ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC EXO] Fate สัญญาด้ายแดง ::: {chanbaek}

    ลำดับตอนที่ #3 : {3} - it's time

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 588
      2
      25 ก.พ. 57

    :) Shalunla

     















     

    Fate

     

    พรหมลิขิต

    ใครลิขิต

    ใจลิขิต

    ........................................

     

     






     

     

     

    I t' s  T i m e

     

     

     

     

     

                ข้อความนั้นถูกส่งไปแล้ว

     

     

                มันถูกส่งไปพร้อมกับควันบุหรี่ที่ถูกพ่นออกจากริมฝีปาก แล้วก็ลอยหายไปในอากาศ

     

                ชายหนุ่มกดล็อคมือถือหลังจากปฏิบัติภารกิจเสร็จ อัดนิโคตินคำสุดท้ายลงปอด แล้วบี้มันลงกับที่เขี่ยบุหรี่พลาสติกสีชมพูหวานแหววลายคิตตี้

     

                เขาหมุนตัวกลับ จะเดินจากระเบียงกลับไปยังห้องนอนที่มีใครอีกคนหลับอยู่

     

     

                “หนีมาอยู่นี่เอง...”

     

                ไม่ทันขาดคำ คนที่คิดว่ากำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงก็มาปรากฏตัวตรงหน้า ในสภาพที่เรียกว่า ล่อนจ้อน

     

                เขายิ้ม เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามากอด “ออกมาทำธุระน่ะ แล้วนี่ตื่นตั้งแต่เมื่อไรหืม?”

     

                กดจูบลงไปที่กระหม่อมเล็ก หวังจะจูบอีกครั้งที่ริมฝีปาก แต่กลับถูกดันหน้าออกเสียก่อน

     

                “เหม็นบุหรี่ เราไม่ชอบ ไปบ้วนปากก่อน”

     

                เขาหัวเราะ “แต่เห็นจูบกี่ทีก็ชอบนี่นา”

     

                คนตัวเล็กถลึงตาใส่เขา หน้าตาเหมือนแมวบนที่เขี่ยบุหรี่ไม่มีผิด

     

     

     

              แต่ก็จริง เซฮุนเป็นแมวนี่นา

     

     

               

                เขาโอบรอบเอวเล็กแล้วอุ้มร่างเปลือยลอยขึ้นเหนือพื้นประมาณหนึ่งคืบ เดินเตาะแตะไปที่เตียงแล้ววางเซฮุนให้นอนราบลงไป

     

                ร่างกายขาวสะอาดสะท้อนกับแสงอาทิตย์ช่างแสบตาดีจริงๆ

     

                “วันนี้มีงานหรอ แต่งตัวเต็มยศเชียว” เซฮุนถาม มือยังคงคล้องคอเขาเอาไว้

     

                เขาแอบหอมแก้มแมวตัวขาว วันนี้เขาอยู่ในสูทสีดำ รองเท้าหนังมันเงาสีเดียวกัน และเน็คไทสีน้ำเงินตัดชมพูที่เซฮุนซื้อให้เป็นของขวัญ

     

                มือเล็กนั่นเลื้อยมาเกี่ยวเน็คไทเขา

    ซนจริงๆ

     

     

                “อือ ขี้เกียจจังเลยค่ะที่รัก” เขาอ้อน ถูไถใบหน้าลงกับแผ่นอกที่นิ่มเหมือนฟองน้ำ

     

                เซฮุนหัวเราะคิกคัก “ไม่ต้องมาอ้อนเลยนะ รีบไปเลย”

     

                ถึงปากจะบอกว่าให้เขารีบไป แต่มือที่เลื้อยไปตามหน้าอกเขาคืออะไร? ให้ตายสิแมวของเขาช่างยั่วกว่าใครจริงๆ

     

                แถมเป็นแมวที่ไม่ชอบใส่เสื้อผ้าด้วย กำไรชัดๆ

     

                “เมื่อคืนโดนฉีดยาไปตั้งหลายเข็ม หายเจ็บแล้วหรอหืม?”

