ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ใต้รอยแผลเก่า.....
ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้ง ที่มีนัยตาสีดำสนิม รูปร่างอันสูงใหญ่ของเขาทำให้เสื้อคอปกสีครีมของอาจารย์หนุ่มมาดเข้มดูตัวเล็กลงทันที ในอีกไม่ถึงชั่วอึดใจ ประตูหลังห้องสโลปขนาดใหญ่จะปิดลง และในทันทีทันใดนั้น นักศึกษากลุ่มสุดท้ายก็วิ่งเข้ามาก่อนที่มันจะปิดลงสนิทไม่ต่างอะไรกับทุกๆวันที่เกิดขึ้น มันช่างน่าเบื่อ และไร้รสชาติสิ้นดีในความคิดอาจารย์หนุ่ม
เขาเริ่มต้นบรรยายเรื่องราวทางโบราณคดีอันโด่งดังของยุคโกทิค ตามมาด้วย ยุคคลาสสิก โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงอธิบายมันแบบนั้นทั้งๆที่มันก็ไม่ต่อเนื่องกันในทางทฤษฎีแต่อย่างใด ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นก็ตามที ก็ยังไม่มีนักศึกษาคนใดคิดจะโต้แย้งเขา นักศึกษาของเขาทุกคนคิดเสมอว่าเขาคือจ้าวแห่งวิชาปรัชญาและลัทธิ เป็นเสมือนกับไอดอลผู้โด่งดังของยุคสมัย ที่แน่นอนไปกว่านั้น เขาไม่ต้องมาเสียเวลาเช็คชื่อเข้าห้องเรียนเหมือนกับเด็กประถมอย่างที่อาจารย์รายวิชาอื่นเขาทำกัน เพราะทุกคนที่มาเรียนวิชานี้ไม่มีใครคิดจะโดดเรียนเลยแม้แต่คนเดียว เรื่องราวต่างๆที่ออกมาจากปากของเขาล้วนราวกับมีเวทมนต์และช่างติดตามเสมอ
สองชั่วโมงแห่งการสอนจบลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงปรบมือเกรียวกราวที่ระงมไปทั่วห้องเรียน ใบหน้าของอาจารย์หนุ่มผู้ใจดีเจือด้วยรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่น ทำเอานักศึกษาสาวๆต้องอดอมยิ้มไม่ได้ แต่สิ่งที่อยู่ในใจของเขานั้นกลับไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของรอยยิ้มแม้แต่น้อย เมื่อนักศึกษาคนสุดท้ายก้าวเท้าออกจากห้อง เขาจึงรีบดันตัวเองให้ออกจากโต๊ะอาจารย์ทันที เขาก้าวขายาวๆของเขาไปที่ห้องพักอธิการบดีของคณะ เหตุผลในการมาของเขาครั้งนี้หน่ะเหรอมันคงเป็นที่สุดของที่สุดแล้วที่เขาจะทานทน แต่มีบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่เขากลับยังไม่รู้ หรือในความเป็นจริงเขารู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ทุกขณะตั้งนานแล้ว..... เมื่อประตูห้องปิดลงนั้น เหรอเพียงแค่เขากับชายแก่ทีท่าภูมิฐานที่นั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าเท่านั้น
การโต้วาทีของเขาและชายแก่ช่างเกรี้ยวกราดดุจแม่น้ำฮวงโหที่พิโรจและคมคายดังราวปลายดาบของซามูไร อาจารย์หนุ่มที่ไม่น่ามีความสำคัญใดๆในคณะกลับเป็นฝ่ายต้อนอธิการบดีผู้ที่สูงศักดิ์ที่สุดในตอนนี้ได้อย่างจนมุม เงื่อที่ออกมาจนเหมือนเม็ดน้ำฝนบนใบหน้าชายแก่ ทำให้เห็นได้ชัดว่าเขาเกรงกลัวชายผู้นี้มากแค่ไหน แต่เขายังคงนั่งนิ่งๆเพื่อควบคุมอาการกลัวของตัวเองเอาไว้
................ปั๊ง..งงงงงง......งงงงงงง........................
ร่างของชายหนุ่มที่ยืนอย่างสง่างาม ได้ตบมือขวาของเขาลงบนโต๊ะตรงหน้าอย่างเต็มแรงด้วยความโมโหจากก้นบึ้งในจิตใจของเขา เสียงของมันดังลั่นเข้าไปในส่วนลึกของโสตประสาทอธิการบดี
"ผมบอกคุณแล้วไง...ไอ้แก่...ว่าให้รีบย้ายผมไปซะที" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เงียบขรึมและเก็บอารณ์อย่างถึงที่สุด
"งั้นช่วยบอกเหตุผลของคุณมาสิ แถมที่นี่ก็เป็นพื้นที่สำคัญของคุณ มันเป็นหน้าที่ที่คุณจะต้องดูแลไม่ใช่เหรอ ผมจะให้คุณย้ายไปได้ยังไง" ชายแก่ยืนยันคำพูดของเขาเสียงแข็ง
"หุบปากซะ...แล้วรีบทำตามที่ผมบอกก็พอ "ชายหนุ่มจ้องเขาตาเขม็ง เพราะเขารู้ว่ามันเป็นเพียงข้ออ้างโง่ๆที่ผู้ชายคนนี้กุขึ้นมาเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น
"เลิกต้อนผมซะที...ผมรู้ว่าคุณเป็นคนสำคัญของโลก แต่เลิกทำในสิ่งที่ผมจะบันดาลให้คุณไม่ได้ซะเถอะ คุณอยากจะให้ผมตายด้วยมือขององค์กรลับหรือ ซีไอเอ หรือจะเอฟบีไอดีหล่ะ" ชายแก่หน้าซีดลงพร้อมกับพูดด้วยเสียงสั่นเทา
"อย่าเอาคนพวกนั้นมาอ้าง ผมรู้ดีว่าผมกำลังจะทำอะไร " ชายหนุ่มผู้นี้รู้ถึงความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขารอเวลาราวกับเสือเฝ้าตระครุบเหยื่อ เพราะความละโมบโลภมากของอธิการแก่ที่พร้อมจะขายชีวิตคนส่วนมากเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด และโลกแห่งความจริงก็ไม่ได้พร้อมจะช่วยคนหมู่มากเหล่านั้นอยู่แล้ว
"แต่คุณกำลังจะทำให้พวกเรามีปัญหา แล้วพวกเขาจะมาทวงคุณจากเราแน่ ถ้าคุณหายตัวไปอยู่อีกที่ จำไว้นะ ถึงคุณจะเก่งมาจากไหนแต่พวกเขาจะหาคุณได้เร็วเหมือนกับพลิกฝ่ามือ"
อาจารย์หนุ่มรู้ดีว่า'พวกเขา'ที่ตาแก่นี่พูดคือใคร แน่นอนสำหรับมนุษย์ธรรมดาอย่างอธิการแก่ย่อมกลัวพวกมันยิ่งกว่าอะไร มันสามารถเข้ามาขยั้มหัวใจของใครก็ได้ในชั่วอึดใจ
