ปาฏิหาริย์มีจริง ความรักกับการพลัดพราก - ปาฏิหาริย์มีจริง ความรักกับการพลัดพราก นิยาย ปาฏิหาริย์มีจริง ความรักกับการพลัดพราก : Dek-D.com - Writer

    ปาฏิหาริย์มีจริง ความรักกับการพลัดพราก

    การเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวทำให้เขาทรมารมาแค่ไหนไปอ่านกันค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    132

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    132

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ต.ค. 56 / 07:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ความรัก การจากลาก เรื่องนี้มันเศร้านะค่ะ
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ... หากพวกคุณได้อ่านเรื่องๆ นี้ ...
      แปลว่าฉันได้จากโลกนี้ไปแล้ว 
      ฉันได้รับข่าวร้ายที่สุด ในวันเกิดครบรอบ 18 ปี 
      หลังจากเข้ารับการตรวจเมื่อสองสัปดาห์ก่อน 
      ฉันกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว 

      มันทรมานร่างกายฉันมากว่าหนึ่งปี ก่อนจะตัดสินใจไปหาหมอ ผลการตรวจไม่ดีนัก
      หมอวินิจฉัยว่าฉันจะอยู่ได้ไปเกินสามเดือน แค่รู้ฉันก็แทบจะตายเดี๋ยวนั้นแล้ว 
      อาการฉันทรุดลงเร็วมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องเจาะไขสันหลังตรวจแทบทุกวัน 
      ฉันหมดกำลังใจ ภาวนาให้ฉันตายๆ ไปให้พ้นทุกข์แทบทุกวันที่ฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาล คนในครอบครัวจะมาเยี่ยมช่วงเย็นๆ เท่านั้น เพราะต่างคนต่างต้องทำงาน 
      โดยเฉพาะแม่ ที่มาเยี่ยม ฉันน้อยที่สุด แม่ไม่เคยร้องไห้อ่อนแอให้ฉันเห็นสักครั้ง 
      ซึ่งฉันมารู้ที่หลังว่า แม่มาทุกวันแต่แอบร้องไห้อยู่นอกห้อง ก่อนจะกลับไป 
      สำหรับฉัน ช่วงเช้าเป็นเวลาที่ฉันเกลียดที่สุด ฉันเหงา ฉันร้องไห้ทุกวัน เพียงแค่คิดว่ากำลังจะตาย
      ฉันเพิ่งอายุ 18 ปี ยังมีอะไรอีกตั้งมากที่ฉันยังไม่ได้ทำ แต่คงไม่มีโอกาสแล้ว
      เพราะเวลาที่เริ่มอาการเจ็บปวดเมื่อไร ฉันอยากให้หมอฉีดยาให้ฉันตายไปตอนนั้นเสียเลย

      ทุกวันช่วงบ่ายฉันจะขนหนังสือมานั่งอ่านที่สวนหย่อมบนตึก เพื่อฆ่าเวลา 
      บางครั้งก็นั่งมองคนอื่นๆ ที่เขา กำลังจะได้กลับบ้าน ฉันนึกอยากถอดชุดคนป่วย 
      แล้ววิ่งออกจากโรงพยาบาล หนีไปให้ไกลจากความจริงที่เป็นตอนนี้ให้มากที่สุด แต่ก็ได้แค่คิด 
      เพราะ ฉันทำได้แค่ภาวนาให้เพื่อนสักคนมาเยี่ยม ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีใครมา เพราะอยู่ในช่วงเอนทรานซ์
      คงไม่มีใครสนใจฉัน แต่ฉันก็ยังร้องไห้กับเรื่องนี้ทุกวัน แล้ววันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักกับ พี
      ีเขานั่งบนม้านั่งเดียวกับฉันตอนฉันกำลังร้องไห้ เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้เงียบๆ 
      “เหงาเหรอ? ให้อยู่เป็นเพื่อนไหม?” คำพูดประโยคเดียวเท่านั้นที่เขาพูดกับฉัน 
      เหมือนมีอะไรดลใจ ให้ฉันพยักหน้ารับคนแปลกหน้าคนนี้ “อยากตาย” ฉันร้องไห้ไปสะอื้นไป 
      เล่าเรื่องของฉันให้เขาฟัง เขาสอนให้ฉันรักที่จะมีชีวิต ท้ายสุดเขากุมมือฉันพาไป ส่งที่ห้อง 
