ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] Seven Royals

    ลำดับตอนที่ #3 : Rumour

    • อัปเดตล่าสุด 31 ก.ค. 58








    SEVEN ROYALS

     







     

    " แกร๊ก…." 





     

     

     

    เสียงหักของกิ่งไม้ด้านบนทำให้ชายชราเงยหน้ามองไปยังกลุ่มใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ข้างบน ใบสีเขียวอ่อนจำนวนหนึ่งค่อยๆ ลอยละลิ่วร่อนลงบนพื้นก่อนจะตามด้วยร่างของใครอีกคนที่กระโดดลงมาตรงหน้าทำให้เขาต้องก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย ชายชราถอนหายจะก่อนจะใช้หัวคทาไม้สีเข้มเคาะไปที่กลางกระหม่อมของคนที่พึ่งทิ้งตัวลงมาเสียงดังลั่นป่าพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บ

     

     





    " โอ้ย ท่านราชครู! ข้าเจ็บนะ!!! "






    เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบหัวที่ปกคลุมด้วยผมน้ำตาลอ่อน ตากลมโตสีเดียวกับผมเจ้าตัวถูกส่งสายตาตัดพ้อมาทางชายชรา

     

     





    "เจ็บซิดี ใครใช้ให้พระองค์ปีนขึ้นไปด้านบนกัน ท่านควรจะระวังตัวให้มากกว่านี้มั้ย ท่านแบมแบม "




    เด็กหนุ่มยู่ปากพลางหยิบไม้กายสิทธิ์สีขาวเรียวยาวที่แนบอยู่กับเข็มขัดหนังที่เอวขึ้นมา ปากเล็กพึมพัมภาษาเวทต์ร่ายมนต์ แสงสีฟ้าอ่อนๆ พุ่งออกจากปลายไม้ก่อนจะลอยไปปกคลุมซ่อมแซมกิ่งไม้ที่หักเสียหายมาจากฝีมือของตน

     







    " ข้าแค่กำลังทดสอบเวทย์วายุนิดหน่อยจึงจำเป็นต้องปีนขึ้นไปเหนือยอดไม้ ท่านก็รู้ว่าดินแดนเทรย์เวอร์ของเราถูกปกคลุมด้วยป่าทึบและต้นไม้ที่สูงใหญ่ " แบมแบมพูดพลางยกมือไม้ขึ้นสูงโบกไปมาประกอบให้เห็นภาพตามไปด้วย สร้างความเวียนหัวแก่ชายชราไม่น้อย

     

     




    " เข้าใจแล้วๆ มีอีกสิ่งที่ข้าอยากจะถามท่านมากกว่าว่าท่านได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของเซเว่นรอแยลที่ข้าได้มอบหมายท่านไว้สำเร็จแล้วหรือ ท่านแบมแบม " ชายชราพูดขึ้นพลางก้าวเดินไปตามทางไม้ที่สร้างอยู่บนต้นไม้ ระย้าไม้ดัดโค้งไปตามทางเดินทั้งสองข้างดูสวยงามรับกับใบไม้สีอ่อนที่ร่วงลงมาตามพื้น ชายแก่หยุดยืนที่หน้าประตูใหญ่สวยงามก่อนจะเปิดมันเข้าไปด้านในของต้นไม้ 

     








    "ข้าอ่านหมดแล้วและก็จำข้อความทุกตัวอักษรได้อย่างแม่นยำด้วย "

     

     







    เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมืใจพร้อมกับกระโดดเหย่งๆ ตามชายชราเข้าไปจนชายชราต้องหันมาดุเด็กหนุ่มอีกรอบ

     

     




    " ชาวเทรย์เวอร์เป็นคนสุขุมและเงียบขรึม บางครั้งข้าก็สงสัยไม่หายว่าเหตุใดองค์ชายของพวกเราถึงดูผ่าเหล่าผ่ากอเช่นนี้ "

