คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Destiny
SEVEN ROYALS
เสียงระฆังเฉลิมฉลองสั่นลั่นก้องกังวาลไปทั่วแผ่นดิน ประชาชนต่างออกมาจากบ้านเรือนมารวมตัวกันสองข้างทางหลวงที่ทอดยาวไปถึงพระราชวัง ม้าตัวใหญ่และขบวนทหารในชุดเกราะน่าเกรงขามค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปท่ามกลางสายตาที่ทุกคนจับจ้อง เสียงสรรเสริญกู่ร้องเรียกชื่อกษัตริย์ของตนไปตลอดสองข้างทาง กลีบดอกไม้สีขาวถูกโปรยกระจายลอยละล่องไปตามแรงลมพร้อมกับทัศนียภาพของเมืองที่ศิวิไลจนเกิดเป็นภาพที่สวยงามยากลืมเลือน ร่างสูงโปร่งที่อยู่บนหลังม้าตัวใหญ่หน้าสุดของขบวนแถวทอดสายตาคมไปที่ด้านหน้า ใบหน้าแม้จะแย้มมุมปากทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ดูเรียบนิ่งและสุขุม เมื่อถึงหน้าปราสาทจึงสะบัดตัวลงจากหลังม้า มีพวกโหรหลวง คนในราชวงศ์และข้าราชบริพานรออยู่ก่อนแล้ว ทุกคนดูมีสีหน้าปลื้มปิติยินดีและมีความสุข บางทีเขาก็คิดว่าเขาเป็นคนเดียวในที่นี้รึเปล่าที่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นยินดีอะไรมากมายนัก สบตากับโหรหลวงเฒ่าด้านหน้า ตาคมทอดมองมงกุฏทองคำฝั่งด้วยอัณมณีเจ็ดเม็ดเจ็ดสี
เจ็ดอาณาจักรต่อจากนี้ที่เขาต้องปกครอง
ค่อยๆ คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ก้มตัวลงเล็กน้อย เมื่อมงกุฏในมือโหรหลวงถูกสวมลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีเข้ม เสียงกู่ร้องสรรเสริญก็ดังก้องไปทั่ว ชายหนุ่มหลับตาลง เขาไม่ได้ยินเสียงใดๆ รอบตัวๆ อีก มีแต่ห้วงความคิดที่ดำดิ่งสู่จินตนาการถึงภาระอันใหญ่หลวงของตนในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เท่านั้น
ตะวันลับฟ้าจันทราขึ้นมาแทนที่ แต่ในเวลานี้ทุกคนไม่อาจจะสามารถหลับใหลได้ การเฉลิมฉลองยังคงถูกจัดข้ามวันข้ามคืนไปอย่างยาวนาน ร่างสูงโปร่งมองมันจากบนหอคอยปราสาทที่สูงใหญ่ เสียงเปิดประตูทำให้เขาต้องหันไปมองผู้มาใหม่ทางด้านหลัง
" ถึงเวลาแล้วหรือ "
เอ่ยถามพลางมองชายชราที่เป็นทั้งครูมาตั้งแต่สมัยพระบิดาของพระองค์ ชายแก่พยักหน้าภายมือให้เขาเดินตามไปจนถึงห้องโถงใหญ่ที่มีผู้คนจำนวนหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว ชายร่างสูงเดินผ่านทุกคนไปที่ด้านหน้า หันกลับมาเผชิญหน้ากับทุกคน เริ่มรู้สึกถึงน้ำหนักมงกุฏบนศีรษะที่เหมือนจะเพิ่มมากขึ้น ราชวงศ์ ทหารและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และผู้นำจากอีกห้าอาณาจักรมองมาที่เขา หันใบหน้าคมไปพยักหน้าให้โหรหลวงเพื่อเริ่มพิธีทำนายดวงชะตาบ้านเมืองในรัชสมัยของพระองค์ ชายแก่ใช้ฝุ่นแป้งสีขาวที่ผสมกับน้ำขีดเขียนลงบนพื้นหินกว้างข้างหน้าตน สัญลักษณ์เวทย์มากมายถูกเขียนขึ้นก่อนจะหยุดชะงักลง โหรเฒ่าดูมีสีหน้ากังวล ทั้งห้องตกอยู่ในภวังความเงียบ ร่างสูงโปร่งเดินเข้าไปใกล้ชายแก่ ตาคมทอดมองมาเรียบนิ่ง
" ทำนายมาซิ ท่านโหรหลวง "
ชายชราหลับตาลง ก่อนจะเอ่ยคำทำนายด้วยเสียงที่แผ่วเบา เริ่มการถวายคำพยากรณ์
" ลำแสงสีทองส่องแผ่นดินสว่างไสว่ ผู้คนสุขศรีไพร่ฟ้าอยู่อย่างร่มเย็น ตราบจนเมื่อเงามืดที่สูญหายและถูกลืมเลือนไปนานค่อยๆ คลืบคลานทอดผ่านเข้ามาจนกลืนกินทุกสิ่ง ท้องฟ้าจะมีแต่ความมืดมนและแผ่นดินจะปกคลุมไปด้วยพื้นที่แดงฉาน "