     

                “ก็เห็นมีอยู่เข็มเดียว เข็มเบ้อเริ่มเลย เจ็บมากด้วย ตอนนี้ก็ยังเจ็บอยู่ เมื่อคืนใครไม่รู้หลับไปก่อนไม่ยอมล้างตัวให้”

     

                เขาลอบยิ้มเมื่อแมวขาวชักสีหน้า

     

                แต่เสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นก็เหมือนมือที่มองไม่เห็นมากดเปิดสวิทช์ไฟ แล้วทุกอย่างก็ฟึ่บ! กลับสู่โลกความเป็นจริง

     

                น่ะ โดนแมวเลียคาง

     

                “ต้องไปทำงานแล้วนะคะ เดี๋ยวเฮียหักเข็มฉีดยาทิ้งไม่มีเอามาแทงเซฮุนไม่รู้ด้วยนะ คืนนี้สัญญาว่าจะล้างตัวให้นะคะคนดี อยู่บ้านอย่าซนนะ”

     

                พูดจบก็จุมพิตหน้าผากเนียนใสไปหนึ่งที เขาผละออกมาจากร่างนุ่มนิ่มอย่างเสียดาย เกือบจะได้ฉีดยาแมวอีกรอบแล้วเชียว

     

     

               

                “หวางจื่อเทาคนโกหก”

     

     

     

     











     

     

     

                ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงได้ซักพักหนึ่งแล้ว

     

                แต่ผมดิ้นไม่ได้มากเท่าไร เพราะเตียงอีกฝั่งมีใครอีกคนนอนแผ่ร่างใช้แขนทั้งสองกางไว้บ่งบอกอาณาเขตตัวเอง

     

                ผมรู้จักเขามาได้สองอาทิตย์แล้วครับ และกำลังจะเข้าสู่อาทิตย์ที่สามพรุ่งนี้

     

                เขาบอกผมว่าเขาเป็นบอดี้การ์ดของผม ซึ่งผมก็เชื่อนะ แล้วเขาก็เล่าเรื่องสัญญาให้ผมฟังแบบน้ำไหลไฟดับ ผมชอบเสียงแจ้วๆของเขา

     

                ผมเคยถูกแบคฮยอนแปะโพสอิตไว้กลางหลัง และบนนั้นเขียนไว้ว่า ไอ้เอ๋อ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เรียกผมอย่างนั้น

     

                ซึ่งผมก็ชอบนะ

     

                แต่ผมไม่ได้เอ๋อนะ ผมเป็นคนปกติทั่วไป ติดแค่ชอบเก็บตัวอยู่ในบ้าน วันๆก็อ่านหนังสือ ช่วงนี้ผมชอบอ่านพวกกลอนเปล่าเอามากๆ

     

                และผมชอบหนังสือของพี่นิ้วกลมที่สุด

     

                มันมีประโยคหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า

     

     

    ความรู้สึก

    ไม่ต้องอาศัย

    ความรู้

     

     

    ซึ่งผมชอบมันเป็นพิเศษ ชอบแบบไม่มีเหตุผล เหมือนที่หนอนชอบกินใบไม้ เหมือนที่จระเข้ที่ชอบกินเนื้อสัตว์ คำถามคือทำไมจระเข้ไม่ชอบกินใบไม้ ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนมันนั่นแหล่ะ

     

     

    ผมมองนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนัง

     

    เก้าโมงแล้ว วันนี้ผมมีงานพิเศษที่ร้านกาแฟกะเที่ยง เวลานอนยังเหลืออีกถมเถ

     

    และผมก็นอน...นอนมองคนที่เอามือไปหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่ม แล้วม้วนตัวเองเป็นดักแด้

     

    ผมยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนนอนเตียงเดียวกับเขา

     

    จะว่ายังไงดี มันอึดอัด แต่มันก็อบอุ่น

     

    ผมเพิ่งรู้ว่าแบคฮยอนจะครางออกมาเหมือนลูกหมาเวลาที่เขาหนาว เหมือนที่เขากำลังทำมันอยู่

     

    “หงิง....”

