ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [AOT / SNK] แด่เธอในอีก 2,000 ปีข้างหน้า...จากไททันเกราะ

    ลำดับตอนที่ #3 : ถึงคนเคยรู้จักกัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 83
      3
      13 มิ.ย. 65


    ? cactus

    ####################

    ขอร้องล่ะ ใครก็ได้!

    ครั้งนี้ช่วยได้ยินเสียงของฉันหน่อยเถอะนะ!

    ####################

              “ยังไม่มีข่าวคราวจากเขาเลยเหรอครับ? ”

             น้ำเสียงอาจารย์มหาวิทยาลัย UIC ฟังดูกระวนกระวาย หลังได้ยินคำตอบปฏิเสธแบบเดิมซ้ำอีกครั้งจากสนามรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ‘Campanula house’ แห่งเมืองสปริงฟิลด์ที่อยู่ถัดไปจากที่ทำงานไปเพียงไม่กี่ไมล์

              บ้านเด็กกำพร้าหลังเก่าที่อาจารย์เติบโตมาเต็มไปด้วยความอบอุ่น เปลี่ยวเหงา และการจากลาซ้ำเล่าระคนกัน ทุกครั้งที่มีคนเดินออกจากประตูบ้านไป ราวกับออกจากชีวิตใครคนหนึ่งไปด้วย แม้มีคนที่โหยหา ก็ไม่อาจคิดคาดหวังการกลับมาพบกันอีก

              แต่สถานการณ์เปลี่ยนไป…วันนี้อาจารย์ต้องการพบใครคนนั้นมากกว่าใคร

              แม้โอกาสจะเลือนรางจนมองไม่เห็นก็ตาม

              ยอมแพ้ซะเถอะ ‘บอท’ อย่างที่เคยบอก หลังออกจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ก็มีไม่กี่คนหรอกที่ติดต่อกลับมา’ เสียงเข้มของชายวัยกลางคนผู้ดูแลสถานรับเลี้ยงยืนยันความสิ้นหวังฝังลึกถึงดวงวิญญาณ

              “แต่..คุณสนิทกับเขาไม่ใช่เหรอครับ? ถ้าวันไหนได้รับการติดต่อ ได้โปรดบอกผมด้วยเถอะครับ ขอร้องล่ะครับ ”

                   ‘...บอท ’ ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งด้วยความสงสัย ‘ฉันตอบเหมือนทุกครั้งที่ถามนานๆ ครั้งนั่นแหละ นายก็ไม่ได้คาดหวัง               อะไร ทำไมครั้งนี้ร้อนรนนักล่ะ? ’

              เพราะผมเจอไรเนอร์กับเบลทรูทอีกครั้ง…

              ชายหนุ่มกลืนเหตุผลนั้นลงคอ ก่อนซับเหงื่อบนใบหน้าตกกระและลูบขนแขนที่ลุกชันให้สงบลง ครั้งล่าสุดที่เผชิญหน้ากับทั้งสอง มันจบด้วยความทรมานจนลมหายใจสุดท้ายถูกกัดกินจนตาย แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานจนโลกเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิม แต่ความทรงจำที่คั่งค้างยังทำให้ร่างกายสั่นสะท้านราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

              ภาพเฟรชชี่ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปตามระเบียงทางเดินยังติดตา

              ถ้าอยู่ด้วยกันแบบนั้น ทั้งคู่อาจยังมีความทรงจำก็ได้?

              ความกระอักกระอ่วนใจแผ่ขยายอยู่เต็มอก เขาอยากพูดคุยเรื่องราวที่ขาดหายไปเมื่อสองพันปีก่อนกับใครสักคนมาตลอด การเกิดมาบนโลกใบนี้เพียงลำพังโดยแบกรับความเจ็บปวดจากสงครามที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ และไม่อาจระบายให้ใครฟังได้กัดกินหัวใจมานาน แต่ความเจ็บปวดที่ฝังลึกในทุกอณู ทำให้ร่างกายปฏิเสธที่จะเจรจากับอดีตอาชญากรอีกครั้ง แค่คิดก็สั่นไปหมด

              ทั้งวันที่เอเรนอุดกำแพงวันนั้น ทั้งเช้าวันนี้…

              ถ้ามี ‘เขา’ อยู่ด้วย จะมีอะไรเปลี่ยนไปไหม?

