ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เสน่ห์ดอกซ่อนรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 57


    บทที่ ๑

        ตึกทรงยุโรปสองชั้นที่ตั้งตระหง่านตรงข้ามสนามหญ้า มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวต่างชาติที่นิยมกันมากในสมัยรัชกาลที่หก ตัวตึกทาด้วยสีเหลืองนวล ตัดกับสีเขียวแก่ที่ขอบหน้าต่างประตู ด้านข้างของตึกมีสารภีต้นใหญ่คอยให้ร่มเย็นเวลากลางวัน นอกจากนั้นก็ยังมีไม้พุ่มขนาดกลางและซุ้มดอกพุดเรียงรายกันตลอดแนวทางเดินสู่ประตูบ้าน ด้านหลังมีเรือนไม้ขนาดไม่ใหญ่มากนัก ฝั่งหนึ่งเป็นห้องครัว มีเตาอิฐแบบโบราณพร้อมเครื่องครัวทุกชนิด ถัดมาเป็นลานพื้นไม้ที่แม่ครัวมักใช้เป็นบริเวณเตรียมอาหารคาวหวาน ก่อนยกขึ้นไปบนตึกใหญ่
        บริเวณลานกว้างนั้นมีหลังคาปกคลุมอยู่เพียงครึ่งเดียว หากแต่มีต้นไม้ล้อมรอบทั่วเรือนนั้น จึงทำให้มีลมพัดคลายร้อนในเวลากลางวันเสมอ เช่นเดียวกับวันนี้ บนลานนั้นมีบ่าวไพร่กำลังนั่งเตรียมวัตถุดิบสำหรับปรุงเป็นอาหารเย็น และมุมหนึ่งก็มีหญิงวัยชรากับหญิงสาวกำลังนั่งปอกผลไม้อย่างขมักเขม้น สตรีสูงวัยคนแรกนั้นมีผมสีดอกเลา ดวงหน้าแม่ว่าจะเหี่ยวย่นตามกาลเวลา แต่ก็ยังมีสีหน้าเบิกบานและอ่อนโยนตามลักษณะของคนใจดี มือข้างซ้ายถือมะปรางสีเหลืองทองน่ารับประทานไว้ในมือ ส่วนข้างขวาถือมีดแกะสลักเล่มเล็กเอาไว้ แต่ทว่ายังมิทันจะได้ลงมือปอก หล่อนก็หันพิจารณาผลงานของหญิงวัยสาวสะพรั่งข้างกายเสียก่อน ดูจากลักษณะเก้ๆ กังๆ เวลาปอกแล้ว ผู้สูงวัยก็อดบ่นออกมาไม่ได้
        “พุทโธ่ คุณแพรเจ้าขา ปอกมะปรางริ้วนะคะ ไม่ได้คั้นน้ำมะขามเปียก จับเบาๆ ซีคะ"
        หญิงสาวย่นจมูกตามนิสัยที่เคยตัว เธอตัดสินใจวางมะปรางและมีดแกะสลักในมือลงบนจานตามเดิม
        “แพรยอมแพ้ ขอรอทานฝีมือป้าอรดีกว่า นี่แพรทำเละเป็นลูกที่สามแล้ว ขืนทำอีกก็เสียเปล่าๆ อะไรก็ไม่รู้ ทั้งปอกให้เป็นลายยาว ทั้งคว้านเมล็ด ให้แพรไปนั่งแกะเงาะเห็นจะถนัดกว่า"
        “ปอกมะปรางริ้วกับแกะเงาะมันจะเอามาเปรียบเทียบกันได้ยังไงล่ะคะ แกะเงาะนั่นใครๆ ก็ทำได้ แต่อาหารชาววังฝีมือดีสมัยนี้หายากแล้ว ถ้าไม่มีใครสืบทอด ก็เห็นจะหมดไปจากเมืองไทยเท่านั้นเอง"
        “เดี๋ยวนี้ใครเขาจะสนใจชาววังล่ะคะ คุณพ่อบอกว่าสมัยนี้เขาไม่นิยมผู้ดีกันแล้วค่ะ ป้าอร เขานิยมคนมีการศึกษามียศมีตำแหน่งใหญ่โต บางทีมะปรางริ้วของป้าอรอาจจะสู้ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยของท่านจอมพลไม่ได้"
        คุณแพรของป้าอรยกเรื่องนโยบายชาตินิยมของจอมพลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในขณะนั้นขึ้นมาถก เธอรู้ดีว่าสาวใหญ่คนนี้ไม่ใคร่พอใจกับนายทหารและนักการเมืองมากความสามารถผู้นี้มากนัก ครั้นพูดถึงเมื่อไหร่ เป็นต้องประชดประชันกับผู้พูดเสมอ
        “ประเพณี ขนบธรรมเนียมในวังนั้นท่านสอนกันมาแต่โบราณ ล้วนแต่วิจิตรงดงามทั้งสิ้น พวก 'วัธนธัม' สุกเอาเผากิน เปลี่ยนอักษรไทย เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย อะไรนั่น นมแก่แล้ว ไม่ขอยุ่งด้วย" พูดจบนางก็วางมะปรางที่ริ้วเป็นลายสวยงามลงบนจานเพื่อนำไปชุบน้ำเชื่อมต่อไป "คุณแพรล่ะก็ชวนคุยนอกเรื่องไปไกล ที่แท้ตัวนั่นแหละไม่มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างให้นมฟัง"
        “พี่พิมพ์เขาเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้วตามที่ป้าอรอบรมแล้วนี่คะ งานบ้านงานเรือนก็ไม่มีที่ติ เสน่ห์ปลายจวักก็ไม่เป็นรองใคร รูปร่างหน้าตารึก็งามราวกับนางฟ้าสมชื่อพิมพ์รัมภา ป้าอรมีพี่พิมพ์ให้ชื่นใจเรื่องนี้แล้ว แพรก็ขอตั้งใจเรียนสูงๆ ให้ป้าอรได้ชื่นใจเวลาแพรได้เป็นบัณฑิตไงคะ"
        “เรื่องความสวย คุณพิมพ์กับคุณแพรกินกันไม่ลงดอก คุณพิมพ์เธอคล้ายคุณแม่ของเธอ สวยเหมือนกับคุณหญิงตอนสาวๆไม่มีผิด กริยาวาจาอ่อนหวาน ผิวสีน้ำผึ้งเนียนสวยเทียว...” ขณะที่ป้าอรของเธอกำลังสาธยายบทชมนางที่คุณแพรได้ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ เธอก็อดยิ้มตามไม่ได้ หญิงชราคนนี้ทั้งรักทั้งเทิดทูนพี่สาวต่างมารดาของเธออย่างสุดหัวใจ "ส่วนคุณแพรน่ะผิวขาวเหมือนคุณแม่ของคุณแพร แต่หน้าสวยคมเหมือนคุณพ่อ คุณชายก้องเกียรติเมื่อตอนหนุ่มๆ นั้นงามมาก จมูกท่านโด่งอย่างกับฝรั่งเลยค่ะ คุณแพรน่ะกระโดกกระเดก ตอนเด็กๆ ซนนัก เล่นปีนต้นไม้จนตกลงมาเจ็บตัวก็หลายครั้ง คุณพิมพ์เธอเรียบร้อยของเธอมาแต่ไหนแต่ไร"
        “แต่ป้าอรก็รักแพรใช่ไหมล่ะ ถึงแพรจะดื้อจะซน ป้าอรก็ไม่เคยตีแพรสักครั้งเดียว"
        หญิงชรามีท่าทีตกใจ
        “คุณแพรพูดอะไรอย่างนั้นคะ คุณแพรเป็นถึงลูกเจ้านาย ยศรึก็หม่อมหลวง จะให้นมลงไม้ลงมือกับคุณแพรได้อย่างไรเล่าคะ นมเองก็เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกมีหรือจะไม่รัก โธ่...”
        คุณแพรยิ้มแป้ม รอยยิ้มของเธอเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจจริง ประกายแห่งความสุขมักจะเลยไปถึงดวงตาคู่สวยไม่เพียงแต่ริมฝีปากเท่านั้น เธอเลื่อนแขนไปโอบตัวของหญิงชราไว้จนรอบ เอาหน้าซุกที่อกของหล่อน
        “ว้าย...” สาวแก่อุทานออกมา
        “ป้าอรน่ารักที่สุดในโลก แต่จะน่ารักกว่าถ้าเลิกบ่นแพรสักทีนะคะ"
        “ดู๊ดู โตจนป่านนี้ยังมากอดนมเหมือนเด็กๆ ก็เป็นเสียอย่างนี้จะไม่ให้นมบ่นได้ยังไงคะ" แม้กระนั้นหญิงชราก็ยังมองเด็กสาวด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก "คุณแพรปล่อยเถอะค่ะ นมจะไปเตรียมของหวานสำหรับเย็นนี้ คุณชายภาสเธอจะมาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วย คุณแพรน่าจะไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วนะคะ"
         ดวงตาคู่งามของคุณแพรหุบต่ำลงคล้ายกับมีเรื่องสะเทือนใจ แต่ก็ไม่มีใครสังเกต เธอคลายวงแขนออกจากแม่นมอร แล้วพยักหน้าให้หล่อน
        “ดีเหมือนกันค่ะ แพรมัวแต่ขลุกอยู่ในครัวจนหน้ามันตัวเหม็นหมดแล้ว"
        คุณแพรเดินออกมาจากเรือนครัวตรงสู่ตึกใหญ่ด้านหน้า บรรยากาศยามเย็นทำให้เธอรู้สึกหวิวในใจอย่างไรบอกไม่ถูก เธอพยายามปลอบใจตัวเองว่าเธอคิดไปเองเท่านั้น ชื่อของ 'คุณชายภาส' ที่แม่นมอรพูดขึ้นมานั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจของเธอแม้แต่น้อย แต่ลึกๆ แล้วเธอรู้ดีว่า ที่อารมณ์ของเธอแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วแบบนี้ เป็นเพราะมีอะไรไปกวนใจนั่นเอง

        



        ตึกใหญ่ที่ตั้งเป็นสง่านั้นมีทั้งหมดสองชั้น ตรงกลางมีบันไดทอดยาวสองฝั่งขึ้นสู่ชั้นสอง ด้านบนประดับด้วยโคมไฟระย้างดงามที่สั่งจากอิตาลี ด้านล่างริมสุดคือห้องรับประทานอาหาร ถัดมาเป็นห้องรับแขกซึ่งตกแต่งด้วยเครื่องเรือนที่สั่งมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น อีกฝั่งหนึ่งของตึกเป็นห้องหนังสือ ซึ่งเป็นห้องโปรดของคุณแพร เธอมักจะขลุกอยู่ในห้องนี้ในวันหยุดตลอดทั้งวัน