      บอกฉันแค่ว่า “อันต้องอดทน เพราะอันจะต้องอยู่ได้อีกนาน เชื่อเรานะว่าจะต้องดีขึ้น” ฉันยิ้มรับ แต่ไม่เชื่อหรอกว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น นับจากวันนั้น ฉันก็ได้พีเป็นเพื่อนใหม่ที่คอยมาเยี่ยมทุกวัน 
      พร้อมกับอาการที่ดีขึ้นของฉัน ทางบ้านฉันไม่ขัดข้องอะไรที่ฉันจะสนิทกับพี พีเป็นคนช่างคุย 
      มีเรื่องมาเล่าให้ฉันฟังทุกวัน ฉันถามอะไร เขาก็ตอบได้เสมอ เขาว่าเขาดูรายการทีวีแทบทุกช่อง 
      แม้แต่อาการฉันเขาก็รู้ละเอียดทีเดียว จนฉันรู้สึกเหมือนอาการเจ็บปวดน้อยลงเวลาที่พีอยู่ด้วย
      เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจความทุกข์ และความเจ็บปวดของฉัน เขาจะคอยเอาใจฉัน
      ไม่ว่าฉันจะต้องการอะไรก็ตาม พีจะต้องหามาให้ได้ เพื่อแลกกับให้ฉันเลิกคิดว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่นาน 
      ฉันเคยถามพีว่า เขาไม่ต้องไปเรียน หรือทำงานเหรอ เขาว่าเขาต้องมาเยี่ยมฉันทุกวันจนไม่มีเวลา 
      แต่ไม่ว่าฉันจะถามอะไรต่อ เขาก็จะเลี่ยงจนฉันไม่นึกอยากรู้เรื่องของเขาแล้ว 
      แม้ฉันจะดีขึ้น มีพีมาอยู่เป็นเพื่อนทั้งวัน แต่ความเหงาแบบเดิมๆ ก็กลับมาเยือนฉันอีกครั้ง 
      เมื่อฉันต้องทนอยู่ที่โรงพยาบาลร่วมสองเดือน อาการของฉันกลับมาทรงตัว 
      ฉันขอพ่อกับแม่กลับไปอยู่ที่บ้าน แต่พวกท่านไม่ยอม ฉันเก็บมาบ่นกับพีว่า 
      พวกเขาต้องการให้ฉันตายเร็วขึ้น เพราะการต้องอยู่ที่โรงพยาบาลทำให้ฉันรู้สึกแย่ และไม่มีวันดีขึ้นได้ 
      ฉันยังมีอะไรอยากออกไปทำอีกตั้งหลาย ก่อนจะตาย รุ่งขึ้นหมออนุญาติให้ฉันออกไปพักฟื้นที่บ้านได้ 
      แต่ต้องมาโรงพยาบาลวันเว้นวัน เพื่อตรวจอาการ ฉันมั่น ใจว่าพีเป็นคนจัดการเรื่องนี้ 
      เพราะเขารับปากกับแม่ฉันว่าจะเป็นคนพาฉันมาที่โรงพยาบาลแทนทุกคนที่ต้องทำงาน 
      แม้ว่าฉันจะได้เจอพีแค่วันเว้นวัน แต่ฉันกลับรู้สึกดีที่จะได้คอยให้ถึงวันที่ต้องไปโรงพยาบาลกับพี

      เราสองคนจะไปที่โรงพยาบาลแต่เช้า เพื่อที่ตอนสายจะได้มีเวลาไปดูหนังหรือเดินเที่ยวก่อนกลับบ้าน 
      พีบอกให้ฉันเขียนหรือเล่าให้เขาฟังว่าพรุ่งนี้อยากทำหรือทำอะไรไปบ้าง 
      เพื่อฉันและเขาจะได้รู้ว่าเหลืออะไรที่อยากจะทำอีกไหม ฉันว่าเป็นวิธีที่ดี 
      เพราะฉันจะได้มีกำลังใจสู้ต่อไปเรื่อยๆ ที่แต่ละวันที่จะอยู่ทำเรื่องนั้นๆ 
      เราสองคนสนิทกันมากจนพี่สาวฉันแซวว่าเราเป็นแฟนกัน ฉันก็เคยแอบคิดแต่ไม่เคยถามเขาเลย 
      จนได้โอกาสถามวันหนึ่ง แต่เขาว่า “มันขึ้นอยู่กับอันด้วย ว่าอันอยากให้พีอยู่ในฐานะอะไร 
      ความรู้สึกอย่างนี้มันต้องคิดตรงกันสองคน ให้คิด แค่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก 
      แต่ยังไงพีก็ยังคงเป็นเพื่อนของอันนะ” ฉันไม่เข้าใจว่ามันลำบากมากเหรอที่จะตอบให้ตรงคำถาม 
      แต่ฉันก็ไม่ถามอีก เราเปลี่ยนเรื่อง พีอยากให้ฉันรีบกลับบ้านวันนี้ 
      แต่ฉันขอให้พีไปเดินซื้อเสื้อผ้ากับฉันที่ห้าง ซึ่งฉันโดนบ่นเรื่องนี้ตลอด 
      เพราะฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ทุกอาทิตย์ แต่ฉันมีเหตุผลส่วนตัว ฉันก็แค่อยากจะสวยก่อนตายเท่านั้นเอง
      พีไม่พูดอะไรอีก เขาเดินหน้ามุ่ยถอนใจยาวๆ ทั้งวัน ฉันเลยแกล้งขอให้เขาดูหนังกับฉันอีกเรื่องก่อนกลับ