              เข้าใจล่ะ ถ้าเขาติดต่อกลับมา ฉันจะบอกนายคนแรกก็แล้วกัน’

              “...ขอบคุณครับ”

              คำสัญญาเลื่อนลอยทำให้น้ำเสียงแห้งผากแช่มชื่นขึ้นได้เล็กน้อยก่อนวางสาย

              ชายหนุ่มเอนแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ในห้องพักอาจารย์อย่างหมดอาลัยตายอยาก ชาติที่แล้วเขาเกิดมาในครอบครัวขุนนางแห่งวอลซีน่า แต่ชาตินี้กลับถูกทิ้งไว้ในสถานรับเลี้ยงเด็กตั้งแต่จำความได้ เบาะแสถึงมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น และรู้ตัวอีกทีก็เผลอนำมันออกจากลิ้นชักมาปัดฝุ่น เขาจับจ้องกระดาษโน้ตชิ้นน้อยอยู่เช่นนั้น แม้มันจะเก่าจนเหลืองกรอบแต่ก็ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี เนื้อความในกระดาษทิ้งไว้เพียงความสงสัย…

    ‘เด็กคนนี้ชื่อ ‘มาโก้ บอท’ ครับ

    ช่วยดูแลเขาอย่างดีทีเถอะนะครับ’

              ใครก็ตามที่เป็นคนเขียนกระดาษแผ่นนี้ต้องมีความทรงจำในชาติก่อนเหมือนกันแน่นอน รู้จักชื่อในอดีตของเขา แถมเขียนบอกกับเจ้าหน้าที่ของ ‘Campanula house’ ทิ้งเอาไว้ก่อนจากไป..จนชื่ออดีตทหารฝึกหัดผู้เสียชีวิตในหน้าที่ข้ามผ่านกาลเวลา 2000 ปี กลับมากลายเป็นชื่ออาจารย์มหาวิทยาลัยท่านนี้อีกครั้ง


              เจ้าของกระดาษโน้ตนี้คือใครกัน? ตอนนี้อยู่ที่ไหนในโลกกันนะ?

              ขอร้องล่ะ ถึงใครสักคนที่เคยรู้จักฉัน ช่วยติดต่อกลับมาหน่อยเถอะ


              ใครก็ได้…ใครก็ได้

              เขาวิงวอนอยู่ในใจเพียงลำพังท่ามกลางห้องแสนว่างเปล่า จากความทรงจำสุดท้ายในชาติก่อน…มาโก้ไม่กล้าคาดหวังให้ใครได้ยิน


    ..................................................


              “อืม...” ร่างใหญ่หลี่ตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ

              เงาท่านอนประหลาดที่แสนคุ้นเคยปรากฏอยู่ไม่ไกล ขายาวสองข้างคุกเข่าอยู่บนแนวขวางของฟูก ขณะท่อนบนตลบม้วนเป็นท่าสะพานโค้งและชูมือขึ้น ตัวโผล่พ้นเตียงออกไปเสีย 80% หัวจรดพื้นตามแรงโน้มถ่วง เพียงทิ้งน้ำหนักลงไปอีกสักหน่อยก็เพียงพอให้คอหักตาย หนุ่มหน้ามนคนนอนท่ายากยังหลับสบายดีอย่างทุกครั้ง แต่ภาพนั้นน่าหวาดเสียวเกินไปสำหรับรูมเมท

              ท่านอนนายนี่มัน...

              ชายผมบรอนด์ลุกขึ้นเดินงัวเงียไปยังเตียงอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ก่อนจัดท่าทางเพื่อนสนิทให้นอนหงายตามแนวระนาบเตียงเหมือนมนุษย์มนา โดยไม่ลืมที่จะใช้ผ้าห่มม้วนร่างนั้นไว้เหมือนข้าวห่อสาหร่าย เซ็ตท่านอนอีกฝ่ายให้อยู่ตัวเพื่อความปลอดภัย

              แต่ก็ยังเป็นน่าห่วงอยู่ดี...

              การนอนของเบลทรูทเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ หนุ่มกล้ามโตจึงตัดสินใจหิ้วเจ้าซูชิโรลม้วนใหญ่ไปวางไว้ลงกับเตียงตัวเอง ลงเอยด้วยการนอนกอดไว้แน่นแทนหมอนข้างจนดิ้นพล่านหนีไปไหนไม่ได้อีก


              นาฬิกาข้างหัวเตียงบอกเวลาบ่าย 2 แสงแดดส่องทะลุผ่านม่านสว่างจ้า

              มันควรจะเพียงพอแล้วสำหรับคนเริ่มนอนตอนพระอาทิตย์ขึ้น ผมง้างเปลือกตาขึ้นอย่างยากเย็นเพราะเมื่อคืนร้องไห้ไปมากพอดู แต่มันคุ้มค่า..นี่เป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่ได้หลับสบาย แม้จะยังฝันเห็นเบลทรูทอยู่เลือนราง ทว่าความทรมานกลับเจือจางลงไป ประกอบกับอากาศเย็น 16 องศาจากสายลมฤดูใบไม้ผลิริมฝั่งทะเลสาบมิชิแกน ต้นไวท์แอชเริ่มดอกให้เห็นผ่านหน้าต่าง และผ้าห่มอบอุ่นหลังตากลมหนาวมาทั้งคืน ทำให้ผมไม่อยากลุกจากเตียง

              ยิ่งมีคนให้กอดด้วยยิ่งแล้วใหญ่…

              ...

              ดี๋ยวนะ ผมเลิกคิ้วขึ้น ไล้สายตาไปตามเรือนผมสีดำ โครงหน้ายาวเล็กน้อย ลำคอเรียวระหงจรดเนินอกเอิบอิ่มคับร่างบางระหง สาวละตินหลับขี้เซาอยู่ในม้วนผ้าทำเอาเจ้าสมองพร่าเบลอของผมสับสวิตช์ตื่นฉับพลัน!


              “เบธ ทำไมเธอมานอนอยู่ในห้องฉัน? ”

              “งืม..” สาวเจ้างัวเงียลุกขึ้นมานั่งในเสื้อฮูดตัวเดิม

              นั่นไม่ใช่ความฝัน เบธานี่แอบเข้ามานอนบนเตียงที่ว่างอยู่ คงเพราะสนามอารมณ์ย่อมๆ เมื่อคืน ทำให้ผมละเมอมองเห็นผู้บุกรุกซ้อนทับกับเพื่อนในชาติก่อนเสียดื้อๆ นานทีเดียวกว่าจะเลิกเมาขี้ตาแล้วลุกขึ้นมายิงคำถามใส่เธอได้แบบนี้

              “ ฉัน..เป็นห่วงไรอันน่ะ..” เบธช้อนตามองอย่างสำนึกผิดเหมือนหมาตัวใหญ่ ก่อนเงื้อมือมาสัมผัสเปลือกเปลือกตาบวมช้ำของผมอย่างทะนุถนอม พอให้อนุมานได้ว่าเป็นห่วงเรื่องที่ผมร้องไห้อย่างหมดจิตหมดใจต่อหน้าเธอเมื่อคืน “ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง? ”

              “ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เมื่อเช้าได้นอนจนเต็มอิ่ม รู้สึกดีที่สุดในรอบหลายวันเลย” อารมณ์หงุดหงิดที่ถูกรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวเฟดหายไปจากมโนสำนึกเสียดื้อๆ แค่เพราะคำพูดนั้น ผมหลับตาพริ้มให้หญิงสาวสัมผัสตามสะดวกพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะเมื่อคืนลืมยึดกุญแจผีจากสตอล์กเกอร์ หรือลืมบ่นเรื่องเจ้าหล่อนแอบเข้าห้องคนอื่นง่ายๆ หรือหมดคำพูดกับตัวเองที่ดันมาหัวใจพองฟูกับสัมผัสอ่อนโยนนี่...คิดดูแล้วคงเป็นทุกข้อระคนกัน

