คำเดียวที่อยากเอ่ยเอื้อน
ผมมีเรื่องอยากสารภาพ----ผมแอบหลงรักสาวข้างบ้านครับ มันเริ่มจากตอนที่เธอย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังข้างๆ ผมชอบเธอตั้งแต่ครั้งแรกเลยครับ แต่จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดไม่ได้เริ่มจากรองเท้าแดง ลูกกวาด หรือลูกแอ้บเปิ้ลหรอกครับ มันเริ่มจาก---
ผู้เข้าชมรวม
179
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผมมีเรื่องอยากจะสารภาพ
ผมแอบหลงรักสาวข้างบ้านครับ
วันหนึ่งในเดือนมิถุนา มีครอบครัวย้ายเข้ามาใหม่ในบ้านข้างๆ ตอนแรกผมก็ดูจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไร แต่พอรู้จากแม่ว่าครอบครัวใหม่เขามีลูกสาวอายุเท่าผม ก็รู้สึกระริกระรี้จนไม่เป็นอันทำอะไร ตอนนั้นผมอายุแค่เจ็ดขวบ และมักถูกพวกผู้ชายแกล้งเป็นประจำ ผมจึงกลายเป็นพวกนอกกลุ่ม สิ่งที่ผมโหยหามากที่สุดก็คือ เด็กผู้หญิง ‘บางทีเด็กผู้หญิงอาจจะดีกว่า เราอาจจะเข้ากับผู้หญิงได้ดีกว่า’ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดในตอนนั้น
ผมแอบไปดูตอนที่ครอบครัว ‘สิวโรจน์’ย้ายเข้ามาในวันแรก พร้อมกับเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ เนื่องจากกำแพงบ้านผมไม่สูงนัก ผมจึงสามารถปีนข้ามขึ้นไปนั่งสังเกตการณ์แล้วส่องบ้านข้างๆจากตรงนั้น และแล้วผมก็เห็นเธอ เด็กหญิงตัวเล็กๆ ผิวขาว ผมถักเปียเส้นเล็กสีดำขลิบ ผมจำชุดที่เธอใส่มาในวันแรกได้ เป็นชุดเดรสสีฟ้าอ่อน ลายเหมียวคิตตี้ และรองเท้าสีแดง
ผมตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น
จากวันนั้น ผมก็พยายามเข้าไปคุยและหาทางสนิทกับเธอให้ได้ ผมคิดในหลากหลายวิธี บางทีเด็กผู้หญิงอาจจะชอบลูกกวาดก็ได้ ผมรอจนเธอออกมาเดินเล่นบริเวณสวนที่มีเพียงกำแพงบ้านเรากั้น
‘เธออยากได้ไอ้นี่มั้ย?’ ผมถาม แล้วแบลูกกวาดสีสันสดใสให้เธอดู หลังจากที่กระโดดข้ามไปยังสวนเธอ
เธอมองดูเพียงเสี้ยววินาทีแล้วหยิบเอาสองเม็ด พร้อมส่งยิ้มให้
หลังจากวันนั้นเราก็เป็นเพื่อนกัน
เราเล่นกันเหมือนกับเด็กทั่วๆไปแหละครับ ทั้งเล่นตุ๊กตา พากันปีนต้นไม้ เล่นกอดปล้ำกันบ้าง แม้กระทั่งหม้อข้าวหม้อแกง แสดงเป็นพ่อหมีลูกหมี ผมเคยทำเธอร้องไห้ด้วยนะครับ เรื่องก็คือหลังจากที่เรากอดปล้ำกันอย่างรุนแรงตามประสาเด็ก มันอาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นเด็กผู้ชาย มันอาจจะเป็นเพราะผมมีแรงเยอะกว่า ผมตีเธอเพียงตุ้บเดียวเธอก็จ๋อยแล้วล่ะครับ แต่ไม่นานหลังจากนั้น เราก็กลับมาคืนดีกัน เล่นกันแบบเดิมอีก
เราสนิทกันมากครับ ผมเลยรู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ พ่อแม่ของเธอพาเธอย้ายมาจากลำปางโน่นแน่ะ ตอนนี้แม่เธอทำงานเป็นแม่ครัวในห้องอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งในแถบชานเมือง ผมชอบเรียกเธอว่า ‘ป้าเจด’ ถึงแม้แม่ของเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ แต่เธอก็ยิ้มให้ผมทุกครั้งที่ผมไปหาเคาะประตูเรียกลูกสาว ส่วนพ่อของเธอทำงานในบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง เวลาเธอพูดถึงพ่อ มักจะทำหน้าเบะ สีหน้าไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ ผมเองก็พอจะเดาออกว่าทำไม
ผมไม่ค่อยชอบพ่อเธอ อันที่จริง เกลียดขี้หน้าสุดๆ เขาชอบตะโกนเสียงดัง และทำหน้าดุอยู่ตลอดเวลา บางทีก็อาจเป็นเพราะเขาก็ได้ที่ทำให้เธอไม่อยากเข้าบ้าน เวลาเราเล่นกันจนมืดค่ำ เราจะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆย่ำมาแต่ไกลเตือนให้รู้ว่า ‘อันตราย’ แล้วก็จะได้ยินเสียงแผดดังสนั่นทะลวงรูหูของจากลำคอพ่อเธอ ‘กลับเข้าบ้าน !!!’ ‘ อีเด็กเหลือขอ !’ ‘พวกมึงเล่นทำเชี้ยไร!’ สุดสารพัดออกมาจากปากของคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เป็นพ่อคน เรามักจะบอกลากันทั้งยังงั้น และตรงนั้นทุกครั้งไป
อาจด้วยความใกล้ชิดสนิทสนม ความประทับใจตั้งแต่แรกเห็นที่ผมมีต่อเธอก็ได้ ที่ทำให้ผมรู้สึกชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเองอาจจะยังไม่รู้ ผมก็ไม่ทราบ แต่ตอนนั้นเรายังเด็กมากเกินกว่าที่จะรู้จักคำว่า ‘รัก’ หรือ ‘ชอบพอ’
เราสนิทกันยังกะปาท่องโก๋ร้านยายเจียดเลยครับ เป็นแบบนี้จนอายุสิบเอ็ดขวบ เรื่องที่ทำให้เราต้องแยกจากกันก็เกิดขึ้น
วันนั้นเป็นวันหยุด พ่อกับแม่เธอไม่อยู่บ้าน เธอเลยชวนผมไปอยู่เป็นเพื่อนเธอ เธอพาผมขึ้นไปบนห้อง ผมได้ช่วยเธอทำการบ้านนิดหน่อย แล้วก็ได้ชิมขนมทองหยิบป้าเจดด้วย
สักพักเธอก็เริ่มหยอกผม ก็เหมือนกับเด็กไร้เดียงสาทั่วไปแหละครับ แม้มันจะดูเก้ๆกังๆอยู่บ้างเนื่องจากเราโตขึ้น ไม่เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเหมือนแต่ก่อน โครงสร้าง สรีระเราต่างก็ดูเปลี่ยนแปลงไป ผมปล้ำเธอจนหงายไปข้างหลัง แล้วตอนนั้นผมก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปของเพื่อนสาว จะว่าไปในชั้นเรียน( ผมกับเธอเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่ปอหนึ่ง) มีแต่เธอเท่านั้นที่มีพัฒนาการเข้าสู่สาวรุ่นก่อนใครเพื่อน เธอกลายเป็นที่สนใจในหมู่เด็กผู้ชาย และที่อิจฉาในหมู่เด็กผู้หญิง ซึ่งผมเพิ่งได้รู้ตอนนี้เองว่าทำไม
เรานิ่งกันอยู่ในท่านั้น ขณะที่สายตาผมจับจ้องอยู่ที่ร่างกายส่วนบนของเธอ จู่ๆเธอก็พุดขึ้น “ฉันอึดอัด”
ผมพลิกตัวแล้วนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เราต่างคนต่างก็นั่งอยู่บนเตียงไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด ชั่วระยะเวลาหนึ่งผมคิดหาคำพูดที่ฟังดูดีที่สุดเพื่อขอโทษเธอ ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะจ้องดูหน้าอกเธอ ผมคิดกับเธอแค่เพื่อนไม่อยากล่วงเกินเธอเลย
อยู่ๆเธอก็หันมาจ้องหน้าผม “เธอชอบฉันใช่ไหม?”