     







    แบมแบมหัวเราะกับคำพูดของราชครูของตน เขาสาบานว่าได้ยินประโยคเมื่อกี้มาตั้งแต่เล็กๆ ยันเติบโตมาจนขนาดนี้ ขายาวเรียวก้าวไปด้านหน้าโต๊ะทำงานที่ชายชรานั่งลง มือเหี่ยวย่นเปิดหนังสือสีเข้มโบราณเล่มหนาเตอะไปมา

     

     

     

    " บรรยายเกี่ยวกับพวกกูเรี่ยนมาซิ "




    ชายชรากล่าวพลางแตะกาน้ำชาให้รินใส่ถ้วยด้วยตัวมันเองจนเต็มก่อนจะลอยมาหยุดที่มือของเขา เด็กหนุ่มยิ้มหันข้างเดินไปมาอย่างช้าๆ ปากเล็กอิ่มขยับด้วยน้ำเสียงเจื่อยแจ้ว

     







    " มีอำนาจมากที่สุด มีกองกำลังเยอะที่สุด ผู้นำชัยในสงครามครั้งใหญ่เมื่อ80ปีที่แล้ว บ้านเมืองศิวิไล ผู้คนยำเกรงต่อกษัตริย์ของพวกเขาผู้ซึ่งมีความเข้าใจดีในเรื่องการปกครอง" ชายชราพยักหน้า จิบน้ำชาเล็กน้อย

     




    " อาร์เจนโต้ล่ะ "

     






    " เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุด ร่ำรวยเงินทองและของกินของใช้ ผู้คนหลากหลายเชื้อสาย ส่วนมากประกอบอาชีพค้าขาย มองการณ์ไกล ใจกว้างในเรื่องเงินทองและผลประโยชน์ของตนเอง......อืม........ ย้ำว่าของตนเอง " ชายชรายิ้มให้กับคำตอบของลูกศิษย์ 

     

     




    " นั่นคือข้อดีที่จะรักษาผลประโยชน์ต่างๆ ให้แก่ผู้คนในดินแดนของตน และอาร์เจนโต้เขียวชาญในเรื่องนี้กว่าใครๆ และนั่นทำให้พวกเขามีอำนาจในการต่อรองเรื่องต่างๆ ได้สูงกว่าดินแดนอื่นๆ ไหนลองเล่าเกี่ยวกับพวกเราซิ " ชายชรากล่าวพลางปิดหนังสือลง แบมแบมยู่ปากเล็กน้อย

     







    " เหล่าคนที่อาศัยในป่าทึบที่ถนัดด้านการแพทย์และมีราชวงศ์ที่เขี่ยวชาญด้านเวทมนต์  แต่ค่อนข้างรักสันโดษ เก็บตัว และไม่สนใจโลกภายนอก ซึ่งข้าคิดว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อเล็กน้อย " ราชครูเฒ่าส่งสายตาตำหนิลูกศิษย์ เด็กหนุ่มก้มหน้าลงทำปากบึ้งอย่างขัดใจ

     

     



    " ใช่ว่าคนในเทรย์เวอร์ทุกคนจะมีเวทมนต์ นอกจากพลังที่สืบทอดกันในราชนิกูลของท่าน คนทั่วไปก็น้อยนักที่จะมีพลังเวทย์ คนอื่นๆ ถนัดการปรุงยาและรักษามากกว่า หลังจากสงครามครั้งใหญ่ราชวงศ์ของท่านและเหล่าพวกนักเวทย์ทั้งหลายไม่อยากจะเปิดเผยตัวให้เป็นที่จับตาจากอาณาจักรอื่นมากนักหรอก ยิ่งมีสิ่งที่พิเศษมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นอันตรายต่อตนเองมากเท่านั้น " 

     







    เด็กหนุ่มมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ตากลมทอดมองลำแสงสีทองเล็กๆ ที่สาดลอดช่องว่างของต้นไม้จากข้างบนลงมา 

