ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : โธมาส เอลวา เอดิสัน [ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ]
โธมาส เอลวา เอดิสัน
นักวิทยาศาสตร์เรืองนามผู้นี้ เป็นชาวอเมริกัน เกิดที่หมู่บ้านมิแลน แห่งมลรัฐโอไฮโอ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1847 (พ.ศ.2390) บิดาเป็นชาวฮอลันดา มารดาเป็นชาวสก็อต อาชีพทำนา ซึ่งไม่มั่งมีศรีสุขอะไร เอดิสันจึงต้องต่อสู้ชีวิตอันแร้นแค้นมาตั้งแต่เด็ก
เอดิสันเป็นคนอยากรู้อยากเห็น และเป็นคนขี้สงสัยอยุ่เรื่อย เช่น อยากรุ้ว่าทำไมข้าวจึงไหลตามรางลงมาสู่งยุ้ง เขาปีนขึ้นไปดูและก็พลัดตกลงไปในยุ้ง เคราะห์ดีที่ชาวนาเพื่อนบ้านผ่านมาเห็น ไม่เช่นนั้นเขาก็ถูกข้าวกลบตายอยู่ในยุ้งข้าวนั้นแล้ว และอีกครั้งหนึ่ง เขาอยากรู้ว่าถ้าไฟไหม่ยุ้งข้าวจะเป็นอย่างไร เขาจึงเอาไฟจุดยุ้งข้าวของชาวนา บังเอิญเจ้าของผ่านมาเห็นเข้าเสียก่อนและนำความไปฟ้องบิดาของเขา เอดิสันจึงถูกบิดาลงโทษ
เขาไปโรงเรียนและเรียนอยู่ได้เพียงสามเดือนก็ออก ไม่ใช่ว่าเขาคร้านการเรียน หากแต่ครูไม่เข้าใจจิตใจของเขา มารดาจึงต้องรับหน้าที่ป็นครู เขาเรียนไว รู้เร็ว เด็กๆที่ไปโรงเรียนยังสู้เขาไม่ได้ เอดิสันเป็น "หนอนหนังสือ" เขามีหนังสือเกี่ยวกับการประดิษฐ์และวิทยาศาสตร์กว่าหมื่นเล่ม
ในปี ค.ศ.1895 (พ.ศ.2438) ครอบครัวของเอดิสันได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองพอร์ตฮูรอน เมื่อเอดิสันได้มาอยู่บ้านหลังใหญ่และมีห้องเก็บของ เขาจึงยึดเอาห้องเก็บของที่อยู่ใต้ถุนบ้าน เป็นห้องทดลองความรู้ต่างๆของเขา ความรู้ที่เขาสนใจเป็นพิเศษ คือ เคมี โดนเรียนรู้มาจากหนังสือนั้นเอง เขาทำมาหาเงินและสะสมวัตถุเคมีไว้มากมาย ตอนนั้นเอดิสันอายุเพียง 12 ปี
ต่อมาอีกสี่ปี เอดิสันได้ใช้ชีวิตด้วยอาชีพการขายหนังสือพิมพ์ และของใช้ของกินกระจุกกระจิกหลายอย่าง โดยยึดเอาตู้รถสินค้าของรถไฟเป็นร้านค้าและห้องทำงาน ต่อมาเอดิสันได้ซื้อเครื่องพิมพ์เก่าๆ เปิดสำนักงานที่ตู้รถไฟออกหนังสือรายสัปดาห์ เขาทำหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา เจ้าของผู้จัดการ ตลอดถึงนักเขียนบทความถึงภารโรง คั่นแรกเขาขายได้ประมาณเดือนละ 400 ฉบับ กิจการของเขาเจริญขึ้นตามลำดับ จนไม่ต้องวิ่งขายเอง แต่ชีวิตของคนเราไม่แน่ พอทำท่าจะตั้งตัวได้ก็มีอันเป็นไป สำนักงานบนรถตู้รถไฟเกิดไฟไหม้
มันเป็นอุบัติเหตุ รถไฟกระแทกกันอย่างแรง ทำให้แท่งฟอสฟอรัสตกลงมากระทบพื้นเกิดไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง เพราะห้องทำงานของเขาเต็มไปด้วยวัตถุเคมี ร้อนจนถึงเจ้าหน้าที่รถไฟต้องมาช่วยดับไฟ และเมื่อไฟดับแล้วเขาก็ถูกไล่ไม่ให้ขึ้นมาทำมาหากินบนตู้รถไฟอีกต่อไป