ผมอึ้ง แก้มเริ่มแดง ขณะที่เธอพยายามจ้องลึกเข้าไปในดวงตาผม “วิทย์ชอบเราใช่ไหม?”
ผมเลี่ยงการตอบคำถามเธอโดยการหลบสายตา แต่เธอยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “บอกมาสิ! เร็วเข้า!” เธอแกล้งทุบแขนผมเบาๆ
“เธอพูดเรื่องอะไร เราจะกลับแล้ว เรา---ต้องไปช่วยแม่ปลูกต้นไม้หลังบ้าน---เราไปล่ะ”
ขณะที่ผมลุกไปเธอก็ขู่ผม “ ก็ลองดูสิ ถ้าวิทย์เดินออกไปแม้แต่ก้าวเดียว เราจะแก้ผ้าให้วิทย์ดู!!!”
ผมหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม ผมคิดไม่ออกว่าควรทำยังไง เธออาจแค่ล้อเล่นเท่านั้น ผมพยายามควบคุมตัวเอง เธอยังคงยิ้มอยู่ เราเงียบกันไปสักพักก่อนที่เธอจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างได้ แล้วก็เริ่มถอด
ผมไม่ได้ห้ามเธอ ไม่เลย ผมไม่ได้พยายามพูดอะไรทำนองที่ว่า ‘อย่านะ’ หรือ ‘หยุดนะ’ บางทีเรื่องในตอนนั้นอาจเป็นความผิดของผมก็ได้ ถ้าเพียงแต่ผมพูดคำว่า ‘อย่า’ ‘ไม่’ เรื่องระหว่างเราก็คงไม่เกิดขึ้น
ช่วงเวลาที่เธอเผยร่างกายส่วนบน เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พ่อเธอเปิดประตูเข้ามา แน่นอนว่าเขาต้องโวยวาย เรื่องมันอาจจะจบลงแค่นั้นถ้าเขาไม่บอกใคร แค่ตักเตือนเราเฉยๆโดยปล่อยเรื่องพวกนี้ทิ้งไปซะแล้วยอมรับว่ามันเป็นเพียงแค่การกระทำเล่นๆของเด็กที่ไม่ประสีประสา แต่เขาทั้งสบถ ตบหน้าเธอ ฉุดลากเธอลงไปในสภาพกึ่งเปลือยแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ภรรยาฟัง เรื่องมันอาจจะหยุดลงเพียงแค่นั้นถ้าหากพวกเขาไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อแม่ผม แล้วพ่อกับแม่ก็ห้ามไม่ให้ผมไปเจอกับเธออีก
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นความเป็นปาท่องโก๋ของเราก็สิ้นสุดลง
จากทุกวันที่เราเดินไปขึ้นรถสายเพื่อนไปโรงเรียนด้วยกันตรงหน้าปากซอย ตอนนี้พ่อเป็นคนไปรับไปส่งผม ผมมองเห็นเธอบ่อยครั้งผ่านกระจกรถในตลอดระยะเวลาหลายปี สวนหลังบ้านที่เราเคยอยู่ก็ไม่มีเรา เสียงหัวเราะสดใสจากเธอผมก็ไม่เคยได้ยินอีก เรื่องในวันนั้นจบลงพร้อมกับความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง มีบ้างที่เราได้คุยกันซึ่งก็มีครั้งสองครั้งช่วงตอนทำงานกลุ่มตามเลขที่ เราไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องวันนั้น ไม่แม้แต่จะพยายามมองหน้าอีกฝ่ายหรือกล่าวคำทักทายเมื่อเจอ ผมกับเธอกลายเป็นคนแปลกหน้า พวกเพื่อนๆในห้องประหลาดใจกับพฤติกรรมของเราทั้งสอง เพียงแค่คิดว่าเพราะ ‘การโกรธกันแบบเด็กๆ’ และ ‘การโกรธกันแบบเด็กๆ’ ที่พวกเขาพากันคิดนั้นก็ล่วงเลยยาวนานมาจนพวกเราอายุได้สิบหกปี
ผมมีโอกาสได้อยู่กับเธอตามลำพังอีกครั้งในช่วงระยะเวลาหนึ่งของตอนเช้าวันแรกที่พ่อเริ่มปล่อยให้ผมไปโรงเรียนเอง เพราะท่านเองก็มีงานเยอะแยะมากมายต้องทำ และผมเองก็อายุมากพอที่จะดูแลตัวเองได้ รึไม่ก็เป็นเพราะท่านไม่ติดใจเรื่องในวันนั้น หรือไม่ก็ลืมไปแล้วหมดสิ้น ผมเห็นเธอนั่งรอรถสายด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เธออาจมองเห็นผมแล้วก็ได้ตอนที่ผมนั่งลงที่สุดที่นั่งอีกด้านหนึ่ง ไม่นานก็มีคนกลุ่มใหม่มาคอย ผมเลือกที่จะคอยรถคันใหม่ โดยปล่อยให้เธอขึ้นไปก่อน ผมไม่อยากให้เธอเห็นว่าผมพยายามที่จะคืนดีกับเธอ และผมก็ไม่รู้จริงๆว่าถ้าเราเกิดได้นั่งใกล้กันจะเป็นอย่างไร หรือหากว่ามีที่นั่งเหลือเยอะ ผมควรจะเลือกนั่งบริเวณไหนดี ใกล้เธอหรือออกห่าง มันอาจจะดูงี่เง่าที่ผมมาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้แบบจริงจัง การไม่กล้าสู้หน้า ความขลาดของผมมีมากมายนัก สุดท้ายผมได้แต่คิดว่า คงจะมีสักวันที่ผมกล้าพอจะคุยกับเธอ
ความจริงที่น่าแปลกใจก็คือ ตั้งแต่ปอหนึ่งเราเรียนห้องเดียวกันมาตลอดจนถึงมอต้นที่อยู่คนละห้องจากการสอบเลือก ครั้งนี้เราก็กลับมาอยู่ห้องเดียวกันอีกตอนชั้นมอปลาย ส่วนลึกผมก็รู้สึกดีใจไม่น้อยที่ผมจะได้มีโอกาสใกล้ชิดเธอมากขึ้น บางทีเราอาจจะได้คุยกัน แล้วฟื้นฟูความสัมพันธ์สองเราสมัยเด็ก โดยลืมเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้น อีกส่วนหนึ่งผมก็พะวงว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด คือ เธออาจจะรังเกียจผม โกรธผมเรื่องวันนั้นอยู่ที่ผมไม่พยายามช่วยเหลือเธอ หรือไม่ก็ลืมเรื่องราวทุกอย่างในตอนนั้นมาหลายปีที่เราออกจากกัน ผมคิดในหลายแง่แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า เป็นไปได้ยากที่เธอจะลืม และเป็นไปได้ยากเหมือนกันว่าเรากลับไปดีกันได้เหมือนเดิม
