลิกความตั้งใจแล้วเตรียมตัวจะกลับไปนอนเพื่อจะได้ทันขึ้นเครื่องบินวันรุ่งขึ้น
               เขาลุกขึ้นยืนแต่มือของเขาก็ปัดไปโดนผอบหล่นลงไปที่พื้น แสงไปจากเพดานห้องส่องไปกระทบที่ด้านในของผอบพอดีจนมันสพท้อนเข้าตาเด็กหนุ่มจนต้องถอยออก เขาหัวเสียกับความอับโชคที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าของตัวเอง แต่เมื่อเขามองตามแสงขึ้นไปที่กำแพง เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะที่จริงแล้วพื้นผิวของผอบด้านในนั้นเป็นกระจกที่สลักตัวอักษรโบราณเอาไว้ ใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงราวกับได้เจอกับความท้าทายครั้งใหม่ เขายกมันขึ้นมาแล้วเช็ดด้านในจนสะอาดและเห็นเป็นเนื้อกระจก จากนั้นเขาจึงใช้แสงจากโคมไฟส่องไปที่ผิวด้านในผอบเพื่อให้สะท้อนไปที่กำแพงสีครีมของห้อง จารึกนั้นดูเรือนรางแต่เป็นภาษาอยุธยาตอนต้นอย่างเห็นจะได้ ระชดได้ใช้ความสามารถที่สั่งสมมาราวสิบกว่าปีในการอ่านและแปลภาษาไทยโบราณอย่างรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา 

    'จงลบจารึกทั้งหมดเสีย....หากแต่ท่านต้องการจะอ่านมันเท่านั้น เบื้องลึกลงไปใต้ผืนแผ่นดินนี้ รอยแค้นแห่งการชิงชัยมิได้จบสิ้น จะต้องไม่มีผู้ใดรับรู้เหตุผลแห่งศึกแต่กาลก่อน..ต้องไม่มี'

              เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าจารึกที่ว่านั้นคืออะไร แล้วการที่จะลบจารึกนั้นทำได้อย่างไร ระชดพยายามยกผอบขึ้นหาแสงและเงาอีกครั้งแต่ก็ไม่สามารหาเบาะแสอะไรได้เลย เขายังยังพยายามต่อไปอีกราวครึ้งชั่วโมงแต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีแสงและเงาที่รอดผ่าน ไม่มีแม้แต่.....เขาหยุดนิ่งเพื่อพิจารณาความคิดของตัวเองสักพัก
               ใช่แล้ว....อาจจะมีสลักที่สามารถเปิดได้อีกชั้นหนึ่งก็ได้ ระชดใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่จะเข้านอนมาศึกษาหาทางเปิดผอบที่ไม่น่ามีทางเป็นไปได้ ในเมื่อวันนี้มีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นกับเขามาแล้วทั้งวัน มันคงไม่้เสียหายอะไรหากต้องมาเสียเวลาทำอะไรที่ไร้สาระอีกสักหนึ่งชั่วโมง
              ระชดยังคงคิดไม่ออกว่าจารึกนั้นอยู่ส่วนใดของผอบ จนในที่สุดเขาก็ยอมแพ้กับผอบใบนี้ และเขาตัดสินใจว่าจะเอามันไปด้วยในตอนที่เขาไปช่วยงานอาจารย์อชิตะ เขาปิดฝาผอบจนสนิทแต่เมื่อเขาหมุนมันต่อไปเรื่อยๆ ปรากฏว่ามันสามารถหมุนต่อไปได้อีกอย่างน่ามหัสจรรย์ เขารู้สึกประหลาดใจที่กำลังจะมีอีกส่วนหนึ่งแยกออก มันถัดลงจากฝาชั้นแรกไปอีกชั้น เมื่อมองดูแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีอีกชั้นอยู่ตรงนั้น ระชดเถียงกับตัวเองว่า วันนี้อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ในที่สุดเขาก็สามารถเปิดฝานั้นได้และเขาได้พบกับผืนผ้าฝ้ายที่ยังดูไม่เก่ามากหนึ่งผืน
         เมื่อระชดอ่านแบบผ่านๆก็เข้าใจได้ทันทีว่าจดหมายฉบับนี้เป็นแค่จดหมายเหตุของบาทหลวงที่เข้ามาในอยุธยาธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่น่าพิศวงเลยแม้แต่น้อย แต่แล้ว....เขาก็ต้องมาสะดุดที่ชื่อของชายผู้นี้ บาทหลวง เฟอราโต หรือจะออกเสียงว่าเฟอโรโตก็ได้ เขาคือผู้ที่ส่งมิสชันนารี่กลุ่มแรกเข้าสู้สยามประเทศและคนของเขาเกือบจะถุกแขกมัวฆ่าตาย ในที่สุดตัวเขาเองต้องเดินทางมายังดินแดนสยามและกลุ่มของเขาถูกขับออกนอกประเทศตอนที่พระนเรศวรประกาศอิสระภาพ คนของพวกเขาทิ้งสมบัติมีค่าไว้มากมาย ตกทอดมาจนถึงยุคนี้จนราคามีค่าหลายล้านบาท และยังถือว่าเป็นวัตถุโบราณยุโรปในสยามที่มีคนตั้งเงินประมูลไว้สูงมากทีเดียว สินค้าพวกนี้มากสู่ร้านของของหลายชิ้นทีเดียว แต่สำหรับจดหมายฉบับนี้ มันมีบางอย่างที่แปลกออกไป ส่วนใหญ่คนต่างชาติพวกนี้มักจะไม่ค่อยเชิดชูสยามในยุคนั้นเท่าไนนัก แต่ฉบับนี้กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง แถมยังระบุเมืองรวมถึงตำแหน่งของทั้งสามหัวเมืองไว้อย่างละเอียดราวกับลายแทงสมบัติ 
               เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจค้นหาจดหมายฉบับนั้นจากหอจดหมายเหตุบนอินเทอร์เน็ต และเขาก็พบว่าเนื้อหานั้นหายไปเกือบครึ่ง และส่วนสำคัญกลับหายไปทั้งหมด ราวกับว่าจดหมายเหตุฉบับนี้แค่ชื่นชมความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่สยามประเทศหรือที่เรียกว่าอโยธยาเท่านั้น มองภายนอกแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแม้แต่น้อยหากเทียบกับฉบับจารึกที่เขาพึ่งเจอในผอบทองเหลืองนั้น