พอโหรหลวงทำนายมาจนถึงจุดนี้ทุกคนต่างมีสีหน้าซีดเผือด ร่างสูงไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ยังคงตั้งใจฟังคำทำนายต่อไป ชายแก่ตรงหน้าหยุดนิ่งไปซักครู่ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาที่ฝ้าฟางมองมาที่เขาอย่างมีความหวัง
" แต่ท่ามกลางเงาที่มืดมิดนั้นยังมีแสงสว่างเล็กๆ อยู่ที่จะปกป้องทุกสิ่งไว้ หรืออาจจะทำลายทุกสิ่ง อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้ที่เห็นแสงสว่างนั้นก่อน "
มาร์คหลับตาลง ไม่ได้หันไปมองสีหน้าของทุกคนด้านหลัง ไม่ได้ใส่ใจกับเสียงพูดคุยซุบซิบที่เริ่มดังขึ้น เขาไม่สนใจอะไรอื่นทั้งนั้นนอกจากคำทำนาย แย้มยิ้มมุมปากให้ชายแก่เบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ราบเรียบแต่ทรงอำนาจ
" ขอบคุณสำหรับคำพยากรณ์ "
ปราสาทที่สูงใหญ่ตระการตาใจกลางเมือง ตาคมมองลอดหน้าต่างบานใหญ่ออกไปสะท้อนแสงพลบค่ำ ร่างสูงปิดหน้าหนังสือเล่มหนาในมือก่อนจะวางมันที่โต๊ะด้านข้าง หลับตาลงปล่อยความคิดให้จมดิ่งลงไปในความทรงจำเมื่อนานมาแล้วที่ยังคงไหลเวียนเข้ามา คำทำนายที่เขาจดจำได้อย่างแม่นยำทุกคำพูด เสียงเคาะประตูด้านนอกดังขึ้นพร้อมกับจินยองที่เดินถือแก้วกับขวดไวน์องุ่นชั้นดีเดินเข้ามาในห้อง มือขาวโยนแก้วทรงสวยมาทางเขาจนต้องรีบรับไว้ ผู้นำอควิลาเดินเข้ามารินน้ำสีแดงสวยลงในแก้วที่เขาถือไว้โดยไม่ได้ถามความเห็นใดๆ จากเขา พยักเพยิดให้ดื่มให้หมดพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
" คิดจะเมาในคืนที่ต้องเตรียมตัวประชุมใหญ่ในวันพรุ่งนี้หรือไงจินยอง " อีกคนยักไหล่พลางกรอกของเหลวในแก้วของตนเข้าปากจนหมดในรวดเดียว
" แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะมีคนหัวหมอหกคนจากหกอาณาจักรมานั่งเผชิญหน้าเถียงกันในห้องเล็กๆ ก็รู้สึกอยากจะเมามันซะตอนนี้เลย " น้ำเสียงเบื่อหน่ายกับคำพูดประชดประชันของคนสนิทเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากเขาได้ไม่ยาก ก็พอเข้าใจจินยองอยู่เพราะอควิลาถือว่าเป็นดินแดนแห่งสัมพันธไมตรีที่ต้องคอยไกล่เกลี่ยให้ทุกอาณาจักรเข้าใจตรงกันถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่าอควิลาโอนเอนมาทางกูเรี่ยนอยู่เสมอ
เพราะตอนนี้กูเรี่ยนมีอำนาจมากที่สุดนี่นา
บางทีเขาก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าตัวเองเป็นกษัตริย์ที่ดีและเป็นธรรม เพราะก็เห็นๆ อยู่ว่าหลายๆ ครั้งเขาต้องใช้อำนาจที่มีไปข่มขู่คนอื่นๆ บ้าง เพื่อทางออกที่ดีของทุกคนและทางที่ดีที่สุดของตนเอง แต่นี่มันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์นี่นา
" นายเคยสงสัยบ้างมั้ยทำไมทุกคนถึงยังคิดว่าตัวเองเป็นเซเว่นรอแยลอยู่ทั้งๆ ที่ มีเหลืออยู่แค่หก " มาร์คเอ่ยถามลอยๆ วนแก้วไปมาสายตาจับจ้องของเหลวสีแดงสวยที่ไหลเอื่อบๆ เหมือนเกลียวน้ำวน จินยองทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขา เทไวน์ในมือลงบนแก้วของตนจนเกือบล้น
" ถึงสงสัยก็ไม่ได้อยากจะได้คำตอบ จะเจ็ดหรือหกหรือห้าใครจะสนใจ ขอแค่ตัวเองยังเป็นหนึ่งในนั้นที่ไม่โดนกำจัดไปก็พอ "
มาร์คยิ้มมุมปาก ยกแก้วจรดปากดื่มรวดเดียวจนหมด วางมันลงที่โต๊ะเตี้ยข้างๆ ก่อนจะยกมือมาประสานกันไว้ที่ตัก ไขว่ห้างนั่งอย่างสบายๆ มองไปด้านนอกที่มืดมิด ดวงดาวด้านนอกช่างส่องแสงริบหรี่เหมือนหิ่งห้อยที่ใกล้จะหมดแรง