เมื่องานทางด้านผลิตหนังสือพิมพ์"พัง" เพราะอุบัติเหตุ เขาก็ต้องถอยหลังมาตั้งต้นชีวิตใหม่ คือรับหนังสือพิมพ์มาขายหน้าสถานีรถไฟสายที่เขาถูกอัปเปหิมาจากตู้สินค้านั่นเอง และวันหนึ่งเขาก็สร้างวีรกรรมด้วยการช่วยชีวิตลูกชายเล็กๆ ของนายสถานี ก่อนที่รถไฟจะบดขยี้ร่างเด็กคนนั้น เอดิสันได้พุ่งตัวกระชากเด็กหลุดออกจากเงื้อมือพญามัจจุราช ท่ามกลางใจหายใจคว่ำของผู้ที่พบเห็น
นายสถานีได้ตอบแทนคุณความดีขิงเขาด้วยการบรรจุให้เขาเป็นพนักงานรับส่งโทรเลขอยู่ที่สถานีนั้น
เอดิสันไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ แต่นายสถานีได้สอนให้เขาจนชำนิชำนาญ เมื่อเอดิสันมีความรู้ในด้านรับส่งโทรเลขแล้ว เขาก็ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เขาค้นคว้าหากรรมวิธีการส่งโทรเลข และหาวิธีการที่จะปรับปรุงรับส่งโทรเลขให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ เขายังค้นค้าในเรื่องโทรศัพท์อีกด้วย
เอดิสันทำงานอยู่ที่สถานีแห่งนั้นหลายปี ก็เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ ด้วยการรับจ้างเป็นช่างโทรเลข วันหนึ่งเขาก็ถูกชวนไปแสวงหาโชคที่นิวยอร์ก เขาไปที่นั่นและใช้เงินจนขาดมือ เขาจึงต้องใช้วิชาความรู้หาเงินมาต่อชีวิต และบังเอิญเครื่องพิมพ์ข่าวในโรงงานที่เขาเข้าไอศัยหลับนอนอยู่เกิดเสีย และไม่มีผู้ใดแก้ไขได้ แต่เอดิสันแก้ไขได้สำเร็จ เจ้าของโรงงานก็เลยจ้างเขาไว้เป็นผู้จัดการ อย่างนี้เรียกบุญพาวาสนาส่ง!
เขาทำงาน เก็บเงินเก็บทองจนสามารถจัดตั้งห้องทดลองขึ้นที่เมืองนิวเจอร์ซี่ ว่าจ้างคนงานจำนวน 250 คน งานประดิษฐ์ของเขาคือเครื่องรับส่งโทรเลข และงานปรับปรุงเครื่องพิมพ์ให้มีประสิทธิภาพดีกว่าเก่า ต่อมาเมื่อเอดิสันอายุ 29 ปี เขาได้ไปตั้งห้องทดลองขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่เมโลฟาร์ค และเริ่มปรับปรุงโทรศัพท์ให้มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับโทรเลข
ในปี ค.ศ.1877 (พ.ศ.2420) คือหลังจากที่เอดิสันเริ่มจับงานโทรศัพท์หนึ่งปี เขาก็ประดิษฐ์หีบเสียง
ประดิษฐ์กรรมชิ้นนี้ เป็นผลพลอยได้มาจากการปรับปรุงเครื่องรับส่งโทรศัพท์นั่นเอง
เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งขณะที่เขากำลังตรวจเครื่องรับโทรศัพท์อยู่นั้น เขาพบว่าขณะที่เขากำลังพูด แผ่นโลหะข้างในจะสั่นด้วยคลื่นเสียงขนาดเดียวกับเสียงของเขา และจากการสังเกตของเขานี้เอง ทำให้เอดิสันเกิดความคิดว่า ถ้าประดิษฐ์แผ่นโลหะให้คล้ายคลึงอย่างนี้ขึ้นและทให้เกิดเสียงตัวเองโดยที่เขาไม่ได้พูด แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จ พอข่างนี้รั่วไหลออกไป ชาวอเมริกันทั้งประเทศก็ตื่นเต้นเป็นการใหญ่ ประธานาธิบดีเชิญไปพบที่ทำเนียบ ณ กรุงวอชิงตัน
