คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ทุติยบท
พระพรหมได้ให้กำเนิดบุตรองค์หนึ่งนามว่า ทักษะจากนิ้วหัวแม่มือขวามีชายานามว่า นางวิริณี ธิดาของมนูและศตรูปา เมื่อถึงเดือนที่ 10 เมื่อตำแหน่งดาวทั้งหลายเข้าสู่ตำแหน่งแห่งมหามงคล นางวิริณีได้ทรงคลอดทารกน้อยเพศหญิงซึ่งเป็นองค์ศักติอวตาร ในวาระนั้นเองเหล่าเทวะและนางอัปสรพากันเสด็จมาโปรยปรายดอกไม้ทิพย์บนเรือนร่างของพระธิดาด้วยตั้งชื่อพระธิดาองค์โตว่า “สตี” (แปลว่า ความจริง) ส่วนเทวีสตีนั้นครั้นเจริญวัยได้บูชาพระศิวะในภาคพระมุนีภพเพื่อที่จะให้พระองค์รับเป็นชายา พระพรหมและพระวิษณุเห็นความพากเพียรของเทวีสตีจึงไปกราบทูลต่อพระศิวะ พระศิวะพอพระทัยในการปฏิบัติของเทวีสตีจึงจะรับนางเป็นชายา ในวันอาทิตย์ขึ้น13ค่ำ เดือนไชตร เมื่อดวงดาวอยู่ในจุตุตราผาลคุณี พระศิวะเคลื่อนขบวนเจ้าบ่าว โดยมีพระวิษณุและพระพรหมนำหน้าขบวน มีภูตและเทวดารายล้อม เมื่อดาวนพเคราะห์เข้าเสวยตำแหน่งอันเป็นมหามงคลฤกษ์ พระทักษะได้มอบพระสตีธิดาผู้เลอโฉมให้แก่พระศิวะเทพ โดยมีเหล่าเทวะและเทวีทั้งหลายเป็นประจักษ์พยาน พระทักษะทรงมอบสินแต่งงานให้แก่พระธิดาตามประเพณี และมอบของขวัญมากมายแก่พระเป็นเจ้า ในงานมหามงคลดังกล่าวมีการแจกทานต่อเหล่าพราหมณ์ทั้งหลายและผู้ยากจนอีกด้วย เมื่อเสร็จพิธีวิวาห์พระศิวะก็พาพระแม่สตีกลับไกรลาศ ส่วนทักษะนั้นแม้ว่าจะยกพระสตีให้แก่พระศิวะไปแล้ว แต่ลึกๆ ในใจของพระทักษะนั้นมิได้ยินยอมพร้อมใจสักเท่าไร เพียงเพราะว่าไม่อยากขัดใจพระพรหมซึ่งเป็นพระบิดา และยังเห็นพระมุนีภพเป็นเพียงจ้าวแห่งภูตผี ( ภูเตศวร )และผู้มีกะโหลกมนุษย์เป็นเครื่องประดับ ( กปาลิน ) ในเวลาต่อมาพระศิวะก็ได้พาพระแม่สตีไปยังสถานที่ต่างๆ
โสมนาถศิวลึงค์
* โสมนาถศิวลึงค์ อยู่ที่โสมนาถปัตตน แคว้นคุชชระราษฎร์ ต่มาสุลต่านมหมุดทำลายเสีย
ในกาลครั้งหนึ่งพระทักษะได้จัดพิธีบวงสรวงขึ้น ณริมฝั่งแม่น้ำคงคาและยมนา พิธีดังกล่าวนี้ได้เชิญพระศิวะเทพและนางสตีมาร่วมในพิธีการนี้ด้วย ดังนั้นเหล่าเทวดา ฤๅษี คนธรรพ์ นักสิทธิ์ วิทยา ที่มาชุมนุมกันพร้อมเพรียง ต่างให้ความเคารพต่อพระมหาเทพและมหาเทวี ด้วยทรงเป็นพระเป็นเจ้าแห่ง 3 โลก ขณะเดียวกันฝ่ายพระทักษะขณะที่เดินทางมาถึงปรัมพิธี พระทักษะได้แสดงความเคารพต่อพระจตุรพักตร์ในฐานะที่เป็นบิดาตน แต่เมื่อเดินทางผ่านไปยังพระศิวะเทพ ผู้เป็นลูกเขยกลับวางเฉยมิได้แสดงความนอบน้อมแต่อย่างไร