     

    และผมจงใจไม่ลดแอร์ เพื่อที่จะได้ฟังเสียงของเขา

     

    จนป่านนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่อยู่ๆแบคฮยอนก็มาขอค้างด้วยแบบปุบปับ ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็สรุปเองเสร็จสรรพ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำเฉยเลย

     

    แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ ผมยังไงก็ได้ พูดให้ถูกผมขัดใจแบคฮยอนไม่ได้ เพราะเขาเป็นบอดี้การ์ดของผม

     

    เขาเคยช่วยผมจากการโดนต่อย และก่อนหน้านั้น เขาเคยช่วยไม่ให้ผมโดนกระถางต้นไม้ที่หล่นจากตึกชั้นสามตกใส่หัว เขาเคยไล่เตะหมาที่เคยวิ่งกัดผมด้วย และเขาก็เคยเป็นแผลเป็นเพราะผมดันทำมีดบาดนิ้ว

     

     

    ผมจะไม่รู้สึกผิดมากเท่าไรถ้าผมไม่ได้เป็นคนซุ่มซ่าม และผมเผลอมองไปที่ริมฝีปากสีเหมือนลูกสตอเบอรรี่ของเขา

     

     

    ไม่สิ ผมมองแผลของเขา

     

     

     

                ผมสะดุ้งนิดๆเมื่อแบคฮยอนนอนตะแคงมาทางนี้ และเอาขาก่ายเอวผมเอาไว้

     

                กลิ่นตัวของแบคฮยอนหอมมาก หอมเหมือนเด็ก ผมว่าเขาเหมือนเด็ก

     

                แบคฮยอนตื่นแล้ว เขาลืมตาขึ้นมองทั้งๆที่ยังก่ายผมอยู่

     

     

                “วันนี้จะออกไปไหนรึเปล่า?”

     

                ผมพยักหน้า “มีงานพิเศษที่ร้านกาแฟพี่มินซอกครับ”

     

                “ลาได้มั้ย?” ผมเลิกคิ้ว แต่น้ำเสียงและสีหน้าของแบคฮยอนดูซีเรียสผิดปกติ เขามองผมเงียบๆ ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยคำพูดที่ไม่ต้องเปล่งเสียงผมก็เข้าใจ

     

     

                “...เข้าใจแล้วครับ”

     

                สุดท้ายผมก็โทรไปลาพี่มินซอก โดยอ้างว่าไม่สบาย ผมว่าพี่จงแดคงจะมาทำงานแทนผม

     

               

                “อือ นอนได้แล้ว จะรีบตื่นทำไมแต่เช้าวะ” เขาบ่นงุ้งงิ้งแล้วมุดตัวลงไปในผ้าห่มเหมือนเดิม

     

               

                ผมล้มตัวลงนอน แล้วกอดก้อนผ้าห่มนั้นไว้จากทางด้านหลัง มันดิ้นนิดๆ แต่สุดท้ายก็หยุด

     

                ถ้าจำไม่ผิดผมว่าตอนนอนผมยิ้มด้วยล่ะ

     

     

     

     

     

     




     

                มือถือที่ทำหน้าที่ได้ดีกว่านาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่นเหมือนโทรโข่งของลุงขายของเก่า ผมเลยต้องลุกตื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมตั้งปลุกไว้ตอนเที่ยงสิบห้าทุกวันเสาร์อาทิตย์

     

     

                เที่ยงกว่าแล้ว และชานยอลยังไม่ได้ออกไปไหน หมอนั่นแค่ลงไปนั่งดูทีวีชั้นล่าง

     

                ผมยังง่วงอยู่ ผมคิดว่าผมคงจะแก่แล้วจริงๆ

     

                ผมสวมรองสลิปเปอร์ลายโตโตโร่ เดินเตาะแตะลงมาหาชานยอลที่นอนเหยียดขาดูทีวีอยู่บนโซฟา

     

                ชานยอลเหลือบตามองผม แล้วผมก็ตัดสินใจทิ้งตัวลงนอนทับอีกคนจนได้ยินเสียงดังอั่ก นี่ผมหนักขนาดนั้นเลย?