     

     






    " ไม่งั้นก็จะกลายเป็นแบบพวกอลาเทอร์เรียลอย่างนั้นหรอ" ชายชราเหลือบตามองเด็กหนุ่มก่อนจะวางแก้วชาลงอย่างเบามือ ชื่อที่สาปสูญไปแล้วลอยออกมาจากปากองค์ชายของเขาทำให้รู้ว่าเจ้าตัวคงจะมีความสนอกสนใจในเรื่องนี้ไม่น้อย

     

     






    " ก็ไม่ใช่ซะทั้งหมดหรอกนะ พวกอลาเทอร์เรียลนั้นคิดว่าตนมีพลังอำนาจเหนือใครๆ มีมังกรที่น่าเกรงขาม มีพลังเวทย์อันแข็งแกร่งเฉพาะตัว แทบไม่น่าเชื่อว่าจะถูกทำให้ล่มสลายจากคนธรรมดาไร้พลังและ สิ่งเล็กๆ สิ่งเดียว "

     







    ชายชราทิ้งช่วง ตาสีเทาฝ้าฟางเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย แบมแบมมองตามพลางครุ่นคิดกับคำสอนราชครูเฒ่า

     

     





    " สิ่งเล็กๆ นั่นมันคืออะไรหรอท่านผู้เฒ่า " เด็กหนุ่มถามอย่างสงสัย ราชครูเฒ่าสบตากับศิษย์รักตรงหน้าก่อนจะหลับตาลง

     

     







    " ความทะนงตัวเองนั่นไง "

     

     

     

    " ความทะนงตัวเอง? " แบมแบมทวนคำตอบของราชครู แค่สิ่งๆ นี้นะหรือที่ทำลายพวกเขา ชายชราค่อยๆลุกเดินมาข้างๆ เด็กหนุ่ม มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบหัวกลมเบาๆ อย่างเอ็นดู

     

     

    "สิ่งเล็กๆ ที่แสนร้ายกาจ เมื่อท่านเติบโตยิ่งๆ ขึ้นไป ท่านจะเข้าใจเอง " เด็กหนุ่มพยักหน้า มองชายชราที่เป็นทั้งครูและเพื่อนที่ยอดเยี่ยม เป็นผู้สั่งสอนมาตั้งแต่ท่านพ่อและท่านแม่ของตน และเมื่อนึกถึงบุพการีทั้งสองจึงพึ่งนึกบางสิ่งขึ้นมาได้

     

     

    " จริงซิท่านราชครู การประชุมใหญ่ของเซเว่นรอแยลที่สภากลางที่กำลังใกล้เข้ามา ข้าขอร้องเสด็จพ่อให้พาข้าไปด้วยสำเร็จแล้วนะ ข้าจะได้ออกจากเทรย์เวอร์เป็นครั้งแรกในชีวิตเชียว " เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นสุดๆ จนชายชราอดหัวเราะไม่ได้

     

     

    " ใช่ๆ ข้าทราบแล้ว ข้าก็ไม่ห้ามหรอก พระองค์โตพอที่จะได้ไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง นี่จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะให้ท่านได้ไปเรียนรู้ และได้พบกับกษัตริย์ของกูเรี่ยน กษัตริย์ผู้นั้นเป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว "



    ชายชราพูดพลางนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เขาไปที่กูเรี่ยนในงานราชาภิเษกของกษัตริย์องค์ใหม่ ภาพของเด็กหนุ่มบนหลังอาชาตัวใหญ่ ไพร่พลทหารนับหมื่นและธงสีแดงเลือดหมูลายสิงโตสีทองสง่าพริ้วไหวไปตามแรงลม ประชาชนคุกเข่าและกู่ร้องสรรเสริญดังก้องไปทั่วเมือง

     

     

    แบมแบมมองตามราชครูของตนที่นิ่งไป 

     