ทั้งนี้เพราะพระศิวะเทพเจ้านั้นคือ พระเจ้าสูงสุด เมื่อเห็นอาการนิ่งเฉยเช่นนี้ได้สร้างความไม่พอใจแก่พระทักษะเป็นอย่างยิ่ง พระทักษะได้จ้องมองพระศิวะด้วยสายตาอันโกรธแค้น และกล่าวในที่ประชุมเทวะว่า “ข้าแต่เทวะ พราหมณ์ และเหล่าฤๅษีซึ่งมาชุมนุมกัน ณ สถานที่อันเป็นมงคลแห่งนี้ ข้าอยากให้ท่านเป็นสักขีพยานแก่ข้าสักหน่อย เป็นไปได้อย่างไรกันที่บุรุษผู้นี้ซึ่งมีบริวารเป็นภูตผีปีศาจจะถูกยกย่องให้เป็นมหาเทวะอันศักดิ์สิทธิ์ เขาได้ประพฤติตนต่ำช้า ไม่ยอมเคารพต่อตัวข้า ข้าขอประณามเขาเป็นผู้ซึ่งขาดคุณสมบัติอันเป็นเลิศในการประกอบพิธีกรรม เขาเป็นผู้ทำลายศาสนาแห่งพระเป็นเจ้าโดยแท้ เขาผู้นี้เป็นเพียงบุคคลนอกศาสนา คอยแต่จะจ้องและคิดร้ายโดยการซ่องสุมวิญญาณและภูตผี เขามีแต่ความอวดหยิ่งทระนง ลุ่มหลงเมามัวในกิจกรรมแห่งกามกับภริยา ผู้เป็นบุตรีของข้า พราหมณ์และเทวะทั้งหลายเอ๋ย ขอจงสดับรับฟังข้า ขอให้พวกท่านช่วยกันขับหัวหน้าของเหล่าวิญญาณและภูตผีซึ่งอยู่ ณ เชิงตะกอนผู้นี้ออกจากพิธีบวงสรวงนี้โดยด่วน เพื่อให้สถานที่แห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์เถิด” นนทิเกศวร บริวารของพระศิวะจึงกล่าวด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าอย่าได้อวดทระนงตนต่อไปเลยทักษะผู้โง่เขลา ข้าจะขอตั้งจิตอธิษฐาน กล่าวความอวมงคลสาปแช่งท่านทักษะ ขอให้ท่านมีใบหน้าเป็นแพะตลอดกาล จะได้รับความทรมานที่ต้องทนเห็นใบหน้าอันแสนอัปลักษณ์ชั่วช้านี้เป็นประจำ” หลังจากนั้นพระศิวะจึงเสด็จกลับสู่เขาไกรลาศ พระนางสตีเมื่อรู้ว่าพระสวามีของตนถูกเหยียดหยามจึงลับไปสู่งานพิธีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกลับไปสู่ปรัมพิธีพระทักษะก็กล่าวเหยียดหยามพระศิวะ จนพระแม่สตีนั้นทนไม่ได้กระโดดลงสู่กองไฟในงานพิธีนั้น พระนารทมุนีจึงนำความนี้ไปกราบทูลพระศิวะ เมื่อทรงได้รับฟังดังนี้ ด้วยความพิโรธพระโมลีบนเศียรพระศิวะ ถูกพระองค์สะบัดจนเส้นพระเกศานั้นถูกฟาดไปกับยอดเขามันธระ ส้นผมกลุ่มนั้นได้แตกออกเป็นสองส่วน บังเกิดเสียงดังสนั่นดังครึกโครม อึกทึก น่าหวาดกลัวราวกลับเป็นเสียงวาระสุดท้ายของโลก ผมกลุ่มแรกของพระองค์ให้กำเนิดพระมหาวีรภัทร ผมอีกกลุ่มหนึ่งของพระศิวะบังเกิดเป็นพระมหากาลี พระมหาวีรภัทร เทพเจ้าแห่งบริวารของพระศิวะ ยืนตระหง่านในพระหัตถ์มีรัตนธนูมหาอาวุธอยู่ในพระหัตถ์ ส่วนเทวีกาลีนั้นมีผิวสีดำ รูปร่างน่าเกลียด น่ากลัวและดุร้าย มีพวงมาลัยหัวมนุษย์แขวนคออยู่ โดยมีพระแม่ทุรคาอีก9ปางตามเสด็จพร้อมกับบริวารภูตผีจำนวนนับล้านตน มหาวีรภัทรรับโองการของพระมหารุทรแล้วเหาะไปทำลายพิธีของทักษะประชาบดี ในครั้งนั้นพระมหาวีรภัทรได้ยิงรัตนธนูถูกศีรษะของทักษะขาด มหาวีรภัทรได้โยนศีรษะของทักษะโยนตกลงไปในกองไฟจากนั้นทรงกระโดดเข้าหาพระฤษีภฤคุเป็นรายต่อไป ฝ่ายพระนนทิเกศวรได้ควักลูกตาของฤษีภฤคุออกมาด้วยว่า ครั้งหนึ่งฤษีรูปนี้เคยจ้องมองพระมหาเทพด้วยความโกรธแค้น หลังจากที่ได้ประหารคนและทำลายพิธีของพระทักษะจนหมดสิ้นแล้ว พระมหาวีรภัทรทรงนำทัพคืนกลับสู่ยังเขาไกรลาสที่ประทับของพระศิวะเทพ พระองค์ทรงพอพระทัยพระมหาวีรภัทรมากจึงทรงแต่งตั้งให้ เป็นหัวหน้าบริวารคณะของพระองค์ พระวิษณุและพระพรหมจึงไปขอร้องให้พระรุทรสงบพระทัย เมื่อพระเทวาธิเทพพริวะสังกรสงบพระทัยลง ก็เสด็จไปยังปรัมพิธีแล้วประทานศีรษะแพะแก่ทักษะ ทักษะนั้นก็ทูลขออภัยโทษ พระศิวะนั้นก็แบกร่างพระแม่สตีด้วยความโศกเศร้า พระวิษณุเกรงว่าจักรวาลจะพบมหาวินาศจึงใช้จักรตัดร่างพระแม่สตีเป็นชิ้นเป็นชิ้นกระจายอยู่ทั่วชมพูทวีป ด้วยความโศกเศร้านั้นพระศิวะจึงได้เข้าบำเพ็ญสมาธิ ในขณะเดียวกันตารกสูร ( ทราคา ) บุตรของวัชรังคะซึ่งขอพรจากพระพรหมจนพระองค์ต้องเสด็จมาให้พร ตารกสูรขอว่า ขอให้ไม่มีผู้ใดฆ่าตนได้นอกจากองค์ศิวบุตรเท่านั้น ตารกสูรเมื่อได้รับพรก็ก่อความเดือดร้อนไปทั่ว
พระแม่อุมา ปารวตี
กล่าวถึงเทวีสตีเมื่อได้เผาร่างตนเองจนมอดไหม้แล้วก็ได้ไปบังเกิดเป็นบุตรของท้าวหิมวัตและนางเมนกาแห่งยอดเขาหิมาลัยที่ทั้งสองไปพบที่ทะเลสาบอมฤตสรัสจึงนำมาเลี้ยงดูเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของตารกสูร ทรงประสูติเมื่อวันจันทร์ในคืนที่9เดือนมธุ พระเทวีทรงพระนามว่า ปารวตี พระพรหมรู้ว่าทารกผู้นี้จะเป็นผู้สังหารอสูรมากมายจึงส่งนางนิศา ( กลางคืน )มาทำให้ร่างกายเป็นสีดำคล้ำจึงได้ชื่อว่า กาลี ในวัยเยาว์ได้ทายดวงชะตาพระเทวีปารวตีว่าพระนางมีลักษณะมงคลยิ่ง จะนำความสุขมาสู่ครอบครัวคู่ครองของพระนางจะเป็นโยคีนุ่งห่มหนังเสือ เมื่อเทวีปารวตีเจริญวัยก็ได้คิดจะไปบำเพ็ญพรตจนพระนางเมนกาได้ทักท้วงพระแม่ปารวตีจึงอุทานด้วยคำว่าโอ่ มา วันหนึ่ง พระองค์ทรงถอยจากสมาธิพระหิมวัตจึงเสด็จไปเฝ้า พระองค์ทรงแสดงความเคารพกล่าวคำสรรเสริญและถวายพระองค์เป็นทาสรับใช้ของพระศิวะตลอดกาล