คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : สเว็ตเตอร์สีน้ำเงิน
? cactus
##################
ต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะใส่อะไร ฉันก็จะมาอยู่ตรงหน้าเธอเสมอเลยนะ
#############
ทุกคน..ช่วยด้วย
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก
ไรเนอร์!
แอนนี่!
“...."
เสียงกรีดร้องจากชายผู้หงิมเงียบดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ขณะร่างขาดวิ่นในปากไททันเกวียนกระตุกอย่างไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้
เบลทรูท…
เจ้านั่นเรียกฉันอยู่
รอก่อนนะ จะรีบไปช่วยเดี๋ยวนี้
แต่...ขยับไม่ได้
สายลมปะทะบาดแผลจนแสบร้อนไปทั่วร่าง ท้ายที่สุดแล้ว นักรบผู้บาดเจ็บสาหัสถูกพวกพ้องหลบหนีไปจากเขตชิกันชินะ
ครั้นซากชิ้นเนื้อฟื้นคืนกลับมา…เสียงนั้นก็เงียบหายไปนานแล้ว
ราวกับไม่เคยมีอยู่เลย
“…”
แสงอาทิตย์ปลุกเด็กหนุ่มให้ลุกจากเตียงนอน เรื่องราวเหล่านั้นเป็นดั่งความฝันที่มลายหายไปกับรุุ่งสาง เขากระพริบตาปรับภาพโฟกัสอันเรือนลาง พบว่าที่นี่คือโรงพยาบาลเขตบิเบอริโอ้ การโจมตีหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากหอกสายฟ้าทำเอาอวัยวะงอกใหม่ยังสั่นเครือไม่หยุด
ในห้วงอันพร่าเลือนจนแยกความฝันกับความจริงไม่ออก ปลายหางตาสีทองเหลือบไปเห็นร่างสูงนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียงผู้ป่วย
หัวใจเขาอบอุ่นขึ้นมา ราวกับเลือดที่ชาค้างอยู่ในอวัยวะภายในค่อยๆ ละลาย และสูบฉีดไปทั่วร่างกาย
เมื่อมองเห็นภาพเบื้องหน้าได้แจ่มชัด เขารีบหันไปมองด้านข้างด้วยความคาดหวังสุดประมาณ
ทว่า…กลับพบเพียงเก้าอี้ว่างเปล่าเท่านั้น
“ไรเนอร์…นายจะไปไหน?” ซีก เยเกอร์ตัดสินใจเอ่ยถาม
หลังเห็นลูกน้องผู้เพิ่งรอดพ้นความตายหมาดๆ ลากร่างบอบช้ำของตัวเองไปข้างหน้าไม่หยุดด้วยสภาพไร้เรี่ยวแรงอย่างกับซอมบี้ ทั้งถ่อสังขารขึ้นไปยังห้องสมุดที่ชั้นบนสุดของโรงพยาบาล ลงบันไดไปยังสวนด้านล่าง มองซ้ายมองขวาเหมือนตามหาอะไรบางอย่าง…หรือใครบางคน ก่อนมุ่งหน้าต่อไปยังอาคารผู้ป่วยติดเตียง ณ อีกฟากหนึ่งของโรงพยาบาล ไม่แม้แต่จะสังเกตหัวหน้าที่เดินตามมา
“นายรีบกลับไปที่ห้องดีกว่านะ ถ้าผู้พันมากัสมาหาแล้วไม่เจอตัว โทษของนายจะยิ่งหนัก” หลังความพ่ายแพ้ยับเยินที่วอลมาเรีย แม้แต่ซีกเองก็ยังเดาชะตากรรมของตนและไรเนอร์ไม่ออกเช่นกัน
“หมอนั่น อาจอยู่ที่ห้องพ่อของตัวเองก็ได้…” เสียงพึมพำเล็ดลอดออกจากเรียวปากซีดเซียว
“ใคร?”
“เบลทรูท…”
“...” ซีกพ่นควันบุหรี่ สายตาเวทนาทอดมองแผ่นหลังอันอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อแต่เปราะบาง หัวหน้านักรบไททันมาเลย์ไม่ปริปากพูดอะไร แค่เดินทอดน่องตามไปเงียบๆ
ดีเหมือนกัน…จะได้บอกทีเดียว
“ไรเนอร์..เหรอ?”