"เลิกงี่เง่าเถอะน่า คุณก็รู้นี่ว่าผมยังอยู่ที่นี่ และผมจะไปอยู่อีกที่ ในเวลาเดียวกันก็ย่อมได้ คุณก็รู้ว่าผมเป็นใคร อธิการ คุณต้องออกคำสั่งย้ายผมเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไม่ทำ ในอีกครึ่งชัวโมง สมดุลของโลกจะเปลี่ยนแน่นอน แค่ปลายปากกาของคุณมันจะเปลี่ยนโลกใบนี้ได้ หรือคุณจะเป็นแบบคนดังๆคนอื่นในอดีตที่ตัดสินใจชักช้าพวกนั้นก็ได้ เลือกเอา ว่าจะเข้าข้างข้ออ้างที่คุณพยายามกุมันขึ้นมาเอง หรือจะเป็นฮีโร่ รู้ไว้ซะ เพราะไอ้พวกโง่ในอดีตนั่น พวกมันก็ยืนอยู่ตรงหน้าผมแบบนี้ พวกเขาพลาดเพียงวินาทีเดียว ความวินาศก็เกิดขึ้นบนโลกแล้ว..คุณก็เรียนประวัติศาสตร์มาไม่ใช่เหรอ อธิการ" ชายหนุ่มก้มลงมองชายแก่ที่ไม่เหลือแม้แต่ความน่าเกรงขาม ช่างน่าสลดเหลือเกิน
เขาเริ่มต้นบรรยายเรื่องราวทางโบราณคดีอันโด่งดังของยุคโกทิค ตามมาด้วย ยุคคลาสสิก โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงอธิบายมันแบบนั้นทั้งๆที่มันก็ไม่ต่อเนื่องกันในทางทฤษฎีแต่อย่างใด ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นก็ตามที ก็ยังไม่มีนักศึกษาคนใดคิดจะโต้แย้งเขา นักศึกษาของเขาทุกคนคิดเสมอว่าเขาคือจ้าวแห่งวิชาปรัชญาและลัทธิ เป็นเสมือนกับไอดอลผู้โด่งดังของยุคสมัย ที่แน่นอนไปกว่านั้น เขาไม่ต้องมาเสียเวลาเช็คชื่อเข้าห้องเรียนเหมือนกับเด็กประถมอย่างที่อาจารย์รายวิชาอื่นเขาทำกัน เพราะทุกคนที่มาเรียนวิชานี้ไม่มีใครคิดจะโดดเรียนเลยแม้แต่คนเดียว เรื่องราวต่างๆที่ออกมาจากปากของเขาล้วนราวกับมีเวทมนต์และช่างติดตามเสมอ
สองชั่วโมงแห่งการสอนจบลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงปรบมือเกรียวกราวที่ระงมไปทั่วห้องเรียน ใบหน้าของอาจารย์หนุ่มผู้ใจดีเจือด้วยรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่น ทำเอานักศึกษาสาวๆต้องอดอมยิ้มไม่ได้ แต่สิ่งที่อยู่ในใจของเขานั้นกลับไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของรอยยิ้มแม้แต่น้อย เมื่อนักศึกษาคนสุดท้ายก้าวเท้าออกจากห้อง เขาจึงรีบดันตัวเองให้ออกจากโต๊ะอาจารย์ทันที เขาก้าวขายาวๆของเขาไปที่ห้องพักอธิการบดีของคณะ เหตุผลในการมาของเขาครั้งนี้หน่ะเหรอมันคงเป็นที่สุดของที่สุดแล้วที่เขาจะทานทน แต่มีบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่เขากลับยังไม่รู้ หรือในความเป็นจริงเขารู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ทุกขณะตั้งนานแล้ว..... เมื่อประตูห้องปิดลงนั้น เหรอเพียงแค่เขากับชายแก่ทีท่าภูมิฐานที่นั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าเท่านั้น
การโต้วาทีของเขาและชายแก่ช่างเกรี้ยวกราดดุจแม่น้ำฮวงโหที่พิโรจและคมคายดังราวปลายดาบของซามูไร อาจารย์หนุ่มที่ไม่น่ามีความสำคัญใดๆในคณะกลับเป็นฝ่ายต้อนอธิการบดีผู้ที่สูงศักดิ์ที่สุดในตอนนี้ได้อย่างจนมุม เงื่อที่ออกมาจนเหมือนเม็ดน้ำฝนบนใบหน้าชายแก่ ทำให้เห็นได้ชัดว่าเขาเกรงกลัวชายผู้นี้มากแค่ไหน แต่เขายังคงนั่งนิ่งๆเพื่อควบคุมอาการกลัวของตัวเองเอาไว้
................ปั๊ง..งงงงงง......งงงงงงง........................
ร่างของชายหนุ่มที่ยืนอย่างสง่างาม ได้ตบมือขวาของเขาลงบนโต๊ะตรงหน้าอย่างเต็มแรงด้วยความโมโหจากก้นบึ้งในจิตใจของเขา เสียงของมันดังลั่นเข้าไปในส่วนลึกของโสตประสาทอธิการบดี
"ผมบอกคุณแล้วไง...ไอ้แก่...ว่าให้รีบย้ายผมไปซะที" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เงียบขรึมและเก็บอารณ์อย่างถึงที่สุด
"งั้นช่วยบอกเหตุผลของคุณมาสิ แถมที่นี่ก็เป็นพื้นที่สำคัญของคุณ มันเป็นหน้าที่ที่คุณจะต้องดูแลไม่ใช่เหรอ ผมจะให้คุณย้ายไปได้ยังไง" ชายแก่ยืนยันคำพูดของเขาเสียงแข็ง
"หุบปากซะ...แล้วรีบทำตามที่ผมบอกก็พอ "ชายหนุ่มจ้องเขาตาเขม็ง เพราะเขารู้ว่ามันเป็นเพียงข้ออ้างโง่ๆที่ผู้ชายคนนี้กุขึ้นมาเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น
"เลิกต้อนผมซะที...ผมรู้ว่าคุณเป็นคนสำคัญของโลก แต่เลิกทำในสิ่งที่ผมจะบันดาลให้คุณไม่ได้ซะเถอะ คุณอยากจะให้ผมตายด้วยมือขององค์กรลับหรือ ซีไอเอ หรือจะเอฟบีไอดีหล่ะ" ชายแก่หน้าซีดลงพร้อมกับพูดด้วยเสียงสั่นเทา
"อย่าเอาคนพวกนั้นมาอ้าง ผมรู้ดีว่าผมกำลังจะทำอะไร " ชายหนุ่มผู้นี้รู้ถึงความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขารอเวลาราวกับเสือเฝ้าตระครุบเหยื่อ เพราะความละโมบโลภมากของอธิการแก่ที่พร้อมจะขายชีวิตคนส่วนมากเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด และโลกแห่งความจริงก็ไม่ได้พร้อมจะช่วยคนหมู่มากเหล่านั้นอยู่แล้ว
"แต่คุณกำลังจะทำให้พวกเรามีปัญหา แล้วพวกเขาจะมาทวงคุณจากเราแน่ ถ้าคุณหายตัวไปอยู่อีกที่ จำไว้นะ ถึงคุณจะเก่งมาจากไหนแต่พวกเขาจะหาคุณได้เร็วเหมือนกับพลิกฝ่ามือ"
อาจารย์หนุ่มรู้ดีว่า'พวกเขา'ที่ตาแก่นี่พูดคือใคร แน่นอนสำหรับมนุษย์ธรรมดาอย่างอธิการแก่ย่อมกลัวพวกมันยิ่งกว่าอะไร มันสามารถเข้ามาขยั้มหัวใจของใครก็ได้ในชั่วอึดใจ