ต่อมาเอดิสันได้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า กล้องถ่ายรูป และกล้องถ่ายภาพยนตร์
สำหรับการประดิษฐกรรมการถ่ายภาพยนตร์นั้นในขั้นแรกเป็นภาพยนตร์ไม่มีเสียงก่อน คือคนดูต้องดูหนังใบ้ แบ็คกราวก็ใช้ดนตรีประกอบ แต่ก็สร้างความรื่นรมย์สนุกสนานให้แก้คนดูอย่างล้นเหลือ เพราะเป็นของใหม่ เอดิสันต้องใช้เวลาอันยางนานคิดค้นทำให้ภาพยนตร์พูดได้ หรือที่เรียกกันในสัมยนี้ว่า เสียงในฟิล์ม แล้วเขาก็ทำสัเร็จจนได้ในปี ค.ศ. 1912 (พ.ศ.2455)
จากเด็กลูกชานนาที่ยากจน โธมาส เอลวา เอิดสัน ได้กลายเป็นนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ของอเมริกา เขาต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองอย่างชนิดตีนถีบปากกัดแล้งยังแบ่งเวลาเรียนด้วยตัวเองจากตำรับตำรา จนสามารถคิดโน่นทำนี่ได้ เมื่อเขามีเงินมีชื่อเสียงใช้ชีวิตหรูหราได้อย่างสบาย เขากลับไม่ทำตัวเช่นนั้น เคยมีควาเป็นอยู่อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น คืออยู่ง่ายกินง่าย แต่งตัวตามสบายด้วยเสื้อราคาถูกๆ เขาอุทิศชีวิตให้กับงานค้นคว้าอย่างแท้จริง ทำงานวันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมง
งานประดิษฐ์ของเอดิสันมีผู้รวบรวมไว้ไม่ต่ำกว่าพันชิ้น ในปีค.ศ.1869 (พ.ศ.2442) เอดิสันได้ไปตั้งโรงงานผลิตเครื่องพิมพ์โทรเลข เครื่องเล่นจานเสียงและกระดาษคาร์บอนที่รัฐนิวเจอร์ซี่ เฮนรี่ ฟอร์ด นักประดิษฐ์รถยนต์อันลือชื่อคือเพื่อนสนิทของเขา และเขาเป็นคนผูกมิตรกับใครได้ง่ายๆ
เขาแต่งงานสองครั้ง ภรรยาคนแรกถึงแก่กรรมหัลงจากกำเนิดบุตรสองคน ภรรยาคนที่สองอยู่กินกับเขาตลอดชีวิต เอดิสันถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ1931 (พ.ศ.2474) ชาวอเมริกันได้ตอบแทนบุญคุณของเขาด้วยการสร้างอนุสาวรีย์ "เอดิสัน" โดยสร้างเป็นรูปหลอดไฟยักษ์ไว้บนเสาสูง 13 ฟุต 4 นิ้ว ที่เยลโลปาร์ค นิวยอร์ก ตัวหลอดมีความสูง 13 ฟุต 8 นิ้ว มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 ฟุต 2 นิ้ว หนัก 3 ตัน หลอดไฟที่บรรจุอยู่ภายในมี 12 หลอด มีความแรง 5,200 วัตต์ และ เปิดสว่างชั่วนาตาปี หลอดไฟยักษ์นี้สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1934(พ.ศ.2477)
ชาวโลกเป็หนีบุญคุณเขาอยู่ทุกวันนี้ ถ้าไม่มีคนอย่างเขา เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า โลกจะมืดไปนานอีกเท่าไร และเราจะได้เห็นเงา(ภาพยนตร์) กันหรือไม่ มันสมองของมนุษย์มหัศจรรย์อย่างนี้เอง.