    " กษัตริย์ที่ครองราชต่อจากพระอัยกาและพระบิดาของพระองค์ ด้วยวัยที่แก่กว่าข้าไม่กี่ปี สามารถสร้างเซเว่นรอแยลเป็นปึกแผ่นและทำให้บ้านเมืองของพระองค์รุ่งเรืองศิวิไลได้ขนาดนั้นก็ต้องน่าสนใจอยู่แล้ว " ชายชรายิ้มถอนหายใจเบาๆ

     

     

     

    " ในตอนนี้ก็ใช่ แต่ในภายภาคหน้านี่ซิน่าสนใจว่าพระองค์จะจัดการกับทรัพยากรมากมายในมือของพระองค์อย่างไรไม่ให้มันย้อนกลับมาทำลายตัวพระองค์เอง ท่านแบมแบมก็สนใจเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ " เด็กหนุ่มยิ้มก่อนจะส่ายหน้า

     

     

     

     " เอาจริงๆ นะ พูดกันตามตรงสิ่งที่ข้าสนใจมากที่สุดตอนนี้คือการได้ออกพ้นชายป่าหนาทึบไปดูโลกข้างนอกเสียที ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลังคงยังไม่สาย ข้าขอตัวก่อนนะท่านราชครู " แบมแบมพูดอย่างร่าเริงก่อนจะกระโดดออกไปนอกหน้าต่างลงไปที่ทางเดินไม้ ชายชราส่ายหน้าให้กับความแสบซนของเจ้าตัว ทอดสายตามองเด็กหนุ่มที่วิ่งไกลออกไปอย่างกังวล

     

     

     

     

     " โลกข้างนอกมันอาจจะสวยงามแบบที่ท่านนึกฝัน แต่มันก็มีความร้ายกาจแบบที่ท่านไม่คิดไม่ฝันเช่นกัน " 

     

     

     






     

    SEVEN ROYALS

     

     




     

     

    " สิบเหรียญ ท่านจะได้แค่สิบเหรียญเท่านั้น" 

     

     

     






    เสียงเด็ดขาดของเด็กหนุ่มแทบจะทำให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าเข่าทรุดลงไปกับพื้น


     

     

     

     

    "  โธ่……ท่านยูคยอม ข้ามีเมียและลูกอีกสี่คนที่ต้องดูแลนะ สิบเหรียญมันจะไปพออะไรกันเล่า " เสียงโวยวายแหบกระด้างทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่าย 

     





    " ถ้าท่านไม่นำเงินส่วนหนึ่งไปเล่นพนันกับพวกนักเลงแถวท่าเรือละก็ สิบเหรียญก็มากเกินพอสำหรับของพวกนี้แล้ว " ยูคคยอมพูดอย่างยานคางพลางชี้นิ้วเรียวยาวไปที่กองสินค้าด้านหลังตน แจกันแตกตั้งหลายใบ กระสอบข้าวมีรอยโดนหนูแทะ ไหนจะผลมะกอกที่เน่าเสียไปหลายลัง เขาไม่สั่งทหารมาซ้อมให้หายหงุดหงิดก็ดีเท่าไรแล้ว ชายคนดังกล่าวมองตามก่อนจะคุกเข่าอ้อนวอนอย่างไม่ยอมแพ้

     

     






    " ได้โปรดเถิดท่านยูคยอม ข้าผิดเองคราวหน้าข้าสัญญาว่าจะไม่ให้สินค้าเสียหายแม้แต่ข้าวเม็ดเดียว ข้าขอร้องล่ะท่าน " ยูคยอมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย มุมปากแอบยิ้มอย่างมีเลศนัย

     

     







    " จะสัญญาด้วยอะไรล่ะ " เด็กหนุ่มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ใช้นิ้วเรียวยาวเกลี่ยเหรียญทองมากมายบนโต๊ะไม้มะฮอกกานีแข็งแรง

     

     