        เจ้าของวังแห่งนี้คือหม่อมราชวงศ์ก้องเกียรติ วรพัฒน์ เป็นวังที่ได้รับเป็นมรดกสืบทอดจากท่านพ่อของคุณชายก้องเกียรติ แรกเริ่มนั้นคุณชายเคยแต่งงานกับหม่อมราชวงศ์เพ็ญแข ใช้ชีวิตร่วมกันหลายปีแล้วคุณหญิงก็ตั้งครรภ์ถึงสองครั้ง แต่ก็น่าเศร้าใจที่แท้งเสียสองครั้งติดกัน จนในที่สุดหม่อมราชวงศ์เพ็ญแขก็ให้กำเนิดธิดานามว่า หม่อมหลวงพิมพ์รัมภา วรพัฒน์ หรือมีชื่อเล่นว่าพิมพ์ แต่เพราะร่างกายที่ไม่แข็งแรงและเจ็บป่วยจากการแท้งถึงสองครั้ง ก็ทำให้คุณหญิงเพ็ญแขถึงแก่กรรมหลังจากคลอดบุตรได้เพียงแค่หนึ่งเดือน ต่อมาหม่อมราชวงศ์ก้องเกียรติก็ได้สมรสใหม่กับคุณสุดา ธิดาของเจ้าสัวร้านทองที่เยาวราช ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคนคือหม่อมหลวงธุวดารา วรพัฒน์ เรียกกันอย่างลำลองว่าคุณแพร เมื่อคุณแพรมีอายุครบสิบขวบ มารดาของเธอก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ อุบัติเหตุทางรถยนต์ได้คร่าชีวิตของเธออย่างไม่คาดฝัน ทำให้หม่อมหลวงทั้งสองต่างก็กำพร้าแม่ด้วยกันทั้งคู่
        หม่อมหลวงตัวน้อยๆ ได้เติบโตในรั้ววังวรพัฒน์ด้วยกันทั้งคู่ แม้ว่าจะกำพร้าแม่ แต่บิดาของพวกหล่อนก็มิเคยละเลยหรือปล่อยให้เด็กสาวทั้งสองรู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย เขาทั้งรักและทะนุถนอมแก้วตาดวงใจทั้งสองคนอย่างสุดหัวใจ ทั้งคู่เติบโตมาพร้อมด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ มีการศึกษาและชาติตระกูลที่ดีไม่มีข้อบกพร่อง หม่อมหลวงพิมพ์รัมภาและธุวดาราเองก็รักใคร่กลมเกลียวประหนึ่งพี่น้องท้องเดียวกัน
        หม่อมหลวงธุวดาราก้าวขึ้นไปบนชั้นสอง เธอมุ่งไปทางระเบียงฝั่งขวา อันเป็นที่ตั้งของห้องนอนของเธอ ถัดจากนั้นก็เป็นห้องของพี่สาวต่างมารดานั่นเอง ร่างโปร่งระหงเดินเข้าไปยังห้องนอนของตน เธอทิ้งกายลงบนเตียงไม้สี่เสาสลักลวดลายสวยงามตรงกลางห้อง เปลือกตาค่อยๆปิดลงด้วยท่าทีสงบ แต่ภายในใจนั้นยุ่งเหยิงเสียเต็มประดา
        เสียงเคาะประตูดังขึ้น คุณแพรลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งตัวตรง
        “เชิญค่ะ"
        ผู้ที่เดินเข้ามาไม่ได้ทำให้เจ้าของห้องแปลกใจมากนัก
        “พี่พิมพ์ยังไม่แต่งตัวอีกหรือคะ เดี๋ยวไม่ทันรับแขกคนสำคัญเอานะ"
        หม่อมหลวงพิมพ์รัมภาลดกายลงนั่งบนเตียงข้างๆ น้องสาว ดวงหน้าหวานมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่
        “แพรเองก็ยังไม่ได้อาบน้ำไม่ใช่หรือ ว่าพี่คนเดียวได้ยังไง แล้วนี่อาทิตย์หน้ามหาวิทยาลัยก็เปิดเรียนแล้วไม่ใช่หรือจ๊ะ แพรเตรียมตัวหรือยัง"
        “โธ่ ถามเหมือนแพรเป็นเด็กๆ ไปได้ ไม่มีอะไรให้เตรียมตัวนักดอกค่ะ ของเล็กๆ น้อยๆ แพรก็หาไว้หมดแล้ว แพรกำลังจะเรียนจบแล้วนะคะ อีกแค่ปีเดียวเท่านั้น"
        หม่อมหลวงพิมพ์รัมภาหัวเราะออกมาเบาๆ
        “พี่รู้ว่าแพรโตแล้ว แล้วก็เก่งกว่าพี่เสียด้วย ดูสิ พี่จะมีน้องสาวเป็นบัณฑิตใส่ชุดครุย โก้เสียจริง เอาไปอวดคนอื่นได้"
        ดวงตาของหม่อมหลวงธุวดาราไหวไปวูบหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นมา
        “พี่พิมพ์ของแพรก็กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา แพรจะเอาไปคุยกับเพื่อนๆเหมือนกัน ว่าพี่เขยของแพรนั้นเป็นถึงหม่อมราชวงศ์จบจากอเมริกา หน้าตาก็สวยราวกับพระเอกหนัง"
        แก้มนวลของหม่อมหลวงพิมพ์รัมภาขึ้นสีระเรื่อ กริยานี้นับว่าน่าดูไม่น้อย เพราะเป็นสิ่งที่แสดงออกมาจากความรู้สึก หาใช่จริตที่ดัดขึ้นมาไม่ น้องสาวของหล่อนส่งยิ้มอย่างล้อเลียนให้ พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม
        “อะไรกัน พูดนิดพูดหน่อยก็เขินแก้มแดงไปหมด"
        “แพรล่ะก็.. อย่าพูดแบบนี้อีกนะ เรื่องแต่งงานก็ยังไม่มีใครตกลงปลงใจอะไรกันเสียหน่อย พี่ชายภาสก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่า...เอ่อ...ชอบพอพี่ ถ้าคนอื่นมาได้ยินเขาจะคิดว่าฝ่ายเราอยากแต่งงานจนตัวสั่น มันไม่ดี"
        “พุทโธ่ พี่พิมพ์อย่ามาทำไก๋ คนเขารู้กันทั่วเมืองว่าผู้ใหญ่ทางโน้นเขามาทาบทามพี่พิมพ์ไว้ตั้งนานแล้ว ครอบครัวของเรากับครอบครัวพี่ชายภาสก็สนิทสนมกันมานาน เห็นกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเป็นเล็ก ย่อมผูกพันกันเป็นธรรมดา เมื่ออยู่กันไปแล้วทำไมจะไม่รัก อีกทั้งพี่พิมพ์กับพี่ภาสก็เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก รอแต่เวลาให้ฝ่ายชายเขามาสู่ขอเท่านั้นเองแหละค่ะ" หม่อมหลวงผู้น้องเว้นระยะก่อนจะหลุดขำออกมา "แพรจะขอเป็นคนกั้นประตูเงินประตูทองเอง ถ้าหากซองไม่หนักพอล่ะก็ เป็นอันว่าแพรไม่ยอมให้ผ่านประตูไปได้แน่"
        “น้องแพร!”
        “แพรพูดเล่นค่ะ" เจ้าหล่อนหัวเราะอย่างเบิกบานก่อนจะเอื้อมไปกอดพี่สาวของตนจากด้านข้างแล้วซบศีรษะที่ไหล่ของอีกฝ่าย เป็นที่รู้กันดีว่าคุณคนเล็กของบ้านนั้นขี้อ้อนไม่มีใครเกิน ทั้งกับบิดา พี่สาว และแม่นมของเธอ "ก็แพรอยากเห็นพี่พิมพ์มีความสุขนี่คะ แล้วใครที่ได้พี่พิมพ์เป็นภรรยาล่ะก็ เขาจะต้องเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก พี่พิมพ์ของแพรเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง"
        “พี่เองก็อยากเห็นแพรมีความสุขนะจ๊ะ"
        “ความสุขของแพรก็คือความสุขของคุณพ่อแล้วก็พี่พิมพ์นั่นเอง แต่อีกใจหนึ่งแพรก็ไม่อยากให้พี่พิมพ์แต่งงานเลย แพรคงเหงาพิลึก"
        “พี่ว่าเราเลิกพูดเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นเสียดีกว่า แพรชอบเพ้อเจ้อเป็นเด็กๆ ไปได้" สายตาของสตรีหน้าหวานเหลือบไปเห็นหน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะที่วางอยู่ข้างเตียง เธออุทานออกมาด้วยความตกใจ "ตายจริง! มัวแต่คุยกับแพรจนลืมเวลา ประเดี๋ยวจะอาบน้ำแต่งตัวไม่ทัน พี่ขอตัวดีกว่า แพรเองก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะนะ พี่ชายภาสคงจะมาถึงเร็วๆ นี้แล้ว"
        หญิงสาวหน้าคมสวยยิ้มให้พี่สาวอย่างไม่ทุกข์ร้อน
        “คุณพ่อชอบว่าแพรเสมอว่าแพรวิ่งผ่านน้ำมากกว่าอาบน้ำ พี่พิมพ์ไม่ต้องห่วงดอก แพรจะลงไปให้ทันเวลาค่ะ"
        ร่างบางของหม่อมหลวงพิมพ์รัมภาก้าวออกจากห้องนอนของน้องสาวต่างมารดาไปแล้ว หม่อมหลวงธุวดาราจึงทิ้งกายลงไปนอนแผ่อยู่บนเตียงดังเดิม ภายในห้องนั้นเงียบสงัด แต่ภายในใจของสตรีร่างระหงที่อยู่บนเตียงนั้นช่างว้าวุ่นเหลือเกิน ดวงตาคมซึ้งคู่สวยนั้นซ่อนความกังวลเอาไว้มากมาย เมื่ออยู่คนเดียวแบบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอรู้สึกอยู่ก็เปิดเผยออกมาจากดวงตา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นเธอก็สามารถกลบเกลื่อนความรู้สึกเหล่านั้นได้อย่างแนบเนียน เธอรู้ดีว่าเรื่องอะไรที่ทำให้หญิงสาวผู้มีความมั่นใจและสดใสร่าเริงนั้นต้องกังวล แต่ในขณะเดียวกันเธอกลับไม่รู้ว่าจะต้องแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไรดี





        ร่างโปร่งระหงของสตรีวัยสาวสะพรั่งอยู่ในชุดกระโปรงติดกันยาวถึงเข่าอย่างสมัยนิยม ผ้าที่ใช้ตัดนั้นมีสีฟ้าอ่อนประดับด้วยลายดอกไม้สีขาวเล็กๆ เข้ากันกับผิวขาวนวลของผู้สวมใส่ แขนทรงกระบอกยาวลงมาเกือบถึงข้อศอก ตรงกลางนั้นเข้ารูปเผยให้เห็นเอวบางไม่มีที่ติ ผมยาวสลวยถึงกลางหลังนั้นบัดนี้ถูกรวบเป็นหางม้าเผยรูปหน้าเรียวงาม ถึงแม้ว่าหม่อมราชวงศ์ภาสกร ดิเรกโรจน์ หรือพี่ชายภาสที่หล่อนเทิดทูนหนักหนามักจะมาร่วมรับประทานอาหารที่วังวรพัฒน์อยู่บ่อยๆ แต่สำหรับคุณแพรแล้ว โอกาสแบบนี้มักจะพิเศษสำหรับเธอเสมอ ถึงแม้ว่าเธอจะพิถีพิถันแต่งตัวให้ดีกว่าปกติ แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอไม่ควรทำเกินหน้าเกินตาพี่สาวของตน และอีกประการหนึ่งคือ เธอไม่มีทางดีไปกว่าด้วยซ้ำไป
        หม่อมหลวงธุวดาราแต่งตัวเสร็จก่อนพี่สาวของเธอ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจนั่งอ่านหนังสือในห้องหนังสือเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ในห้องหนังสือนั้นมีทั้งวรรณคดีไทยและวรรณคดีอังกฤษ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย และส่วนใหญ่ก็มักจะผ่านตาของเธอมาแล้วทั้งนั้น วันนี้เธอเลือกหยิบวรรณกรรมเล่มโปรดออกมา ถึงแม้ว่าเคยอ่านหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่เคยเบื่อ ร่างระหงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ซึ่งหันหลังให้ประตูทางเข้า ทำให้เธอไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ และกำลังเดินตรงมายังด้านหลังของเธอในระยะประชิด
        “ไม่เคยจะเชื่อว่า    รตินั้นจะสัปดน  
        มาสู่ณใจตน          แล้วจะต้องระทมระทวย ... อะไรกันคะ มัทนะพาธาอีกแล้วหรือ"
        หญิงสาวปิดหนังสือทันทีพร้อมกับยืนขึ้นแล้วกลับหลังหันด้วยความตกใจ แต่เมื่อพบว่าผู้ใดเป็นคนกล่าวกลอนบทนั้น เธอก็ตีสีหน้าเรียบเหมือนไม่ได้รู้สึกตกใจกับการปรากฎกายอย่างกะทันหันซึ่งตรงข้ามกับความรู้สึกข้างในใจโดยแท้
        “พี่ชายภาสล่ะก็ มาให้ไม่สุ้มให้เสียง แพรตกใจแทบแย่" ใบหน้าสวยคมย่นจมูกใส่เขาด้วยความเคยตัว น้ำเสียงของเธอติดจะไม่พอใจอยู่น้อยๆ
        “พี่ขอโทษค่ะ เห็นว่าน้องแพรกำลังอ่านหนังสือเล่มโปรดอยู่ เลยไม่อยากรบกวน"
        หม่อมราชวงศ์ภาสกรกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้หญิงสาวเบื้องหน้า
        “แล้วจู่ๆ มาทำให้แพรตกใจแทบตกเก้าอี้ก็ไม่เป็นการรบกวนงั้นซีคะ พี่ชายภาสคงเห็นว่าน่าขันมากกว่า"
        “พี่ขอโทษค่ะ ให้อภัยพี่ชายภาสนะ หรือน้องแพรอยากให้พี่ทำอะไรเป็นการไถ่โทษ"
        “พี่ชายภาสเห็นแพรเป็นเด็กอยู่เรื่อย พูดราวกับแพรเป็นเด็กอายุสิบขวบที่งอนแล้วต้องหาเรื่องมาง้อ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นได้เสียก็ดี หากแพรอายุสิบขวบจริงๆ แพรจะสั่งให้พี่ชายภาสปีนต้นมะม่วงแล้วสอยมะม่วงมาให้แพรทานสักสิบลูก"
        ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างไม่มีปิดบัง สายตาที่เขามองหญิงสาวร่างระหงตรงหน้านั้นมีเพียงความอ่อนโยนและเอ็นดูดุจน้องสาว ซึ่งเขาไม่อาจสังเกตได้ว่าภายในดวงตาคมซึ้งของเจ้าหล่อนนั้น กำลังซ่อนความน้อยใจและเสียใจเอาไว้
        “พี่ชายภาสนั่งเสียก่อนเถิดค่ะ คุณพ่อกับพี่พิมพ์คงใกล้จะลงมาแล้ว" ชายสูงศักดิ์ทำตามอย่างว่าง่าย ด้วยความคุ้นเคยกับบ้านนี้เป็นอย่างดีทำให้เขาทำตัวตามสบาย "เมื่อไหร่พี่ชายภาสจะได้ออกโพสไปเมืองนอกหรือคะ แล้วถึงตอนนั้น แพรจะขอไปเที่ยวที่นั่นได้ไหม"
        พี่ชายภาสของหล่อนยิ้มอย่างอารมณ์ดี