นักวิทยาศาสตร์เรืองนามผู้นี้ เป็นชาวอเมริกัน เกิดที่หมู่บ้านมิแลน แห่งมลรัฐโอไฮโอ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1847 (พ.ศ.2390) บิดาเป็นชาวฮอลันดา มารดาเป็นชาวสก็อต อาชีพทำนา ซึ่งไม่มั่งมีศรีสุขอะไร เอดิสันจึงต้องต่อสู้ชีวิตอันแร้นแค้นมาตั้งแต่เด็ก
เอดิสันเป็นคนอยากรู้อยากเห็น และเป็นคนขี้สงสัยอยุ่เรื่อย เช่น อยากรุ้ว่าทำไมข้าวจึงไหลตามรางลงมาสู่งยุ้ง เขาปีนขึ้นไปดูและก็พลัดตกลงไปในยุ้ง เคราะห์ดีที่ชาวนาเพื่อนบ้านผ่านมาเห็น ไม่เช่นนั้นเขาก็ถูกข้าวกลบตายอยู่ในยุ้งข้าวนั้นแล้ว และอีกครั้งหนึ่ง เขาอยากรู้ว่าถ้าไฟไหม่ยุ้งข้าวจะเป็นอย่างไร เขาจึงเอาไฟจุดยุ้งข้าวของชาวนา บังเอิญเจ้าของผ่านมาเห็นเข้าเสียก่อนและนำความไปฟ้องบิดาของเขา เอดิสันจึงถูกบิดาลงโทษ
เขาไปโรงเรียนและเรียนอยู่ได้เพียงสามเดือนก็ออก ไม่ใช่ว่าเขาคร้านการเรียน หากแต่ครูไม่เข้าใจจิตใจของเขา มารดาจึงต้องรับหน้าที่ป็นครู เขาเรียนไว รู้เร็ว เด็กๆที่ไปโรงเรียนยังสู้เขาไม่ได้ เอดิสันเป็น "หนอนหนังสือ" เขามีหนังสือเกี่ยวกับการประดิษฐ์และวิทยาศาสตร์กว่าหมื่นเล่ม
ในปี ค.ศ.1895 (พ.ศ.2438) ครอบครัวของเอดิสันได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองพอร์ตฮูรอน เมื่อเอดิสันได้มาอยู่บ้านหลังใหญ่และมีห้องเก็บของ เขาจึงยึดเอาห้องเก็บของที่อยู่ใต้ถุนบ้าน เป็นห้องทดลองความรู้ต่างๆของเขา ความรู้ที่เขาสนใจเป็นพิเศษ คือ เคมี โดนเรียนรู้มาจากหนังสือนั้นเอง เขาทำมาหาเงินและสะสมวัตถุเคมีไว้มากมาย ตอนนั้นเอดิสันอายุเพียง 12 ปี
ต่อมาอีกสี่ปี เอดิสันได้ใช้ชีวิตด้วยอาชีพการขายหนังสือพิมพ์ และของใช้ของกินกระจุกกระจิกหลายอย่าง โดยยึดเอาตู้รถสินค้าของรถไฟเป็นร้านค้าและห้องทำงาน ต่อมาเอดิสันได้ซื้อเครื่องพิมพ์เก่าๆ เปิดสำนักงานที่ตู้รถไฟออกหนังสือรายสัปดาห์ เขาทำหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา เจ้าของผู้จัดการ ตลอดถึงนักเขียนบทความถึงภารโรง คั่นแรกเขาขายได้ประมาณเดือนละ 400 ฉบับ กิจการของเขาเจริญขึ้นตามลำดับ จนไม่ต้องวิ่งขายเอง แต่ชีวิตของคนเราไม่แน่ พอทำท่าจะตั้งตัวได้ก็มีอันเป็นไป สำนักงานบนรถตู้รถไฟเกิดไฟไหม้
มันเป็นอุบัติเหตุ รถไฟกระแทกกันอย่างแรง ทำให้แท่งฟอสฟอรัสตกลงมากระทบพื้นเกิดไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง เพราะห้องทำงานของเขาเต็มไปด้วยวัตถุเคมี ร้อนจนถึงเจ้าหน้าที่รถไฟต้องมาช่วยดับไฟ และเมื่อไฟดับแล้วเขาก็ถูกไล่ไม่ให้ขึ้นมาทำมาหากินบนตู้รถไฟอีกต่อไป
