เมื่อยุคเจริญก้าวหน้า อธรรมก็ยิ่งเพิ่มขึ้น มหามัจฉาทั้ง 8 แห่งนทีสีทันดรเวียนทักษิณารอบพระสุเมรุ คือ ติรนมัจฉา ติปังคลมัจฉา ติรปิงคลมัจฉา อานนท์มัจฉา นิรยมัจฉา อชนาโรหนมัจฉา มหาติมัจฉา ติมรปิงคลมัจฉา หงายตัวกลางสมุทร โลกเกิดธรณีพิบัติ มีชายผู้หนึ่งกล่าวว่า "อุบ่ะเลวที่สุดกูกินเหล้าอยู่บ่หู้มาไหวตอนนี้" ชายอีกคนกล่าวว่า "เพราะว่ามัจฉาทั้ง 8 กายหงายคว่ำยังไงเพื่อจัดเลวหลาย"
ชายคนที่สามกล่าวว่า"ใช่เขาพูดถูกนะ" "ปัดโธ่ ไอ้สารเลว บาป บุญ บ่มี ภพหน้าก็บ่มี นรกสวรรค์ก็บ่มี พ่อแม่ก็บ่มี" คำนี้แหละอุทกภัยจึงเพิ่มมากขึ้น สุริยาทิตย์เพิ่มเป็นสองดวง บึง หนอง คลอง สระ บ่อพลันแห้ง แล้วเพิ่มเป็นสามดวง ปัญจมหานทีทั้งห้า คือ คงคา ยมุนา มหิ อจิรวดี และ สรภู แห้งแล้งไป
แล้วเพิ่มเป็นสี่ดวง ทะเลสาบแห้งแล้งหมด แล้วเพิ่มเป็นห้าดวง มหาสมุทรแห้งเหลือเพียงกำมือ
แล้วเพิ่มเป็นหกดวง มหาสมุทรแห้งไม่เหลือโลกไม่มีกลางคืน
ต่อมาอธรรมมากขึ้นคงคาที่เคยแห้งกลับกลายมาท่วมโลกลาวาปะทุถล่มมา
บรรลัยกัณฑ์ กลับลุกโชติกลางคงคามัจฉา 8 พลัน วอดวายละลายเผาโลกแม้แต่
จตุราบายภูมิ มนุษภูมิ เทวภูมิ และ พรมโลก 4 ชั้น ไม่มีเหลือไตรภพถูกทำลายแล้วก็หมุนเวียนในสังสารวัฏ(เวียนว่ายตายเกิด) แลวัฏสงสาร(บ่วงแห่งชีวิต คือ อกุศล กุศล แล ปัญญา)
สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น