พระศิวะทรงพอพระทัยในคำสรรเสริญนั้นจึงลืมพระเนตรจากการสำรวมสมาธิ รับสั่งว่าพอพระทัยที่พระหิมาลัยเสนอตนเข้ามาเป็นข้ารับใช้และทรงให้ช่วยจัดการให้บริเวณนี้ปราศจากผู้คนเข้ามารบกวนสมาธิของพระองค์ วันรุ่งขึ้น เจ้าหิมวัตได้ทรงไปเข้าเฝ้าพระศิวะสังกร การเดินทางในวันนี้ได้ทรงนำพระธิดาพระปารวตีติดตามไปด้วย พระศิวะทรงกรรมฐานสมาธิอยู่เมื่อได้ยินคำกล่าวสรรเสริญบูชาและแสดงความเคารพของเจ้าหิมาลัยก็ทรงลืมพระเนตรขึ้น หลังจากที่ราชะหิมาลัยถวายเครื่องบูชาอันควรแล้วได้กราบทูลขอร้องให้พระเป็นเจ้ารับนางปารวตี พระธิดาองค์เล็กไว้เป็นบาทบริจาริกาของพระองค์ พระศิวะเทพทรงมองดูพระพักตร์ของพระนางพลางคิดในใจว่า หญิงผู้นี้ช่างมีรูปร่างสวยงามผิวพรรณนั้นเล่าดั่งกลีบบัวที่กำลังแย้มบาน พระพักตร์ระเรื่อด้วยเลือดฝาดดั่งแสงนวลของเพ็ญจันทร์ ลำคอตั้งตรงเป็นปล้องมีรอยเวียนประทักษิณดั่งหอยสังข์ ดวงตาคมคาย เอวอ่อนช้อย เรือนผมดำยาวเป็นเงางาม เมื่อพระองค์ทรงประจักษ์ในความงามของพระนาง พลางเกิดอารมณ์รักและพอพระทัยวูบหนึ่งเมื่อพระองค์ระลึกถึงเพศพรตที่ครองอยู่นั้น จึงรีบสลัดความนึกคิดนั้นออกจากจิตของพระองค์และหลับพระเนตรเข้าสู่สมาธิโดยมิได้เอ่ยกล่าวในสิ่งใด พระหิมวัตเห็นดั่งนั้นจึงเร่งกราบทูลอ้อนวอนขอให้พระองค์ลืมพระเนตรอีกครั้ง พระหิมวัตทรงเปล่งคำสรรเสริญสวดมนต์ติดต่อกันจนพระศิวะต้องลืมพระเนตรอีกครั้งพระหิมวัตกล่าวว่า ตนจะมาเฝ้าพระองค์ทุกวันโดยจะนำเทวีปารวตีมาด้วย พระศิวะทรงกล่าวว่า ดินแดนแห่งนี้ขอต้อนรับพระหิมวัตด้วยใจจริง แต่อย่าได้นำพระธิดาพระองค์นี้มาด้วยเลย พระนางผู้เป็นธิดาควรจะประทับในพระราชวังที่ใหญ่โต มีข้าทาสบริวารรับใช้เป็นอันมาก มิควรเดินทางมาเพื่อให้หมองเกียรติเช่นนี้ หิมลัยราชทรงแสดงความแปลกพระทัย จึงกราบทูลถามถึงเหตุผลที่มิให้นางปารวตีมารับใช้พระเป็นเจ้า พระศิวาเทพทรงกล่าวว่า “อิสตรีเป็นฉากแห่งมายาและความหลอกลวง หญิงผู้เป็นความงามของโลกนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญซึ่งจะขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของบุรุษ การยุ่งเกี่ยวกับหญิงก็ดี การฝักใฝ่ต่อความสุขสำราญทางโลกก็ดี ย่อมทำลายซึ่งตบะแห่งการบำเพ็ญเพียรของฝ่ายชาย ดังนั้น นักพรตผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมครองพรหมจรรย์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอิสตรีใดๆ เลย