     

     

                “นอนทับผมทำไมครับแบคฮยอน” ผมนอนคว่ำหน้าลงบนแผ่นอกแข็งๆของมัน ผมรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผมรู้ดีว่าตอนนี้เราใกล้กันแค่ไหน

     

                จะว่ายังไงดีล่ะ มันเป็นการทำให้สนิทกันในแบบของผมล่ะมั้ง

     

     

                “...หิว” และผมเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็นแบบหน้าด้านๆไปเลย

     

     

                ชานยอลหัวเราะเมื่อเห็นผมเงยหน้ามองมัน ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ตาผมเปิดออกมาแค่ครึ่งเดียว และผมใส่แว่นสายตา ไม่ใช่คอนแท็คเลนส์เหมือนตอนกลางวัน

     

     

                หมอนั่นยีหัวผมแบบที่มันชอบทำ กอดเอวแล้วอุ้มให้ผมลุกขึ้นนั่งบนโซฟาดีๆ และผมก็ยังไม่มีสติดีพอที่จะโวยวาย

     

     

                ผมไม่ได้ค่อยได้อ้อนใครแบบนี้หรอก

     

                แต่ผมคิดว่ากับชานยอล ถ้าผมอ้อน มันคงไม่ว่าอะไร

     

     

                ชานยอลเดินหายเข้าไปในครัว แต่เพียงไม่ถึงนาทีมันก็เดินกลับออกมา

     

     

                “ของหมดทุกอย่างเลยครับ” ผมหน้าหงิกทันที คำพูดนั้นเป็นเหมือนตัวปลุกให้ผมตื่นเต็มตา

     

                “แต่ว่าวันนี้ออกจากบ้านไม่ได้...” หรือผมต้องทนหิวทั้งวัน? ไม่มีทาง ผมทนไม่ได้หรอก

     

               

                ผมได้รับข้อความจากใครบางคนเมื่อคืน ใครคนนั้นคือเพื่อนผมเอง หวางจื่อเทา คนจีนพูดเกาหลีสำเนียงกะเหรี่ยงๆที่ดร็อปเรียนแล้วผันตัวไปเป็นบอดี้การ์ดแทน

     

     

                เทาเป็นอีกคนนึงที่รู้เรื่องสัญญา

     

     

                TAOHSEN : /พรุ่งนี้ห้ามออกจากบ้าน อันตราย/

     

     

                แค่นี้แหล่ะ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมเชื่อ ในกรณีที่ถ้าเทาเป็นแค่คนธรรมดา

     

     

                เทามีญาณทิพย์ มีตั้งแต่เกิด

     

     

                พูดตรงๆผมกลัว ผมจะไม่เชื่ออะไรถ้าหากยังไม่ได้เห็น แต่ผมดันไปเห็นตอนที่เทาใช้พลังเข้าโดยบังเอิญ

     

                ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่ไปเป็นหมอดู ถ้าจะมองเห็นอนาคตคนอื่นได้ขนาดนี้

     

     

                ผมรู้ว่าชานยอลทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผมได้สักพักแล้ว แถมยังมองผมอยู่โดยที่ไม่คิดจะปริปากพูดอะไรออกมา

     

                มีเพียงแต่อ้อมกอดธรรมดาที่โอบล้อมตัวของผม

     

                ผมไม่ได้ขัดขืน อาจจะเป็นเพราะผมหนาว หรืออะไรก็ไม่แน่ใจ

     

                ชานยอลเหมือนคนมีพลังวิเศษ มันทำให้ผมอุ่นเข้าไปถึงข้างในได้เพียงอ้อมกอดเดียว

     

     

                “คุณแม่เคยบอกผมว่าในยามที่ไม่สบายใจ อ้อมกอดช่วยได้ครับ”

     

     

                ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ นี่ผมเป็นคนอ่านง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?