สภาวะที่เกิดขึ้นเป็นไปดังคาด เราไม่คุยกันเลย มีบางครั้งที่เดินผ่านกันแต่ไม่เคยมีคำทักทาย รอยยิ้ม หรือแม้กระทั่งสายตาที่จ้องมองอีกฝ่าย ผมกลายเป็นอากาศธาตุสำหรับเธอ ผมได้แต่คอยดูความเป็นไปของอีกฝ่าย แล้วเอามานั่งคิดอยู่ทุกวี่ทุกวันไม่รู้จักจบจักสิ้น เหมือนพวกบ้าประสาท เหมือนเด็กประถมที่แอบหลงรักคุณครูประจำชั้น
ผมรู้สึกหึงหวงเธออยู่ห่างๆตอนที่มีผู้ชายในห้องเข้ามาเกาะแกะจอแจเธอ ใช่แล้วครับ เธอสวยมาก ผมซึ่งเป็นคนที่ได้ดูพัฒนาการของเธอตั้งแต่เด็กรู้ดีว่าเธอสวยและเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด ความสวยของเธอไม่ได้เป็นแบบดารานางแบบวัยรุ่นทางจอทีวีแต่ความสวยของเธอเป็นความสวยในรูปแบบที่น่าค้นหา ร่างเพรียวบาง สูงไม่มากนักตามแบบฉบับหญิงไทยทั่วไป รอยยิ้มที่หายาก อย่างตอนที่เธอยิ้มออกมาบางช่วงบางตอนนั้นทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากขึ้น เมื่อใครพบเห็นก็จะรับรู้ได้ว่าเป็นของล้ำค่าที่นานๆทีจะเจอ การไม่ค่อยพูดไม่ได้เป็นผลสำคัญที่ทำให้ผู้ชายหลงใหลในตัวเธอน้อยลง หากแต่เป็นจุดเด่นให้พวกเขาห้อมล้อมเธอเหมือนหมาในในเขตุทุ่งหญ้าสะวันนาคอยจ้องตะครุบเหยื่อ ซึ่งสถานการณ์ในตอนนี้พวกมันกำลังหยั่งเชิงกันอยู่
“ เราชอบแอ๊ปเปิ้ลว่ะ” ชิดพงษ์ เพื่อนสนิทของผมตั้งแต่ชั้นมัธยมพูดขึ้น ผมพยายามที่จะนึกหาชื่อคนอื่นที่ใช้ชื่อแอ๊ปเปิ้ล ทั้งที่รู้ว่ามีแค่คนเดียวที่เขากล่าวถึง
“ แอ๊ปเปิ้ลไหน” ผมถามโง่ๆ ไอ้ชิดพงษ์ได้แต่กลอกตาไปมา ผมทำท่ายิ้มขำๆให้เหมือนบอกว่าแค่ล้อเล่น
“ เราควรจะทำยังไงให้เธอหันมาสนใจเราวะ” ชิดพงษ์ถามผมลอยๆ ผมเองจะไปให้คำตอบอะไรเขาได้เล่า ขนาดหน้าผมเธอยังไม่อยากมองเลย
เช้าวันต่อมาเราเจอกันอีกครั้งในรอบสัปดาห์ สิ่งที่ไม่สม่ำเสมอนี้เป็นตัวชี้ว่า เราต่างก็ไม่สนใจอีกฝ่ายว่าอีกฝ่ายจะมาตอนไหน เหมือนแค่ต่างคนต่างก็เจอกัน เท่านั้น
.แล้วก็แค่นั้น ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่ที่กำลังคุกคามเราอยู่
ผมพยายามจะไม่เดินไปหาเธอ แต่ในวันนั้นผมต้องคุยกับเธอให้ได้ ด้วยเหตุผลที่ผมเองก็ไม่รู้เช่นกัน
ผมเดินไปหาเธอจนได้ เธอกำลังก้มหน้างุดอ่านหนังสือว.0214วิชาที่ผมเกลียดที่สุด
เธอเงยหน้าขึ้นมอง ผมคิดว่านั่นคงเป็นสีหน้าแปลกใจ สงสัย แกมตกใจนิดๆด้วยซ้ำ ผมยื่นซองจดหมายสีชมพูบางเฉียบให้เธอ มันจ่าหน้าซองถึงเธอ ใช้ชื่อชิดพงษ์
ขณะที่เธอกำลังเปิดอ่าน รถสายก็แล่นมาถึงพอดี ผมลังเลสักพักก่อนที่จะขึ้นไป เพราะผมรู้ว่าเธอจะยังไม่ขึ้นมาตอนนี้
วันนั้นชิดพงษ์พยายามเข้าไปคุยกับเธอ ผมทำเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่ได้ยินหรือเกิดขึ้น เธอเองก็คงพอรู้จากท่าทีของหมอนั่นที่สื่อออกมาอย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็รู้สึกดีใจนิดๆที่เธอไม่ได้พูดอะไรที่ดูเป็นพิเศษกับเขา
ทว่า ความดีใจนั้นมีอยู่ได้ไม่กี่วัน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเห็นเธอเป็นฝ่ายเดินเข้ามาคุยกับใครก่อน ทุกครั้งเธอจะเป็นฝ่ายยืนเงียบและตอบคำถามเสียมากกว่า มันเป็นตอนเช้าที่พิศวงงงงวยมากที่สุดในชีวิตผม เธอเดินเข้ามาหา ผมแอบคิดสกปรกในใจว่า นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่เราจะได้คุยกันสักทีแล้วกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่ที่จริงแล้วคนที่เธอเดินเข้ามาหาไม่ใช่ผม แต่เป็นชิดพงษ์
ทุกคนเองก็รู้สึกอึ้ง ฮือฮาไม่แพ้ไปจากผม เพื่อนผู้ชายที่เคยเล็งเธอเอาไว้ทั้งแห้วทั้งอิจฉาทั้งเหม็นขี้หน้าไอ้พงษ์มัน แต่หลังจากนั้นไม่นานทุกคนต่างก็พากันคิดว่า ทั้งคู่ต่างก็ดูดีและเป็นคู่ที่เหมาะสมกันคู่หนึ่ง