เมื่องานทางด้านผลิตหนังสือพิมพ์"พัง" เพราะอุบัติเหตุ เขาก็ต้องถอยหลังมาตั้งต้นชีวิตใหม่ คือรับหนังสือพิมพ์มาขายหน้าสถานีรถไฟสายที่เขาถูกอัปเปหิมาจากตู้สินค้านั่นเอง และวันหนึ่งเขาก็สร้างวีรกรรมด้วยการช่วยชีวิตลูกชายเล็กๆ ของนายสถานี ก่อนที่รถไฟจะบดขยี้ร่างเด็กคนนั้น เอดิสันได้พุ่งตัวกระชากเด็กหลุดออกจากเงื้อมือพญามัจจุราช ท่ามกลางใจหายใจคว่ำของผู้ที่พบเห็น
นายสถานีได้ตอบแทนคุณความดีขิงเขาด้วยการบรรจุให้เขาเป็นพนักงานรับส่งโทรเลขอยู่ที่สถานีนั้น
เอดิสันไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ แต่นายสถานีได้สอนให้เขาจนชำนิชำนาญ เมื่อเอดิสันมีความรู้ในด้านรับส่งโทรเลขแล้ว เขาก็ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เขาค้นคว้าหากรรมวิธีการส่งโทรเลข และหาวิธีการที่จะปรับปรุงรับส่งโทรเลขให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ เขายังค้นค้าในเรื่องโทรศัพท์อีกด้วย
เอดิสันทำงานอยู่ที่สถานีแห่งนั้นหลายปี ก็เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ ด้วยการรับจ้างเป็นช่างโทรเลข วันหนึ่งเขาก็ถูกชวนไปแสวงหาโชคที่นิวยอร์ก เขาไปที่นั่นและใช้เงินจนขาดมือ เขาจึงต้องใช้วิชาความรู้หาเงินมาต่อชีวิต และบังเอิญเครื่องพิมพ์ข่าวในโรงงานที่เขาเข้าไอศัยหลับนอนอยู่เกิดเสีย และไม่มีผู้ใดแก้ไขได้ แต่เอดิสันแก้ไขได้สำเร็จ เจ้าของโรงงานก็เลยจ้างเขาไว้เป็นผู้จัดการ อย่างนี้เรียกบุญพาวาสนาส่ง!
เขาทำงาน เก็บเงินเก็บทองจนสามารถจัดตั้งห้องทดลองขึ้นที่เมืองนิวเจอร์ซี่ ว่าจ้างคนงานจำนวน 250 คน งานประดิษฐ์ของเขาคือเครื่องรับส่งโทรเลข และงานปรับปรุงเครื่องพิมพ์ให้มีประสิทธิภาพดีกว่าเก่า ต่อมาเมื่อเอดิสันอายุ 29 ปี เขาได้ไปตั้งห้องทดลองขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่เมโลฟาร์ค และเริ่มปรับปรุงโทรศัพท์ให้มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับโทรเลข
ในปี ค.ศ.1877 (พ.ศ.2420) คือหลังจากที่เอดิสันเริ่มจับงานโทรศัพท์หนึ่งปี เขาก็ประดิษฐ์หีบเสียง
ประดิษฐ์กรรมชิ้นนี้ เป็นผลพลอยได้มาจากการปรับปรุงเครื่องรับส่งโทรศัพท์นั่นเอง
เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งขณะที่เขากำลังตรวจเครื่องรับโทรศัพท์อยู่นั้น เขาพบว่าขณะที่เขากำลังพูด แผ่นโลหะข้างในจะสั่นด้วยคลื่นเสียงขนาดเดียวกับเสียงของเขา และจากการสังเกตของเขานี้เอง ทำให้เอดิสันเกิดความคิดว่า ถ้าประดิษฐ์แผ่นโลหะให้คล้ายคลึงอย่างนี้ขึ้นและทให้เกิดเสียงตัวเองโดยที่เขาไม่ได้พูด แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จ พอข่างนี้รั่วไหลออกไป ชาวอเมริกันทั้งประเทศก็ตื่นเต้นเป็นการใหญ่ ประธานาธิบดีเชิญไปพบที่ทำเนียบ ณ กรุงวอชิงตัน