        “พี่เข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศได้สามปี คงต้องรออีกสักพักค่ะ แล้วหากว่าพี่ได้ไปประจำที่ประเทศเล็กๆ ห่างไกลความเจริญล่ะ น้องแพรยังจะตามไปเที่ยวกับพี่อยู่หรือ"
        “ไปซีคะ แพรอยากเห็นอะไรใหม่ๆ ไปที่แปลกๆ ที่แพรไม่เคยไป ก็ดีเหมือนกัน ใครๆ เขาก็นิยมไปทัวร์ยุโรป แพรขอทวนกระแสบ้างจะเป็นไรไป"
        “เมื่อเรียนจบ น้องแพรสนใจสอบเข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศไหม น้องแพรเองก็เรียนอักษรศาสตร์ ภาษาอังกฤษของน้องแพรก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่ต้องตั้งใจท่องหนังสือเตรียมสอบเข้าทำงาน ตอนนี้ในกระทรวงก็มีข้าราชการผู้หญิงมากขึ้นแล้ว"
        หม่อมหลวงธุวดารามีสีหน้าครุ่นคิด
        “แพรยังไม่แน่ใจเลยค่ะ ใจจริงแพรอยากอยู่เฉยๆ สักหนึ่งปี ไปเที่ยวเมืองนอก ทำอะไรที่แพรอยากทำ แต่แพรจะลองเก็บไปคิดนะคะ"
        “ทำอะไรที่แพรอยากทำ พี่ก็เห็นว่าแพรอยากอยู่บ้านอ่านหนังสือเท่านั้นเอง" เขากล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างล้อเลียน
        “แพรชอบอ่านหนังสือนี่คะ แพรเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกจากตัวอักษร บางครั้งแพรก็อดคิดไม่ได้ว่าหนังสือคือเพื่อนที่ดีที่สุดของแพร แพรสนุกไปกับมัน บางครั้งก็ตื่นเต้น ขบขันจนต้องหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า หรือน้ำตาไหลเพราะสงสารตัวละครในเรื่อง อาจเป็นเพราะว่าแพรมีความรู้สึกคล้ายกับตัวละครในบางบท เป็นความรู้สึกแพรอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่หนังสือสามารถอธิบายและเรียงร้อยถ้อยคำออกมาได้อย่างสวยงาม"
        เมื่อพูดจบ หญิงสาวก็รู้สึกเขินในใจ เธอกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเชิดคางกล่าวเสียงแข็งต่อไป
        “พี่ชายภาสคงเห็นว่าแพรเป็นคนพิลึก แพรไม่เถียงดอกค่ะ"
        พี่ชายภาสของหล่อนยิ้มพร้อมส่ายศีรษะเบาๆ
        “ใครบอก น้องแพรน่ะเป็นคนมีความคิดความอ่านลึกซึ้ง เพียงแต่ลักษณะนิสัยที่ดื้อรั้นของเรามันกลบเกลื่อนไปเสียหมดน่ะซี"
        “เอ๊ะ พี่ชายภาสจะว่าหรือจะชมแพรกันแน่ รู้แบบนี้แพรทำไม่รู้ไม่ชี้ นั่งอ่านมัทนะพาธาต่อเสียยังดีกว่า"
        ว่าแล้วหญิงสาวก็กางหนังสือที่เธออ่านค้างไว้มาปิดหน้าของเธอไว้ในระดับสายตา
        “เอ... พี่เพิ่งสังเกตว่าวันนี้น้องแพรสวยเช้งไม่แพ้นางมัทนาเลย"
        หม่อมหลวงธุวดาราตกใจเล็กน้อยกับคำชมอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอก้มลงมองชุดกระโปรงของเธออีกครั้งแล้วหันไปสบตากับบุรุษที่คุ้นเคยตรงหน้า ดวงตาคมเข้มนั้นมองมาอย่างอ่อนโยน ทำเอาหัวใจของผู้ที่เขาเรียกว่าน้องสาวนั้นเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ แต่เธอก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย เพียงแต่วางสีหน้าเฉยพร้อมเชิดคางขึ้นเล็กน้อย แต่มิใช่เพราะเธออวดดี เป็นเพราะเขินอายจนไม่รู้จะกลบเกลื่อนอย่างไรต่างหาก
        “ถึงอย่างไรก็สวยไม่สู้นางบุษบาของพี่ชายภาสหรอกค่ะ เธอเดินมาตามพวกเรานู่นแล้ว"
        ร่างบางของผู้เข้ามาใหม่สวมใส่ชุดกระโปรงติดกันคล้ายกับน้องสาว เพียงแต่ชุดนั้นมีสีส้มอ่อน ช่วยขับผิวเหลืองลออของเจ้าหล่อนให้ดูเด่นยิ่งขึ้น ผมสั้นหยักศกหวีเป็นมันเข้าทรงอย่างไม่มีที่ติ ช่วยเสริมให้ดวงหน้าอ่อนหวานงดงามขึ้นไปอีก
        “คุณพ่อให้หาพี่ชายภาสกับน้องแพรค่ะ ท่านรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว"