หลังจากวันนั้นผมก็เห็นภาพชิดพงษ์เป็นฝ่ายมารับมาส่งเธอทุกๆวัน ทั้งคู่คบกันอย่างเปิดเผยโดยที่พ่อแม่เธอก็รู้ ผมพยายามจะไม่เข้าใกล้ทั้งสองมากนักโดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากเป็น ก้างขวางคอ ทั้งที่จริงแล้วในใจลึกๆกลับรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด ไม่อยากเห็นเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ผมมองดูพวกเขาเดินไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วคิดถึงภาพของผมและเธอสมัยเด็กๆที่เราต่างก็เคยมีและเคยเป็น มันจะไม่มีวันนั้นอีกแล้ว สิ่งที่คอยกระตุ้นแล้วย้ำบอกตัวเองอยู่เสมอนั้นว่าผมไม่รักเธอ ตอนนี้ผมกำลังพยายามพูดกับตัวเองว่า ใช่ ผมไม่รักเธอ ไม่เคยรักเธอ สิ่งที่ผมอยากจะได้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลาที่ผมได้อยู่ใกล้กับเธอแค่สองคน เวลาที่ผมพร้อมจะบอกเธอว่ารู้สึกเสียใจแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้ ผมพยายามที่จะบอกกับเธอมาตลอดพูดด้วย
.คำว่าขอโทษ
“ ทำไมเอ็งไม่เคยเล่าให้ข้าฟังเลยว่า เรื่องที่บ้านแกกับแอ๊ปเปิ้ลอยู่ใกล้กัน” ชิดพงษ์ถามขณะที่มีเธอนั่งอยู่ด้วย ตอนนั้นเราสามคนนั่งกันอยู่ใต้ร่มไม้ช่วงพักกลางวัน หลังจากที่ทั้งคู่คุยเรื่องร้านอาหารล่าสุดที่เพิ่งไปกินกันมาเมื่อวาน ผมงงๆไม่รู้ว่าไหงคุยเรื่องร้านอาหารก็วกมาเรื่องบ้านผมกับบ้านเธอได้
ขณะที่ชิดพงษ์รอคำตอบ ผมเองก็รู้สึกได้ว่า เธอเองก็รอดูคำตอบของผมจะออกมาเป็นเช่นไร
“ ฉันจำเป็นต้องบอกแกด้วยเหรอ ? ” พอเห็นสีหน้าของเพื่อนผมก็เลยรีบพูดตัดบท “ฉันหมายความว่า อันที่จริงเราไม่ค่อยได้คุยกันน่ะ”
“หา ??? อยู่บ้านข้างๆกัน เรียนอยู่ที่เดียวกันมาตลอดเนี่ยนะ ฉันก็พอจะเข้าใจนะว่าเอ็งน่ะ ไม่ค่อยพูด--- แต่มันก็น่าแปลกอยู่นะเว้ย --- อย่าบอกนะว่าไม่เคยคุยกันเลย?” ชิดพงษ์ถาม มองมาทางเรากึ่งขำกึ่งจริงจัง
“ใช่ เราไม่เคยคุยกันเลย”
ณ วินาทีนั้น เธอก็หันมามองผมแบบจริงๆจังๆ ในครั้งแรกในรอบหลายปี เป็นสายตาแบบเดียวกันกับที่เธอมองผมเมื่อหลายปีก่อน ผมจ้องเธอกลับพยายามค้นหาว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร หรือพูดอะไรกับผม แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชิดพงษ์กับเเอ๊ปเปิ้ลคบกันจนขึ้นชั้นมัธยมปีที่หก ช่วงเวลาสามปีที่ผมพยายามตัดใจและตีตัวออกห่าง หลายคนคิดว่าชิดพงษ์รักแอ๊ปเปิ้ลมากจนเกินไป เอาแต่สละเวลาให้เธอจนลืมผม แต่ไม่เคยมีใครคิดไปอีกแง่หนึ่ง ซึ่งเป็นแง่ที่ถูกต้องและผมเท่านั้นที่รู้
ปลายเดือนสิงหา พงษ์มาขอคำปรึกษากับผมอย่างออกหน้าออกตาเกี่ยวกับเรื่องที่เขาสุดแต่จะหาอะไรต่อมีอะไรมาเซอร์ไพรส์เธอในวันเกิดที่จะถึงอีกไม่กี่วันนี้ ผมคิดอยู่เสมอว่า ผมนี่แหละที่รู้จักเธอดีที่สุด ดีกว่าเขาไม่รู้กี่เท่า และแน่นอนว่านั่นเป็นเหตุผลที่ผมสามารถเข้าไปแทนที่เขา แล้วเป็นคนที่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้ดีกว่า แต่ก็ต้องสลัดเอาความคิดบ้าๆนั่นออกไป พงษ์เป็นเพื่อนรักของผม และผมไม่อยากจะคิดเรื่องนี้อีก
พงษ์กำลังชวนผมไปงานวันเกิดเธอ ซึ่งมีแต่เราสามคนเท่านั้น
“ แกเป็นเพื่อนฉันนะเว้ย ฉันอยากให้แกอยู่ด้วย เราก็มีกันแค่นี้” มันพูดกับผม ผมจะปฎิเสธได้ไหมเล่า
“--- แล้วที่สำคัญ ฉันทำตัวไม่ค่อยถูกเลยเวลาอยู่ใกล้เธอช่วงนี้” เสียงเขาเรื่มอ่อย เว้นระยะในการพูด ผมเงียบรอฟังไปเรื่อยๆ
“ ไม่รู้ดิ กูว่าแอ๊ปเปิ้ลช่วงนี้ดูหงอยๆไป เค้าไม่เคยพูดรึเล่าอะไรให้ฉันฟังเกี่ยวกับตัวเค้า รึปัญหาของเค้า พอฉันถามเค้าก็เอาแต่ยิ้ม นี่ฉันดูเหมือนแฟนเค้ารึเปล่าวะ?” พงษ์ถามผมอย่างกังวล ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันได้แต่ปลอบเขาว่า เขากับเธอเป็นคู่ที่เหมาะสมกันและเขาก็ทำหน้าที่แฟนได้อย่างดีเยี่ยม
ผมยังจำครั้งสุดท้ายที่ผมซื้อของขวัญให้เธอได้ มันเหมือนเป็นภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้นี่เอง ไม่มีงาน ไม่มีลูกโป่งหรือเค้กวันเกิด ไม่มีเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์หรือการ์ดอวยพร มีแต่ผมกับเธอบนหลังต้นไม้
ผมซื้อรองเท้าให้เธอ เหมือนคู่เดิมที่เธอเคยใส่ตอนย้ายเข้ามาในวันแรก เพียงแต่คู่ใหญ่กว่า ใช่ครับเธอชอบสีแดง ผมเลยซื้อสีแดงให้ ซึ่งมันก็ดูเหมือนคู่เดิมเปี๊ยบ เธอไม่พูดอะไรหลังจากแกะห่อ เธอใส่แล้วยิ้ม เหมือนรอยยิ้มครั้งแรกที่ผมได้รับจากเธอตอนที่ผมให้ลูกกวาด
“ ชอบมั้ย?” ผมถามเธอ
เธอใส่เดินไปมาแล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม “ชอบสิ! ขอบใจนะ เป็นคู่ที่ใส่สบายมากที่สุดในโลกเลย!!!”