      พีหายหน้าไปสามวัน พอเขามาหา ฉันก็ต่อว่าเขาขนานใหญ่ หาว่าเขาเบื่อฉัน 
      และแกล้งปล่อยให้ฉันรอจนไม่ได้ไปหาหมอ เพราะอยากให้ฉันกลับไปอยู่โรงพยาบาลอีกครั้ง 
      เขาจะได้ไม่ต้องลำบาก ฉันพูดออกไปแล้วก็เสียใจ และกลัวว่าพีจะโกรธ แต่ตรงกันข้าม 
      พีเสียใจกับเรื่องนี้มาก เขาขอโทษฉัน แต่ไม่มีคำแก้ตัวหรือเหตุผลอะไรมาอ้างเลย 
      หลังจากตรวจร่างกายแล้ว พีพาฉันไปเดินห้างที่ไกลไปอีกห้างแทนห้างเดิม 
      ฉันเพิ่งได้สังเกตว่าวันนี้พีดูโทรมมาก หน้าตาไม่สดใสเหมือนทุกวัน 
      บังเอิญที่ห้างนี้อยู่ใกล้กับบ้านเพื่อนสมัยมัธยมปลายของฉัน แจงเดินคลอเคลียมากับหนุ่มหล่อ 
      ตรงมาทางฉัน เธอจำฉันได้ แจงทักทายและแนะนำแฟนหนุ่มรุ่นพี่ที่คณะให้รู้จัก 
      ฉันยินดีกับเธอที่เอนทรานซ์ติด ก่อนกลับแจงให้เบอร์มือถือกับฉัน ฉันเริ่มรู้สึกเห็นพีขัดหูขัดตา 
      ฉันเดินตามหลังพีไปเงียบๆ บางขณะฉันนึกอยากจูงมือกอดแขนเขาบ้าง แต่ต้องชักมือกลับ 
      เพียงเพราะพีไม่สูง ไม่เท่ห์ เหมือนแฟนของแจง แถมชอบแต่งตัวด้วยเชิ้ตตัวใหญ่ๆ 
      ฉันเคยชี้ให้เขาดูชุดที่หุ่นแต่งหน้าร้าน เขาไม่ชอบ แต่ฉันชอบ ฉันขึ้นเสียงใส่เขา 
      พีเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามฉันกลับ “ถ้าอันชอบใครสักคน อันจะชอบที่เป็นเขา หรือเสื้อผ้าของเขา” 
      ฉันตอบแทบไม่ต้องคิด “ก็ทั้งสองอย่าง” “อย่างนั้นอันก็ยังไม่เคยรักชอบใครจริงๆ” ฉันนิ่งไป 
      ก่อนจะถามอีก “แล้วพีเคยชอบใครจริงๆ หรือไง” “เคย”... คำตอบของพีทำให้ฉันนอนไม่หลับ 
      อยากรู้ว่าคนที่พีชอบ คือใคร ฉันแอบเข้าข้างตัวเองว่าถ้าเป็นฉัน “ไม่หล่ะ” 
      ฉันบอกตัวเองว่าพียังไม่เท่ห์พอจะเป็นแฟนฉัน แล้วถ้าไม่ใช่ฉัน ฉันรู้สึกเศร้าลึกๆ

      พียังคงสม่ำเสมอ มารับฉันตามที่เคยรับปาก เพียงแต่ฉันเองที่ไม่ค่อยมีอะไรคุยกับเขาแล้ว 
      ระยะหลังฉันจะขอให้เขาส่งฉันกลับบ้านเลยหลังจากออกจากโรงพยาบาล 
      แจงคงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่ฉันโทรหาวันนี้ ฉันนัดแจงมาเจอที่ห้างใกล้ๆ บ้าน 
      ฉันโกหกแม่ว่าออกไปกับพี แจงมาพร้อมผู้ชายคนใหม่ แม้ว่าจะหล่อสู้คนแรกไม่ได้ แต่ก็ดูดีไม่น้อย 
      แจง แอบบอกฉันว่า คนนี้เป็นแค่กิ๊ก ก่อนจะถามถึงพี ซึ่งเธอเข้าใจว่าเป็นแฟนฉัน 
      “ไม่ใช่” ฉันรีบปฏิเสธ ฉันยังไม่มีแฟน แต่ก็อยากมี ฉันเตือนแจงว่าคบ หลายๆ คน ระวังแฟนจะจับได้ 
      แจงท่าทางไม่แยแสกับคำเตือนฉัน เธอว่า คนเราเดี๋ยวๆ ก็ตายแล้ว คบทีละคนกว่าจะเจอคนที่ใช่เสียเวลา 
      แจงยังอาสาที่จะหาแฟนให้ ฉันลองคบดูด้วย เธอให้ฉันไปถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ เพื่อจะได้มีรูปไปให้หนุ่มๆ ดู 
      แจงโทรมาบอกหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ว่า มีคนสนใจอยากรู้จักฉัน พรุ่งนี้ให้เจอกันที่ห้าง 
      กำชับให้ฉันแต่งตัวน่ารักๆ แต่พรุ่งนี้ฉันต้องไปโรงพยาบาล ฉันรีบโทรไปบอกพีว่า ไม่ต้องมารับฉัน 
      เพราะจะไปกับครอบครัว และบอกทุกคนว่าไปกับพีเหมือนทุกครั้ง
      เป็นครั้งแรกที่ฉันโกหกกับคนมากอย่างนี้ มันน่าตื่นเต้นมาก แจงนั่งอยู่กับผู้ชายที่บอกว่าชอบฉัน (จากรูป) 
      เขาชื่อ วิน สูงผิวเข้มและหน้าคม ที่สำคัญเขาคุยสนุกไม่แพ้พี จนฉันเองเป็นฝ่ายที่เอาแต่เงียบ