     

                ชานยอลดันหัวผมให้เข้าไปซุกอกมัน ไม่รู้ทำไมผมไม่ปฏิเสธ ผมชอบ ผมชอบแบบที่เป็นอยู่ ผมไม่เคยกอดใคร และผมไม่เคยถูกใครกอด

     

     

                ผมอยากถูกกอดบ่อยๆ

     

     

                “ดีขึ้นมั้ยครับ?”

     

                “ไม่อ่ะ” ไม่รู้ทำไมผมต้องแอบยิ้ม และไม่รู้ทำไมผมต้องเขยิบตัวให้เข้าไปใกล้อีกคนทั้งที่มันแทบจะไม่มีช่องว่างเหลือระหว่างเรา

     

     

                “แปลกจัง....”

     

     

                ผมว่ามันสมควรถูกเรียกว่าเอ๋อแล้วล่ะ

     

     

     

     

     

     

     

                “เอ๋อ!”

     

                ผมตะโกนเรียกอีกคนพร้อมกับเดินออกมาจากห้องน้ำ สภาพผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับขยะเปียกๆสักชิ้น

     

                ชานยอลละสายตาจากหนังสือกลอนเปล่าของพี่นิ้วกลมที่มันชอบอ่าน มันมองผม แล้วหันหน้ากลับไปเหมือนเดิม เมินหรอ?

     

     

                “มีอะไรครับ?”

     

                “หยิบบ๊อกเซอร์ให้หน่อย” ผมชี้ไปตรงเก้าอี้ไม้ถัดจากโต๊ะออกไปไม่ไกล บ๊อกเซอร์สีเหลืองลายสปอนจ์บ๊อบวางพาดอยู่ตรงนั้น

     

                ชานยอลวางหนังสือลงแล้วเดินไปหยิบมาให้ หมอนั่นเอาแต่ก้มหน้า เป็นอะไรของมัน? หรือไม่ชินที่เห็นผมแก้ผ้า? หมายถึงแค่ท่อนบนน่ะ

     

     

                แต่ยังไม่ทันที่บ๊อกเซอร์จะถึงมือ ชานยอลก็สะดุดขาตัวเอง วินาทีที่หมอนั่นหน้าเกือบคะมำ ผมก็รีบวิ่งไปช้อนตัวมันไว้ เร็วยิ่งกว่าสมองสั่งให้ทำ

     

     

                “.....”

                “.....”

     

                ผมมัวแต่หอบหายใจ ส่วนชานยอลผมไม่รู้ มันเงียบ ใบหน้าของมันยังอยู่บนไหล่ผม โชคดีแค่ไหนที่มันไม่หล่นไปอยู่ที่พื้นแทน

     

     

                “.....นี่”

                “ครับ...”

     

     

                สองคำถ้วน ไม่มีมากไปกว่านั้น ผมเหนื่อยเกินไปที่จะคิดคำพูดอื่นขึ้นมาแทนความเงียบ

     

    แขนของชานยอลพาดเอวผมไว้แต่แรก จากพาด เปลี่ยนเป็นกอด ผมไม่แน่ใจว่าเขาเรียกว่ากอดหรือโอบ แต่ร่างที่เปลือยท่อนบนของผมถูกรั้งให้เข้าไปแนบชิดเสื้อเชิ้ตสีดำของมัน

     

     

    ใบหน้าของผมจมมิดลงไปในแผงอก ผมพึ่งรู้ว่าชานยอลตัวใหญ่มาก อย่างน้อยก็มากกว่าผมไซส์นึง

     

     

    “......”

    “จะปล่อยได้ยัง?”

     

     

    มันลังเล ทำท่าจะปล่อยแต่ก็รั้งเองไว้อีกครั้ง ผมไม่ได้หายใจไม่ออก แต่ผมหายใจถี่ ผมชอบถูกกอดก็จริง แต่ถ้าถูกกอดแล้วต้องเหนื่อยแบบนี้ก็ไม่ไหว

     

     

    สุดท้ายชานยอลก็ยอมปล่อย ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เลยเดินหนีเข้าห้องน้ำไปโดยไม่ลืมหยิบบ็อกเซอร์ติดมือมาด้วย

     

     