ผมไปงานกับพวกเขาจนได้ ครั้งนี้จัดในบ้านของพงษ์เอง ก่อนหน้านี้ผมเคยกังวลว่า จะเป็นยังไงถ้าผมต้องเดินไปเคาะประตูบ้านเธอ พ่อเธอจะยังแยกเขี้ยวใส่ผมเหมือนเดิมรึเปล่า
“ เฮ้ยวิทย์! มาจนได้นะเพื่อน--- ฉันกับแอ๊ปเปิ้ลกินของว่างกันจวนจะหมดอยู่แล้ว เรากำลังจะแกะห่อของขวัญกันว่ะ แล้ว...ไหนละของขวัญ?”
“ ฉันลืมว่ะ ขอโทษนะ” ผมหันไปขอโทษเธอ เธอตอบรับด้วยการพยักหน้าแล้วยิ้มให้
“ ไอ้ห่า มึงงกรึไงวะ วันเกิดแกฉันยังเลี้ยงลูกชิ้นแกเลย จะงกไปถึงไหน- -----”
“ ช่างเถอะ เรามาแกะกล่องของพงษ์กันดีกว่า” เธอพูดไปพลางแกะกล่อง มันเป็นสร้อยเงินรูปผีเสื้อที่มีการออกแบบมาไม่เหมือนกับสร้อยรูปผีเสื้อตัวอื่นๆที่ผมเคยเห็น พอเธอสวมใส่ มันก็ดูเข้ากับคอและรูปหน้าเธอดี เธอดูสวยสว่างไสวราวกับหิ่งห้อยในฤดูฝนตอนกลางคืน เหมือนดั่งแสงสว่างในยามเช้าของเดือนธันวา เหมือนแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์สาดส่องผิวน้ำในหน้าร้อน
เหมือนกับแอ๊ปเปิ้ล เด็กหญิงที่เคยมีชีวิตชีวา เด็กผู้หญิงคนนั้น---
“เธอดู สวยมากเลย” ชิดพงษ์พูด คำนั้นสมควรที่จะเอ่ยเอื้อนออกมาจากปากผม
เธอยิ้ม “ไม่มีการ์ดหรือกลอนสวยๆสักบทเหรอ?”
พงษ์หัวเราะก้าก “เราแต่งกลอนเป็นซะที่ไหนเล่า!!!”
“ อ้าว--- แล้วกลอนนั่นใครแต่งล่ะ อย่าบอกนะว่าไปลอกเขามา ออกจะสุนทรภู่จ๋าซะขนาดนั้นน่ะ”
ขณะที่ผมจะห้ามอะไรได้ทัน พงษ์ก็ยังคงปล่อยไก่ไปเรื่อยๆ “กลอนอะไร??? ใครคือสุนทรภู่อ้ะ???”
“ ก็- - - กลอนที่พงษ์แต่งจีบเราไง ที่วิทย์เอามาให้------” แอ๊ปเปิ้ลลดเสียงลง เธอคงจะรู้ว่าคนที่เขียนกลอนนั่นไม่ใช่พงษ์หลังจากมองหน้าผมกับพงษ์สลับกัน
เราทั้งสามเงียบกันไปนานมาก ความครื้นเครงเมื่อกี้หายไป พงษ์ไม่มองหน้าผม เขาเดินออกไปดื้อๆ ผมตะโกนเรียกเขา
“ เฮ้ย พงษ์ ฉันอธิบายได้ว่ะเพื่อน” ผมเดินตามเขาไป
เขาเงียบ ปกติไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นรึอยู่ในสถานการณ์แบบใด เขาจะเป็นคนแรกที่ทำลายบรรยากาศนั้นเสมอ
“ ฉันก็แค่อยากให้ แกสมหวังกับแอ๊ปเปิ้ล” ผมพูดออกไป เพิ่งจะรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาเลย
“ งั้น---แสดงว่าแกเป็นคนแต่งกลอนนั่น แล้วกลอนนั่นก็ทำให้แอ๊ปเปิ้ลชอบฉันงั้นเหรอ? โห เพื่อนรัก กูโคตรภูมิใจเลยว่ะ! กูอยากจะขอบคุณมึงมากๆเลย!!!”
“ แล้วทำไมแกต้องโมโหขนาดนั้นด้วยวะ?” ผมพูดฉุนๆ
พงษ์หันขวับมาจ้องหน้าผมตรงๆ หน้ามันยังกะว่าอยากจะหั่นผมเป็นชิ้น “ ทำไมเหรอ? มึงอย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย ไอ้วิทย์ กูรู้ว่ามึงคิดยังไงกับแอ๊ปเปิ้ล ”
“ มึงพูดเหี้ยอะไรของมึง!” ผมสับสน
“กูก็คิดอยู่นะทำไมมึงไม่เคยเอ่ยปากพูดเรื่องแอ๊ปเปิ้ล เรื่องที่ว่าเคยเรียนอยู่ที่เดียวกันตั้งแต่ประถม อยู่บ้านใกล้กัน มึงเป็นเพื่อนกูไอ้วิทย์ กูรู้---- ตลอดเวลาที่มึงไม่รู้ตัวมึงแอบมองแฟนกู -----มึงชอบแฟนกู!!!” พงษ์แยกเขี้ยวใส่ผมแล้วผลักผมออกจากตัวเขา แอ๊ปเปิ้ลยืนมองดูเราอยู่อย่างเงียบๆ เธอเองก็ดูสับสน
“ มึงอยากจะแก้ตัวอะไรมั้ย?” มันถามผม “มึงชอบแอ๊ปเปิ้ลใช่มั้ย?”
ไม่มีคำตอบออกมาจากปาก เหมือนกับวันนั้น และการเงียบในครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากวันนั้น คือแย่ลงกว่าเดิม
พงษ์ส่ายหน้า สบถ แล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้ผมอยู่กับเธอทั้งอย่างนั้น ผมเองก็สับสน เธอเองก็เช่นกัน ผมเงยหน้าขึ้นมองดูสร้อยคอที่เธอใส่ รองเท้าคู่นั้นคงจะเทียบอะไรไม่ได้กับสร้อยคอเส้นนี้ บางทีเธออาจทิ้งมันไปแล้ว ผมนึก
เธอเดินไปหยิบกระเป๋าตั้งท่าจะกลับ ในตอนนั้นเองผมก็ตะโกนออกไป
“เดี๋ยว แอ๊ปเปิ้ล!” เธอหยุดเดินหันหลังกลับ สีหน้ายากจะเดาออกว่าคิดอะไร
เธอรอให้ผมพูดต่อ
“เรา---เราอยากจะพูดกับเธอมาตลอด ตั้งแต่วันนั้น เราพยายามที่จะพูดกับเธอมาตลอด----” ผมด่าตัวเองในใจ พอถึงเวลาที่เหมาะที่สุด ผมยังคิดคำพูดดีๆออกมาไม่ได้
เธอหันมา “เธอทำยังงี้ทำไม???”