"เลิกงี่เง่าเถอะน่า คุณก็รู้นี่ว่าผมยังอยู่ที่นี่ และผมจะไปอยู่อีกที่ ในเวลาเดียวกันก็ย่อมได้ คุณก็รู้ว่าผมเป็นใคร อธิการ คุณต้องออกคำสั่งย้ายผมเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไม่ทำ ในอีกครึ่งชัวโมง สมดุลของโลกจะเปลี่ยนแน่นอน แค่ปลายปากกาของคุณมันจะเปลี่ยนโลกใบนี้ได้ หรือคุณจะเป็นแบบคนดังๆคนอื่นในอดีตที่ตัดสินใจชักช้าพวกนั้นก็ได้ เลือกเอา ว่าจะเข้าข้างข้ออ้างที่คุณพยายามกุมันขึ้นมาเอง หรือจะเป็นฮีโร่ รู้ไว้ซะ เพราะไอ้พวกโง่ในอดีตนั่น พวกมันก็ยืนอยู่ตรงหน้าผมแบบนี้ พวกเขาพลาดเพียงวินาทีเดียว ความวินาศก็เกิดขึ้นบนโลกแล้ว..คุณก็เรียนประวัติศาสตร์มาไม่ใช่เหรอ อธิการ" ชายหนุ่มก้มลงมองชายแก่ที่ไม่เหลือแม้แต่ความน่าเกรงขาม ช่างน่าสลดเหลือเกิน
"ผม....ผมยอมคุณก็ได้ โอเบียส" อธิการบดีจับปากกาด้วยมือที่สั่นจนแทบควบคุมสติไม่ได้ เขาหยิบกระดาษใบนึงขึ้นมาแล้วเซ็นชื่อของเขาลงบนนั้น พร้อมยื่นมันมาให้ชายหนุ่มเซ็นชื่อที่บริเวณข้างๆ แต่ในความเป็นจริงกระดาษแผ่นนี้มันถูกเตรียมไว้นานมากแล้ว เหลือก็เพียงแต่การตัดสินใจของเขาเท่านั้น และแน่นอนว่าการทำแบบนี้ย่อมมีผลกระทบต่อการมีชีวิตของอธิการบดีอย่างแน่นอนจนหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยมันควรเป็นบทลงโทษอันล้ำค่าของเขา
"เลิกเรียกผมว่าโอเบียสได้แล้ว นั่นมันชื่อเมื่อพันปีก่อนของผม คุณต้องเรียกผมด้วยชื่อปัจจุบัน(ชื่อของเขาคือ ศาสตราจารย์อชิตะ สุพเศษฐการ ใครๆก็เรียกเขาว่า อชิ)"อชิตะใจชื้นขึ้นมาทันทีที่เขาสามารถช่วยโลกได้อีกครั้ง อย่างน้อยวิธีการนี้มันก็ทำให้เขาไม่ต้องเสียเงื่อหรือเสียเลือดแม้แต่น้อย ทันทีที่อชิตะเซ็นชื่อเสร็จ อธิการบดีจึงรีบเดินนำจดหมายราชการนี้ไปไว้ในห้องส่งคำสั่งราชการ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น การออกคำสั่งนี้จะมีผลใช้ได้ทันที และในทันใดนั้นเสียงโทรศพท์ของห้องอธิการบดีจึงดังขึ้น เมื่อเขารับสาย โจนาทาน เจ้าของเสียงที่คุ้นเคยผู้เป็นเลขาธิการแห่งเอฟบีไอคนปัจจุบันโทร.มาถามถึงการย้ายที่ทำงานของอชิตะไปยังเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในไทยที่ไม่น่ามีเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดๆปรากฏขึ้นแม้แต่น้อย ว่ามันคือความจริงหรือไม่ และแน่นอนว่าถ้าเมื่อมันถูกยืนยันว่าคือความจริง การที่คนอย่างอชิตะต้องการย้ายที่ทำงานแบบนี้มันคือรหัสลับที่บอกให้พวกเอฟบีไอรู้ว่าโลกกำลังไม่ปลอดภัยอีกครั้ง ภายในห้านาทีเหล่าหน่วยจู่โจมพิเศษจะไปถึงที่นั่นและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไร้ล่องรอย การติดต่อกับเอฟบีไอนั้นไม่สามารถทำได้แน่อน นอกเสียจากคุณจะเป็นพวกของเขาเท่านั้น การที่เราซึ่งเป็นรูปแบบของคนธรรมดาอย่างอชิตะ ถ้าจะติดต่อพวกเขาสามารถทำได้โดยการแฝงด้วยจดหมายราชการอย่างที่เขาทำอยู่ตอนนี้ เพราะมันเป็นวิธีที่ดี่ที่สุด และเร็วที่สุด เมื่อภาระกิจของอชิตะสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินออกจากห้องที่น่าหดหู่นั้น ส่วนอธิการบดีแก่ก็เช่นกัน เขารีบปลีกตัวออกจากห้องและมุ่งครงไปยังห้องน้ำทันที อาจารย์หนุ่มยืนเกาะราวระเบียงจนเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงก็แล้ว มันน่าแปลกที่อธิการบดียังไม่กลับมา แต่จะสำคัญอะไร เขาไม่จำเป็นกับภาระกิจนี้อีกต่อไปแล้ว
เมื่ออชิตะเดินผ่านห้องน้ำของชั้นนั้นอย่างรวดเร็วแต่เขาก็ต้องหยุดชะงักลง น่าแปลก มีกลิ่นเลือดฟุ้งตลบมาจากในห้องน้ำนั้น ซึ่งผู้มีความสามารถพิเศษอย่างเขานั้นสัมผัสได้ในทันที เขาจึงรีบเดินเข้าไปดูข้างใน และทันใดนั้นเขาก็พบศพของอธิการบดีนอนจมกองเลือด โดยที่มือของชายแก่มีปืนหนึ่งกระบอก เพียงแค่ดูคร่าวๆก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเป็นการอำพรางคดี มันก็เหมาะสมแล้วสำหรับผู้ทรยสคนทั้งโลกอย่างเขา ในหัวของอชิตะคิดเพียงแต่ว่า 'ตายๆไปซะ' พร้อมกันนั้น เขาก็ก้าวขาของเขาออกสู่ภายนอกเพื่อหลีกหนีกลิ่นคาวของเลือด และโทร.หาสารวัตรคนสนิทของเขาทันที เมื่อสารวัตรรับสาย เขาพูดเพียงคำเดียวแล้วก็วางสายทิ้งเหมือนทุกครั้งที่เคยทำ จะต้องเสียเวลาพูดมากไปทำไมในเมื่อพวกเขาก็มีดาวเทียมไว้ค้นหาตำแหน่งที่โทร.
"สวัสดีครับ โอเบียส" นั่นคือชื่อที่อชิตะไม่อยากได้ยินที่สุด
"มีอีกหนึ่งศพ รีบมาด้วย" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเช่นเคย
"ครับ...ครับผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้"
".........."
สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะราบเรียบและแสนสงบเหมือนผิวน้ำ แต่อชิตะรู้ดีว่าธรรมชาติของน้ำ มันย่อมต้องไหลลึกเป็นธรรมดา เขายังคงเฝ้าระวังตัวไม่ให้พลาดพลั้งอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วดังเช่นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ซึ่งนับจากเวลานั้นเรื่อยมาจนถึงตอนนี้เพราะการที่โชคไม่เข้าข้างเขาในตอนนั้น มันทำให้เขาไม่อยากได้ยินชื่อที่เคยเป็นของเขาที่ใครก็เรียกว่าโอเบียสอีกเลย
...........................................................................................................................