    ผมรีบแต่งตัว พยายามไม่คิดอะไรให้หนักกบาล แล้วเดินออกไปในชุดบอลสีน้ำเงินของทีมโปรด กับกางเกงขาก๊วยเน่าๆสีครีม

     

    ชานยอลเตรียมตัวเสร็จแล้ว ในมือหมอนั่นถือกระเป๋าเงินและกุญแจบ้าน

     

     

    “ขอเป่าผมแป๊บนึง” ผมบอก กำลังจะเดินหาไดร์เป่าผม แต่ชานยอลเร็วกว่า มันจับผมนั่งลงบนตัก ส่วนตัวเองนั่งลงบนปลายเตียง

                                            

     

    พื้นที่เล็กๆในห้องนอนถูกแทนด้วยเสียงลมหึ่งๆจากไดร์เป่าผม มือสากขยี้หัวผมเบาๆ บางทีผมอาจขี้เกียจเกินกว่าจะปฏิเสธ

     

     

    ผมว่าทุกการกระทำของชานยอลดูอ่อนโยน เขาอาจจะเอ็นดูผมเหมือนลูกหมาสักตัว หรือไม่หน้าของผมอาจจะไปคล้ายกับหมาที่มันเคยเลี้ยง

     

     

    ข้อนี้ผมรู้ดี ผมหน้าเหมือนหมาตั้งแต่เกิด โดนล้อว่าไอ้หน้าหมาตั้งแต่ยังฉี่รดที่นอน

     

     

    ผมไม่ได้ไม่ชอบความรู้สึกในตอนนี้ มันพูดยาก เอาเป็นว่าผมเดินทางสายกลางก็แล้วกัน ไม่ชอบ และก็ไม่ได้เกลียด

     

     

    “ผมดำเริ่มยาวแล้ว ไม่ย้อมหน่อยหรอครับ?”

     

    ผมคิดสักพัก ก่อนจะตอบ “...ไม่ล่ะ ว่าจะไว้ดำ”

     

    “แต่ผมว่าแบคฮยอนเหมาะกับผมสีม่วงดีนะครับ” ชานยอลพูดเสียงดังแข่งกับเสียงลมของไดร์เป่าผม น้ำเสียงทุ้มฟังชัด ราวกับริมฝีปากคนพูดอยู่ห่างจากหูผมไปไม่กี่เซน

     

     

    “ถ้างั้นก็ย้อมให้กูหน่อย”

     

    “พรุ่งนี้แล้วกันครับ ผมว่าตอนนี้แบคฮยอนคงหิวแล้ว เสียงท้องร้องดังกว่าไดร์เป่าผมอีกนะครับ”

     

    “ย่า! ปาร์คชานยอล!” ผมรีบหันหน้าไปหาเจ้าของตัก มองตาขวาง ความจริงที่ว่าทำร้ายมันเท่ากับทำร้ายตัวเองเป็นตัวรั้งผมเอาไว้ไม่ให้ตั๊นหน้าไอ้เอ๋อนี่

     

    แอบตกใจเหมือนกัน ปกติชานยอลไม่ค่อยแซวเขาเท่าไร เห็นทีต้องมองใหม่ซะแล้ว

     

    ชานยอลหัวเราะในลำคอ ไม่รู้ว่าตลกอะไรนักหนา เสียงของไดร์เป่าผมเงียบลงไปแล้ว เสียงหายใจของเราสองคนจึงดังฟังชัด

     

     

    “...ฝากไว้ก่อนเหอะ”

    “ยินดีครับ”

    “...ใครสอนให้กวนตีน”

     

     

    ผมยังคงไม่ลุกออกจากตักแข็งๆที่ผมชอบบ่นว่านอนไม่สบายหัว ส่วนชานยอลวางแขนโอบรอบเอวผม เป็นเรื่องปกติ ผมว่าผมพอจะรู้ว่าทำไมหมอนี่ชื่นชอบสกินชิพนัก

     

     

    ชานยอลหัวเราะ “คิดว่าใครล่ะครับ?”