        หม่อมราชวงศ์ภาสกรและหม่อมหลวงธุวดาราเดินตามสตรีรูปงามไปยังห้องอาหารทันที เมื่อมาถึงชายหนุ่มร่างสูงก็ทำความเคารพประมุขผู้เป็นเจ้าของวังอย่างคุ้นเคย และถูกเชื้อเชิญให้นั่งทางฝั่งซ้ายของเจ้าของคุณชายก้องเกียรติ ส่วนธิดาของเขานั้นนั่งทางฝั่งขวา หม่อมหลวงพิมพ์รัมภานั้นนั่งติดกับบิดา ถัดมาคือหม่อมหลวงธุวดารา
        “เป็นอย่างไรบ้างคุณชายภาส ได้ยินมาว่ากำลังไปได้สวยกับหน้าที่การงานมิใช่หรือ"
        ประมุขของบ้านเริ่มต้นบทสนทนาเสียก่อน
        “ผมโชคดีที่ท่านพ่อประทานคำปรึกษาอยู่เสมอ ช่วยในเรื่องการทำงานเยอะเทียวครับ" คุณชายภาสเว้นระยะไว้ครู่หนึ่ง "วันนี้ผมมากราบเรียนเชิญคุณอาไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของหม่อมแม่ครับ เราจัดงานกันที่วังดิเรกโรจน์ เชิญแค่แขกที่คุ้นเคยกันเท่านั้น น้องพิมพ์น้องแพรเองก็ต้องไปให้ได้นะครับ หม่อมแม่ท่านบ่นว่าคิดถึงน้องๆ ไม่ได้เจอกันนานแล้ว"
        ดวงตาของหม่อมหลวงคนเล็กเป็นประกายขึ้นมา เธอยิ้มออกมาอย่างเด็กที่ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ แต่ก่อนที่คุณแพรจะโพล่งความปลื้มปิติออกมานั้น พี่สาวของเธอก็ชิงพูดเสียก่อน
        “ขอบคุณค่ะพี่ชายภาส พิมพ์กับแพรเองก็อยากไปกราบหม่อมป้าเหมือนกัน สุขภาพของท่านดีขึ้นหรือยังคะ"
        “ไม่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ทรุดลงจ้ะ โรคคนแก่เห็นทีจะให้รักษาจนหายขาดไม่ไหว"
        มารดาของหม่อมราชวงศ์ภาสกรหรือมีชื่อจริงว่าหม่อมอุบลนั้นมักจะมีอาการปวดแข้งปวดขาอยู่เป็นประจำ บางครั้งถึงกับปวดจนไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้ ทำให้เธอต้องนั่งอยู่กับที่เกือบตลอดทั้งวัน สองสามปีให้หลังหม่อมอุบลจึงไม่ได้ออกงานสังคมเหมือนเคย เนื่องจากสุขภาพไม่เอื้ออำนวย
        หลังจากนั้นทั้งหมดก็สนทนาต่อกันอีกครู่ใหญ่ คุณชายภาสกรจึงขอลากลับ ตอนกลางคืนนั้นบิดาของหม่อมหลวงสาวทั้งสองมักจะอยู่ในห้องทำงานบนชั้นสองเสมอ แต่วันนี้ทั้งสามคนกลับนั่งคุยกันในห้องหนังสือ ด้วยความที่เด็กสาวทั้งสองคนต้องเติบโตโดยปราศจากมารดา ทำให้ผู้เป็นบิดานั้นต้องทำหน้าที่เลี้ยงดูทั้งพ่อและแม่ ต้องคอยรับฟังปัญหาและแก้ไขอย่างบิดา และคอยปลอบใจในยามยากประหนึ่งมารดา จึงทำให้เขากับลูกสาวทั้งสองมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
        หม่อมราชวงศ์ก้องเกียรติเอนหลังลงกับเก้าอี้ที่มีพนักวางแขน ในมือนั้นถือหนังสือภาษาอังกฤษเล่มบางเอาไว้ หากหญิงสาวอีกสองคนในห้องเพียงแค่นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามแล้วสนทนากันเท่านั้นเอง
        “น่าตื่นเต้นจังเลยค่ะ นานๆ ทีเราสองคนจะได้ออกงานแบบนี้ งานเลี้ยงวันเกิดหม่อมป้าต้องหรูหรามากแน่ๆ คงจะมีวงดนตรี อาหารฝรั่งอร่อยๆ แพรชักจะรอไม่ไหวเสียแล้ว" หญิงสาวหน้าคมสวยกล่าวพร้อมกับทำสีหน้าชวนฝัน ทำเอาผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้
        “พูดจาเป็นเด็กๆ ไปได้ น้องแพร เราต้องรู้จักสำรวมกริยาวาจามากกว่านี้นะจ๊ะ"
        คุณแพรย่นจมูกใส่พี่สาวอย่างเคยตัว
        “คำก็เด็กสองคำก็เด็ก จะไม่มีใครเชื่อจริงๆ เลยหรือคะว่าแพรอายุยี่สิบปีแล้ว" ถึงกระนั้นก็ทำสีหน้าไม่พอใจได้ไม่นาน เธอก็หันมาชวนพี่สาวคุยต่อ "พี่พิมพ์คะ เราไปซื้อผ้ามาตัดชุดใหม่ดีไหม แพรไม่มีชุดออกงานกลางคืนสวยๆ ใส่เลย คุณพ่อว่าดีไหมคะ"
        ผู้เป็นบิดาละสายตาจากหนังสือตรงหน้า แล้วหันมามองบุตรสาวคนเล็กด้วยความเอ็นดู