ในทางกลับกัน อีกเรื่องราวที่สำคัญของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะเกิดขึ้น และมันจะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบของเขาไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่วิชาประวัติศาสตร์ยุโรปสิ้นสุดชั่วโมงเรียนนักศึกษาชั้นปีสอง ระชด ผู้ที่มีใบหน้าสุดแสนจะซีดเซียวและน่าจะมองดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่มขี้โรคด้วยซ้ำ เขาให้สัญญากับตัวเองว่าจะต้องทำเรียวริตี้ที่เป็นฝีมือของตัวเองให้สำเร็จให้ได้ เขาเริ่มใช้ความคิดของตัวเองอย่างหนักในการหาใครสักคนให้กับเรียวริตี้ของเขา ต้องเป็นคนที่น่าสนใจมากๆเท่านั้น ตลอดทั้งคาบเรียนเขาเอาแต่คิดเรื่องนี้จนไม่สนใจในสิ่งที่กำลังเรียนอยู่เลยด้วยซ้ำ เพราะทุกสิ่งของเขาในตอนนี้คือเรียวริตี้เท่านั้น นั่นคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เขากลายเป็นที่สนใจซึ่งเขาไม่เคยพบกับมันมาเลยตลอดชีวิต และเพื่อสิ่งที่สำคัญไปกว่านั่น ก็เพื่อรอยยิ้มของเด็กผู้หญิงคนนั้น เด็กสาวที่กำลังจะตายในอีกสามเดือนข้างหน้า เขาจึงยอมทำทุกสิ่งเพื่อเธอ เหตุผลที่ว่า ทำไมต้องเรียวริตี้หน่ะเหรอ เพราะมันคือสิ่งที่เธอชอบ และมันคือเพื่อนอีกคนของเธอรองลงมาจากเขา เธอคงมีความสุขมากถ้าได้เห็นมันกำเนิดมาจากฝีมือของเขา เพียงแค่จินตรนาการถึงมันก็ทำให้เขามีความสุขแล้ว การไม่ได้เรียนหนังสือหนึ่งปีทำให้เธอแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก เหตุผลก็เพราะโรคร้ายที่เธอกำลังเป็นอยู่ เพื่อนๆของเธอค่อยๆจางหายไปจากชีวิตของเธอที่ละคนๆ มีแต่เขาเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่เคียงข้างเธอ มันอาจจะไม่ลึกซึ้งเท่าความรัก แต่เขาก็ขาดเพื่อนคนนี้ไม่ได้เสมอ
แต่ทันใดนั้น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ผู้ที่เป็นเสมือนนักร้องวงร็อกที่โด่งดังของยุค มันทำให้เขาคิดออกทันทีว่าคนที่เขานั่งคิดมาทั้งคาบคนนั้นคือใคร ก็คือเขานั่นแหล่ะ อาจารย์คนโปรดของทุกคนนั่นแหล่ะ .....ความคิด แผนการต่างๆก็แล่นพรวดออกมาราวกับสายน้ำ เขารีบคว้ากล้องทันทีเมื่อก้าวเท้าของเขาออกจากห้อง มันช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้ เขาคิดกับตัวเอง เขาซุ้มตัวอยู่หลังตึกจนกระทั่งอาจารย์ของเขาก้าวเท้าออกจากห้อง เขาค่อยๆสะกดรอยตามไปในระยะที่ห่างพอสมควร มันห่างพอที่ชายคนนั้นจะไม่ทันรู้ตัว ทักษะเหล่านี้มันดีเกินกว่าที่ตัวเขาเองประเมินไว้ด้วยซ้ำ แต่เขาคิดเพียงว่า อย่างน้อยมันก็จะช่วยให้เขาทำงานได้ไวมากขึ้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าเป้าหมายข้างหน้านั่นพร้อมจะปิดชีวิตของเขาได้ในเพียงเสี้ยววินาที และคนที่เขาเรียกว่าอาจารย์จะไม่เมตตาใครอย่างแน่นอน
เมื่อระชดตามเขาไปจนถึงหน้าห้องของอธิการบดี พอประตูปิดลง เขาก็รู้ทันทีว่านี่คือห้องที่มิดชิดมากเพียงใด ไม่มีร่องของประตู และไม่มีแม้แต่ช่องระบายอากาศ อย่างน้อยมันต้องมีหนทางบ้างสิน่า แต่เมื่อเขาพยายามมองหาสิ่งเหล่านั้น ก็พบเพียงแต่รูเล็กที่ผนังเท่านั้น มันช่างยากเหลือเกินที่จะตามติดเพื่อถ่ายทำวิดีโอ เขาพยายามหาวิธีด้วยพลังความคิดทั้งหมดของเขาที่มี และในไม่กี่ชั่วอึดใจเขาก็คิดออก เขาจึงถอยลงมาที่ชั้นล่างอีกหนึ่งชั้น เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น แล้วเอาขวดน้ำพลาดติกที่ไม่มีน้ำของเขาจากในกระเป๋า พร้อมกับกรีดมันด้วยคัตเตอร์แล้วเพื่อเอาปากขวดออก เมื่อเติมน้ำจนเกือบเต็ม สิ่งเดียวที่ขาดไปคือกระจก และหลังจากนั้น สิ่งที่เขาทำต่อไปคือ ทุบมุมกระจกด้วยปลายมีดพกของเขาอย่างไม่ลังเล ซึ่งมันก็แตกออกมาได้ขนาดตามที่เขาตั้งใจเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน เขานำมันใส่ลงไปในขวด และเขาจึงเอามันไปวางไว้หน้ารูนั้นด้วยฝีเท้าที่แทบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา สิ่งประดิษฐ์ของเขาทำงานได้ดี มันคือแว่นขยายภาพที่อยู่ข้างหลังรูนั่นได้เป็นอย่างสมบูรณ์แบบ และที่สำคัญเขายังสามารถเอาวีดีโอของเขาอัดเสียงจากรู้นั้นได้ด้วย
เมื่อการประทะคารมณ์เริ่มต้นขึ้น เด็กหนุ่มถึงกับอึ้งไปในทันที เหตุใดผู้ที่เขาเคารพเสมอมาถึงได้หยาบคายเช่นนี้ เท่านั้นไม่พอ เขายังน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นอาจารย์ของปัญญาชนด้วยซ้ำ ระชดเริ่มคิดแล้วว่าเขาไม่ควรมาแอบฟังบทสนทนาทั้งหมดนี้ของพวกเขาเลย แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาได้รู้ถึงไส้ในของมนุษย์ เมื่อบทสนทนาดำเนินมาเรื่อยๆและมาสะดุดลงที่'เมื่อพันปีก่อน'ขาของระชดแทบจะล้มพับลงในทันที แต่มีบางสิ่งในสมองบอกให้เขาทนฟังต่อไป ทนต่อไป และทนต่อไป จนกระทั่งประโยคสุดท้าย มันทำให้เขาแทบก้าวเท้าไม่ออก โลกนี่มันบ้าชัดๆ เขาตะโกนใส่สมองตัวเองแบบนั้น
ทันใดนั้นเมื่อเสียงฝีเท้าของอธิการก้าวเข้ามาใกล้ประตูมากขึ้น มันทำให้ระชดรู้ดีว่าเขาควรจะวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด อย่างน้อยเขาก็จะได้หลอกตัวเองได้ว่าเขาไม่ได้พบเห็นอะไรมาทั้งนั้น แต่ใความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น อันที่จริงเขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าในขณะที่เขากำลังก้าวหนีอยู่นั้น เขาได้ตกมาอยู่ในเงื่อมมือของสุดยอดแห่งเพชรฆาตรไปเรียบร้อยแล้ว
.........................................................................................................................