" ท่ามกลางเงาที่มืดมิดนั้นยังมีแสงสว่างเล็กๆ อยู่ " มาร์คเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จินยองหันมามองก่อนจะหัวเราะในลำคอ ส่วนหนึ่งของคำทำนายตอนมาร์คขึ้นครองราชย์ คำทำนายที่ทุกคนในห้องนั้นจำได้อย่างแม่นยำและก็ไม่เคยมีใครเอาไปบอกกล่าวกับใครอื่นข้างนอกเลย
" ช่างเป็นคำทำนายที่ตามหลอกหลอนพวกเราเสียจริง แต่ชั้นก็หวังไว้จริงๆ นะ ว่าเมื่อใดที่ความชั่วร้ายเข้ามาในดินแดนของพวกเราแล้วละก็ นายจะสามารถคว้าแสงนั้นไว้แล้วพาพวกเราทุกคนออกไปจากความมืดมิดนั่นอย่างรอดปลอดภัย "
จินยองพูดเบาๆ เท้าคางกับมือขาว ใบหน้าของเขาขึ้นสีเรื่อๆ ตาสีเข้มปรือเล็กน้อยบ่งบอกถึงอาการที่เริ่มมึนเมา ไม่นานนักก็ยกมือชี้นิ้วมาทางเขาก่อนจะประกาศกร้าว
"แต่ถ้าเกิดนายไม่สามารถคว้ามันไว้ได้ ชั้นจะฆ่านายแล้วคว้าแสงนั้นมาไว้เอง เข้าใจมั้ย "
พูดจบร่างสูงเพรียวก็ฟุบลงไปกับพนักพิงที่นั่งกำมะหยี่ ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบอกถึงอีกคนที่เข้าลึกสู่ห้วงในความฝันไปเสียแล้ว มาร์คหัวเราะกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนจะสั่งให้ทหารที่ประจำอยู่ด้านนอกมาหิ้วปีกเพื่อนรักของตนออกไป มาร์คมองตามจนประตูปิดลง เจ้าตัวก้าวไปข้างๆ หน้าต่าง ไม่ลืมที่จะคว้าขวดไวน์ทั้งขวดที่เพื่อนตัวดีทิ้งไว้ให้มาไว้ในมือ ยกขวดขึ้นจรดริมฝีปากปล่อยให้น้ำไวน์ชั้นเลิศไหลลงลำคอไปจนหมดขวดรวดเดียว ตาคมทอดมองออกไปเรียบนิ่งไม่แสดงสีหน้าใดพลางกล่าวพึมพัมกับตัวเอง
" แสงที่ว่าชั้นคว้าไว้ได้แน่ เพียงแต่ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะเป็นแสงส่องทางเราไปหาทางออกหรือหน้าผา "
เสียงทุ้มเรียกทหารด้านนอกให้เข้ามา มือเรียววางขวดไวน์เปล่าลงก่อนจะเดินผ่านทหารที่รออยู่หน้าประตูออกไป
" เตรียมม้า ข้าจะออกไปสูดอากาศข้างนอก "
SEVEN ROYALS
แสงสว่างบนท้องฟ้าเริ่มอ่อนแรงลงแล้ว แต่เสียงพูดเจื่อยแจ้วของคนตรงหน้าเขากลับไม่อ่อนตามไปด้วย แจ็คสันกำลังนั่งอยู่ในรถม้าของเทรย์เวอร์ที่แบมแบม เจ้าชายจากเมืองนี้ได้ชวนเขามาที่กูเรี่ยนด้วยกัน ตลอดระยะที่เดินทางมา แบมแบมคอยชวนเขาคุยเรื่องนั่นนี่มากมายจนแจ็คสันได้แต่คิดในใจว่านี่อาจจะมากกว่าที่เขาเคยพูดมาทั้งชีวิตก็เป็นได้
"คิดดูซิ ข้าอายุตั้งขนาดนี้พึ่งจะเคยได้ออกมานอกอาณาจักรเป็นครั้งแรก ท่านพ่อช่างเข้มงวดกับข้านัก ข้าไม่ชอบเลย " แจ็คสันยิ้มให้กับคนตรงหน้า เขาเองก็ไม่ต่างเช่นกัน นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง
" ท่านโชคดีมากที่ยังมีผู้อันเป็นที่รักอยู่ด้วยกันกับท่าน " แจ็คสันพูดพลางส่งยิ้มให้ แบมแบมนิ่งไปซักพัก ใบหน้าน่ารักดูสงสัยและกังวลว่าจะถามดีมั้ย
" แล้วเจ้าล่ะ ครอบครัวของเจ้า " เสียงเบาๆ เอ่ยถาม แจ็คสันนิ่งไป เหม่อลอยคิดถึงครอบครัวของตนที่ไม่เคยพบหน้า คิดถึงมาเซลที่จากไปแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ตัวคนเดียว
" ข้าไม่มีหรอก "
ความเงียบในรถม้าทำให้แบมแบมรู้สึกผิดและเสียใจ เจ้าตัวรีบคว้ามือเขามากุมไว้แน่น
" ข้าขอโทษจริงๆ ข้าก็รู้อยู่ว่าไม่ควรถามอะไรแบบนี้เลย " น้ำเสียงที่เคยร่าเริงเจื่อยแจ้วกลับเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่เศร้าและเสียใจ แจ็คสันรีบส่ายหน้าส่งยิ้มให้อีกคน