      เพราะว่าประหม่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมีคนมาจีบ วินชวนฉันไปดูหนังต่อ ส่วนแจงขอแยกกลับไปแล้ว 
      ในโรงหนังวินกุมมือฉันไว้แน่น เขาว่ามือฉันเย็นเจี๊ยบเลย เราแลกเบอร์โทรกันตอนที่เขามาส่งที่บ้าน 
      วินเป็นคนแรกที่ชมว่าฉันหน้ารัก ฉันไม่ได้บอกเขาเรื่องอาการป่วยของฉัน ฉันโทรหาพี 
      บอกเขาว่าตั้งแต่นี้ไม่ต้องมารับฉันไปโรงพยาบาลแล้ว ฉันจะไปกับคนที่บ้านแทน ที่จริงฉันให้วินพาไป 
      วินเริ่มบ่นเรื่องพาฉันมาโรงพยาบาลบ่อยๆ หลังจากที่มากับฉันแค่สามครั้ง เขาว่าเสียเวลา 
      เขาไม่ค่อยชอบรออะไรนานๆ และบรรยากาศทำให้เขารู้สึกแย่ ฉันเริ่มรู้สึกเป็นภาระกับเขา 
      ที่จริงฉันก็ไม่อยากมาโรงพยาบาล เลยตัดสินใจที่จะไม่มาอีก เวลาที่อยู่กับเขาฉันจะไม่กินยา 
      ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันป่วย ฉันกลัวเขาจะไม่สนใจฉันอีก ฉันไม่ไปโรงพยาบาลได้สองอาทิตย์แล้ว 
      แต่วินก็หาเรื่องบ่นฉันอีก ที่ต้องมาส่งฉันที่บ้านก่อนทุ่มทุกวัน เขาหาว่าฉันเป็นลูกแหง่ ไร้เดียงสา 
      ฉันนิ่งไปไม่มีข้อแก้ตัวที่จะเถียง จนเขากลับไป ฉันตกตะลึงมองพีที่เดินลงจากรถมาหา 
      แวบแรกฉันกลัววินจะเห็นพี พีมาแค่มารอฉันนานแล้ว เขาตั้งใจมาบอกให้ฉันไปโรงพยาบาล
      และกินยาด้วยเท่านั้น ฉันแปลกใจที่พีรู้ เขาว่ารู้จากพยาบาล ฉันตกใจมากกว่าจะโกรธที่เขารู้เรื่อง
      ฉันตวาดใส่เขาเป็นครั้งแรก หาว่าเขาจุ้นจ้านมายุ่งกับชีวิตฉันมากไป พีนิ่งเงียบใจเย็นเหมือนทุกครั้ง 
      พร่ำบอกแค่ขอโทษ ก่อนกลับพียื่นโทรศัพท์มือถือให้ฉัน เขาบอกให้เก็บเอาไว้ใช้เผื่อจำเป็น 
      “ดูท่าทางเขาจะดูแลอันได้นะ เราคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว” พีกลับไปแล้ว 
      ฉันนอนร้องไห้ทั้งคืนเพราะโมโห ฉันโมโหตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าเพราะ พี่รู้เรื่องวิน หรือว่าที่ฉันตวาดพี

      สามเดือนกว่าที่พีไม่ติดต่อฉันเลย สามเดือนกว่าที่ฉันคบวินแต่ไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่าวันที่พีเจอ
      เพราะฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นเวลาที่จะได้เจอเขา หรือกระวนกระวายใจเวลาที่เขาไม่โทรมา 
      ฉันกลับนึกไปถึงพี อยากรู้ว่าเขาหายไปไหน และทำอะไร กับใคร??? อาการของฉันเริ่มแย่ลง 
      ฉันต้องกลับไปอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้ฉันอยู่ประมาณหนึ่งเดือน ก่อนจะได้กลับมาพักที่บ้าน 
      วินโทรมาหาหลังจากฉันออกจากโรงพยาบาลได้สองวัน เขาขอโทษที่หายเงียบไปเพราะติดสอบ 
      วินไม่รู้เรื่องที่ฉันเข้าโรงพยาบาลเลย อาการของฉันช่วงนี้ดีที่สุดก็แค่ทรงตัว ฉันรู้ตัวดีว่าคงอยู่ได้ไม่นาน 
      ความคิดอยากตายหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อไม่มีใครติดต่อฉันมาอีกเลยนานกว่าสองเดือน 
      ความเหงา มันทรมานกว่าความเจ็บปวดหลายเท่า เวลานี้ฉันไม่นึกถึงวินเลย คนที่ฉันอยากเจอคือพี
      เดือนหน้าจะถึงวันเกิดฉันแล้ว ฉันภาวนาขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันก่อนเลย 
      กำลังจะครบปีแล้ว นับจากวันที่ฉันรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง และนี่ก็นานมากทีเดียว