              “...ค่อยยังชั่วหน่อย” เส้นโค้งเล็กๆ ผุดพรายขึ้นบนเรียวปากบางแต่ดูนุ่มนิ่ม

              พอเห็นรอยยิ้มเธอ ผมก็เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว

              ท่ามกลางไฟสงครามเมื่อสองพันปีก่อน ความสุขเพียงไม่กี่อย่างของผมคือความห่วงใยน้อยๆ จากคู่หู นิ้วเย็นละมุนที่ประทับลงบนเปลือกตารู้สึกดีมาก ดีจนเรื่องยึดกุญแจผีจากเบธเริ่มมลายหายไปจากมโนสำนึก

              “เบธ..เธอมานอนเตียงว่างนั่นไม่หนาวหรอ? ” เบลทรูทนอนได้ทุกที่ ทุกสภาพ ทุกอิริยาบถ แต่ร่างเกิดใหม่นี้ดูแตกต่างจากเดิมมากจนเผลอถามออกไป “ฉันเปิดเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิไม่สูงนักหรอกนะ เอาแค่พอไม่หนาวตายเพราะอยากกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญได้ดี เธอนอนได้เหรอ? ”

              “...” เจ้าหล่อนพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนเอื้อมหยิบม้วนผ้าห่มนุ่มมากอดแน่น แย้มรอยบนริมฝีปากระเรื่อทำให้แววตาสีเขียวหม่นหลี่ลงน่าเอ็นดู เพียงไม่ถึงนาที แต่มันยาวนานเหมือนเป็นนิรันดร์สำหรับผม “ไรอันช่วยทำให้ฉันอบอุ่นน่ะ ขอบใจนะ”

              “อ..เออ” หมายถึงเรื่องผ้าห่มใช่ไหม..ใช่ไหม? “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง”

              เบธานี่วางแก้มนวมนุ่มพลางช้อนตามองผม ให้ตาย..อย่ามาอ้อนนะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อุ่นสักหน่อย เลิกมองมาแล้วยิ้มแบบนั้นสักทีเถอะ ในอกมันเต็มตื้นไปหมดแล้ว

              เธอจะเก็บกุญแจผีห้องนี้ไว้นานแค่ไหนก็ตามสบายเลย…

              ผมได้ยินเสียงกระซิบจากห้วงความคิดตัวเอง เธอคือเบลทรูท แม้มีจุดเปลี่ยนไป แม้ไม่มีความทรงจำ แม้เพิ่งได้พูดคุยกันเมื่อคืนก็ตาม แต่ส่วนใดส่วนหนึ่งของผมยังยืนยันหนักแน่นว่าไว้ใจคนตรงหน้านี้ได้เสมอ ไม่ว่าปรากฏตัวในฐานะอะไรก็ตาม

              ผมคิดถึงยามเช้าที่ตื่นขึ้นมาเห็นท่านอนประหลาดนั่นเป็นอย่างแรก

              …คิดถึงการนอนอยู่ข้าง ‘หมอนั่น’ อย่างหมดใจจริงๆ


    ......................................


              “แกจะบ้าเรอะ!? ”

              เจฟฟรีย์โพล่งออกมาทันทีที่ฟังยุทธการเคลียร์กับสตอล์กเกอร์ของผมจบ แค่เฉพาะส่วนที่เล่าได้ก็เรียกเสียงโวยวายจนคนรอบโต๊ะกลมร้านฟาสฟู้ดหันมามอง โชคดีที่เจ้านั่นรู้ตัวแล้วยอมลดเสียงลง “นั่นมันอาชญากรรมแล้ว! หล่อนทำได้กระทั่งเข้าห้องแกโดยที่แกไม่รู้ตัวเลย ไม่อยากเชื่อเลยว่ายังปล่อยให้มาป้วนเปี้ยนรอบๆ อยู่อีก ลืมแล้วรึไงว่ายัยนั่นทำแกประสาทจะกินอยู่เป็นสัปดาห์น่ะห้ะ ไรอัน”