" ไม่เป็นไร ท่านอย่าขอโทษเลย ท่านไม่ได้ทำผิดอะไรเสียหน่อย " แจ็คสันพูดพลางหัวเราะเบาๆ คนตรงหน้าเขาถึงจะดูเป็นเด็กดื้อเอาแต่ใจ แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าแบมแบมเป็นคนที่มีหัวใจที่อบอุ่นและอ่อนโยนคนนึง
ระหว่างที่คอยปลอบคนตรงหน้าตาสวยก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งวูบผ่านไปทางหางตา รีบตวัดมองไปที่ชายป่าทางด้านซ้ายมือของตน หัวใจเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกร้อนวูบไปทั่วทั้งกายโดยเฉพาะแผลเป็นขนาดใหญ่ด้านหลัง แบมแบมมองเขาที่เริ่มมีท่าทีแปลกไป
" เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า " แจ็คสันรีบส่ายหน้า แต่ตาคมสวยยังคงพยายามมองไปที่ชายป่านั่นอีกครั้ง
" ข้าขอลงตรงนี้ก็แล้วกัน " แจ็คสันเอ่ยรัวเร็วพลางชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างไปบอกนายทหารที่คุมรถม้าด้านหน้า แบมแบมมองอย่างสงสัยและสับสน
" แต่นี้ยังไม่ถึงตัวเมืองหลวงเลยนะ เจ้าจะลงแถวๆ นี้หรอ มันอาจจะอันตรายก็ได้นะถึงจะเป็นกูเรี่ยนก็เถอะ " มือเล็กยึดแขนเข้าไว้เบาๆ แจ็คสันส่งยิ้มให้ เขายังคงยืนยันจะขอลงตรงนี้ แบมแบมเองที่ไม่สามารถห้ามได้ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเป็นห่วง แต่ก็สั่งให้ทหารหยุดรถม้า
" ข้าจำเป็นต้องลงตรงนี้ ถ้ามีโอกาสเราคงพบกันอีก ขอบคุณท่านมากจริงๆ " แจ็คสันพูดพลางกระโดดลงเมื่อรถม้าจอดนิ่งสนิท ขาเล็กรีบสาวเท้าออกห่างจากขบวนรถม้าทันที แบมแบมชะโงกหน้าออกมาโบกมือให้เขาพลางตะโกนเสียงดัง
" ถ้ามันเป็นโชคชะตา เราก็จะได้พบกันอีกครั้ง "
แจ็คสันยิ้มพลางโบกมือตอบกลับไป ร่างขาวมอมแมมวิ่งจากไปจนลับสายตา แบมแบมทำได้แค่มองตามอย่างสงสัยและเป็นกังวลเท่านั้น
ขาเล็กวิ่งมาที่ชายป่าที่เขาเห็นเมื่อซักครู่จากรถม้าของเทรย์เวอร์ ตาคมสอดส่ายมองหาบางอย่าง ใจเต้นระรัวจนเหมือนจะระเบิดออกมา เดินเข้าไปใกล้ก้อนหินใหญ่ที่สูงตระหง่านมีต้นไม้ขึ้นอยู่รอบๆ อย่างหนาแน่น ความรู้สึกนี้ไม่ผิดแน่ ตากลมโตปิดลงก่อนจะเอ่ยเสียงอันแผ่วเบาออกมา
" เซอร์เทรียล "
ทันใดนั้นเงาสีดำขนาดใหญ่ด้านหลังหินนั้นค่อยๆ ออกมาเงียบๆ แรงลมพัดเบาๆ แหวกต้นไม้ด้านบนให้แยกออก แสงจันทร์ส่องลอดเข้ามาพาดผ่านปีกสีดำสนิทที่เก็บไว้ข้างลำตัว เกร็ดนิลที่สว่างจนเหมือนเป็นสีขาวเพราะสะท้อนกระทบกับแสงจันท์ ตากลมสีอ่อนสะท้อนกับแสงจันทร์จนกลายเป็นสีทองสบตากับดวงตาสีทองประกายกร้าวตรงหน้า มันดูอ่อนแรงและอิดโรย แนบลำตัวลงบนผืนหญ้าเย็นเชียบ แจ็คสันตัวแข็งทื่อมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
" ตามมาทำไม "
เสียงสั่นเครือกับน้ำอุ่นที่ไหลลงจากหางตา เขาคิดว่าหนีพ้นทุกสิ่งทุกอย่างจากที่โหดร้ายนั่นมาหมดแล้ว เขาพร้อมจะใช้ชีวิตใหม่ที่นี่ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่ทำไมสัตว์ตัวนี้ถึงยังมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาอีก และในดวงตาของมันเศร้าสร้อยและผิดหวังพอๆ กับดวงตาของเขา เซอร์เทรียลค่อยๆ หลับตาลง ลมหายใจสม่ำเสมอทำให้รู้ว่ามันได้หลับไปเสียแล้ว แจ็คสันรู้ดีว่ามันคงอ่อนแรงเป็นอย่างมากจากการบินข้ามท้องทะเลที่กว้างใหญ่โดยแทบไม่ได้พัก ค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะตามลำตัวที่แห้งผอมจนเห็นแนวกระดูกชัดเจน ถึงเขาจะหวาดกลัวเซอร์เทรียลมากแค่ไหนแต่น่าแปลกที่เขาก็รู้สึกห่วงมันพอๆ กันโดยที่เขาเองก็ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร
" ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะฟังข้ามั้ยแต่อยู่ที่นี่ห้ามออกไปให้คนเห็นนะ เดี๋ยวข้ากลับมา "
ร่างเล็กขอติดรถขนธัญพืชจากชาวบ้านข้างๆ เขาไปในชานเมืองของกูเรี่ยนที่มีผู้คนพลุกพล่าน จากจุดที่เขาเจอกับเซอร์เทรียลมาที่นี่ถือว่าไม่ไกลมากนัก นั่นทำให้เขาค่อนข้างกังวลว่าอาจจะมีใครไปเจอมันเข้าก็ได้ ร่างขาวขยับผมปลอมของตัวเองให้ตรง กล่าวขอบคุณชายที่ใหเขาติดรถมา ก่อนจะกระโดดลงจากรถรีบวิ่งไปตามร้านค้าต่างๆ ในตลาดตัวเมืองเซอร์เทรียลน่าจะอดอาหารมาหลายวัน เขาจำเป็นต้องรีบหาอะไรซักอย่างไปให้มันกินก่อนที่มันจะหิวจนหน้ามืดออกมาอาละวาดกินชาวบ้านของที่นี่ และนั้นก็จะหมายถึงหายนะของมันและของเขาด้วย มือขาวกำถุงเงินที่ซายิดให้ไว้แน่น ตากลมชะเง้อมองร้านรวงมากมายก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปร้านขายปลาสดที่อยู่ไม่ไกล เวลาที่ตกดึกล่วงเลยมาทำให้ตรงแผงลอยไม่ค่อยจะมีปลาสดๆ เหลืออยู่แล้ว เปรยตามองถาดปลาตัวเล็กๆ ที่นอนเรียงรายอยู่อย่างชั่งใจ
" เออ ปลาตรงนั้นราคาเท่าไร "
เอ่ยถามพลางชี้ไปที่ปลาตัวจ้อยสิบกว่าตัวที่ถาดด้านข้าง พ่อค้าหันมามองอย่างไม่ใส่ใจนัก มือหนารวบปลาทั้งหมดมาใส่ในถุงตาข่ายก่อนจะยื่นส่งให้เขาด้วยความรวดเร็ว
" สามเหรียญ ข้าให้หมดถาดนั่นล่ะ " แจ็คสันพยักหน้าขอบคุณก่อนจะส่งเงินให้ รีบคว้าถุงตาข่ายก่อนจะสอดส่ายสายตามองไปที่ร้านค้าเนื้อที่อยู่ใกล้ๆ แจ็คสันมองเนื้อติดซี่โครงชิ้นใหญ่อย่างมีความหวัง รีบวิ่งเข้าไปถามราคากับชายอ้วนที่ยืนเท้าสะเอวอยู่หน้าร้าน
" เออท่าน เนื้อชิ้นนี้เท่าไร "เอ่ยถามพลางชี้ไปที่เนื้อติดซี่โครงที่แขวนอยู่ชิ้นสุดท้ายในร้าน ชายอ้วนมองตาม
" เจ็ดเหรียญ " แจ็คสันคอตก เขาเหลืออยู่แค่ห้าเหรียญเท่านั้น ไม่พอที่จะซื้อเนื้อชิ้นนี้ได้ ระหว่างกำลังใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรดีก็มีแรงสะกิดตัวหัวไหล่ทำให้เขาสะดุ้งรีบหันมามองอย่างตกใจ ตากลมสบกับดวงตาเรียวสีเข้ม ใบหน้าคมที่ตอนแรกเขารู้สึกคุ้นๆ แต่เมื่อสังเกตเห็นใฝสองเม็ดตรงใต้หางคิ้วและเจ้าหมาป่าตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลังคนๆ นี้ทำให้เขาจำได้ทันที
" อ่ะ! ท่านที่ตลาดท่าเรือ แล้วก็จีเซล " แจ็คสันร้องอ้อพลางย่อตัวลงไปทักทายหมาสีเทาป่าข้างๆ เขา แจบอมยิ้มนิดๆ ที่เห็นสีหน้าตื่นเต้นของคนตรงหน้า ตาคมมองปลาในถุงตาข่ายพลางมองไปที่ร้านเนื้อ
" ถ้าเจ้าคิดจะกินคนเดียวทั้งหมดก็ดูกินเยอะอยู่นะ กำลังจะซื้อเนื้อหรอ " แจ็คสันพยักหน้า
" ใช่ แต่ข้าเปลี่ยนใจแล้ว มันค่อนข้างแพงไปสำหรับข้า " แจบอมหัวเราะ มองคนตรงหน้าอย่างสนใจ ตาสีอ่อนที่เมื่อกระทบกับแสงไฟเหมือนจะประกายเป็นสีทองซึ่งตัดกันกับผมสีดำสนิทยิ่งทำให้คนตรงหน้าเขาดูต่างจากคนอื่นๆ ที่เขาพบเจอมา ตาเรียวลอบมองจีเซลที่เริ่มมีอาการอีกครั้ง มันครางหงิงเบาๆ พลางถอยไปอยู่ด้านหลังเขา คิ้วเข้มขมวดอย่างสงสัยเหล่ตามองอีกคนที่หันซ้ายหันขวาไปมา
" ข้าซื้อให้เจ้าเอง " แจบอมเอ่ยขึ้นทำให้แจ็คสันรีบส่ายหน้าไปมา ยกมือขาวมอมแมมขึ้นห้ามทันที