เด็กหนุ่มพยายามวิ่งหนีให้เร็ว และเร็วมากขึ้น แต่ที่แน่นอน เขาย่อมทำไม่สำเร็จ เขากำลังจะวิ่งผ่านห้องน้ำชาย หรือจะพูดง่ายๆก็คือหนีออกจากชั้นนั้นไปให้ได้ แต่ด้วยความบังเอิญ....เสียงปืนก็ดังขึ้นและแน่นอนมันมาจากภายในห้องน้ำนั้น สิ่งที่ระชดกลัวที่สุด คือ การที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ลั่นไกลปืนนั่น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม อย่างน้อยคนผู้นั้นก็ทำให้เขาอยากกระโดดลงจากตึกในทันที ซึ่งในทางกลับกันแทนที่ระชดจะใช้ลิฟท์ เพื่อให้ลงสู่ชั้นล่างได้ไวขึ้น เพียงเสี้ยวอึดใจ เสียงในใจของเขาก็สั่งให้เขาใช้บันไดข้างๆแทน แต่อย่างน้อย เขาก็สามารถวิ่งด้วยเสียงที่เบามากได้ เขาบอกตัวเองอย่างนั้นเด็กหนุ่มเริ่มน้ำตาคลอ ที่รู้ๆเรื่องนี้ต้องแรกมาด้วยชีวิตเป็นอย่างน้อยและเขากำลังเอาตัวเองเขามาเอี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองไม่ได้สร้างขึ้นมา มันไม่เข้าท่าเลยถ้าเขาจะเป็นอีกคนที่ต้องเอาตัวเองมารับลูกกระสุนนั้น
"เลิกเรียกผมว่าโอเบียสได้แล้ว นั่นมันชื่อเมื่อพันปีก่อนของผม คุณต้องเรียกผมด้วยชื่อปัจจุบัน(ชื่อของเขาคือ ศาสตราจารย์อชิตะ สุพเศษฐการ ใครๆก็เรียกเขาว่า อชิ)"อชิตะใจชื้นขึ้นมาทันทีที่เขาสามารถช่วยโลกได้อีกครั้ง อย่างน้อยวิธีการนี้มันก็ทำให้เขาไม่ต้องเสียเงื่อหรือเสียเลือดแม้แต่น้อย ทันทีที่อชิตะเซ็นชื่อเสร็จ อธิการบดีจึงรีบเดินนำจดหมายราชการนี้ไปไว้ในห้องส่งคำสั่งราชการ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น การออกคำสั่งนี้จะมีผลใช้ได้ทันที และในทันใดนั้นเสียงโทรศพท์ของห้องอธิการบดีจึงดังขึ้น เมื่อเขารับสาย โจนาทาน เจ้าของเสียงที่คุ้นเคยผู้เป็นเลขาธิการแห่งเอฟบีไอคนปัจจุบันโทร.มาถามถึงการย้ายที่ทำงานของอชิตะไปยังเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในไทยที่ไม่น่ามีเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดๆปรากฏขึ้นแม้แต่น้อย ว่ามันคือความจริงหรือไม่ และแน่นอนว่าถ้าเมื่อมันถูกยืนยันว่าคือความจริง การที่คนอย่างอชิตะต้องการย้ายที่ทำงานแบบนี้มันคือรหัสลับที่บอกให้พวกเอฟบีไอรู้ว่าโลกกำลังไม่ปลอดภัยอีกครั้ง ภายในห้านาทีเหล่าหน่วยจู่โจมพิเศษจะไปถึงที่นั่นและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไร้ล่องรอย การติดต่อกับเอฟบีไอนั้นไม่สามารถทำได้แน่อน นอกเสียจากคุณจะเป็นพวกของเขาเท่านั้น การที่เราซึ่งเป็นรูปแบบของคนธรรมดาอย่างอชิตะ ถ้าจะติดต่อพวกเขาสามารถทำได้โดยการแฝงด้วยจดหมายราชการอย่างที่เขาทำอยู่ตอนนี้ เพราะมันเป็นวิธีที่ดี่ที่สุด และเร็วที่สุด เมื่อภาระกิจของอชิตะสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินออกจากห้องที่น่าหดหู่นั้น ส่วนอธิการบดีแก่ก็เช่นกัน เขารีบปลีกตัวออกจากห้องและมุ่งครงไปยังห้องน้ำทันที อาจารย์หนุ่มยืนเกาะราวระเบียงจนเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงก็แล้ว มันน่าแปลกที่อธิการบดียังไม่กลับมา แต่จะสำคัญอะไร เขาไม่จำเป็นกับภาระกิจนี้อีกต่อไปแล้ว
เมื่ออชิตะเดินผ่านห้องน้ำของชั้นนั้นอย่างรวดเร็วแต่เขาก็ต้องหยุดชะงักลง น่าแปลก มีกลิ่นเลือดฟุ้งตลบมาจากในห้องน้ำนั้น ซึ่งผู้มีความสามารถพิเศษอย่างเขานั้นสัมผัสได้ในทันที เขาจึงรีบเดินเข้าไปดูข้างใน และทันใดนั้นเขาก็พบศพของอธิการบดีนอนจมกองเลือด โดยที่มือของชายแก่มีปืนหนึ่งกระบอก เพียงแค่ดูคร่าวๆก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเป็นการอำพรางคดี มันก็เหมาะสมแล้วสำหรับผู้ทรยสคนทั้งโลกอย่างเขา ในหัวของอชิตะคิดเพียงแต่ว่า 'ตายๆไปซะ' พร้อมกันนั้น เขาก็ก้าวขาของเขาออกสู่ภายนอกเพื่อหลีกหนีกลิ่นคาวของเลือด และโทร.หาสารวัตรคนสนิทของเขาทันที เมื่อสารวัตรรับสาย เขาพูดเพียงคำเดียวแล้วก็วางสายทิ้งเหมือนทุกครั้งที่เคยทำ จะต้องเสียเวลาพูดมากไปทำไมในเมื่อพวกเขาก็มีดาวเทียมไว้ค้นหาตำแหน่งที่โทร.
"สวัสดีครับ โอเบียส" นั่นคือชื่อที่อชิตะไม่อยากได้ยินที่สุด
"มีอีกหนึ่งศพ รีบมาด้วย" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเช่นเคย
"ครับ...ครับผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้"
".........."
สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะราบเรียบและแสนสงบเหมือนผิวน้ำ แต่อชิตะรู้ดีว่าธรรมชาติของน้ำ มันย่อมต้องไหลลึกเป็นธรรมดา เขายังคงเฝ้าระวังตัวไม่ให้พลาดพลั้งอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วดังเช่นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ซึ่งนับจากเวลานั้นเรื่อยมาจนถึงตอนนี้เพราะการที่โชคไม่เข้าข้างเขาในตอนนั้น มันทำให้เขาไม่อยากได้ยินชื่อที่เคยเป็นของเขาที่ใครก็เรียกว่าโอเบียสอีกเลย
...........................................................................................................................