“....” นักรบหนุ่มพยักหน้าตอบชาววัยกลางโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มวัยกลางคนมีใบหน้าได้รูปคมสรรเหมือนเพื่อนสนิทไม่ผิดเพี้ยน ทว่าโรยรากว่ามากด้วยโรคร้ายที่กัดกินร่างกาย มิสเตอร์ฮูเวอร์ดูโทรมลงจนแทบจำไม่ได้จากเมื่อ 8 ปีก่อนเริ่มภารกิจบุกเกาะสวรรค์ คงเพราะได้แต่นอนป่วยติดเตียงโดยไม่มีลูกชายคอยดูแล แต่ก็ยังพอยิ้มเจือเสียงหัวเราะทักทายคนมาเยี่ยมถึงห้องได้
รอยยิ้มนี่เหมือนของเจ้านั่นรึเปล่านะ
…นึกไม่ออกเลย
ฉันเห็นเบลทรูทยิ้มครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันนะ?
“โตขึ้นเยอะเลยนะ…แทบจำไม่ได้แน่ะ” เสียงแห้งผากอันอบอุ่นเหมือนหัวใจคนพูดถูกส่งมาทักทายจากเตียงคนไข้ ทว่าแววสีเขียวหม่นไหวระริกมองผ่านไปด้านหลังอย่างไม่ปิดบัง มองหาคนที่อยากให้มาเยี่ยมที่สุด แต่กลับพบหัวหน้าลูกชายยืนบอกบุญไม่รับอยู่แทน “สวัสดีครับคุณเยเกอร์ มากันแค่ 2 คนหรือครับ?”
“...”
“ไรเนอร์?" น้ำเสียงชายวัยกลางคนเรื่มสั่นเครือยามหันมาเอ่ยชื่อเพื่อนลูกเป็นนัยคำถาม
สายตา 2 คู่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคับข้องใจสอดประสาน คำถามนั้นไรเนอร์เองก็อยากรู้ที่สุดเช่นกัน ยิ่งความเงียบยึดครองพื้นที่ ความหวาดกลัวก็ยิ่งกัดกินใจทั้งสองจนแทบหายใจไม่ออก
"เบลทรูทล่ะ?"
เสี้ยวนาทีที่ยาวนานเป็นนิรันดร์ ก่อนซีกจะคลี่คลายความสงสัยให้ทั้งสองอย่างเลือดเย็น
“ภารกิจบุกชิงตัวราชาที่เกาะสวรรค์ล้มเหลว
นักรบผู้ถือครองไททันมหึมา เบลทรูท ฮูเวอร์ สละชีวิตในหน้าที่
เสียใจด้วยครับ มิสเตอร์ฮูเวอร์”
###################################
”ไรอัน”
“...”
เสียงเรียกที่อยากได้ยินที่สุด พาผมออกมาจากห้วงภวังค์…
แสงยามเช้าสาดทออีกครั้งบนแม่น้ำสีเทอควอยซ์เหมือนนัยน์ตาเธอ รับกับตึกกระจกแห่งยุคสมัยใหม่เป็นทิวทัศน์ฝั่งตรงข้าม
ผมกลับมาแล้ว นอนเอกขเนกอยู่ ณ สวนปิคนิคแถว Riverwalk (ริมฝั่งแม่น้ำชิคาโก้) ซึ่งเชื่อมต่อไปยังย่านการค้าและสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในดาวน์ทาว เหมาะเป็นแลนมาร์กแรกของทริปสุดสัปดาห์แรกกับเพื่อนสาว ถึงสภาพนายจะไม่เหมือนเดิมเท่าไหร่ แต่เพียงหันไปมองด้านข้าง ก็จะเห็นนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างที่ควรจะเป็น
อุตส่าห์ได้เจอเบธทานี่จนไม่นอนฝันร้ายแล้วแท้ๆ
ดันมาใจลอยนึกถึงความทรงจำพวกนี้ แล้วมันจะมีความหมายอะไรกัน?