“ ทำ---อะไรนะ ? ” ผมทวน
เธอมองผม ด้วยสายตาอันว่างเปล่า “ฉันจะกลับแล้ว----” และเธอก็เดินจากไปดื้อๆ
ใช่แล้วล่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันควรจะจบลงแค่นี้ เธอจบลงได้ดีมากแอ๊ปเปิ้ล ‘ฉันจะไปแล้ว’ ไม่ต่างอะไรเลยจากคำว่า ‘อย่ามายุ่งกับฉัน’ ที่ผ่านมาผมได้แต่รอคอยช่วงจังหวะที่ผมจะสามารถพูดคุย กล้าบอกเธอได้ แบบจริงๆจังๆ ไม่ใช่คุยแบบ ‘สวมบทบาทในโรงเรียน’ ไม่ใช่คุยแบบ ‘สถานการณ์จำเป็น’
มันจบลงแล้ว ผมพยายามระงับอารมณ์ทุกอย่างที่ประดังเข้ามาหา เสียงหนึ่งดังขึ้น ‘แค่นี้เองเหรอ? แกจะให้มันจบลงแค่นี้เองเหรอ ?’
“ ฉันขอโทษ”
แอ๊ปเปิ้ลหยุดเดินอีกครั้ง เรายืนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก และผมก็เห็นว่าน้ำตาเธอกำลังจะไหล
“ ทำไม???” เธอหันมาถามผม เสียงแหบพร่า
ผมคิดหาคำพูดไม่ออก ทำไมน่ะเหรอ? ทำไมผมต้องขอโทษเธอ บางทีเธออาจจะไม่เข้าใจก็ได้ว่าผมกำลังขอโทษเธอเรื่องอะไร
“ฉันอยากจะขอโทษเธอ เรื่องในวันนั้น ---แล้วก็ตลอดเวลาที่ฉันไม่เคยอยู่เคียงข้างเธอเลย
.ฉันควรจะปกป้องเธอ ฉันเป็นเพื่อนที่ไม่เอาไหน ฉันน่าจะคุยกับเธอ เล่นกับเธอ ทำเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ใช่ปล่อยให้มันล่วงเลยมาจนวันนี้ แอ๊ปเปิ้ล ---เราขอโทษ”
ผมพูดแล้วนึกถึงภาพตอนที่พ่อเธอทั้งตบ ด่าเธอด้วยถ้อยคำหยาบคายแล้วฉุดกระชากเธอลงไปหาภรรยาข้างล่าง เธอหันมาหาผมด้วยสายตาวิงวอน ตอนนั้นทำไมผมถึงไม่ทำอะไรสักอย่างนะ? ทำไมผมไม่แก้ตัวแทนเธอ? หรือ ปกป้องเธอจากพ่อ ไม่ก็บอกทุกคนว่าเป็นความผิดผมเองที่ขอให้เธอทำ
ในที่สุดผมกลั้นน้ำตาตัวเองเอาไว้ได้ นี่อาจเป็นเพราะเรื่องความแตกต่างของฮอร์โมน เพราะตอนนี้น้ำตากำลังรินไหลบนใบหน้าของผู้หญิงคนที่ผมรักมาตลอด ผู้หญิงที่ผมรักสุดหัวใจ
“ ที่ฉันต้องการ ไม่ใช่---คำขอโทษจากเธอหรอกนะ วิทย์
.ฉันไม่เคยต้องการคำขอโทษจากเธอเลย!” เธอร้องออกมาแล้วก็วิ่งจากไป ทิ้งให้ผมเป็นไอ้บื้อยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว
นี่มันคงจะจบลงจริงแล้วสินะ ผมคิด
หลังจากวันนั้น พวกเขาไม่ได้คุยกันอีกเลย พุดอีกอย่างก็คือ ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ได้จบลงแล้ว หากเป็นผมเมื่อก่อนคงแอบรู้สึกได้ปลื้มอยู่ในใจ แต่ ณ ตอนนี้อะไรๆก็ไม่เหมือนเดิม ผมมองหน้าพงษ์ไม่ติด เขาไม่ยอมคุยกับผมเหมือนที่ทำกับแอ๊ปเปิ้ล ต่างฝ่ายต่างหันหลังเข้าหากัน ผมได้แต่เพียงรอให้เวลาผ่านไปจนพงษ์จะยอมยกโทษให้
ช่วงปลายปีมีนักเรียนหลายคนติดสถาบันต่างๆ โดยระบบสอบตรงและโควตา ผมเองก็ได้รับผลว่าติดคณะวิศวกรรมจากมหาวิทยาลัยรัฐมีชื่อแห่งหนึ่ง เพื่อนหลายคนรวมทั้งอาจารย์ต่างก็ร่วมกันแสดงความยินดี เนื่องจากมีผมคนเดียวที่สอบเข้าที่นี่ได้ด้วยระบบสอบตรง ไม่มีการ์ดอวยพรหรือข้อความแสดงความยินดีจากเพื่อนรักผม
ไม่มีคนอื่นรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนอกจากเราสามคน อาจเป็นเพราะทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการเอนทรานซ์ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายของการคัดเลือกนักศึกษาเข้ามหาลัยในระบบใหม่โดยใช้คะแนนโอเนตเอเนต ตอนนี้ เลยไม่มีใครจะมาสนใจว่าตอนนี้ผมไปกินข้าวกับใครบ้าง
เนื่องจากการที่ผมมีที่เรียนแล้วผมจึงไม่ค่อยสนใจเรียนในเทอมสุดท้ายเท่าไหร่นัก จึงทุ่มเทแล้วเอาเวลาที่มีไปใช้กับการปลูกต้นไม้ที่สวนหลังบ้าน ซึ่งตอนนี้ผมกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพืชสวนคนนึงไปแล้ว การปลูกต้นไม้ช่วยคลายเครียดผมจากสิ่งต่างๆได้เยอะแล้วดูเหมือนกับว่ามันจะเป็นกิจกรรมที่ผมขาดไปไม่ได้
เรื่องผมกับแอ๊ปเปิ้ล ผมพยายามที่จะไม่นึกถึงมัน ซึ่งตอนนี้ผมก็ตัดใจได้แล้วพอสมควร ผมปลงใจได้แล้วว่ามันควรจะจบลงอยู่แค่นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับชิดพงษ์ แล้วหันหน้าเข้าสู่โลกแห่งความจริงเสียที
สองสัปดาห์ก่อนวันปัจฉิมนิเทศน์ พงษ์ยืนชู้ตบาสอยู่ที่ยิมหลังเลิกเรียนในช่วงเย็นวันอังคาร มีแต่ผมกับเขาที่อยู่ที่นั่น ผมยืนอยู่ตรงทางเข้ายิมสักยี่สิบนาทีก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว
“ ดีใจด้วยว่ะที่แกสอบติดนิเทศน์” ผมเริ่ม
พงษ์พยักหน้าเหมือนรับรู้ว่าได้ยิน แล้วหันไปมุ่งความสนใจกับลูกบาสต่อ ผมเริ่มรำคาญกับพฤติกรรมไร้เหตุผลของเขา
“เฮ้ย กูรักมึงว่ะ” อยู่ๆผมก็โพล่งออกมา
พงษ์ที่กำลังตั้งท่าจะชู้ตบาสมีท่าทีสะดุดเล็กน้อย ลูกบาสที่โยนไปชั่วจังหวะการโคจรดิ่งลงมาโดนหัวชิดพงษ์เสียงดัง ตุ้บ! มันหันขวับมามองผมแบบงงๆ ไม่รู้ว่าท่าทีงุนงงนั้นเป็นเพราะลูกบาสเมื่อครู่หรือคำพูดที่ผมเพิ่งพูดออกไป
“มึงพูดเหี้ยไรวะไอ้วิทย์?” มันถามกึ่งขำกึ่งจริงจังตามแบบฉบับของมัน
“ กูก็พูดจากใจจริงกู เหลือเวลาไม่กี่วันแล้วที่กูกับมึงจะมีโอกาสได้บอกรักกัน มึงไม่คิดงั้นเหรอ?”