              “นายคิดไปเอง” ผมตอบหน้ามึนเสียงหนักแน่น หางตาชำเลืองไปยังประตูร้านตลอดเวลา หวังว่าคนที่นัดไว้จะไม่เข้ามาประจวบเหมาะได้ยินว่าตัวเองก่อปัญหาให้ผมอย่างไรบ้าง แค่คิด ภาพเบธานี่นั่งกอดเข่า ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็ลอยขึ้นมาในหัวแล้ว “ฉันไม่ได้ประสาทเสียขนาดนั้น แล้วเธอก็ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงสักหน่อย”

              “ฮัลโหลล ที่นี่ USA นะเฟ้ย ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลผิดกฎหมายทุกรัฐ”

              มันไม่ผิดกฎหมายในเขตริเบอริโอ้ บอกว่ารับได้ก็คือรับได้สิน่า

              ผมรับได้…จริงๆ นะ

              “เรื่องนั้นก็เข้าใจอยู่หรอก...” ผมตอบพลางมองประตูไปด้วย หลังแยกกัน ผมให้เพื่อนเก่าในร่างใหม่กลับห้องตัวเองไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนัดมากินข้าวเพื่อแนะนำให้รู้จัก ‘เจฟรี่ย์ เจ. เฮอร์เน็ต’ เพื่อนคนแรกของผมสมัยเรียนไฮน์สกูล ตอนนี้พ่วงตำแหน่งเพื่อนในมหาลัยกับคู่หูประจำทีมฟุตบอล “ฉันคุยกับเธอแล้ว คิดว่าเธอคบได้ หลังจากนี้ตั้งใจจะชวนไปไหนมาไหนด้วยกัน เลยอยากแนะนำให้นายรู้จักไว้น่ะ”

              “...เอาจริงดิ” เจ้าของผิวสีเข้มเคี้ยวเฟรนช์ฟรายส์ไป เลิกคิ้วใส่ผมไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่หลังจ้องแววตาจริงจังของผมอยู่ไม่กี่อึดใจก็ยอมยักไหล่ ทำเป็นไม่ใส่ใจอย่างเสียไม่ได้ “เฮ้ออ รู้แล้วๆ เอาก็เอา”

              “ฉันรู้นายต้องเข้าใจ” ผมคลี่ยิ้มออกมาพลางยื่นมือไปเตรียมชนหมัดอย่างที่บัดดี้ที่นี่ชอบทำกัน

              “ไม่ ไม่เข้าใจเฟ้ย!” เจฟโพล่งออกมาพลางเกาหัวแกร่กแกร่ก แต่ก็ยอมชนหมัดตอบ “เฮ้อออ ช่างมัน ถ้านายว่างั้น ฉันก็รับได้ เพื่อนนายก็คือเพื่อนฉันนั่นแหละ”

              ผมพ่นลมหายใจทั้งรอยยิ้ม เจฟเป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับโลกปัจจุบัน พวกเราไม่เคยผ่านสงครามมาด้วยกัน แต่การมีเขาอยู่รอบๆ ทำให้ผมปรับตัวได้ง่ายขึ้นแม้จะถูกอดีตมาตามหลอกหลอนก็ตาม ผมอาจผูกพันกับเบธานี่ที่เพิ่งรู้จักกันคืนเดียวมากกว่าเพราะดวงวิญญาณที่คุ้นเคย แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่อยากตัดความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นใหม่เช่นกัน