“เป็นอะไรรึเปล่า…” สีหน้าของเด็กสาวหม่นหมองตามผม
ก่อนเธอโน้มตัวลงมาใกล้ ลูบหัวปลอบประโลมผมอย่างทะนุถนอม ทำเอาคนนอนอยู่มุมต่ำอดมองเมล่อนสองลูกใต้เสื้อเชิร์ตขาวไม่ได้ ทรวงอกกลมกลึงนั่นแทบจะทับหน้า เจ้าสเว็ตเตอร์สีน้ำเงินตัวเก่งซึ่งควรทำหน้าที่เป็นกันชนก็ดันถูกพับเป็นหมอนนอนเล่นของผมอยู่พอดี ร่างใหม่นายชักจะวิวดีเกินไปแล้ว
ซะที่ไหนล่ะ! นี่มันเบลทรูท มามองเพื่อนด้วยสายตาลามกมันใช้ได้ที่ไหน!! ผมรีบไล่จิตไม่บริสุทธิ์ออกไปจากมโนสำนึก
“ฉัน..ซักผ้ากับเติมแชมพูในล็อกเกอร์ให้แล้ว เพราะงั้น..อย่ากังวลไปเลยนะ”
“...ยังเอาใส่ใจฉันดีเหมือนเดิมเลยนะ” แต่ไม่มีใครเขาหน้าซีดเพราะนึกเรื่องแชมพูหมดขวดกันหรอก ยัยบ๊อง
ผมสบตาอดีตสหายร่วมรบผู้ไร้ความทรงจำนิ่งๆ มากกว่าคำปลอบโยนแสนไร้เดียงสา คือไออุ่นซึ่งส่งผ่านมากับฝ่ามือนุ่มนวล โชคดีเหลือเกินที่ไม่ใช่สัมผัสเย็นเยียบจากร่างไร้วิญญาณ ‘เขา’ ได้รับชีวิตใหม่อยู่ข้างผม เรื่องราวไม่กี่วันที่ผ่านมาไม่ใช่ความฝัน
ผมกอบกุมมือนุ่มละมุนไว้อย่างโหยหาเป็นที่สุด อยากคว้าร่างสูงเข้ามากอดให้เต็มรัก แต่ก็ห้ามใจไว้ทัน
แค่นี้พวงแก้มนั่นก็แดงฉ่า เสียอาการไปหมดแล้ว
“ร..ไรอัน” เด็กสาวเลิ่กลั่ก อ้าปากพะงาบๆ เหมือนอยากถามว่า ‘เป็นอะไร’ ‘จับมือเค้าทำไมม’ แต่ไม่มีเสียงออกมา
“คิกๆ” น่าเอ็นดูชะมัด ผมยันกายลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ได้เวลากลับไปใช้ชีวิตปัจจุบันกับเพื่อนเก่าในร่างใหม่แล้ว หวังว่าสักวัน…ห้วงเวลาที่ตื่นมาเห็นหน้าเบธทานี่จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่รู้สึกปลื้มปริ่มทุกวันอย่างกับคนบ้าอยู่อย่างนี้
“ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจนะเบธ”
“ไรอัน สเว็ตเตอร์ของฉัน?”
“ฉันล่ะไม่อยากคืนให้เธอเล้ย” บ่นไม่บ่นเปล่า ผมพับมันเก็บใส่เป้อย่างเอาแต่ใจ
“เอ๋…”
เสียงหวานงอแง รีบจ้ำอ้าวตามผมไปจนถึงแหล่งชอปปิงย่านเมืองเก่าริมน้ำชื่อดัง Magnificent Mile ตึกทรงยุโรปตั้งเรียงรายช่างเป็นใจให้หวนรำลึกถึงเขตริเบอริโอ ต่างกันแค่ความทันสมัยของทางสัญจร สิ่งก่อสร้างยุคใหม่สอดแทรกสลับอาคารหินอ่อนไปอย่างแนบเนียน ดอกไม้เมืองหนาวริมทางเท้าสีฉูดฉาดแข่งกับป้ายโปรโมชันรับฤดูใบไม้ผลิในร้านเสื้อผ้าบูทีค
ขืนมีเบธทานี่ใส่สเว็ตเตอร์สีน้ำเงินเดินตามในย่านเมืองเก่า ผมคงไม่พ้นใจลอยไปโผล่ที่บ้านเกิดเมื่อชาติก่อนอีกแน่