ในทางกลับกัน อีกเรื่องราวที่สำคัญของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะเกิดขึ้น และมันจะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบของเขาไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่วิชาประวัติศาสตร์ยุโรปสิ้นสุดชั่วโมงเรียนนักศึกษาชั้นปีสอง ระชด ผู้ที่มีใบหน้าสุดแสนจะซีดเซียวและน่าจะมองดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่มขี้โรคด้วยซ้ำ เขาให้สัญญากับตัวเองว่าจะต้องทำเรียวริตี้ที่เป็นฝีมือของตัวเองให้สำเร็จให้ได้ เขาเริ่มใช้ความคิดของตัวเองอย่างหนักในการหาใครสักคนให้กับเรียวริตี้ของเขา ต้องเป็นคนที่น่าสนใจมากๆเท่านั้น ตลอดทั้งคาบเรียนเขาเอาแต่คิดเรื่องนี้จนไม่สนใจในสิ่งที่กำลังเรียนอยู่เลยด้วยซ้ำ เพราะทุกสิ่งของเขาในตอนนี้คือเรียวริตี้เท่านั้น นั่นคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เขากลายเป็นที่สนใจซึ่งเขาไม่เคยพบกับมันมาเลยตลอดชีวิต และเพื่อสิ่งที่สำคัญไปกว่านั่น ก็เพื่อรอยยิ้มของเด็กผู้หญิงคนนั้น เด็กสาวที่กำลังจะตายในอีกสามเดือนข้างหน้า เขาจึงยอมทำทุกสิ่งเพื่อเธอ เหตุผลที่ว่า ทำไมต้องเรียวริตี้หน่ะเหรอ เพราะมันคือสิ่งที่เธอชอบ และมันคือเพื่อนอีกคนของเธอรองลงมาจากเขา เธอคงมีความสุขมากถ้าได้เห็นมันกำเนิดมาจากฝีมือของเขา เพียงแค่จินตรนาการถึงมันก็ทำให้เขามีความสุขแล้ว การไม่ได้เรียนหนังสือหนึ่งปีทำให้เธอแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก เหตุผลก็เพราะโรคร้ายที่เธอกำลังเป็นอยู่ เพื่อนๆของเธอค่อยๆจางหายไปจากชีวิตของเธอที่ละคนๆ มีแต่เขาเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่เคียงข้างเธอ มันอาจจะไม่ลึกซึ้งเท่าความรัก แต่เขาก็ขาดเพื่อนคนนี้ไม่ได้เสมอ
แต่ทันใดนั้น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ผู้ที่เป็นเสมือนนักร้องวงร็อกที่โด่งดังของยุค มันทำให้เขาคิดออกทันทีว่าคนที่เขานั่งคิดมาทั้งคาบคนนั้นคือใคร ก็คือเขานั่นแหล่ะ อาจารย์คนโปรดของทุกคนนั่นแหล่ะ .....ความคิด แผนการต่างๆก็แล่นพรวดออกมาราวกับสายน้ำ เขารีบคว้ากล้องทันทีเมื่อก้าวเท้าของเขาออกจากห้อง มันช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้ เขาคิดกับตัวเอง เขาซุ้มตัวอยู่หลังตึกจนกระทั่งอาจารย์ของเขาก้าวเท้าออกจากห้อง เขาค่อยๆสะกดรอยตามไปในระยะที่ห่างพอสมควร มันห่างพอที่ชายคนนั้นจะไม่ทันรู้ตัว ทักษะเหล่านี้มันดีเกินกว่าที่ตัวเขาเองประเมินไว้ด้วยซ้ำ แต่เขาคิดเพียงว่า อย่างน้อยมันก็จะช่วยให้เขาทำงานได้ไวมากขึ้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าเป้าหมายข้างหน้านั่นพร้อมจะปิดชีวิตของเขาได้ในเพียงเสี้ยววินาที และคนที่เขาเรียกว่าอาจารย์จะไม่เมตตาใครอย่างแน่นอน
เมื่อระชดตามเขาไปจนถึงหน้าห้องของอธิการบดี พอประตูปิดลง เขาก็รู้ทันทีว่านี่คือห้องที่มิดชิดมากเพียงใด ไม่มีร่องของประตู และไม่มีแม้แต่ช่องระบายอากาศ อย่างน้อยมันต้องมีหนทางบ้างสิน่า แต่เมื่อเขาพยายามมองหาสิ่งเหล่านั้น ก็พบเพียงแต่รูเล็กที่ผนังเท่านั้น มันช่างยากเหลือเกินที่จะตามติดเพื่อถ่ายทำวิดีโอ เขาพยายามหาวิธีด้วยพลังความคิดทั้งหมดของเขาที่มี และในไม่กี่ชั่วอึดใจเขาก็คิดออก เขาจึงถอยลงมาที่ชั้นล่างอีกหนึ่งชั้น เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น แล้วเอาขวดน้ำพลาดติกที่ไม่มีน้ำของเขาจากในกระเป๋า พร้อมกับกรีดมันด้วยคัตเตอร์แล้วเพื่อเอาปากขวดออก เมื่อเติมน้ำจนเกือบเต็ม สิ่งเดียวที่ขาดไปคือกระจก และหลังจากนั้น สิ่งที่เขาทำต่อไปคือ ทุบมุมกระจกด้วยปลายมีดพกของเขาอย่างไม่ลังเล ซึ่งมันก็แตกออกมาได้ขนาดตามที่เขาตั้งใจเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน เขานำมันใส่ลงไปในขวด และเขาจึงเอามันไปวางไว้หน้ารูนั้นด้วยฝีเท้าที่แทบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา สิ่งประดิษฐ์ของเขาทำงานได้ดี มันคือแว่นขยายภาพที่อยู่ข้างหลังรูนั่นได้เป็นอย่างสมบูรณ์แบบ และที่สำคัญเขายังสามารถเอาวีดีโอของเขาอัดเสียงจากรู้นั้นได้ด้วย
เมื่อการประทะคารมณ์เริ่มต้นขึ้น เด็กหนุ่มถึงกับอึ้งไปในทันที เหตุใดผู้ที่เขาเคารพเสมอมาถึงได้หยาบคายเช่นนี้ เท่านั้นไม่พอ เขายังน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นอาจารย์ของปัญญาชนด้วยซ้ำ ระชดเริ่มคิดแล้วว่าเขาไม่ควรมาแอบฟังบทสนทนาทั้งหมดนี้ของพวกเขาเลย แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาได้รู้ถึงไส้ในของมนุษย์ เมื่อบทสนทนาดำเนินมาเรื่อยๆและมาสะดุดลงที่'เมื่อพันปีก่อน'ขาของระชดแทบจะล้มพับลงในทันที แต่มีบางสิ่งในสมองบอกให้เขาทนฟังต่อไป ทนต่อไป และทนต่อไป จนกระทั่งประโยคสุดท้าย มันทำให้เขาแทบก้าวเท้าไม่ออก โลกนี่มันบ้าชัดๆ เขาตะโกนใส่สมองตัวเองแบบนั้น
ทันใดนั้นเมื่อเสียงฝีเท้าของอธิการก้าวเข้ามาใกล้ประตูมากขึ้น มันทำให้ระชดรู้ดีว่าเขาควรจะวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด อย่างน้อยเขาก็จะได้หลอกตัวเองได้ว่าเขาไม่ได้พบเห็นอะไรมาทั้งนั้น แต่ใความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น อันที่จริงเขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าในขณะที่เขากำลังก้าวหนีอยู่นั้น เขาได้ตกมาอยู่ในเงื่อมมือของสุดยอดแห่งเพชรฆาตรไปเรียบร้อยแล้ว
.........................................................................................................................