     

    “ไอ้ดำ” ผมตอบตามที่คิด

     

    “ไม่ใช่หรอกครับ....ผมแค่อ่านเจอในหนังสือ มันเขียนเอาไว้ว่าความสุขที่ต้องรอให้คนอื่นมอบให้ คือความทุกข์ใจระหว่างรอ”

     

     

    ผมขมวดคิ้ว “แล้วมันเกี่ยวกันยังไง?”

     

    ชานยอลยิ้มกว้างกว่าเก่า “ผมกำลังหาความสุขด้วยตัวเองไงครับ”

     

    “ด้วยการกวนตีนกูเนี่ยนะ?”

     

     

     

    “ผมแค่คิดว่าถ้าได้เห็นสีหน้าของแบคฮยอนในหลายๆแบบ...คงจะมีความสุขดี”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เราสองคนเดินมาซื้อของที่เซเว่นหน้าปากซอยที่ห่างจากบ้านของผมมาประมาณสามร้อยเมตร บ้านของแบคฮยอนด้วยเหมือนกัน

     

     

    ตอนแรกผมว่าจะไปซื้อของที่ตลาดสด แต่แบคฮยอนบอกว่าวันนี้ไม่ได้ ต้องรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด ผมเลยไม่ได้แย้งอะไร

     

     

    ตะกร้าสีเขียวในมือผมเต็มไปด้วยรามยอนรสกิมจิถ้วยแดงประมาณห้าอันได้ ถึงเขาจะเคยบอกผมว่าชอบกินขาหมู แต่ผมว่าเขาชอบกินรามยอนที่สุด

     

     

    ผมไม่เรื่องมากเรื่องอาหารการกิน เลยปล่อยให้เขาเลือก ส่วนผมก็แค่ถือตะกร้าแล้วเดินตาม

     

    ผมว่าวันนี้แบคฮยอนแต่งตัวน่ารักดี ผมชอบให้เขาใสเสื้อตัวใหญ่ๆ เพราะเขาจะดูตัวเล็กกว่าเดิม

     

     

    “ไม่คิดจะซื้ออะไรไปกินบ้างรึไง?” เขาหันมาถามผม

     

    ผมส่ายหน้า “ผมกินรามยอนก็ได้ครับ”

     

    เขายิ้มขำ “กินแต่รามยอนมีหวังหัวล้านตั้งแต่ยังไม่เหี่ยวแน่ๆ”

     

     

    ผมยิ้ม ส่วนเขาเดินไปหยิบข้าวกล่องซีพีมาประมาณสามกล่องจากตู้เย็น แล้วหลังจากนั้นเราก็เดินไปจ่ายตังค์ ซึ่งแน่นอนว่าเงินผม

     

     

    แบคฮยอนเล่าทุกอย่างให้ผมฟังหมดแล้ว เรื่องที่ว่าวันนี้จะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น และไม่ควรออกนอกบ้าน แต่เราก็ฝ่าฝืน เพราะเรื่องปากท้องก็สำคัญไม่แพ้กัน

     

     

    ผมกลัว แต่ไม่มาก ถ้าแบคฮยอนยังอยู่ข้างๆ

     

    ผมไม่รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหน อาจจะถูกหมาวิ่งไล่กัดเหมือนครั้งที่แล้ว หรืออย่างมากก็โดนจี้ หรืออาจจะมากกว่านั้น

     

     

    “มองหน้าทำไม จ่ายตังดิ”

     

    ให้ตายสินี่ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามองหน้าแบคฮยอนอยู่

     

     

    ผมยื่นแบงค์ห้าร้อยให้พนักงานผู้ชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ผมหมายถึงหน้าเขาเด็ก อาจจะมาทำงานพิเศษที่นี่

     

     

    ผมไม่เคยหงุดหงิดหรือไม่พอใจอะไร ยกเว้นสายตาที่เขาใช้มองแบคฮยอน

     

     

    ผมรีบรับเงินทอนแล้วเดินออกไปจากร้าน ลืมแม้กระทั่งโค้งขอบคุณ ใจจริงผมอยากจะจูงมือแบคฮยอนออกมาด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดตรงที่ถือถุงอยู่

     

     

    “เฮ้ย กูลืมซื้ออาฟเตอร์เชฟอ่ะ รอกูตรงนี้แป๊บนึง”

     

    “อ่ะ....”