“เธอเลือกตัวใหม่ที่ชอบสักตัวสิ เอาแบบที่ใส่ได้บ่อยกว่าเจ้าสเว็ตเตอร์นั่นเลย! เดี๋ยวฉันซื้อให้ ตอบแทนเสื้อเมื่อคราวด้วยไง” หนึ่งในข้อความบนกระดาษสี คือเบธทานี่เคยซื้อเสื้อที่ผมไปยืนจ้องบ่อยๆ มาใส่ไว้ตู้เสื้อผ้า
แม้เสื้อนั่น ผมจะจ้องเพราะลายสกรีนมันพิลึก ไม่ใช่เพราะอยากได้ก็เถอะ
“...เข้าใจแล้ว ไรอัน” เด็กดีพยักหน้าหงอยๆ
“เอาน่า ถ้าเลือกได้แล้วจะคืนตัวนี้ให้นะ”
พวกเราเดินเคียงข้างกันไปตามถนนชอปปิง เลือกดูเสื้อผ้าบ้าง ซื้อสตรีทฟู้ดกินเล่นบ้าง เผลอเมื่อไร เบธทานี่จะเผลอเดินถอยร่นไปข้างหลังผมเล็กน้อยเสมอ จนผมต้องเดินช้าลง แล้วโอบไหล่บางไว้ตลอดเวลา กลัวเหลือเกินว่าหากหันกลับมาอีกครั้ง แล้วเด็กสาวจะหายวับไปท่ามกลางทัศนียภาพอันคุ้นเคย
ผมควงร่างระหงเข้าร้านเสื้อผ้าบูทีคที่พวกสาวๆ เชียร์หลีดเดอร์แนะนำมาหลายร้าน นั่งดูพนักงานเลือกเสื้อผ้าให้เด็กสาวอยู่หลายตัว เสื้อคลุมหนังเก๋ๆ เสื้อไหมพรมพองน่ารัก กระทั่งเดรสสั้นเผยเนินอกและเรียวขาที่เจ้าหล่อนบิดกระมิดกระเมี้ยนหลังม่านตั้งนานกว่าจะให้ดู จะตัวไหนก็สวยแจ่มจนกระเป๋าตังค์สั่น อยากซื้อให้หมดเลย
แต่ไม่ว่าร้านไหน เบธทานี่ก็ยังเอาแต่จ้องเสื้อตัวเก่งตาละห้อยไม่หยุด
“นี่ ชอบสเว็ตเตอร์สีน้ำเงินมากจริงๆ สินะ?” ผมนั่งยอมแพ้อยู่บนม้านั่งริมทาง เดินจนสุดถนน Magnificent Mile ก็ยังไม่ได้ถุงชอปปิงสักใบ นายเป็นผู้หญิงยังไงกันนะ?
“...” เบธทานี่กดคางลงแทนคำตอบ พลางนั่งลงข้างๆ
“คุณพ่อให้มางั้นหรอ?” ผมพ่นการเดาสุ่มออก สเว็ตเตอร์สีน้ำเงินของเบลทรูทตัวนั้น มิสเตอร์ฮูเวอร์ก็เป็นคนให้มาเหมือนกัน จนแล้วจนรอด ดูเหมือนฉันยังมูฟออนจากความทรงจำเมื่อเช้าไม่ได้อยู่ดี…
เบธทานี่ส่ายหน้าดิก แหงล่ะ..มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น
“วันที่ฉันเห็นไรอันครั้งแรก ล..แล้วตกหลุมรัก ฉันก็ใส่เสื้อตัวนั้นอยู่น่ะ..” เด็กสาวซ่อนแก้มซับสีไว้หลังผมยาวสยาย
หัวใจผมกระตุก หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาแว็บหนึ่ง หมอนี่! ทีชาตินี้พูดว่า ‘ตกหลุมรัก’ ออกมาได้เต็มปากเต็มคำเชียวนะ ทีตอนแอนนี่ล่ะปฏิเสธเสียงแข็งอยู่นั่น!
“ตั้งแต่วันนั้น ฉันรู้สึกเหมือนสเว็ตเตอร์สีน้ำเงินเป็นเครื่องรางนำโชค เวลาที่ใส่มัน ไรอันจะมาอยู่ตรงหน้าฉัน อะไรแบบนั้นน่ะ” เธอหันหน้าหนี แต่ก็ซ่อนใบหูที่แดงฉ่าไว้ไม่มิด กระทั่งเจ้าตัวก็กระอักกระอ่วนกับสิ่งที่เพิ่งพูดออกมา “...ไร้สาระใช่ไหม?”
“...”