    " เอาเป็นว่าข้าจะเมตตาเจ้า ครั้งนี้ข้าให้เจ้าสามสิบห้าเหรียญ แต่ถ้าเรือของเจ้ามาเทียบท่าคราวหน้าแล้วข้าพบสินค้าเสียหายแม้แต่ข้าวเพียงเม็ดเดียวแล้วละก็ เจ้าจะต้องมอบสินค้าทั้งหมดให้ข้าโดยที่ข้าไม่ต้องเสียให้เจ้าซักแดงเดียว " ชายวัยกลางคนเบิกตากว้างตกใจกับจำนวนเงินที่จะได้และสัญญาแสนโหดในคราวเดียวกัน

     

     






    " ไม่ได้ซักแดงเดียวเลยรึท่าน ตะ..แต่…" ยังไม่ทันพูดจบเด็กหนุ่มยกขาขึ้นมาก่อนจะลงส้นเท้ากระทืบกับโต๊ะตัวใหญ่อย่างแรงจนเหรียญทองกระจายตกพื้นไปบางส่วน ชายวัยกลางคนตกใจรีบใช้มือตะครุบกับปากตนเองทันที มือขาวของเด็กหนุ่มเสยผมสีน้ำตาลขึ้นอย่างขัดใจ ตาคมเหลือบมองคนตรงหน้าเรียบนิ่ง

     

     

     



    " ตกลงมั้ย "

     




    ชายวัยกลางคนรีบพยักหน้าขึ้นลงทันที 

     

     








    " ดีมาก "

     

     






    ยูคยอมพูดอย่างนุ่มนวลพลางโยนถุงเงินให้ มือขาวกวักเรียกทหารให้พาตัวชายตรงหน้าออกไปจากแถว ร่างสูงเพรียวบิดขี้เกียจไปมาก่อนจะลงไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิม ส่งรอยยิ้มแย้มสดใสพร้อมดวงตาสุกสกาว

     

     






     " เอาล่ะ คนต่อไป "

     

     

     

     




    " ยังหน้าเลือดไม่เปลี่ยนเลยนะเจ้าน่ะ " เสียงและสำเนียงอันคุ้นเคยทำให้ยูคยอมต้องเงยหน้ามอง ตาเบิกกว้างอย่างดีใจก่อนจะโผเข้าไปกอดคนตรงหน้าทันที

     

     



    " ท่านพี่ยองแจ! "





     

    ยูคยอมถามอย่างแปลกใจระคนดีใจ เรียกให้ผู้ติดตามมาทำหน้าที่เก็บภาษีและจัดการสินค้าต่อจากตนเอง ร่างสูงโปร่งเดินนำผู้มาใหม่ไปตามทางเดินเลียบท่าเรือ

     

     





    " แปลกใจชะมัดที่เห็นท่านที่นี่แบบนี้ ส่วนมากมีแต่ข้าที่คอยไปเยี่ยมเยียนท่านที่คาเมน " ชายหนุ่มแก้มกลมหัวเราะ 

     

     





    " ไปเยี่ยมเยียนข้าหรือไปเชยชมสาวงามเอาดีๆ ท่านยูคยอม ข้าก็คิดถึงน้องชายต่างเมืองที่แสนขี้งกเท่านั้น " พวกเขาเดินมาจนถึงที่นั่งรับรองกลางแจ้งของเจ้าเมืองอาร์เจนโต้ ผ้าฝ้ายสีม่วงสวยที่ผูกอยู่รอบๆ เพิงที่นั่งพักพริ้วไหวไปตามแรงลม แดดที่ไม่แรงมากบวกกับลมทะเลพัดความสดชื่นและกลิ่นเค็มอ่อนๆ ยองแจทิ้งตัวนั่งบนเบาะขนเป็ดแสนนุ่มโดยมีข้ารับใช้รีบคุกเข่าเข้ามารินน้ำผลไม้หวานเย็นในทันที