      จากวันที่หมอว่าฉันจะต้องตายในสามเดือน ฉันเองก็แทบจะไม่เชื่อว่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้ 
      ฉันไม่ได้ติดต่อวินเลย เขาก็เช่นกัน แต่หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันเกิดฉัน วินโทรมาชวนฉันไปเที่ยว 
      เขาบอกว่าครั้งนี้จะพิเศษที่สุด แต่ต้องกลับดึกหน่อย และฉันห้ามปฏิเสธ 
      ทางบ้านฉันแม้จะห่วงไม่อยากให้ไป แต่ก็จนปัญาที่จะห้าม เมื่อฉันบอกว่าคงได้ไปเป็นโอกาสสุดท้าย 
      นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เที่ยวกลางคืน วินขับรถพาฉันไปที่ผับ ก่อนที่จะไปจบที่ถนนสายหนึ่งตอนเที่ยงคืน 
      รถยนต์นับสิบคันจอดเรียงรายกันเป็นทางยาว เพื่อเตรียมที่จะแข่ง เหมือนในหนังที่ฉันเคยดู 
      ฉันทนนั่งหายใจไม่ออกในรถของวินที่คลุ้งกลิ่นบุหรี่ไม่ไหว ฉันแอบไขกระจกลง นิดหน่อย 
      วินจอดเทียบที่ว่างบอกให้คอยในรถอย่าออกไปไหน ก่อนจะลงไปหาเพื่อนผู้ชายที่เดินมายืนผิง
      ข้างกระจกฝั่งฉัน เพื่อตกลงกันบางอย่าง ซึ่งวินไม่คิดว่าฉันจะได้ยินคำพูดทุกคำอย่างชัดเจน 
      “เดือนนี้เงินมันช็อตว่ะ ใช้ผู้หญิงพนันแทนได้ใช่ไหม คราวที่แล้วแกยังทำเลยนี่หว่า คนนี้เกินสิบแปดแล้ว 
      รับรองไม่มีปัญหา แถมประกันได้เลยว่ายังสดๆ ซิงๆ” ฉันช็อคกับคำพูดของวินที่ลอดกระจกเข้ามา 
      ดีที่กระจกรถของเขาติดฟิลม์มืดพอจะให้เขาไม่เห็นน้ำตาของฉันที่ไหลอาบแก้มตอนนี้ 
      วินเดินไปหาเพื่อนที่รถอีกคัน ฉันเลยหนีออกจากรถเดินน้ำตานองหน้า 
      ครุ่นคิดกับคำพูดที่ได้ยินไปตามทางเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย แต่วินคงหัวเสียไม่น้อยที่กลับมาที่รถไม่เจอฉัน 
      เพราะเขาสบถออกมาตอนเดินผ่านตรงที่ฉันหลบอยู่ “แม่งหายไปไหนว่ะ ช่างแม่งไม่อยู่ก็ดี 
      รถจะได้เบาขึ้น เดี๋ยวกูลงเป็นสร้อยคอนี่ก็แล้วกัน” ฉันร้องไห้เพราะว่าโกรธมากกว่าที่จะเสียใจ 
      สำหรับวินฉันมีค่าเทียบเท่าแค่สร้อยคอของเขาเท่านั้น ฉันไม่ได้เดียงสาขนาดที่จะไม่เข้าใจเรื่องที่ได้ยิน 
      และรู้ว่าฉันเป็นแค่ของเดิมพัน ฉันไม่อยู่รอจนได้ผล สรุปหรอก ไม่ว่าวินจะชนะหรือว่าแพ้ 
      มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับฉันอีกแล้ว ฉันเดินมาไกลพอสมควร บนถนนสายเปลี่ยวอย่างนี้ ฉันเหลียวหารถสักคัน 
      แต่ไม่มีแม้แต่วี่แววเงาของคน ฉันเริ่มกลัว น้ำตาก็ยิ่งพรั่งพรูออกมา ภาพทางเดินตรงหน้าเริ่มเลือนราง 
      ฉันเริ่มหายใจหอบถี่ๆ แข้งขาอ่อนเหมือนจะหมดแรง จนต้องยึดเสาเอาไว้ไม่ให้ล้ม 
      พยายามปลอบใจตัวเองว่า วันนี้ฉันคงเหนื่อยมากเกินไป แต่ก็โกหกตัวเองได้ไม่นาน 
      เมื่อฉันไอออกมาเป็นเลือดเต็มฝ่ามือตัวเอง เลือดกำเดาไหลออกมาไม่หยุด 
      ฉันมองดูเสื้อผ้าตัวเองที่เปื้อนเลือดก่อนจะหมดแรงตัวสั่นหมดความกลัวทรุดลงตรงนั้น 
      ฉันสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่มีแรงที่จะลุกหรือร้องให้ใครช่วย ฉันนึกถึงพี 
      ฉันค้นโทรศัพท์ที่เขาให้ในกระเป๋า แต่ก็สิ้นหวังเมื่อนึกได้ว่าไม่เคยบันทึกเบอร์ใครไว้เลย 
      ฉันเสี่ยงกดโทรออกไปอย่างหมดหวัง ฉันกำลังจะหมดแรง ไม่สิ ฉันกำลังจะตาย ฉันกลัว... 