" ไม่ต้องๆ ข้าไม่ต้องการรบกวนท่าน ข้ากำลังจะเปลี่ยนใจไปซื้อผลไม้ข้างๆ แทนอยู่แล้ว " ร่างเล็กพูดรัวเร็วชี้นิ้วเรียวไปที่แผงรถเข็นผลไม้ข้างๆ แจบอมมองตามก่อนจะหัวเราะเบาๆ
" เปลี่ยนจากเนื้อเป็นผลไม้ก็ดีนะ มันดีต่อสุขภาพและราคาย่อมเยา "
แจ็คสันหันไปหาแม่ค้าผลไม้ก่อนจะมองผลไม้ที่แน่นเต็มคันรถ ด้วยความรีบปฏิเสธทำให้เขาชี้ไปที่รถผลไม้นี่โดยไม่ทันคิด โดยลืมไปว่าเซอร์เทรียลเป็นมังกรที่กำลังหิวโซ ไม่ใช่กระต่ายน้อยที่กำลังรอเวลาอาหารเย็น อยากจะใช้กำปั้นเขกหัวกับความเซ่อซ่าของตัวเองแต่พอมาดูราคาก็ต้องช่างใจเพราะถือว่าเขาสามารถซื้อมันได้ในปริมาณที่เยอะพอสมควร ผลสุดท้ายเขาจึงหมดเงินทั้งหมดไปกับปลาตัวเล็กๆ สิบกว่าตัวและแอปเปิ้ลลังใหญ่อีกหนึ่งลัง แจบอมมองคนตรงหน้าที่พยายามถือของอย่างยากลำบาก
" ให้ข้าช่วยมั้ย "
" ไม่ๆ ขอบคุณท่านมาก ข้าไม่รบกวนท่านดีกว่า " บอกปฏิเสธไป แจบอมยักไหล่ก่อนจะปล่อยให้แจ็คสันพยายามประคองทุกอย่างไว้กับตัว
" ข้าชื่อแจบอม เจ้าล่ะ " ชายหนุ่มแนะนำตัวก่อนจะเอ่ยถาม แจ็คสันนิ่งไปครู่นึง ชั่งใจว่าควรจะตอบออกไปมั้ยแต่ก็ตัดสินใจตอบไป
" ข้าชื่อแจ็คสัน "
" ดูเป็นเรื่องบังเอิญที่เราเจอกันตั้งสองครั้งในหนึ่งวันและแถมต่างเมืองอีกด้วย ดูเป็นโชคชะตาดีนะ "
แจบอมพูดหยอกพลางเดินมาข้างๆ เขา แจ็คสันหัวเราะเบาๆ พยายามหาลู่ทางปลีกตัวจากชายคนนี้เพราะมังกรที่กำลังนอนหิวโซอยู่ที่ชายป่าห่างออกไปจากตัวเมืองไม่ไกลนัก แจ็คสันหันมาเผชิญหน้ากับแจบอม ลังแอปเปิ้ลในมือบางหันมากระแทกกับอกเขาเบาๆ ตาคมกลมโตมองเขาอย่างสงสัย
" เออ ท่านมีธุระกับข้าหรือเปล่า " เอ่ยถามออกไปกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้ว่าเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ แต่เซอร์เทรียลทำให้เขาไม่ได้มีเวลามาเอ้อระเหยมากนัก แจบอมยกมือขึ้นแบออกเหมือนจะบอกว่าไม่ได้มีธุระอะไร ทำให้แจ็คสันลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
" งั้นข้าต้องขอตัวก่อน พอดีข้าต้องรีบไป " แจบอมยิ้มมุมปาก ไล่สายตาไปที่ผิวสีดำที่ดูยุ่งเหยิงของคนตรงหน้า
" เจ้าเนี่ยดูยุ่งอยู่ตลอดเวลาเลยนะ ที่อาร์เจนโต้ก็ครั้งนึงแล้ว " แจบอมพูดหยอก มือหนากำลังเอื้อมมือไปสัมผัสเส้นผมสีดำสนิทของอีกคน แจ็คสันตกใจรีบปัดมือร่างสูงออกพลางถอยหลังอย่างลืมตัว จีเซลพุ่งเข้ามาตรงหน้าขวางแจบอมและแจ็คสันเอาไว้ เสียงขู่คำรามทำให้คนอื่นๆที่เดินไปมาหยุดชะงักหันมามองอย่างตกใจ จีเซลแสยะเขี้ยวพร้อมจะเข้าขย้ำคนตรงหน้าแต่แจบอมก็สังเกตุว่ามันกำลังหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ร่างสูงมองอีกคนเขม่งก่อนจะผิวปากเรียกสัตว์คู่กายของตน
" จีเซล มานี่! " เจ้าหมาป่าสีเทารีบถอยไปหาชายหนุ่มทันทีโดยที่ยังคงส่งสายตาดุร้ายมาทางเขา แจ็คสันตกใจมองมาที่แจบอมและจีเซลอย่างระแวง ร่างสูงยิ้มมุมปากโดยไม่ละสายตาจากแจ็คสัน
" ถ้าเป็นเพราะโชคชะตา เราก็จะเจอกันอีก " แจบอมเอ่ยอย่างอารมณ์ดีพลางเดินจากเขาไป เจ้าหมาป่าสีเทามองเขาอย่างระแวงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะรีบตามนายของมันไปจนลับสายตา ร่างขาวถอนหายใจ คนพวกนั่นเป็นใครกันแน่ และสายตาที่แจบอมส่งมาให้ก่อนจะจากไปมันทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจ มันดูลึกลับและไม่รู้ว่าคนๆ นั้นคิดอะไรอยู่ ส่ายศีรษะไปมาไล่ความฟุ้งซ่านในหัวออกไป ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรีบไปที่ชายป่าให้เร็วที่สุด