              “เบธานี่ มานี่สิ” ผมจำสาวน้อยผู้แอบชะโงกหน้ามาดูอยู่หลังประตูทางเข้าได้แทบจะทันที ร่างสูงระหงปล่อยผมยาวประบ่า สวมเสื้อคอปกขาว คลุมทับด้วยสเว็ตเตอร์สีน้ำเงินสกรีนชื่อมหาวิทยาลัยกับกางเกงสีน้ำตาล เหมือนภาพทรงจำจนลมหายใจสะดุด การแต่งตัวนั่นน่าคิดถึงซะจริงๆ ผมลากเก้าอี้ให้และชวนเธอนั่งทันทีที่ได้สติ “นี่เจฟ อยู่ทีมฟุตบอลเดียวกับฉันเอง”

              “ไง” หนุ่มผิวสียื่นมือไปให้จับพร้อมรอยยิ้มเฟรนลี่

              “ร..รู้อยู่แล้วล่ะ” สาวน้อยพยักหน้าให้ผมพลางค่อยๆ จับมือหนาใหญ่ตอบ เธอพูดเสียงละมุนผ่านรอยยิ้มบริสุทธิ์ แต่ตอบผิดธรรมชาติจนผมอดมองค้อนไม่ได้ “ขอบคุณนะเจฟ ที่ช่วยดูแลไรอันมาตั้ง 3 ปี”

              พูดจาเหมือนเป็นแม่ฉันเชียวนะ ว่าแต่เธอไปรู้ได้ยังไง?

              ผมยังไม่เคยเล่าเรื่องเจฟให้เบธานี่ฟัง…ที่จริง ยังไม่เคยเล่าอะไรให้เธอฟังเลยสักนิด

              เบธสืบเรื่องผมมามากแค่ไหนกันนะ? แต่ที่ชวนปวดหัวที่สุดคือสีหน้าผู้หญิงขี้อายที่ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่ตัวเองทำเลย ในขณะที่เพื่อนหนุ่มหันมาเลิกคิ้วใส่ผม ประมาณว่า ‘แกสปอยด์หมดแล้วเรอะ? ’ แน่นอนว่าผมทำได้แค่พยักหน้าตามน้ำไป

              “ไม่เป็นไรร้อกก ไรอันก็ต้องให้ดูแลอยู่เรื่อยนั่นแหละ ฉันชินแล้วล่ะ เอาหน่อยไหม? ไม่ทันไร เจก็พูดเออออห่อหมกพลางดันจานเฟรนช์ฟรายส์ไปใกล้ ปฏิบัติกับเธอเหมือนเพื่อนใหม่ทั่วไปทั้งที่รู้เรื่องสตอล์กเกอร์ จนผมอดทึ่งกับความใจกว้างของหมอนี่ไม่ได้ “เบธานี่ใช่ไหม? ตาเธอสวยดีนะ”

              “ข..ขอบคุณ” สาวน้อยแก้มซับสี

              ‘ตาสวยดีนะ’ เป็นประโยคจีบสาวสุดคลาสสิคที่นี่ แต่เจฟรีย์แค่ชมอย่างบริสุทธิ์ใจนั่นแหละ

              ชาวเอลเดียส่วนใหญ่มีตาสีทองและสีเขียวเป็นปกติ แต่ในโลกหลังสงครามไททันนี้ มีประชากรเพียง 2% ของโลกเท่านั้นที่เกิดมาพร้อมตาสีเขียว...เบธานี่เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อมันประดับอยู่บนโครงหน้าละติน ผิวแทนเนียนละเอียด หน้าอก สะโพก และบั้นท้ายที่ชุดสาวเนิร์ดไม่อาจอำพรางได้ไหว ทำให้หญิงสาวมีทุกอย่างที่ผู้ชายในร้านต้องเหลียวมอง

              ถึงผมจะมองเธอซ้อนทับกับภาพเพื่อนเก่าจนตกอยู่ในภวังค์เป็นครั้งคราวดูไม่ผิดสังเกต ใครมองเธอก็เคลิ้มทั้งนั้น

              “ฮะฮะ อะไรกัน เพิ่งเคยมีคนชมเป็นครั้งแรกหรอ? ” เจฟยิ้มเอ็นดูคนสวยขี้อาย “แย่เลยนะ เจ้าไรอันมันนิยมสาวตัวเล็กผมบรอนด์ด้วย กับคนอื่น คำชมไม่ค่อยกระเด็นออกจากปากหรอก”