     

     







    " มีเรือมาเทียบท่าเยอะขึ้นทุกปีนะ ตลาดในเมืองก็จะดูคึกคักกว่าแต่ก่อนเสียอีก" 

     

     






    " แหงซิ ยิ่งเรือจากกูเรี่ยนและเหล่าคาราวานพ่อค้าจากเมืองของท่านนะ ทำเมืองข้าร่ำรวยเป็นกอบเป็นกำเชียวล่ะ ไหนจะจากพวกมองโกทางฝั่งตะวันออกอีก " ยองแจรู้สึกสะดุดกับประโยคหลังของยูคยอม 

     






    "ตกลงมาหาข้าถึงที่นี่มีเรื่องอะไรรึเปล่า "
     






    เด็กหนุ่มถามอย่างสงสัย ท่านยองแจผู้สำราญอยู่แต่ในวังมีหรือจะดั้นด้นมาหาเขาที่นี่เพราะความคิดถึงเฉยๆ ยองแจถอนหายใจเล็กน้อย

     

     




    " พูดถึงฝั่งตะวันออก เมื่อไม่นานมานี้มาร์คพึ่งมาหาข้าที่คาเมน " ปากเล็กยกน้ำผลไม้ขึ้นมาจิบ ยูคยอมมองอย่างสงสัย 

     

     





    " ก็ไม่แปลกนิ ข้าได้ยินมาว่าเขาไปขู่พวกโลเวลเรื่องกำลังพลเถื่อนตามชายแดนถึงที่  ขากลับจะแวะคาเมนเสพสำราญก่อนก็ดูเป็นวิสัยท่านผู้นั้นอยู่นะ " 

     

     



    ยองแจยิ้มให้กับความคิดเห็นที่มีส่วนถูกอยู่บ้างของเด็กหนุ่มเจ้าเมือง

     





    " ใช่ ไม่แปลกนักหรอกถ้าเขาไม่ถามข้าเกี่ยวกับพวกอลาเทอร์เรียล " พอเขาพูดจบ ยูคยอมดูจะชะงักไปนิดหน่อย ตาคมของเด็กหนุ่มหรี่ลงอย่างครุ่นคิด ยองแจมองปฏิกิริยาของคนข้างๆ อย่างสนใจ

     





    " ทำไมทำหน้าแบบนั้น " เอ่ยถามอย่างสงสัย ยูคยอมยิ้มเอื้อมมือเด็ดองุ่นสีม่วงสวยเม็ดนึงก่อนจะโยนเข้าปาก

     






    "แปลกมากเชียวล่ะ เพราะเมื่อไม่นานมานี่ก็มีคนจากโลเวลผ่านมาที่นี่ได้เอ่ยถามกับพวกชาวเมืองของข้าแบบนี้เช่นกัน" จนถึงตอนนี้บทสนทนาค่อนข้างเงียบงัน อะไรทำให้เกิดความสนใจในเรื่องนี้นัก ยองแจหันไปหายูคยอมอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาจนพวกข้ารับใช้รอบข้างไม่มีทางได้ยิน

     









    " แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง " 

     

     






    " ถ้าข้าบอก ข้าจะได้อะไรตอบแทนหรือ " ยองแจยิ้มมุมปากสบตากับเด็กหนุ่มเจ้าเมืองที่ขึ้นชื่อว่าหน้าเลือดที่สุดในเซเว่นรอแยล

     








    " ไม่แปลกใจว่าทำไมมาร์คถึงขอให้ข้ามา ไม่เคยได้อะไรจากเจ้าฟรีๆ เลยนะไอ้เด็กขี้งก " ยูคยอมหัวเราะเสียงดัง กับเจ้าเมืองคาเมนที่สนิทสนมกันที่สุดผู้นี้ คำด่าประชดประชันมากมายไม่ทำให้เขาถือสาแต่อย่างใด ยองแจดื่มน้ำผลไม้ไปอึกใหญ่ก่อนจะวางแก้วลง