แต่ระหว่างทางที่เขาจะออกจากตัวเมืองกลับเจอกับทหารม้าสี่ถึงห้านายตัดผ่าน ชาวบ้านต่างหลีกทางให้เมื่อเห็นว่าคนบนม้าด้านหน้า แจ็คสันคิดว่าคงจะเป็นคนสำคัญคนนึงของเมืองนี้ เขาไม่สนใจพยายามจะอ้อมไปอีกทางนึงแต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเพราะเขาดันรีบวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือจนเผลอชนกับชายอีกคนที่รีบวิ่งเข้ามาดูทหารม้า ร่างขาวเซล้มลงกับพื้นอย่างแรงจนลังไม้และถุงตาข่ายปลาหล่นออกจากอ้อมแขน ลูกแอปเปิ้ลหล่นกระจัดกระจายไปทั่ว เสียงโวยวายเล็กน้อยจากคนรอบข้างทำให้ตาคมของคนบนหลังม้าสีน้ำตาลเข้มหันมามองอย่างสงสัย แจ็คสันรีบลุกขึ้นก่อนจะวิ่งเก็บลูกแอปเปิ้ลใส่ลงลังไม้เหมือนเดิม ร่างสูงโปร่งมองลูกแอปเปิ้ลสีแดงสวยที่กลิ้งออกม้าข้างทางใกล้เขาจึงลงจากหลังม้า มือเรียวยาวหยิบมันขึ้นมาก่อนจะเดินไปหาคนที่ใช้นิ้วคีบปลาตัวเล็กๆ ลงในถุงตาข่ายอย่างทุลักทุเล
" เจ้าทำแอปเปิ้ลหล่นมาขวางทางข้า "
พูดอย่างไม่จริงจังพลางยื่นลูกแอปเปิ้ลส่งให้คนตรงหน้า ใบหน้าขาวเงยขึ้นมองก่อนจะสบตากับร่างสูงที่ดูจะชะงักไปเล็กน้อย แจ็คสันตกใจรีบจับผมปลอมของตัวเองแน่น มองคนตรงหน้าอย่างสงสัย
" ขะ……..ขอบคุณ "
น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมาพลางรับแอปเปิ้ลที่ถูกส่งมา ใบหน้าขาวมอมแมมและดวงตากลมโตสีสวยนั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกสะกดอยู่ชั่วขณะ แจ็คสันรีบโยนแอปเปิ้ลลูกสุดท้ายใส่ลังไม้ก่อนจะอุ้มมันไว้ในอ้อแขน มืออีกข้างคว้าถุงตาข่ายใส่ปลาไว้แน่น ลอบมองดวงหน้าคมกับผมสีน้ำตาลเข้ม ควงตาคมสวยมองมาที่เขาทำให้รู้สึกทำตัวไม่ถูก คนตรงหน้าดูน่าจะเป็นพวกขุนนางหรือคนสำคัญของอาณาจักรนี้และเขาก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับคนพวกนี้มากนัก กำลังจะถอยหลังวิ่งแต่กลับโดนมือของอีกคนยึดไว้ที่ข้อศอกเบาๆ หันดวงตากลมกลับไปมองอย่างสงสัย
" เจ้าเลือดออก "
เสียงทุ้มพูดเบาๆ นิ้วเรียวชี้ไปที่หัวเข่าของเขาที่มีแผลถลอกเลือดไหลเปรอะลงมาถึงน่อง แจ็คสันเบ้หน้าลงด้วยความเจ็บ ถ้าคนตรงหน้าไม่บอกเขา เขาก็คงจะยังไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองบาดเจ็บ แต่พอได้เห็นบาดแผลความรู้สึกเจ็บก็เอ่อล้นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ ร่างสูงโปร่งยึดตัวเขาไว้ก่อนจะก้มลงคุกเข่า หยิบผ้าสีขาวสะอาดออกมาพันรอบเข่าของเขาอย่างเบามือจนเสร็จสรรพ ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นยืนพลางมองเขาด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง
" คราวหน้าก็ระวังหน่อยก็ดี " พูดจบร่างสูงโปร่งก็เดินตรงไปที่ม้าพลางขึ้นขี่มันจากไปพร้อมกับนายทหารม้าที่สะบัดบังเหียนตามคนๆ นั้นไปติดๆ ธงสีเลือดหมูและรูปสิงโตตัวผู้สีทองปลิวตามแรงลม แจ็คสันมองตามจนลับสายก่อนจะได้สติ ร่างกระชับของในอ้อมแขนแน่น พยายามวิ่งไปที่ชายป่าแม้จะรู้สึกแสบๆ ที่หัวเข่ามากก็ตาม