ต่อมาเอดิสันได้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า กล้องถ่ายรูป และกล้องถ่ายภาพยนตร์
สำหรับการประดิษฐกรรมการถ่ายภาพยนตร์นั้นในขั้นแรกเป็นภาพยนตร์ไม่มีเสียงก่อน คือคนดูต้องดูหนังใบ้ แบ็คกราวก็ใช้ดนตรีประกอบ แต่ก็สร้างความรื่นรมย์สนุกสนานให้แก้คนดูอย่างล้นเหลือ เพราะเป็นของใหม่ เอดิสันต้องใช้เวลาอันยางนานคิดค้นทำให้ภาพยนตร์พูดได้ หรือที่เรียกกันในสัมยนี้ว่า เสียงในฟิล์ม แล้วเขาก็ทำสัเร็จจนได้ในปี ค.ศ. 1912 (พ.ศ.2455)
จากเด็กลูกชานนาที่ยากจน โธมาส เอลวา เอิดสัน ได้กลายเป็นนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ของอเมริกา เขาต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองอย่างชนิดตีนถีบปากกัดแล้งยังแบ่งเวลาเรียนด้วยตัวเองจากตำรับตำรา จนสามารถคิดโน่นทำนี่ได้ เมื่อเขามีเงินมีชื่อเสียงใช้ชีวิตหรูหราได้อย่างสบาย เขากลับไม่ทำตัวเช่นนั้น เคยมีควาเป็นอยู่อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น คืออยู่ง่ายกินง่าย แต่งตัวตามสบายด้วยเสื้อราคาถูกๆ เขาอุทิศชีวิตให้กับงานค้นคว้าอย่างแท้จริง ทำงานวันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมง
งานประดิษฐ์ของเอดิสันมีผู้รวบรวมไว้ไม่ต่ำกว่าพันชิ้น ในปีค.ศ.1869 (พ.ศ.2442) เอดิสันได้ไปตั้งโรงงานผลิตเครื่องพิมพ์โทรเลข เครื่องเล่นจานเสียงและกระดาษคาร์บอนที่รัฐนิวเจอร์ซี่ เฮนรี่ ฟอร์ด นักประดิษฐ์รถยนต์อันลือชื่อคือเพื่อนสนิทของเขา และเขาเป็นคนผูกมิตรกับใครได้ง่ายๆ
เขาแต่งงานสองครั้ง ภรรยาคนแรกถึงแก่กรรมหัลงจากกำเนิดบุตรสองคน ภรรยาคนที่สองอยู่กินกับเขาตลอดชีวิต เอดิสันถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ1931 (พ.ศ.2474) ชาวอเมริกันได้ตอบแทนบุญคุณของเขาด้วยการสร้างอนุสาวรีย์ "เอดิสัน" โดยสร้างเป็นรูปหลอดไฟยักษ์ไว้บนเสาสูง 13 ฟุต 4 นิ้ว ที่เยลโลปาร์ค นิวยอร์ก ตัวหลอดมีความสูง 13 ฟุต 8 นิ้ว มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 ฟุต 2 นิ้ว หนัก 3 ตัน หลอดไฟที่บรรจุอยู่ภายในมี 12 หลอด มีความแรง 5,200 วัตต์ และ เปิดสว่างชั่วนาตาปี หลอดไฟยักษ์นี้สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1934(พ.ศ.2477)
ชาวโลกเป็หนีบุญคุณเขาอยู่ทุกวันนี้ ถ้าไม่มีคนอย่างเขา เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า โลกจะมืดไปนานอีกเท่าไร และเราจะได้เห็นเงา(ภาพยนตร์) กันหรือไม่ มันสมองของมนุษย์มหัศจรรย์อย่างนี้เอง.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น