     

    " ความไว้วางใจและความปลอดภัยจากกูเรี่ยนและจากคาเมนที่จะทำเจ้าค้าขายต่อไปอย่างสบายใจไงล่ะ"  

     

    ยูคยอมอมยิ้ม  มาร์คคงรู้อยู่แล้วว่าตัวเขาเห็นแก่ผลประโยชน์ของอาร์เจนโต้เป็นที่หนึ่ง ผลประโยชน์จากกูเรี่ยนเพียงที่เดียวยอมสู้ผลประโยชน์จากทั้งกูเรี่ยนและคาเมนไม่ได้อยู่แล้ว และไม่คงอยากให้อควิลาที่เป็นมิตรใกล้ชิดเข้ามามีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ จึงเลือกให้คาเมนที่มีอำนาจต่อรองพอๆ กันมาแทน และรู้ว่าโดยส่วนตัวท่านยองแจก็สนิทกับเขามาก แถมกำลังทหารของคาเมนก็น้อยกว่าอควิลาทำให้ควบคุมได้ง่ายกว่า ทำให้คาเมนเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าอควิลาเยอะ 

     

     



    เด็กหนุ่มโบกมือให้พวกข้ารับใช้ทั้งหมดออกไปจากบริเวณที่พัก ร่างสูงยาวเอี้ยวตัวเข้ามาใกล้ยองแจมากขึ้น



     

     

    " เมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมา มีเรือสินค้าจากมองโกลลำนึงมาเทียบท่าพร้อมกับข้าวสารหลายตัน ในระหว่างขนย้ายสินค้าออกจากเรือ ชายมองโกลคนนึงเที่ยวเล่าเรื่องแปลกๆ ของเขาไปทั่วแถบท่าเรือ " 

     

     







    " เรื่องแปลกๆ ?" ยองแจเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ 

     










    "ชายคนนั้นเล่าว่า ในคืนที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก ระหว่างเรือของเขาแล่นอยู่กลางมหาสมุทร เขาซึ่งเป็นเวรเฝ้าสังเกตการณ์ที่เสากระโดงเรือได้เห็นเงาใหญ่บนท้องฟ้าทอดผ่านเหนือเรือของพวกเขา พอเขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็นเงาสีดำบินผ่านหายลับไปในก้อนเมฆอย่างรวดเร็ว " ยองแจตั้งใจฟัง รับรู้ได้ถึงมือที่ชื้นเล็กน้อยเพราะเหงื่อ ยูคยอมหยิบองุ่นเข้าปากอีกหนึ่งลูก

     

     













    "จุดที่พวกนั้นบอกคือแถวๆ ทิศใต้ของน่านน้ำบลูดีพเพอร์ซึ่งอยู่ใกล้กับน่านน้ำของอลาเทอร์เรียล

     

     











    "ไม่จริงน่า........"












    ยองแจหลุดเสียงอุทานออกมาเบาๆ ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่น้องชายต่างเมืองตรงหน้าพึ่งเล่ามา ยูคยอมเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะ เปรยตามองแสงที่ส่องกระทบกับผิวน้ำสะท้อนระยิบระยับตรงหน้า

     

     







    " คนในเรือคนอื่นๆ ก็บอกว่าชายคนนั้นขี้เหล้าเพ้อเจ้อไร้สาระ และคงจะเมามายเห็นภาพหลอนไปเอง เพราะไม่มีใครบนเรือจะเห็นแบบที่ชายคนนั้นเล่ามาซักคน " ยองแจถอนหายใจเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายลมพัดให้เส้นผมสีเข้มเกลี่ยข้างแก้มขาว ดวงตาเรียวส่อแววกังวล

     

     




    " แต่ไม่เห็นก็ใช่ว่าจะไม่มีนี่นา " ยูคยอมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย








    "ใช่ ข้าก็เลยสั่งเก็บชายคนนั้นไปแบบเงียบๆ แล้ว คนส่วนมากก็มองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ และข้าก็สั่งห้ามไม่ให้พูดเรื่องนี้เพราะมันเกี่ยวกับความมั่นคง แต่ข่าวลือลอยละลิ่วไปถึงโลเวลกับกูเรี่ยนแบบนี้คงไม่ธรรมดาเท่าไรแล้วล่ะ " 







    "แล้วพวกโลเวลรู้รายละเอียดเรื่องพวกนี้หรือไม่ " คำถามยองแจทำให้ยูคยอมหัวเราะ ยักไหล่เบะปากคว่ำดูน่าหมั่นไส้ไม่น้อย




    " ก็ไม่รู้ซินะ คนของข้าบางคนก็ปากไม่มีหูรูดเสียด้วย " ชายหนุ่มแก้มกลมพอจะเข้าใจสถานการณ์บ้างแล้ว และก็เดาว่ายูคยอมก็คงเข้าใจเช่นกัน






    " มาร์ค
    คงไม่ได้แค่อยากได้ข้อมูลในครั้งแรก ต่อจากนี้เจ้าต้องคอยตามสืบข่าวเกี่ยวกับอลาเทอร์เรียลจากเรือทุกลำที่ผ่านน่านน้ำมา เก็บเป็นความลับและคอยรายงานกูเรี่ยนแต่เพียงผู้เดียว ส่วนคาเมนไม่ต้อง ข้าไม่ต้องการมีส่วนรู้เห็นอะไรมากนัก มันไม่มีผลดีต่อบ้านเมืองข้าเท่าไหร่ ยกเว้นเสียว่าข้าอยากจะรู้เป็นการส่วนตัว ข้าจะมาถามเจ้าเอง " ยองแจพูดราบเรียบก่อนจะลุกขึ้นเดินนำเขาไป ยูคยอมลุกเดินตามไปข้างๆ








    " ท่านเนี่ย ใจดีกับมาร์คจังเลยนะ " เด็กหนุ่มพูดเย้าหยอกคนที่ตนรักดั่งพี่ชายแท้ๆ พวกเขาทั้งสองเดินมาถึงขบวนรถม้าที่มีนายทหารม้าถือธงสีเหลืองลายพิณ สัญลักษณ์ของคาเมน








    " ข้าถือคติใครแข็งแกร่ง ข้าก็อยู่ข้างคนๆนั้น " ปากสีสวยคลี่ยิ้ม ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนรถม้าสีน้ำตาลอ่อน ยูคยอมช่วยจับมืออีกคนส่งขึ้นไป 








    " แต่ท่านพี่ยองแจ ในสงครามน่ะนะ คนประเภทนี้มักตายเป็นพวกแรกๆ ก่อนเลยนะท่าน " สิ้นเสียงยูคยอม มือใหญ่ก็รีบปิดประตูรถม้าทันทีกันคนข้างในมาทำร้ายร่างกายเขา ยองแจได้แต่สบทอย่างหงุดหงิด






    " ไอ้เด็กปากเสียนี่ "







    SEVEN ROYALS







    _____________________________________________________________

    มาต่อยาวๆ แล้วอาจจะหายไปซักแปปนะคะ (พักหายใจหน่อย)
    เปิดตัวกันไปหมดเรียบร้อยทุกผู้ เหลือแต่น้องนางยังไม่ปรากฏโฉม (เดี๋ยวๆ)
    อ่านๆไปแล้วรู้สึกย้อนแย้งตรงไหนก็ให้อภัยเค้าด้วยนะ มือใหม่หัดแต่ง
    แฟนตาซีสงคราม (เล่นของสูงชะมัดเลยเรา) ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
    ทวงฟิค เม้น ด่าทอคนแต่งได้ในทวิต #ฟิค7ตระกูล เจอกันตอนหน้าค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×