ชิดพงษ์เดินไปหยิบลูกบาสแล้วโยนมาหาผมอย่างแรง ผมเกือบจะรับไว้ไม่ได้
“กูก็ว่างั้น” มันยิ้ม
เราหัวเราะ แล้วก็กลับมาเป็นวิทย์และพงษ์เหมือนเมื่อก่อน
“ เรื่องฉันกับแอ๊ปเปิ้ลมันจบลงแล้วว่ะเพื่อน” ไอ้พงษ์เริ่มพูดก่อนเป็นคนแรกตอนเราหยุดเลือกที่นั่งตรงมุมไม้หินอ่อนใกล้กับสนามรักบี้ ผมพยักหน้าเหมือนจะบอกว่าเข้าใจ จริงๆแล้วไม่อยากถามและคุยเรื่องนี้เท่าใดนักเพราะผมคิดว่ามันไม่จำเป็นอะไรเลยที่จะต้องมารื้อฟื้นเรื่องๆเก่า ผมรู้สึกพอใจแล้วที่ตอนนี้ได้พงษ์มาอยู่เคียงข้างอีกครั้ง
“ ก็คิดอยู่ว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ ฉันรู้อยู่เสมอแหละว่าฉันไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเขา” พงษ์พูดแล้วยิ้มอย่างเศร้าๆ เขามองออกไปอย่างเหม่อลอย ผมนั่งดูนักกีฬารักบี้รุ่นพี่กล่าวอำลารุ่นน้องในอาทิตย์สุดท้ายของฤดูกาลการแข่งขัน จู่ๆผมก็คิดได้ว่าเวลาของคนเรานั้นไม่เคยพอเลย ไม่เลย หากวันนี้ผมไม่ได้มาหาพงษ์ที่นี่ หากเขายังคงดื้อดึงไม่ให้อภัยผม เราก็คงจะต้องจากกันไปทั้งๆที่เรื่องมันยังคงคาราคาซังแบบนี้อยู่ เราต่างก็รู้มาตลอดว่าอีกฝ่ายแคร์เรามากน้อยแค่ไหนและ อาลัยอาวรณ์และผูกพันกันมากเพียงใด ผมขาดพงษ์ไม่ได้ และพงษ์เองก็คงคิดแบบเดียวกัน
เราอยู่ตรงนั้นจนฟ้าเริ่มมืดก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไป พงษ์เอามือมาไพล่หลังผม “มีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันก็อยากบอกแกเหมือนกัน
--- กูก็รักมึงว่ะ”
วันปัจฉิมนิเทศเริ่มตั้งแต่แปดนาฬิกา มีพิธีทางการอันน่าเบื่อหน่ายอยู่สองสามพิธี หลังจากจบการอำลาของนักเรียนตัวแทนพวกเราก็มอบช่อดอกไม้แก่ครูและเพื่อนก็พูดถึงสิ่งที่ไม่เคยพูดกับเพื่อนในตลอดปีการศึกษา หลายคนร้องไห้ คนที่ไม่เคยพูดเป็นคู่ อริกันมาตลอดก็เพิ่งจะมาดีกันได้ในวันนี้ ผมมองภาพเหตุการณ์ข้างหน้าด้วยความเบื่อหน่าย ชิดพงษ์ดูเหมือนจะเริ่มเบื่อๆเช่นกัน ผมเห็นมันนั่งคุยกับผู้หญิงห้องข้างๆด้วยท่าทีสนิทสนม
“ วิทย์ เอาแขนมาเร็ว!!!” เสียงแหลมเล็กดังมาจากทางด้านหลัง ผมหันไปแล้วก็เห็นจุ้บแจงยิ้มให้อย่างสดใส ในมือเธอถือสายสิญจน์จ์ผูกแขนไว้รอ
ผมยื่นแขนไปให้เธอ จุ้บแจงกับผมเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่มอปลาย แต่เราไม่สนิทกันนัก เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่ร่าเริงอยู่ตลอดเวลาคนหนึ่ง เธอพันสายสิญจน์รอบข้อมือขวา กล่าวคำอวยพรไปตามประสา ก่อนที่เธอจะสารภาพความจริงที่ตลอดเวลาที่เรียนที่นี่ไม่เคยรู้มาก่อน
“ เราชอบนาย” เธอพูดแล้วแลบลิ้นใส่
“ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” ผมถาม
“ ตลอดเวลา
ที่นายไม่รู้ตัว” จุ้บแจงพูดแล้วยิ้ม “ถ้านับดีๆก็สามปี”
“ ขนาดนั้นเชียว???” ผมอึ้งกิมกี่เลยครับ
จุ้บแจงพูดต่อ “ ที่มาบอกเนี่ย ไม่ได้อยากให้นายชอบฉันตอบหรอกนะ เพียงแต่คิดว่า ไอ้ตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมาเนี่ย มันโคตรแสนจะอึดอัดเลยที่เราไม่เคยได้แม้แต่แง้มบอกนายเรื่องนี้สักกะนิด และก็ยิ่งอึดอัดตรงเนี้ย ที่นายไม่เคยสนใจเราเลย” เธอชี้ไปตรงหน้าอกด้านซ้าย
“ขอโทษนะ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี
เธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะเอาลูกอมฮาร์ทบีทยัดเข้าไปในมือผม มันเขียนตรงหน้าห่อว่า ‘รักเธอเสมอ’
“โชคดีนะ!” เธอโบกมือให้แล้วก็เดินเข้าไปร่วมกลุ่มถ่ายรูปกับเพื่อน
ผมแกะลูกอมรสสตอเบอรี่เข้าปาก อืม บางทีรสชาติของการเผยใจก็หวานอย่าบอกใคร ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมกลัวว่ามันจะขมปี๋เหมือนกับยางรถยนต์
“ เฮ้ย วิทย์ มาถ่ายรูปด้วยกัน ยืนทำซากไรวะ พิธีจะจบลงแล้วนะเว้ย” ชิดพงษ์เรียกผม
ผมตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง แล้วเริ่มวิ่งฝ่าฝูงชน กวาดสายตาไปโดยรอบ เธอไม่ได้อยู่ในงาน เธอคงจะอยู่ที่บ้าน ผมวิ่งออกจากพิธีโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของเพื่อนชายด้านหลัง
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกต้องแล้ว ถูกต้องที่สุด! ผมร้องตะโกนออกไปด้วยความดีใจ ผมวิ่งไปอย่างไม่ลดละ ก่อนที่จะตะกายขึ้นรถสายแล้วมาโผล่ที่หน้าบ้านตัวเอง
ผมวิ่งขึ้นไปบนห้อง ผ่านแม่ที่เพิ่งถามเกี่ยวกับงานในพิธีว่าเป็นอย่างไร ก่อนที่จะได้ยินเสียงจุ๊ยหลังจากที่ผมวิ่งขึ้นมาโดยไม่ได้ตอบคำถามอะไร
ผมกระโจนไปยังกล่องสีเหลืองใบหนึ่งที่ตั้งอยู่ใต้ขอบเตียงด้านขวา มันเป็นของขวัญที่ผมเลือกซื้อให้เธอ แต่ไม่มีความกล้าที่จะหยิบติดมือไปมอบให้ในงานวันเกิด ผมคว้ากล่องได้ก็มุ่งตรงไปยังบ้านของเธอเหมือนกับครั้งแรกที่ผมพยายามจะแอบดูเธอ ผมกระโดดข้ามรั้วที่สูงเพียงเอว รั้วที่คอยปิดกั้นการเข้าหาของพวกเรามาโดยตลอด ในตอนนี้ผมได้ข้ามมันมาอีกครั้ง
ผมได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเอง ขณะที่เคาะประตู
เป็นพ่อเธอที่มาเปิดประตู ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากถามอะไร เขาก็พูดขึ้น
“ มันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว” เขาพูดเสียงเหี้ยมปกติของเขา
“ อะไรนะครับ???”