     

     

    แล้วเขาก็เดินกลับเข้าไปในเซเว่นโดยที่ไม่รอให้ผมได้พูดอะไรซักคำ

     

     

    ผมพยายามจะบอกว่าให้เขารอ เดี๋ยวผมไปซื้อเอง ผมไม่อยากให้แบคฮยอนโดนมองด้วยสายตาแบบนั้นเท่าไร

     

    ถ้าจะให้ผมอธิบายคงยาก เอาเป็นว่าคล้ายๆสายตาของสุนัขเวลาติดสัด

     

     

    ผมยืนพิงเหล็กกั้นถนน วางข้าวของไว้ข้างตัว แล้วมองไปรอบๆ แต่ผมจะมองผ่านกระจกเซเว่นเข้าไปข้างในทุกๆสามวินาที

     

    ผมเห็นหัวสีเปลือกมังคุดของแบคฮยอนอยู่รำไร เขาตัวสูงกว่าชั้นวางของแค่ไม่เท่าไร และสูงน้อยกว่าผมประมาณสิบสามเซน

     

     

    จากตอนแรกที่มองไปรอบๆ ผมก็มองไปที่แบคฮยอนคนเดียว

     

     

    “เมี้ยว....”

     

     

    เสียงของสัตว์สี่เท้าอีกชนิดที่ผมชอบดังขึ้นไม่ไกล ผมพยายามหันไปหาต้นเสียง แต่ไม่เห็น

     

     

    “เมี้ยว.....” มันร้องขึ้นอีกครั้ง และผมมองหามัน

     

     

    สุดท้ายผมก็เห็นมันอยู่บนต้นไม้ที่สูงประมาณสามเมตรกว่า มันเป็นแมวสีสวาท คล้ายกับตัวที่เพื่อนบ้านคนก่อนของผมเคยเลี้ยงและชอบมากินปลาทูบ้านผมบ่อยๆ

     

     

    ผมเดินไปหามัน ส่วนสูงของผมที่เกินครึ่งหนึ่งของต้นไม้ทำให้ไม่เป็นอุปสรรค์ต่อการเอื้อมมือขึ้นไป มันทำท่าจะวิ่งหนี แต่กิ่งไม้แหลมปักเท้าหลังมันเอาไว้

     

     

    “ผมจะไม่ทำร้ายคุณ ไม่ต้องกลัวนะครับ” ผมพยายามเกลี้ยกล่อมแมวตัวนั้นเหมือนที่ตำรวจพูดกับคนร้ายให้ยอมความ

     

     

    มันเงียบลง ผมจึงดึงกิ่งไม้ออกจากอุ้งเท้าของมันอย่างเบามือ แล้วอุ้มมันลงมา

     

     

    และในขณะที่ผมกำลังคิดหาวิธีที่จะบอกแบคฮยอนเรื่องที่ต้องพาเจ้าตัวนี้ไปหาสัตวแพทย์ คนตัวเล็กก็เดินออกมาพอดี

     

     

    “ไปไหนมา? แล้วนั่น....แมว?”

     

     

    แบคฮยอนเดินเข้ามาหมายจะดูเจ้าเหมียวนี่ใกล้ๆ มันดูตื่นกลัว มันดิ้นขลุกขลัก และสุดท้ายมันก็กระโดดหนีไปจากอ้อมแขนของผม

     

     

    ผมจะไม่รีบวิ่งตามมันไป ถ้าที่ที่มันหนีไปไม่ใช่ถนนใหญ่

     

     

    ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งเสียงแตร และเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินจากแบคฮยอน

     

     

     

    “เอ๋อระวัง!!!”

     

     

     

     

     

     

     

     

               

     

               

     

     

     

     

     

     

     

               

     

               

     

                 

     

    100%
          I'm back   
    #ฟิคด้ายแดง
    -น้ำแข็ง-


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×