เมื่อมาถึงชายป่าเขาได้แต่ภาวนาว่าเซอร์เทรียลยังคงนอนหลับอยู่หลังก้อนหินใหญ่ และก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมันยังคงนอนอยู่ตรงนั้นที่เดิม ขดตัวซ่อนอยู่ในเงาที่มืดมิดของต้นไม้ใหญ่ แจ็คสันเดินเข้าไปใกล้พลางกำลังจะหยิบปลาตัวเล็กในถุงตาข่ายออกมา เจ้ามังกรลืมตาขึ้นทันทีก่อนจะรีบแยกคมเขี้ยวกัดถุงตาข่ายนั่นจนขาดสะบั้นและกินปลาเหล่านั้นหมดในคราวเดียวโดยที่แจ็คสันยังไม่ทันจะหยิบมันออกมาด้วยซ้ำ เจ้ามังกรดำดูยังไม่อิ่มพอ มันขยับหัวสูดกลิ่นปลาไปรอบๆ อย่างกระวนกระวาย แจ็คสันส่ายหน้าถอยห่างจากมันเล็กน้อย
" ไม่มีแล้วเซอร์เทรียล เหลือแต่เจ้านี้ " ร่างเล็กดันลังแอปเปิ้ลมาไว้ตรงหน้าพลางหยิบลูกขึ้นมาลูกหนึ่งส่งให้มัน เซอร์เทรียลค่อยๆ ดมก่อนจะสะบัดหัวหนีลงไปนอนกับพื้นดังเดิม ตากลมโตมองมันอย่างกังวล
" ข้ารู้ว่าเจ้ากินเนื้อ แต่ในเวลาแบบนี้เราไม่มีทางเลือกมากนักหรอก " แจ็คสันพูดกับมันเบาๆ กัดแอปเปิ้ลในมือของตนคำใหญ่ ชิ้นเนื้อแอปเปิ้ลช่วยในเรื่องความหิวของเขาได้ระดับนึง และน้ำหวานจากมันทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ร่างเล็กนั่งกอดเข่ากินแอปเปิ้ลลูกแล้วลูกเล่าไปเรื่อยๆ อย่างเหม่อลอย ข้างเจ้ามังกรดำที่เหลือบตาสีทองสว่างลอบมองเขาเป็นระยะ มันยื่นคอมาดมๆ ลูกสีแดงในลังอีกครั้งก่อนจะเริ่มลองกินบ้าง แจ็คสันยิ้มมองมันอย่างพอใจ เพราะความหิวจนจะตายขนาดไม่มีแรงจะขยับตัว มีอะไรกองอยู่ตรงหน้าก็ต้องกินๆ ไปก่อนซินะ
กับเซอร์เทรียลเขาไม่สามารถควบคุมมันได้ก็จริงแต่มันก็ไม่เคยคิดทำร้ายเขา ยกเว้นแค่ตอนเกิดมาเท่านั้นที่เขาโดนลูกไฟเล็กๆ ของมันเผาเอาที่กลางหลังจนเกิดแผลเป็นมาจนถึงทุกวันนี้ และนั้นก็เป็นเหตุผลที่เขายังคงรู้สึกหวาดกลัวเซอร์เทรียลอยู่ ยังไงมังกรก็คือมังกร เขาไม่เคยไว้ใจมัน พอๆ กับที่มันเองก็ไม่ไว้ใจเขา แจ็คสันเขยิบถอยห่างจากเจ้ามังกรที่กำลังสนใจอยู่แต่กับแอปเปิ้ลตรงหน้าเล็กน้อย เหลือบมองผ้าสีขาวที่พันแผลที่หัวเข่าเขาไว้ คิดถึงใบหน้าของคนๆ นั้นกับสายตาที่เขากลับจดจำมันได้อย่างประหลาด มือขาวลูบผ้าเนื้อนิ่มเบาๆ นิ่งไปซักพักก่อนจะเปรยตามองเจ้ามังกรอย่างหนักใจ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างหยุดไม่อยู่
" จะเอาไงต่อกับชีวิตดีเนี่ย................."
SEVEN ROYALS
มาร์คมองดาวด้านบนที่ส่องแสงริบหรี่ในคืนที่เมฆมากเช่นนี้ สายลมเย็นอ่อนๆ พัดปะทะใบหน้าคม ดวงตาจับจ้องไปที่ทางข้างหน้า ท่ามกลางผู้คนที่มารายล้อมตอนนั้น เขากลับเห็นดวงตากลมที่ดูตื่นตกใจพร้อมกับร่างที่ล้มลงไปพื้น คนๆ นั้นดูสว่างไสวขึ้นมาท่ามกลางความมืดสลัวรอบข้างอย่างน่าประหลาด ดวงตาสีสวยที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งดูไม่เข้ากับผมสีดำสนิทนั่น ปากบางยิ้มเล็กน้อยเมื่อคิดถึงใบหน้าของคนที่พึ่งจะเจอกันเป็นครั้งแรกแต่กลับจดจำได้ดี
' ช่างเถอะ ถ้ามันเป็นโชคชะตา เราคงได้พบกันอีก "
SEVEN ROYALS
___________________________________________________
ฟู่ จบไปอีกหนึ่งตอน ไม่แน่ใจว่าดำเนินเรื่องอืดไปมั้ย จะพยายาม
กระชับให้มากกว่านี้ค่ะ ได้เจอกับพี่ท่านเขาแล้วนะ (ฮูเร่) แถมยังได้
เจอกับน้องมังไปอีก ชีวิตน้องนางช่างยุ่งเหยิงจริงๆ (อุตส่าห์หนีตาย
มาแล้วแท้ ชีวิตหนอ) ถ้ารี้ดจะสังเกต เรามีคำพูดสโลแกนของเรื่องนี้
ด้วยนะคะ เป็นเหมือนคำพูดสุดฮิตของตัวละครในเรื่องเลยล่ะ 55555
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
ทวงฟิค เม้น ติติง ได้ในทวิตนะคะ ติดแท็ก #ฟิค7ตระกูล
ความคิดเห็น