      ปลายเสียงมีคนรับแล้ว เสียงของพีดังขึ้นมา มันทำให้ฉันเห็นความหวังเลือนราง น้ำเสียงของพีดูร้อนรน 
      เขาถามถึงจุดที่ฉันอยู่ก่อนที่ฉันจะหมดสติไปจริงๆ แต่ก็ยังพอจำได้เลือนรางว่า ฉันอยู่ในอ้อมกอดของพี 
      ฉันยังมีแก่ใจนึกขำว่าทำไมผู้ชายผอมๆ อย่างพีอุ้มฉันไหวด้วย

      สองวันหลังจากที่หมดสติไป ฉันฟื้นขึ้นที่โรงพยาบาล ครอบครัวของฉันยืนรายล้อมรอบเตียง แต่ไม่มีพี 
      ฉันมองหาทั่วห้อง แม่คงเดาได้ แม่บอกว่าพีเพิ่งกลับไปไม่นาน เขาดูแย่มาก อาจจะแย่กว่าฉันเสียอีก 
      เพราะไม่ได้นอนเลยตลอดเวลาที่ฉันไม่ได้สติ คงจะแวะมาอีกครั้งตอนเย็น 
      บ่ายนั้นหมอเข้ามาตรวจอาการก่อนจะเรียกพ่อแม่ไปคุย ก่อนที่จะเข้ามาบอกฉันว่า 
      อีกสองวันฉันก็กลับไปพักที่บ้านได้แล้ว แม่ตามเข้ามาทีหลังทั้งน้ำตา เป็นครั้งแรกที่เห็นแม่ร้องไห้ 
      ฉันใจหายวูบ รู้ดีว่านี่เป็นวาระสุดท้ายของฉันจริงๆ แล้ว อันที่จริงฉันควรจะตายไปตั้งนานแล้ว 
      ไม่เลวนักที่ฉันทนกับความทรมานของโรคร้ายนี้มาได้เกือบปี เย็นนั้นพีไม่ได้มาเยี่ยมฉัน เขามาวันรุ่งขึ้น 
      เขาดูโทรมไปมากจริงๆ แต่ก็ไม่น่าสนใจไปกว่าเสื้อผ้าที่เขาแต่ง มันแทบจะถอดแบบมาจากหุ่นที่ฉันเคยชี้ให้เขาดู นี่เขาทำเพื่อเอาใจฉันอีกแล้ว เพื่อเพื่อนที่กำลังจะตาย 
      ฉันยิ้มฝืนๆ กลัวตัวเองจะร้องไห้ออกมา เรามีเรื่องคุยกันมากเหลือเกิน หลังจากที่ไม่ได้คุยกันมานาน 
      ฉันบอกเขาเรื่องที่กำลังจะตาย แม้แต่หมอก็ไม่อยากรักษาแล้ว ฉันว่าฉันเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด 
      ที่จะต้องตายทั้งที่ยังไม่มีแฟน ฉันพูดติดตลกว่า ถ้ากลับบ้านเมื่อไรฉันจะรีบไปหาแฟนไว้ก่อนตาย
      เพราะไม่อยากตายคนเดียว แต่พี กลับบอกฉันด้วยท่าทางจริงจัง 
      “ความรักไม่ใช่สิ่งของที่จะวิ่งหากันได้ง่ายๆ หรอกนะ ถ้าอันอยากได้ความรัก แค่ทำตัวดีๆ อยู่นิ่งๆ 
      ความรักมันก็อยู่รอบตัวอันแล้ว” ฉันยอมรับแค่ครึ่งเดียวว่าความรักมันไม่ได้หากันง่ายๆ ฉันย้อนถามพี 
      “เคยมีคนรักหรือไง ทำมาสอน ถ้ามีจริงๆ ทำไมไม่เห็นพามารู้จักกันบ้างเลย” 
      “เคยสิ แต่รักเขานะ เขารักเราหรือเปล่าก็ไม่รู้” 
      “ว้า รักเขาข้างเดียวเหี่ยวเฉาแย่ มันจะมีความสุขเหรออย่างนี้” 
      “มีสิ เพราะเราชอบที่จะได้เห็นเขามีความสุข แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับเรา” 
      “แต่ถ้าเขารู้ก็น่าจะรักกลับบ้างนะ ไม่น่าเห็นแก่ตัวเลย” 
      “เพราะเขาไม่รู้นะสิ แล้วเราก็ชอบที่จะได้ให้มากกว่าที่จะรับ เวลาเห็นเขายิ้มเราก็ถือว่าได้กลับมาแล้วแหละ” 
      “แล้วทำไมไม่บอกเขาให้รู้หละ” ฉันลอบมองเขาด้วยความหวั่นไหวไม่น้อย 
      นึกอยากให้เป็นคนที่เขาพูดถึงเหลือเกิน แต่ต้องผิดหวัง 
      “ไม่ถามหรอก ของอย่างนี้มันรับรู้ได้เอง เพราะว่าเราบอกเขาทุกวัน 
      รอแค่ให้เขารับรู้เมื่อไรแล้ว บอกเราบ้างเท่านั้น” เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันไปอีกหลายเรื่อง 
      ฉันถามเขาว่าช่วงที่ไม่ได้เจอกันเขาทำอะไรบ้าง พีเงียบไป เฉยๆ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ 