ขึ้นชื่อว่า “นาง” ย่อมเป็นรากฐานแห่งความหลงผิด เป็นพันธนาการของโลก เพราะนางคือผู้ทำลายซึ่งความฉลาดและความสามารถของผู้ชายสิ้นไป” อันคำตรัสของพระมหาเทพทำให้นางปารวตีมิอาจทนนิ่งดูดายต่อไปไม่ได้ พระนางทรงกล่าวว่า “พระศิวะเทพเจ้า ทรงเป็นโยคีผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกทั้งสาม ทรงเป็นพราหมณ์สูงสุดในสายพระเวทด้วยทรงสมาธิ บำเพ็ญพระกรรมฐานจนพระวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่กว่าเทวะพระองค์อื่นใด เป็นผู้ได้ชื่อว่าไม่โอนเอนคลาดเคลื่อน ด้วยพลังแห่งพระปรักฤติ ยังให้พระองค์อยู่เหนือธรรมชาติไม่ตกอยู่กาลทั้งหลาย ดังนั้นพระองค์จึงได้ชื่อว่า พระกาล ผู้มีชัยเหนือเวลา ด้วยอำนาจแห่งพระปรักฤตินี้เองทรงเป็นคุ้มครอง รักษาและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้สร้างขึ้น พระองค์ผู้เปี่ยมไปด้วยดวงปัญญาส่องสว่างดั่งพระสูรยะบนฟากฟ้าโปรดพิจารณาเถิดว่า ใครกันเล่าสมควรได้ชื่อว่าพระปรักฤติที่ยิ่งใหญ่ หากคือพระองค์แล้วไซร้ ไฉนพระองค์ต้องหวั่นเกรงต่อผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างหม่อมฉันด้วยเล่า” ในที่สุดพระศิวะทรงยอมจำนนด้วยหลักการต่าง ๆ ทรงยอมให้พระนางคอยปรนนิบัติรับใช้พระองค์
กานันทกามูรติ
ในการปราบตารกาสูรจำเป็นต้องทำให้ศิวเทพเกิดความรัก โดยคณะเทวดาฝากความหวังไว้กับกามเทพ พระกามเทพได้นำนางรตีชายาของตนมาร่ายรำเพื่อบันดาลให้พระศิวะเกิดความรัก กามเทพนั้นได้ยิงบุษปศร พระศิวะจึงสะดุ้งพระเนตรที่สามเปิดออกเผาร่างกามเทพจนไหม้เป็นเถ้าถ่านจนนางรตีต้องไปกอบโกยเอาขี้เถ้า พระนาทรมุนีได้กล่าวแก่พระแม่ปารวตีบำเญตบะเพื่อให้พระองค์พอพระทัย ในปีแรกพระนางปารวตีทรงรับประทานแต่ผลไม้เพียงอย่างเดียว ในปีที่สองพระนางทรงรับประทานแต่ผักใบไม้เท่านั้น ทรงใช้เวลาทั้งหมดในการทำสมาธิเช่นนี้เป็นเวลายาวนาน และในปีต่อมาทรงอดอาหารทุกชนิด และนั่งสมาธิกรรมฐานเท่านั้น ในกาลต่อมา พระนางทรงภาวนามนตร์ โอม มนัช ศิวาย นางทรงปฏิบัติทุกสิ่งที่ยากยิ่งแม้ฤษีที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถกระทำได้อย่างนาง นางได้ปฏิบัติสมาธิติดต่อเป็นเวลา3000ปีเทวะ พระศิวะพอพระทัยจึงเสด็จมาลองพระทัยนางโดยการแปลงรูปเป็นพราหมณ์และกล่าวติเตียนพระมหาเทพต่างๆนานา พระแม่ปารวตีนั้นไม่อาจทนรับฟังอยู่ได้ พระศิวะเห็นว่านางมีควาภักดีจึงปรากฏรูปเป็นพระศิวะและรับนางเป็นชายา