เด็กหนุ่มพยายามวิ่งหนีให้เร็ว และเร็วมากขึ้น แต่ที่แน่นอน เขาย่อมทำไม่สำเร็จ เขากำลังจะวิ่งผ่านห้องน้ำชาย หรือจะพูดง่ายๆก็คือหนีออกจากชั้นนั้นไปให้ได้ แต่ด้วยความบังเอิญ....เสียงปืนก็ดังขึ้นและแน่นอนมันมาจากภายในห้องน้ำนั้น สิ่งที่ระชดกลัวที่สุด คือ การที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ลั่นไกลปืนนั่น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม อย่างน้อยคนผู้นั้นก็ทำให้เขาอยากกระโดดลงจากตึกในทันที ซึ่งในทางกลับกันแทนที่ระชดจะใช้ลิฟท์ เพื่อให้ลงสู่ชั้นล่างได้ไวขึ้น เพียงเสี้ยวอึดใจ เสียงในใจของเขาก็สั่งให้เขาใช้บันไดข้างๆแทน แต่อย่างน้อย เขาก็สามารถวิ่งด้วยเสียงที่เบามากได้ เขาบอกตัวเองอย่างนั้นเด็กหนุ่มเริ่มน้ำตาคลอ ที่รู้ๆเรื่องนี้ต้องแรกมาด้วยชีวิตเป็นอย่างน้อยและเขากำลังเอาตัวเองเขามาเอี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองไม่ได้สร้างขึ้นมา มันไม่เข้าท่าเลยถ้าเขาจะเป็นอีกคนที่ต้องเอาตัวเองมารับลูกกระสุนนั้น
เมื่อมาถึงชั้นล่างสุด เขารวบรวมสติแล้วพยายามเดินให้เหมือนปกติที่สุด บรรยากาศข้างล่างนี่ช่างต่างกับชั้นบนโดยสิ้นเชิง ผู้คนพลุกพล่าน และสิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้เขาใจชื้นมากขึ้น ในขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านห้องพักอาจารย์ไปนั่นเอง....เมื่อประตูห้องพักอาจารย์เปิดออก
"เฮ้....ไอ้หนู " อาจารย์อชิตะนั่นเอง เป็นไปไม่ได้......ทำไมเขาลงมาได้เร็วแบบนี้ ไม่มีทาง สีหน้าของระชดซีดลงในทันที อาจารย์ต้องรู้แล้วแน่ๆ อาจารย์ต้องรู้ว่าเขาแอบถ่ายวิดีโอเขาคงไม่มีทางรอดแล้วสินะ สมองของเขาสั่งให้ขาของเขาก้าวไม่ออก เหงื่อของระชดไหลเต็มมือและเต็มใบหน้าของเขา มันไม่มีทางเลยใช่มั้ยที่เขาจะรอด ไม่มีเลยใช่มั้ย
"ครับ...ครับ" ระชดตอบด้วยเลียงที่สั่นเทา
"เข้ามาข้างใน มาคุยกับผมหน่อย" อาจารย์อชิตะพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
"อาจารย์มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ" เด็กหนุ่มพูดทั้งๆที่กำลังจะก้าวเท้าหนีแล้วด้วยซ้ำ
"......" อขิตะได้แต่มองเด็กหนุ่มด้วยแววตาไร้ชีวิต สายตานั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองโดนมนสะกด ระชดพูดอะไรไม่ออก นอกจากก้าวเท้าตามอาจารย์ของเขาไปยังห้องพักอาจารย์แต่โดยดี เมื่อมองเข้าไปข้างในไม่มีอาจารย์อยู่เลยสักคน มีเพียงแต่เขาและอชิตะเท่านั้น เด็กชายผู้โชคร้ายได้แต่เพียงยืนนิ่งอยู่หน้าห้องของอาจารย์
"เฮ้....ไอ้หนู " อาจารย์อชิตะนั่นเอง เป็นไปไม่ได้......ทำไมเขาลงมาได้เร็วแบบนี้ ไม่มีทาง สีหน้าของระชดซีดลงในทันที อาจารย์ต้องรู้แล้วแน่ๆ อาจารย์ต้องรู้ว่าเขาแอบถ่ายวิดีโอเขาคงไม่มีทางรอดแล้วสินะ สมองของเขาสั่งให้ขาของเขาก้าวไม่ออก เหงื่อของระชดไหลเต็มมือและเต็มใบหน้าของเขา มันไม่มีทางเลยใช่มั้ยที่เขาจะรอด ไม่มีเลยใช่มั้ย
"ครับ...ครับ" ระชดตอบด้วยเลียงที่สั่นเทา
"เข้ามาข้างใน มาคุยกับผมหน่อย" อาจารย์อชิตะพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
"อาจารย์มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ" เด็กหนุ่มพูดทั้งๆที่กำลังจะก้าวเท้าหนีแล้วด้วยซ้ำ
"......" อขิตะได้แต่มองเด็กหนุ่มด้วยแววตาไร้ชีวิต สายตานั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองโดนมนสะกด ระชดพูดอะไรไม่ออก นอกจากก้าวเท้าตามอาจารย์ของเขาไปยังห้องพักอาจารย์แต่โดยดี เมื่อมองเข้าไปข้างในไม่มีอาจารย์อยู่เลยสักคน มีเพียงแต่เขาและอชิตะเท่านั้น เด็กชายผู้โชคร้ายได้แต่เพียงยืนนิ่งอยู่หน้าห้องของอาจารย์
"รีบเข้ามาเถอะ...ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ ผมมีสอนต่อด้วย อย่าชักช้าน่า" หน้าของอาจารย์หนุ่มไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย
"ครับ"ระชดรับคำ แล้วก้าวขาเข้าไปราวกับโดนสะกดจิต และทันใดนั้น.....
"ผมขอกล้องวีดีโอของคุณหน่อย"อชิตะพูดเสียงแข็งกร่าว
"คะ...คะ..ค...ครับ" ระชดยื่นมันให้เขาด้วยมือที่สั่นยิ่งกว่าเดิม ยังไม่ทันที่อชิตะจะเริ่มพูดอะไร เขาก็ขว้างมันทิ้งลงไปบนพื้น จนกล้องของระชดแทบป่นละเอียด
"ไม่..ไม่นะ..อาจารย์ครับ ทำแบบนี้ทำไม"ระชดร้องเสียงหลงและอึ้งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
"ถามตัวเองก็แล้วกันว่าผมต้องทำแบบนี้ทำไม" อชิตะตะโกนลั่นห้อง
"ผม...ผม....ใช่....มันคือความผิดของผม"ระชดรู้ดีว่ามันต้องไม่จบแค่นี้แน่
"อืม...รู้ตัวก็ดี แต่ฉันจบมันไม่ได้....ไอ้หนู คุณดันมารู้เรื่องที่ไม่สมควรจะรู้"อชิตะจ้องมองลูกศิษย์ที่กำลังกลัวเขาด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความปราณี
"ผม...ขอโทษครับ ผมเพียงแค่อยากจะ......"