      ส่ายหน้าบอกฉันว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ฟ้ามืดแล้ว ฉันใจหาย เวลาของฉันหมดไปอีกวัน 
      พีเดินมาส่งที่ห้อง ระหว่างทาง พีเดินเหมือนคนหมดแรง เกือบชนของสอง สาม ครั้ง 
      เขาบอกว่าง่วง นอนไม่พอ ตอนนั้นฉันไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะมัวคิดแต่เรื่องของตัวเอง ฉันรั้งเขาไม่ให้กลับ
      ฉันรู้ว่ามันเห็นแก่ตัวที่ขอให้เขาพาฉันไปทะเลตอนนั้นเลย พีไม่ว่าอะไรสักคำ ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า 
      แล้วแอบออกไปกับเขา เราสองคนนั่งพิงกันอยู่บนชายหาดที่หัวหิน มีเพียงดาวที่สว่างอยู่บนฟ้า 
      พีกุมมือฉันเอาไว้ถามฉันว่ายังมีอะไรที่อยากทำอีกไหม ฉันโกหกว่าเหลือแค่เพียงเรื่องเดียว 
      ทั้งๆ ที่มันมีสองเรื่องที่อยากทำ ฉันบอกพีว่า อยากอยู่ให้ถึงวันเกิดของตัวเองในอีกสองวันข้างหน้า 
      แต่พีให้ฉันสัญญาว่าจะต้องอยู่ให้ถึงวันเกิดของเขาด้วยในเดือนหน้า ฉันสัญญา แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ไหม 
      เรานั่งกันจนฟ้าสาง เป็นครั้งที่สวยที่สุดที่ฉันได้นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า 
      พีพาฉันเข้ามาที่ตัวเมือง เพื่อตักบาตรก่อนจะขับรถพาฉันกลับมาที่โรงพยาบาล วันเกิดฉันมาถึงแล้ว
      ฉันยังคงมีลมหายใจอยู่ ฉันตื่นแต่เช้า เข้าไปกราบเท้าพ่อแม่ ขอบคุณที่ให้ฉันเกิดมาในครอบครัวที่ดีอย่างนี้ 
      ฉันกอดพี่สาวที่น่ารักด้วยแรงทั้งหมดเท่าที่จะมี บอกว่าฉันดีใจที่ได้เป็นน้องสาวของเธอ 
      มีคนเอาของขวัญมาให้ฉันแต่เช้า มันส่งมาจากพี พร้อมการ์ด ขอโทษที่มาด้วยตัวเองไม่ได้ ฉันแกะออกดู 
      มันเป็นรูปถ่ายฉันใบเล็กๆ เรียงรายกันอย่างสวยงามจนเต็มกรอบใหญ่ ด้วยท่าทางต่างๆ แต่ที่เหมือนกัน 
      ทุกรูปคือ ฉันกำลังยิ้ม มีรูปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว พีสะสมรูปฉัน เขาตั้งใจทำของขวัญชิ้นนี้มาหนึ่งปีเต็มๆ 
      ฉันมั่นใจแล้วว่าพีชอบฉัน และฉันก็ชอบเขา ฉันหวนนึกถึงวันเกิดของพี ฉันควรจะให้อะไรเขาดี 
      ฉันคิดถึงพี จนลืมนึกถึงตัวเองเป็นครั้งแรก ฉันอยู่เลยวันเกิดตัวเองมาจะครบหนึ่งเดือนแล้ว 
      ด้วยจิตใจว้าวุ่นและสงสัยว่าพีหายไปไหน ฉันโทรไปหาก็ไม่มีคนรับ ตั้งแต่วันเกิดฉันเขาไม่ติดต่อฉันเลย 
      ของขวัญที่เตรียมไว้ดูจะไร้ค่า เพราะหาคนรับไม่ได้ ฉันต้องไปโรงพยาบาลในวันเกิดของพีพอดี 
      คุณหมอพูดถึงพีกับฉัน หมอแปลกใจที่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย 
      หมอบอกฉันว่าเขานอนเป็นเจ้าชายนิทราตั้งแต่วันที่ฉันออกจากโรงพยาบาลเดือนก่อนแล้ว 
      เพราะเขาไม่ยอมรับการถ่ายเลือดครั้งล่าสุด เขาหนีหายออกจากโรงพยาบาลไปกลางดึก 
      ก่อนจะกลับมาในอีกสองวันต่อมา ฉันโกรธและโทษตัวเองที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน 
      ไม่เคยแม้แต่จะสนใจถามเขาให้มากกว่านี้ หวนนึกที่ผ่านมาแล้ว มีแต่เขาที่ทำทุกอย่างให้ฉันมาตลอด 
      ทุกครั้งที่ฉันพร่ำอ้างกับเขาว่าฉันคือคนป่วยที่ใกล้จะตาย 
      โดยไม่รู้เลยว่าฉันเป็นคนฆ่าเขาด้วยมือตัวเองทีละน้อย ฉันแทบหยุดหายใจ 
      เมื่อเห็นพีนอนอยู่ในชุดคนป่วยแบบเดียวที่ฉันเคยใส่ เขานอนแน่นิ่งบนเตียง มีสายระโยงระยางรอบตัว 