ถ้าฉันไม่มีความทรงจำคงคิดว่า ‘น่ารักดี’ ไม่ต้องเจ็บแปล๊บเพราะแผลในใจถูกกรีดออกซ้ำแบบนี้รึเปล่านะ
มันไร้สาระจริงๆ นั่นแหละ เพราะในวันสุดท้ายที่เขตชิกันชินะ นายก็ใส่สเว็ตเตอร์สีน้ำเงินอยู่
ถึงจะร้องตะโกนเรียกจนตายไปพร้อมกับชื่อฉัน ฉันก็ไปอยู่ตรงหน้านายไม่ได้อยู่ดี
ผมมองสาวน้อยตรงหน้าด้วยสายตาเวทนา มือหนารวบตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่นอย่างไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ ทั้งอยากปลอบประโลมเศษเสี้ยวดวงวิญญาณในร่างบอบบางนี้ ทั้งอยากให้ไออุ่นจากกายเธอช่วยเยียวยาบาดแผลของผมเองไปพร้อมกัน
“ไม่จริงหรอก คืนนั้นที่ฉันคว้าตัวเธอไว้ได้ เธอก็ไม่ได้ใส่สเว็ตเตอร์สีน้ำเงินไม่ใช่หรอ” แต่จะอยู่กับอดีตไปตลอดไม่ได้ ทีละเล็ก..ทีละน้อย ผมอยากก้าวไปข้างหน้ากับเด็กสาวคนนี้ ผมเลื่อนนิ้วขึ้นมาเลื่อนไรผิวสีดำยาวสยายไปทัดใบหู จ้องมองใบหน้านั้นชัดๆ ด้วยรอยยิ้มเจิดจรัสที่สุดเท่าที่คนหัวใจบอบช้ำจะสร้างขึ้นมาได้ “ต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะใส่อะไร ฉันก็จะมาอยู่ตรงหน้าเธอเสมอเลยนะ”
“...” แม้จะฟังดูเป็นแค่คำพูดเอาแต่เท่ก็ไม่เป็นไร มันทำให้มือนุ่มนวลเลื่อนขึ้นมาทาบทับบนมือผม ริมฝีปากบางคลี่ออกกว้าง แววตาสีเขียวหม่นเทาส่องประกาย เป็นสัญญาณว่าดีใจมากแค่ไหน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
รอยยิ้มที่ไม่เคยนึกออกในชาติก่อน มันสวยขนาดนี้เลยสินะ…
ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้อีกนิดโดยไม่รู้ตัว อยากเห็นชัดขึ้นอีก ประทับไว้ในความทรงจำนี้
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
“เสียงหัวใจเต้นดังชะมัด..” ดังจนฉันเกือบหลุดขำพรืดออกมา
“ก..ก็ มันช่วยไม่ได้ไม่ใช่หรอ” เบธทานี่ระล้ำระลักถ้อยคำออกมาแข่งกับเสียงหัวใจ ทำหน้าเหมือนมีเรื่องอยากพูด (บ่น) ผมเยอะแยะ แต่ก็กลั่นถ้อยคำออกมาได้เพียงเท่านั้น
เธอช้อนตามองผมทั้งที่ตัวยังจมอยู่ในกล้ามอก แววตาไหวระริก สะท้อนคำอ้อนวอนให้ปราณีเธอบ้าง โดยปราศจากเรี่ยวแรงดิ้นขัดขืนหรือผละออกไป
“ฮะฮะ ช่วยไม่ได้งั้นสินะ” เบลทรูทกลายเป็นผู้หญิงไปแล้วนี่นะ ทั้งเรื่องสกินชิพ เรื่องชอบเอาแต่ใจกับหมอนี่ คงต้องหัดเพลาๆ ลงบ้าง แต่ให้ปล่อยเธอจากอ้อมกอด หรือหยุดมองสบตาเธอตอนนี้ ก็ยังยากเกินไปสำหรับผมอยู่ดี
“แม่! พี่ชายกับพี่สาวตรงนั้นกำลังจะจูบกันใช่ไหมฮะ?”
“!?”
กลางย่านการค้า เสียงเด็กน้อยขี้สงสัยที่ไหนสักแห่งดังมาจากด้านหลังจนเราสะดุ้งแทบจะพร้อมกัน เบธทานี่เขินจนรีบซุกหน้าแดงฉ่าลงกับแผงอกกว้างเหมือนตัวตุ่นมุดรูหนี ในขณะที่ผมหันขวับไปหาทันควัน
“อย่าไปมองเขาสิลูก! ขอโทษนะคะ เชิญต่อเลยค่ะ!” หญิงสาวรีบคว้ามือลูกชายเดินปรี่ออกไป
ต่งต่ออะไรกันล่ะคุณนาย ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย!
จริงๆ นะ…
##############
คุยกับคนเขียน
ขอบคุณสำหรับเสียงตอบรับนะคะ
ตอนนี้อาจจะเอ้อระเหยหน่อย
แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันนะค้า TwT
เม้าท์มอยติชมในเม้นได้นะงับ
#################
ความคิดเห็น