“ ยัยนั่นมันหนีไปได้สองสามวันแล้ว ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นในห้องมัน” เขาพูดสรุป
ผมนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ความลิงโลดใจที่ผมมีอยู่ก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น เธอหายไป(!?!) ผมไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆเธอก็หายไป แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ผมเพิ่งรู้ตัวเอาตอนนี้เองว่า ผมเองก็เป็นเพียงแค่ไอ้งั่งคนหนึ่งที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย ทั้งๆที่แต่ก่อนหน้านี้ผมกระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า ฉันนี่แหละที่รู้จักเธอดีที่สุด
คนที่คิดว่ารู้จักเธอดีที่สุดอย่างผมไม่สามารถเดาได้เลยว่าว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน
พ่อของเธอมองผมอย่างสำรวจก่อนจะพูดขึ้นด้วยโทนเสียงไม่น่าฟังกว่าเดิม “แกนั่นเอง ---ไอ้เด็กข้างบ้านคนนั้น แกเองก็คงจะไม่รู้ล่ะสิว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”
“ ไม่ ผมไม่รู้” ผมยอมรับ
“ เออ ฉันก็ไม่อยากรู้นักหรอก ถ้ามันคิดว่ามันแน่ก็ให้มันไป มันคิดว่ามันสามารถอยู่ได้โดยไม่มีพ่อมีแม่มันก็เชิญให้มันไป นังนี่มันออกลายตั้งแต่เด็กแล้ว แกเองก็น่าจะรู้จักมันดีนี่ ไอ้เด็กคนนึงก็หมั่นคอยมารับมาส่งมันทุกวันก่อนหน้านี้ มันคงจะหนีตามไอ้คนนั้นไป” เขาปล่อยผรุสวาทออกมาด้วยสีหน้าแสดงความดูถูก
“ มันก็โสเภณีดีๆนี่เอง อีนังลูกสาวจัญไร----”
“ เขาไม่ใช่ลูกสาวของคุณ” ผมโพล่งออกไป “เขาไม่เคยคิดว่าคุณเป็นพ่อของเขา!!!”
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ผมก็โดนหมัดของเขาที่หน้าเต็มๆ แล้วฟุปไปกองอยู่ที่พื้น
“ แก ไอ้เด็กเวร มึงออกไปจากบ้านกูเดี๋ยวนี้ ย้ายตูดมึงแล้วไสหัวไปจากที่นี่ ไอ้----”
“ พอได้แล้ว !!!” คุณป้าโผล่มาทางด้านหลังของไอ้คนใจยักษ์นั่นแล้วพูดกับผม “ เธอไปเถอะนะ แค่นี้เราก็เสียใจมากพอแล้ว”
ผมไม่พูดอะไร พยายามทรงตัวแล้วลุกขึ้นเดินก่อนที่เธอจะเรียกผมอีกครั้ง
“เดี๋ยว!!!” เธอเดินถือกล่องใบเล็กๆคุ้นตามาให้ผม “นี่ของจากแอ๊ปเปิ้ลให้เธอ” คุณป้าพูด ผมเอื้อมมือไปรับกล่องนั้น บนกล่องมีกระดาษใบเล็กติดอยู่ เขียนว่า ‘ให้วิทย์ เพื่อนที่ดีที่สุดของเรา’
“ เธอคงจะสำคัญกับเขามากกว่าพ่อแม่อย่างเราสินะ” คุณป้าพูดอย่างเศร้าสร้อย
ผมเปิดของที่แอ๊ปเปิ้ลมอบให้ผมก่อนที่เธอจะไป แล้วผมก็เห็นรองเท้าสีแดงคู่ที่ผมเคยซื้อเป็นของขวัญให้เธอ ข้างในกล่องไม่มีการ์ดหรือจดหมายสักฉบับที่เธออาจเขียนหาผม ไม่มีอะไรเลยนอกจากรองเท้า
บางทีสิ่งที่เธอต้องการสื่อผ่านของขวัญชิ้นเดิมโดยการให้คืนก็คือ คำบอกลา นี่คงเป็นการบอกลาที่ปราศจากคำพูด แต่แฝงความรู้สึกที่มีต่อความทรงจำดีๆ เธอคงต้องการจะลืมผม ด้วยการผลักไสของชิ้นนี้คืนมาให้
ผมนึกถึงคำพูดสุดท้ายที่เธอพูดกับผม “ สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่คำขอโทษจากเธอ วิทย์ ฉันไม่เคยต้องการคำขอโทษจากเธอเลย!!!”
“ วิทย์ชอบเรารึเปล่า? ” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเคยเอ่ยปากถามผม
“ มึงชอบแอ๊ปเปิ้ลไช่ไหม? ”
คำพูดที่เธอต้องการจากผม อาจเป็นคำเดียวกันกับสิ่งที่ผมอยากจะบอกเธอมาตลอดก็ได้ ผมพูดกับตัวเอง
ผมหยิบรองเท้าสีแดงคู่เล็กวางไว้บนชั้นหนึ่งของตู้ ก่อนที่จะหยิบสีแดงใบใหญ่กว่าอีกคู่ออกมาจากกล่องของขวัญสีเหลือง เอาไปวางไว้ใกล้ๆกัน แล้วจ้องมองดูพวกมันอย่างเศร้าสร้อย
The End.
ผลงานอื่นๆ ของ ooparakorn ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ooparakorn
ความคิดเห็น