      สภาพของเขาตอนนี้มีชีวิตอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยเหล่านี้ 
      เป็นครั้งแรกที่ฉันภาวนาให้คนที่นอนในสภาพนั้นเป็นฉันเอง ฉันฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
      แต่ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวดที่มาจากใจ แม่ของพีรู้จักฉัน พีเล่าเรื่องฉันให้ฟังทุกอย่าง 
      แม่เรียกให้ฉันไปดูเขาใกล้ๆ ตลอดเวลาแม่ของพีเล่าเรื่องของเขาที่ฉันไม่เคยรู้ให้ฉันฟัง 
      เขาป่วยด้วยโรคไต และเกร็ดเลือดต่ำมาตั้งแต่เด็กๆ ต้องถ่ายเลือดบ่อยมาก 
      เขาเคยนึกอยากตายให้พ้นๆ ชีวิตทรมานอย่างนี้ จนมาเมื่อปีที่แล้ว ที่อยู่ๆ เขาก็มีกำลังใจอยากมีชีวิตต่อ 
      เพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเห็นที่สวนหย่อมในโรงพยาบาล เขาอยากอยู่กับเธอคนนั้น 
      แม่ของพียื่นสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ให้ฉัน เขาเริ่มเขียนบันทึกก่อนฉันจะรู้จักเขาไม่นาน
      เขาบังเอิญรู้เรื่องฉันจากพยาบาล สมุดทั้งเล่มมีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับฉัน แม่ของเขาว่า 
      พีเชื่อว่าฉันจะต้องอยู่ได้จนถึงวันนี้เพราะฉันสัญญาไว้แ ล้ว ฉันจับมือที่เย็นเฉียบของพีเอาไว้ 
      หากปาฏิหาริย์มีจริง ฉันขอยกชีวิตที่เหลือให้เขาทั้งหมด ตอบแทนทุก อย่างที่เขาให้ฉัน รวมถึงความรักด้วย 
      ฉันยังไม่เคยบอกเขาเลย แต่กลับไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกจากปากของฉัน 
      ฉันเชื่อว่าเขารับรู้ได้จากสัมผัสที่มือที่ฉันจับเขาเอาไว้ เขาต้องรู้ว่าเวลานี้ฉันรักเขามากแค่ไหน 
      พีไม่ยอมไปรักษาตัวที่เมืองนอกตามที่แม่เขาบอก ถ้าเขาไปตั้งแต่เดือนที่แล้วเขาคงยังมีชีวิตต่อไปอีกหลายปี 
      แต่เขาเลือกจะอยู่ที่นี่เพื่อรอฉัน รอฟังคำตอบจากฉัน ฉันก้มลงกระซิบบอกเขาที่ข้างหูด้วยเสียงสั่นเครือ 
      ฉันรักเขา และอีกไม่นานฉันกับเขาจะได้อยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์ รอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากของพี
      ปรากฏเพียงชั่วเวลาสั้น สีหน้าเขามีเลือดฝาดผุดขึ้นก่อนจะซีดเผือด พร้อมเส้นหัวใจที่ราบเรียบ 
      พีจากฉันไปอย่างสงบในวันเกิดของเขา ฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาหลังงานศพของพีเสร็จสิ้นไม่นาน 
      ขอร้องพ่อกับแม่เป็นสิ่งสุดท้าย ให้จัดพิมพ์เตรียมไว้แจกในงานศพของฉันที่คงจะมีขึ้นในอีกไม่นาน
      ฉันหวังให้เป็นที่ระลึกถึงพีและฉัน สิ่งสุดท้ายที่ฉันภาวนาตอนนี้ เมื่อใดที่ฉันหมดลมหายใจจากโลกนี้ 
      ฉันจะได้ไปอยู่กับคนที่ฉันรักและรักฉันชั่วนิรันดร์ ขอให้คนที่รักกันอย่าได้มีบทจบอย่างฉัน ที่รู้ตัวเอาเมื่อเกือบจะสายไป ก็ยังดีที่ยังทันเวลา ดีกว่าบางคู่ที่รู้ตัวว่ารักเมื่อสายเสียแล้ว 
      ขอให้ทุกคู่ รักมั่นคงต่อกัน เข้าใจกัน รู้จักห่วงใยกัน และที่สำคัญโปรดจงอภัยให้แก่กันและกัน

      หากคุณยังมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันและรักกัน ขอให้มีความสุข อย่าให้เหมือนฉันเลย

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×