    'ใต้ผืนดินอันเงียบสงบ ประวัติศาสตร์อันร้อนกรุ่นยังคงหลับใหลราวกับภูเขาไฟที่พร้อมประทุขึ้นมาตลอดเวลา ใครกันหนอจะรู้ซึ่งว่าบนแผ่นดินอันเจือนด้วยเลือดแห่งบรรพบุรุษแห่งนี้ มิใช่...แต่เป็นเพียงแผ่นดินแดงเดือดราวนรกหมกไหม้บรรลัยกัล หากแต่สามรอยต่อแห่งยุคสมัยพร้อมหน้ากันจารึกอันระบุว่า ผู้คนยังคงสร้างศึกใหญ่ ฆ่าฟันกันราวจะสิ้นแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง กระนั้น ..เพียงเพื่อแย่งชิงประเทศราชเล็กๆแห่งนี้ อย่างที่ชนรุ่นหลังไม่เคยทราบถึงเหตุผลแต่ประการใด พวกเขาจารึกมันไว้แต่เพียงเท่านั้น เหตุใดเล่า เหตุใดกัน หรือที่แห่งนี้มีขุมทรัพย์มหาศาลอย่างนั้นรึ หรือจะมีเวทย์คุณไศยหมอผี หรือเหตุผล กลใด ไม่อาจรู้ได้ ไม่เคยมีจารึกใดๆบอกถึงเรื่องราวแม้แต่น้อย นักประวัติศาสตร์เองก็ไม่เคยสนใจพื้นที่แห่งนี้ อาจเพราะมันไม่มีซากปรักหักพัง หรือร่องรอยที่จะทำเงินให้พวกเขาได้...แต่มิใช่ตัวกระผมอย่างแน่นอน หากกระผมสิ้นชีพไปในดินแดนนี้ จงรู้เถิดว่ากระผมสละชีพเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์สำคัญของโลก'
                                                                                             
                                 
                                                                                                                       จดหมายเหตุ      บาทหลวง เฟอราโด อาตามานโย
    หมายเหตุ ข้อความบนจดหมายขาดหายไปบางส่วน ไม่สามารถ ตรวจพบได้