วิวาหมูรติ
พระศิวะได้ทรงไปสู่ขอนางจากพระหิมวัตและนางเมนกา และกำหนดพิธีสมรสในชั่วโมงอันเป็นมงคล ในวันจันทร์ เดือนมารัคศีรษะ ด้วยตำแหน่งของพระจันทร์และดวงดาวทั้งหลายเชื่อมโยงกัน เป็นมหามงคลอุดมฤกษ์ที่ดียิ่ง หิมาลัยราชได้จัดสิ่งของและส่งฑูตนำเครื่องสินสอดทองหมั้นไปถวายพระศิวะเทพตามประเพณี ส่งพระราชสาส์นเชิญพระศิวะเทพเจ้าเข้าสู่พิธีสมรสกับพระแม่ปารวตี พระองค์ทรงปลื้มปิติยินดีมากทรงตอบรับการเข้าสู่พิธีสมรสตามที่ได้แจ้งมา หลังจากที่พระมหาเทวะทรงฉลองพระองค์เสร็จก็ได้ยกขบวนออกจากเขาไกรลาสมุ่งตรงไปสู่ภูเขาหิมาลัย เหล่าพราหมณ์และเทพเจ้านำหน้าขบวน ตามด้วยพระศิวะมหาเทพ ซึ่งอยู่ร่วมกับบริวารคณะของพระองค์ อันมี พระนันทิศวร พระไภรวะ พระมหาวีรภัทรและภูตผีปีศาจ พระศิวะทรงประทับนั่งบนหลังวัวอสุภราช ซึ่งตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อเป็นราชพาหนะประจำพระองค์ พระองค์ทรงได้รับการเคารพบูชาตลอดทาง ตลอดทั้ง 2 ข้างทางนั้น ผู้คนทั้งหลายต่างโปรยปรายดอกไม้ไปตลอดทางจนถึงพระราชวัง พระหิมวัตทรงให้การต้อนรับและแสดงความเคารพต่อพระศิวะเทพ ด้วยพระพักตร์ที่ยินดีร่าเริง มีเทวดาถือฉัตรเดินตามพระองค์โดยมีพระวิษณุเทพเสด็จติดตามมาทางด้านซ้าย พระพรหมติดตามทางด้านขวาและพระอินทร์อยู่ทางด้านหลัง ตามด้วยพวกเทพ ฤษีแห่งสวรรค์ และบริวารคณะของพระศิวะเทพตามลำดับ เมื่องานวิวาห์เสร็จสิ้นเสียงไชโยโห่ร้องดังมาทั่วทุกสารทิศ ครั้งเสด็จกลับคืนสู่ยังเขาไกรลาสพร้อมด้วยพระปารวตีและพระศิวะเทพทรงนึกถึงภารกิจของเหล่าเทพเจ้าที่ยังค้างคาอยู่ พระองค์ทรงมีรับสั่งต่อคณะบริวารให้รอคอยอยู่ข้างนอก เฝ้าระวังอย่าให้มีผู้ใดเข้ามารบกวนเวลาส่วนพระองค์ ทั้งสองทรงเสด็จเข้าสู่ยังเทือกเขาชั้นในอันเป็นที่ประทับแยกลำพังต่างหากเพื่อทรงหาความสำราญและประกอบกิจอันพึงปฏิบัติในฐานะของสวามีและพระชายาเป็นระยะเวลายาวนาน
ลิลิตนารายณ์สิบปาง
สยามเทวะ
กำเนิดเทวะ ตำนานมหาเทพแห่งสรวงสวรรค์
ตรีมูรติ อภิมหาเทพของฮินดู
http://www.hindumeeting.com/history/vishanu
http://siamvip.com/free/web=durgakali&as=3&submenu=true&type=link&id=B000000002&MainSubMenu_id=H000000012&titleTh=2.%BE%C3%D0%B9%D2%A7%CD%D8%C1%D2-%BB%D2%C3%C7%B5%D5&titleEn=No%20Data&ec=2&s_detail=1
http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=792.0
ความคิดเห็น