              “น้อยๆ หน่อย ฉันนั่งอยู่นี่” ผมตอบพลางผลักไหล่เพื่อนแบบหยอกๆ จนกระทั่งหันไปเห็นคนนั่งข้างๆ ชะงักไป

              “....” เบธานี่ส่งสายตาเศร้าสร้อยมาให้ ทำหน้าเหมือนลูกหมาถูกทิ้งจนหัวใจผมปวดหนึบ

              เบลทรูท เท่าที่จำได้ นายก็นิยมสาวผมบรอนด์เหมือนกันไม่ใช่รึไง? นายมาหงอยใส่ฉันได้ไง?

              “นี่ ถึงจะไม่เคยพูดก็เถอะ แต่ฉันคิดว่าเธอดูดีมาตลอดนั่นแหละ”

              ผมพูดพลางแตะไหล่บางปลอบใจจนมุมริมฝีปากเล็กๆ มีรอยยิ้มจางจนบรรยากาศดีขึ้น


              ทั้งสามสั่งอาหารง่ายๆ มาเติม พูดคุยผูกสัมพันธ์กันโดยมีไรอันกับเจฟรีย์เป็นผู้นำในวงสนทนา เบธานี่ผู้หงิมเงียบเพียงตอบคำถามเป็นครั้งคราวและมีรีแอ็กชันไหลลื่นไปกับทั้งสองเท่านั้น แต่ก็อยู่ในกลุ่มเพื่อนอย่างเป็นธรรมชาติอย่างที่เคยเป็นมา

              จนไรอันไม่ทันสังเกตว่าคนสำคัญแอบเก็บงำบางอย่างไว้ เรื่องที่เขาชอบสาวผมบรอนด์ก็ยากจะเมินเฉย แต่มีเรื่องอื่นที่ดึงดูดความสนใจของเบธานี่ยิ่งกว่านั้น

              ‘ฉันคิดว่าเธอดูดีมาตลอด…’

              ‘มาตลอด’

              ไรอันหมายถึงตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

              ทั้งที่เป็นแค่คำพูดธรรมดา แต่กลับยากจะงัดแงะออกจากห้วงความคิด มันฟังดูยาวนานอย่างน่าประหลาดสำหรับเด็กหนุ่มที่เพิ่งได้เห็นเธอชัดๆ เมื่อเช้าวันนี้

              …คิดไปเองงั้นหรอ?

    ​##########################

    [Introduce Character No.3]

    ...แตกต่างเหมือนกัน...

    sds

     

    [มาโก้ บอท]

    ทหารฝึกหัดรุ่น 104 ชาววอลซีน่า

    เขาใฝ่ฝันจะเป็นสารวัตรทหารเพื่อรับใช้องค์ราชา

    ก่อนถูกทรยศหักหลัง และ ตายจากไปด้วยน้ำมือของคนที่เคยเรียกว่าพวกพ้อง

    การตายของเขาเป็นจุดกำเนิดของสองสิ่ง

    หนึ่งคือตัวตนของ 'ไรเนอร์ บราวน์' ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่

    และอีกหนึ่งคือเส้นทางชีวิตของ 'แจน เคียร์สไตน์' ที่เปลี่ยนไปตลอดกาล

    ---------------------------------------------------------------------------

    [มาโก้ บอท]

    sds

    อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัย UIC 

    เติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า

    จนบรรลุนิติภาวะ จึงสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัย และ ออกไปใช้ชีวิตคนเดียว

    แต่กลับมีความทรงจำของทหารผู้จบชีวิตลงอย่างโหดร้าย

    แถมยังต้องแบกรับชื่อเดิมของตัวเองในอดีต

    เพราะใครคนหนึ่งที่เคยอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเดียวกัน

    ฝากข้อความบอกเจ้าหน้าที่เอาไว้ ก่อนจะหายไปจากชีวิตเขา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×