         แต่สำหรับแผ่นจารึกในมือของระชดนั้นเขาได้พบกับข้อความที่สมบูรณ์ มากกว่าแผ่นที่มีในหอจดหมายเหตุ เขานั่งพิจารณาอ่านทันอีกครั้งอย่างระมัดระวัง แต่ที่รู้ก็คือ หลังจากที่บาทหลวงท่านนี้กลับไปประเทศของตัวเองก็ไม่มีใครได้ยินเรื่งราวจากเขาอีกเลย

    'ใต้ผืนดินอันเงียบสงบ ประวัติศาสตร์อันร้อนกรุ่นยังคงหลับใหลราวกับภูเขาไฟที่พร้อมประทุขึ้นมาตลอดเวลา ใครกันหนอจะรู้ซึ่งว่าบนแผ่นดินอันเจือนด้วยเลือดแห่งบรรพบุรุษแห่งนี้ มิใช่...แต่เป็นเพียงแผ่นดินแดงเดือดราวนรกหมกไหม้บรรลัยกัล หากแต่สามรอยต่อแห่งยุคสมัยพร้อมหน้ากันจารึกอันระบุว่า อันโยนกเชียงแสนผู้คนรอบทุกมุมเมืองของเขานั้นแลยังคงสร้างศึกใหญ่เพื่อหมายจะรวมบรรจบกับหงส์ฟ้าหริภุญชัย ชนเหล่านั้นฆ่าฟันกันราวจะสิ้นแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง กระนั้นอโยธยาศรีรามเทพนครอันสุขสวัสดิมงคลนี้ก็ถูกเชื้อไฟก่อร่างสร้างสงครามหมายจะเอามาเป็นสมบัติตนด้วย  ชนรอบข้างทุกหมู่เหล่าหมายมั่นจะเอาสมบัติพัสถานทั้งในน้ำและบนดินที่หาใช่แต่เพียงคำเลื่องลือที่พวกท่านนั้นได้ยินยลมาไม่ อันสามหัวเมืองมงคลนี้ล้วนมีสมบัติอันเทพสร้างแลถูกเก็บซ่อนไว้ด้วยเหล่าคนธรรพ์ เพื่อรอถวายผู้ปฏิบัติดีอันเป็นมงคลของพวกเขา ..อันเหตุนี้มหาสงครามจึงอุบัติบนแผ่นดินนี้มิได้จบสิ้นเพียงเพื่อแย่งชิงประเทศราชเล็กๆแห่งนี้ อย่างที่ชนรุ่นหลังไม่เคยทราบถึงเหตุผลแต่ประการใด โลกอันคนธรรพ์นั้นงดงามราวสวรรค์ชั้นฟ้า อันมีสมบัติมหาศาลพวกเขาจารึกมันไว้แต่เพียงเท่านั้น เหตุใดเล่า เหตุใดกัน หรือที่แห่งนี้มีขุมทรัพย์มหาศาลอย่างนั้นรึ อันชนบนประเทศราชนี้เองก็ปกปักรักษาอันสมบัตินี้ด้วยหาได้มีผู้ใดค้นหามาเป็นของตน อันชนหมู่นี้ไม่มักในสมบัติอันพึงได้ในแผ่นดินนี้กระนั้น หากหมู่ชนนี้นำเอาสมบัตินั้นของเป็นของตนอันคงจะร่ำรวยล้นฟ้ายิ่งกว่าบริเตนผู้ยิ่งใหญ่่ หรือจะมีเวทย์คุณไศยหมอผี หรือเหตุผล กลใด อันทำลายผู้เฝ้าสมบัติอันเรียกว่าคนธรรพ์นั้นได้หรือไม่ไม่อาจรู้ได้ ไม่เคยมีจารึกใดๆบอกถึงเรื่องราวแม้แต่น้อย นักประวัติศาสตร์เองก็ไม่เคยสนใจพื้นที่แห่งนี้ อาจเพราะมันไม่มีซากปรักหักพัง หรือร่องรอยที่จะทำเงินให้พวกเขาได้...แต่มิใช่ตัวกระผมอย่างแน่นอน หากกระผมสิ้นชีพไปในดินแดนนี้ จงรู้เถิดว่ากระผมสละชีพเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์สำคัญของโลก'
                                                                                                                          
                                                                                                                       จดหมายเหตุ      บาทหลวง เฟอราโด อาตามานโย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×