"ผมไม่ต้องการเหตุผลอะไรจากคุณ แต่..รู้ไว้นะ..คุณต้องชดใช้"
"ครับอาจารย์...ผมต้องทำยังไง...ผมจะ...ชดใช้อาจารย์...ผมยินดี"ระชดกลัวว่าสิ่งที่เขาพูดจะทำให้อาจารย์ไม่พอใจ เขาหวังว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น
"อยากรู้จริงๆหน่ะเหรอว่าต้องชดใช้ด้วยอะไร ....มันคือ ชีวิตของคุณ"ระชดถูกอชิตะสะกดเขาไว้ด้วยดวงตาอันเย็นเฉียบคู่นั้น ความกลัวนั้นทำให้ระชดแทบจะขยับตัวไม่ได้ ไม่มีทางใดเลยที่เขาจะหนีชายผู้นี้ไปได้ อชิตะเอื้อมตัวของเขาไปคว้าปืนสั้นที่ถูกซ่อนอยู่ในลิ้นชักของเขามาจ่อไว้ที่กลางหน้าผากของเด็กหนุ่ม เรียวปากบางๆของเขาค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ
"รู้ใช่มั้ย...ถ้ามีเสียงอะไรออกมาจากปากของคุณ กระสุนจะฝังอยู่ที่สมองของคุณทันที ถึงถ้าคุณจะตะโกนอะไรออกไป จำไว้ กฏหมายก็ทำอะไรผมไม่ได้"
ในหัวของเด็กหนุ่มนั้น ตอนนี้มันว่างเปล่าจนแทบจะไร้จิตวิญญาณ มีอยู่เพียงความคิดเดียวเท่านั้น ถ้าขณะนี้...มันคือเวลาแห่งความรับผิดชอบในความผิดของเขาที่ต้องมาล้วงรู้ความลับสำคัญของโลก เอาหล่ะ...ก็ได้ เขาจะรับผิดนี้แต่โดยดี ในขณะที่จิตใต้สำนึกของเขายินดีรับผิดนั้นและพร้อมจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด เด็กหนุ่มรู้เสมอว่าเขาคือลูกผู้ชายพอเขาไม่กลัวเศษเหล็กที่พร้อมจะฝังมาที่หัวของเขาอีกแล้ว แต่แล้วหน้าของเพื่อนรักของเขาก็ผุดขึ้นมา เธอยังคงยิ้มให้กับเขาและรอเขากลับไปเสมอ
"ครับ"ระชดรับคำ แล้วก้าวขาเข้าไปราวกับโดนสะกดจิต และทันใดนั้น.....
"ผมขอกล้องวีดีโอของคุณหน่อย"อชิตะพูดเสียงแข็งกร่าว
"คะ...คะ..ค...ครับ" ระชดยื่นมันให้เขาด้วยมือที่สั่นยิ่งกว่าเดิม ยังไม่ทันที่อชิตะจะเริ่มพูดอะไร เขาก็ขว้างมันทิ้งลงไปบนพื้น จนกล้องของระชดแทบป่นละเอียด
"ไม่..ไม่นะ..อาจารย์ครับ ทำแบบนี้ทำไม"ระชดร้องเสียงหลงและอึ้งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
"ถามตัวเองก็แล้วกันว่าผมต้องทำแบบนี้ทำไม" อชิตะตะโกนลั่นห้อง
"ผม...ผม....ใช่....มันคือความผิดของผม"ระชดรู้ดีว่ามันต้องไม่จบแค่นี้แน่
"อืม...รู้ตัวก็ดี แต่ฉันจบมันไม่ได้....ไอ้หนู คุณดันมารู้เรื่องที่ไม่สมควรจะรู้"อชิตะจ้องมองลูกศิษย์ที่กำลังกลัวเขาด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความปราณี
"ผม...ขอโทษครับ ผมเพียงแค่อยากจะ......"
"ผมไม่ต้องการเหตุผลอะไรจากคุณ แต่..รู้ไว้นะ..คุณต้องชดใช้"
"ครับอาจารย์...ผมต้องทำยังไง...ผมจะ...ชดใช้อาจารย์...ผมยินดี"ระชดกลัวว่าสิ่งที่เขาพูดจะทำให้อาจารย์ไม่พอใจ เขาหวังว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น
"อยากรู้จริงๆหน่ะเหรอว่าต้องชดใช้ด้วยอะไร ....มันคือ ชีวิตของคุณ"ระชดถูกอชิตะสะกดเขาไว้ด้วยดวงตาอันเย็นเฉียบคู่นั้น ความกลัวนั้นทำให้ระชดแทบจะขยับตัวไม่ได้ ไม่มีทางใดเลยที่เขาจะหนีชายผู้นี้ไปได้ อชิตะเอื้อมตัวของเขาไปคว้าปืนสั้นที่ถูกซ่อนอยู่ในลิ้นชักของเขามาจ่อไว้ที่กลางหน้าผากของเด็กหนุ่ม เรียวปากบางๆของเขาค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ
"รู้ใช่มั้ย...ถ้ามีเสียงอะไรออกมาจากปากของคุณ กระสุนจะฝังอยู่ที่สมองของคุณทันที ถึงถ้าคุณจะตะโกนอะไรออกไป จำไว้ กฏหมายก็ทำอะไรผมไม่ได้"
ในหัวของเด็กหนุ่มนั้น ตอนนี้มันว่างเปล่าจนแทบจะไร้จิตวิญญาณ มีอยู่เพียงความคิดเดียวเท่านั้น ถ้าขณะนี้...มันคือเวลาแห่งความรับผิดชอบในความผิดของเขาที่ต้องมาล้วงรู้ความลับสำคัญของโลก เอาหล่ะ...ก็ได้ เขาจะรับผิดนี้แต่โดยดี ในขณะที่จิตใต้สำนึกของเขายินดีรับผิดนั้นและพร้อมจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด เด็กหนุ่มรู้เสมอว่าเขาคือลูกผู้ชายพอเขาไม่กลัวเศษเหล็กที่พร้อมจะฝังมาที่หัวของเขาอีกแล้ว แต่แล้วหน้าของเพื่อนรักของเขาก็ผุดขึ้นมา เธอยังคงยิ้มให้กับเขาและรอเขากลับไปเสมอ
ใช่ ใช่แล้ว....เขาจะยังตายไม่ได้ ตอนนี้เขายังตายไม่ได้ ถ้ามีอาวุธใดพอให้เขาได้ใช้บ้างก็คงดี โลกต้องยุติธรรมบ้างสิ ระชดคิดแบบนั้น แต่แล้ว....สิ่งที่ระชดเห็นอยู่ตรงเบื่องหลังของอชิตะนั้น มันได้กลายเป็นสิ่งล้ำค่าขึ้นมาทันที สิ่งของที่ว่าเหล่านั้นเป็นอาวุธโบราณห้าชิ้นที่มีตรีศูรเพียงชิ้นเดียวที่ยังดูพอจะใช้งานได้ในกรอบรูปขนาดมหึมา มันคงถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ในเวลาแบบนี้ นั่นคงเป็นทางรอดสุดท้ายของเขาแล้ว เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ระชดถีบเก้าอี้ที่อยู่ระหว่างเขากับอาจารย์หนุ่มจนมันล้มลง โครมมม...
อย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยทำให้อชิตะเสียสมาธิไปได้บ้าง ร่างบางๆของระชดแทรกเข้าไปด้านหลังของ
อย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยทำให้อชิตะเสียสมาธิไปได้บ้าง ร่างบางๆของระชดแทรกเข้าไปด้านหลังของ
อชิตะ แล้วไปกระแทกเข้ากับกรอบรูปอย่างแรงจนมันแตกกระจาย และตกลงมาบนพื้น มันทำให้ร่างครึ่งขวาของระชดมีแต่เศษกระจกและเลือดสีแดงข้นก็ไหลออกมาในทันที ระชดทิ้งความเจ็บปวดนั้นไว้แล้วรีบทรุดตัวลงเพื่อพยายามคว้าเอาตรีศูรตรงหน้าขึ้นมาเพื่อหวังจะใช้สิ่งนี้เพื่อเป็นอาวุธสุดท้าย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะทันรู้ตัวด้วยซ้ำ....
เปรี้ยงงงง...เสียงๆนี้ดังก้องไปทั่วทั้งห้องและไหลลึกลงไปสู่เบื้องลึกในจิตใจของเด็กหนุ่มดังเช่นกระแสไฟฟ้า ช้าไปเสียแล้ว อชิตะกดไกรปืนลงอย่างแม่นยำ กระสุนเหล็กผ่าทะลุขั้วหัวใจที่กำลังเต้นรัวราวกับระชดเป็นนักโทษประหาร ทั้งๆที่ในใจของระชดคิดถึงแต่เพียงอาวุธในมือนี่เท่านั้น......
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น