        “เอาซี นานๆ ทีลูกสาวของพ่อจะได้ออกงาน พิมพ์ หาเวลาไปซื้อผ้ากับน้องเสียเลยสิ รีบเสียก็ดี อาทิตย์หน้ายัยแพรก็เปิดเทอมแล้ว ประเดี๋ยวจะยุ่งจนไม่มีเวลา"
        บุตรสาวคนโตไหว้ขอบคุณบิดา กริยางดงามไม่มีที่ติ
        “ขอบพระคุณค่ะคุณพ่อ พิมพ์จะจัดการเรื่องนี้ให้เอง"
        จากนั้นบุตรสาวทั้งสองก็ขอตัวลาขึ้นไปยังห้องนอนของตน หม่อมหลวงพิมพ์รัมภานั้นมิได้มีท่าทีดีใจเท่าใดนัก แต่กระนั้นในใจเธอก็มีความสุขไม่น้อย ต่างจากหม่อมหลวงธุวดารา ที่พร่ำแต่คาดเดาว่าในงานจะมีวงดนตรีแบบไหน จะมีการเต้นลีลาศแบบที่เธอเคยเห็นเหล่าคนดังในหนังสือพิมพ์ทำกันเวลาออกงานสังคมบ้างหรือเปล่า จนกระทั่งแยกกับพี่สาวแล้วเดินเข้าห้องนอนส่วนตัวไปนั่นแหละ ดวงหน้าที่เคยสดใสกลับเศร้าหมองเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ
        เธอมีลางสังหรณ์ลึกๆ ว่างานนี้อาจจะเป็นงานที่หม่อมอุบล มารดาของหม่อมราชวงศ์ภาสกรขอทาบทามพี่สาวผู้งามพร้อมของเธอมาเป็นลูกสะใภ้อย่างเป็นทางการ ซึ่งผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็คงเห็นชอบกันทั้งคู่ พี่ชายภาสเองก็คงเอ็นดูพี่สาวของเธออยู่ไม่น้อย และหากถึงวันนั้นจริงๆ เธอจะต้องหักใจมิให้คิดอะไรเกินเลยกับผู้ที่กำลังจะกลายเป็นพี่เขย และสิ่งที่เธอกำลังรู้สึกอยู่นี้ ไม่ต่างอะไรกับการหักหลังพี่สาวต่างมารดาของตัวเองเลย
        ครอบครัวของเธอมีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวของหม่อมราชวงศ์ภาสกร ดิเรกโรจน์ เธอชื่นชมพี่ชายภาสของเธอตั้งแต่ยังเด็ก เขาเป็นคนอ่อนโยน และใจดี มักจะมาเล่นกับน้องสาวแสนซนคนนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งเติบใหญ่ เมื่อชายหนุ่มต้องเดินทางไปเรียนที่อเมริกา เขาก็เขียนจดหมายมาหาเธอและพี่สาวอยู่ตลอด เธอรู้ใจตัวเองดีกว่าแอบรักเขาตั้งแต่เริ่มก้าวเข้าสู่วัยสาว ทุกๆ ครั้งที่เนื้อหาในจดหมายมีการกล่าวถึงน้องแพร เธอมักจะอ่านไปพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุข จดหมายทุกฉบับที่เขาส่งมาเธอก็เก็บเอาไว้อย่างดีจนถึงทุกวันนี้ หลังจากพี่ชายภาสเรียนจบได้ไม่นาน หม่อมอุบลก็เอ่ยปากว่าหม่อมหลวงพิมพ์รัมภานั้นมีคุณสมบัติแม่บ้านแม่เรือนเพียบพร้อม ทั้งยังมีการศึกษาระดับที่น่าพอใจ เหมาะสมกับตำแหน่งสะใภ้ของหล่อนเป็นอย่างยิ่ง
        เมื่อหม่อมหลวงพิมพ์รัมภาเล่าเรื่องนี้ให้น้องสาวฟัง หม่อมหลวงธุวดาราแม้ว่าจะมีอาการน้ำตาตกใน แต่ภายนอกก็แสดงความยินดีกับพี่สาวด้วยสีหน้าจริงใจ ค่านิยมของผู้หญิงในสมัยนั้น หากว่าได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี มีหน้าที่การงานมั่นคง อีกทั้งยังมีศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์ เห็นจะไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ เธอเองก็ตระหนักดีกว่า ไม่มีคุณสมบัติอันใดที่จะสามารถเทียบกับพี่สาวได้แม้แต่ข้อเดียว และความรักพี่สาวอย่างสุดซึ้ง ทำให้เธอต้องเก็บงำความรู้สึกนี้ไว้ในใจตลอดมา
        “ไม่เอาน่า แพร..” หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาคมสวยกล่าวกับตัวเองเบาๆ "มันก็แค่ความรักแบบเด็กๆ ระหว่างพี่ชายกับน้องสาว แค่นั้นเอง..”











    -----------------------------------------------
    คอมเม้นท์ติชมได้ตามสบายเลยนะคะ
    ไรท์เตอร์มือใหม่หัดเขียนค่ะ อยากรู้ฟีดแบ็กจากนักอ่านทุกคนนะคะ
    ชอบไม่ชอบยังไงแนะนำกันได้เลยค่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×