ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่5 ปากอย่าง ใจอย่าง
“ให้ตายสิโว้ย! ไอ้หมอนั่นจะมีปัญหากับฉันอะไรกันนักกันหนาวะ?!”
ชายหนุ่มผิวเข้มโวยวายขึ้นกลางโรงอาหารทำให้สายตาของคนอื่นมองมาที่เขาอย่างช่วยไม่ได้
“ก็พี่ทำผิดเอง อาจารย์ฟรายเดย์ก็ต้องไม่ชอบเป็นธรรมดา”
พีริเซียพูดพลางกัดขนมปังที่เธอซื้อมาเป็นมื้อกลางวันและมองพี่ชายด้วยความเบื่อหน่าย
“ไม่หรอก พวกนั้นผิดเองนะที่มาหาเรื่องโซเซียน่ะ!”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้วยพูดขึ้นก่อนจะโดนพีริเซียปาห่อเปล่าของขนมปังที่หมดแล้วใส่
“คิสก็เข้าข้างพี่โซริเซียตลอด เพราะแบบนี้ไงถึงเสียคน”
พีริเซียถอนหายใจแต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะสำนึกเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่กำลังเซ็งๆอยู่นั่นเองสายตาของหญิงสาวก็ไปสะดุดเข้ากับรุ่นน้องคนหนึ่ง
“คาย้าาา! คายะมานั่งนี่สิ!”
พีริเซียตะโกนเรียกเด็กสาวที่กำลังยืนหมุนๆเพราะหาที่ว่างนั่งไม่ได้อยู่ เด็กสาวชาวเอเชียหันไปตามเสียงก่อนจะยิ้มออกมาแล้วรีบเดินมานั่งข้างๆพีริเซีย เธอวางข้าวกล่องแกงกะหรี่ที่ซื้อมาจากร้านค้าลงบนโต๊ะก่อนจะเริ่มชวนคุย
“ขอบคุณนะคะ หาที่นั่งแทบตาย”
“ไม่เป็นไรหรอกคายะจัง ไม่ได้เจอกันสักพักเลยนะ แล้ววันนี้เฟยเฟิ่งไม่มาหรอ”
รุ่นพี่สาวถามหาเพื่อนของรุ่นน้องตามประสาคนที่เริ่มสนิทกันพอสมควรแล้ว
“อ้อ เฟยเฟิ่งไปชมรมน่ะค่ะ ส่วนเพื่อนอีกคนก็ท่าทางจะไม่สบายหนักเลยล่ะค่ะ”
“เห? เดี๋ยวนี้พีริเซียคบค้าสมาคมกับเด็กยุ่นชนชั้นกลางล่างแบบนี้ด้วยหรอเนี่ย”
คิสซารีสพูดขัดขึ้นมากลางบทสนทนาของสองสาว ทำให้คายะหันควับไปมองทันที แต่พีริเซียที่รู้นิสัยของเพื่อนตัวเองก็ได้แต่ทำใจไว้ลึกๆ
“ไม่เอาน่าคิส คายะน่ะเป็นรุ่นน้องที่น่ารักนะ”
โซริเซียรีบพูดแก้สถานการณ์ทำให้เด็กสาวกลับมายิ้มอีกครั้งแม้ในใจจะยังหงุดหงิดเล็กๆอยู่ก็ตาม
“จะว่าไปทำไมถึงเป็นแกงกะหรี่ของร้านสะดวกซื้อโรงอาหารล่ะ ฉันน่ะยังไม่เคยลองเลย อร่อยหรอ”
ชายหนุ่มผิวเข้มชวนคุยเพื่อไม่ให้เด็กสาวรู้สึกแย่ คายะส่ายหน้าเล็กน้อยพลางแกะฝาข้าวกล่อง
“เปล่าหรอกค่ะ ก็กลางๆนะ แต่ฉันลืมเอาข้าวกล่องมาน่ะสิก็เลยซื้อมาเพราะมันไม่แพงมากน่ะค่ะ ฮะๆ แต่ถ้าแกงกะหรี่น่ะฉันทำอร่อยกว่านี้อีกนะคะ!”
คายะพูดอย่างมั่นใจ
“จริงหรอๆ อยากลองเลยนะเนี่ย”
“พีริเซีย ฉันก็เห็นเธออยากกินทุกอย่าง”
“หุบปากน่า! ฉันก็อยากกินอะไรที่มันไม่ใช่ของสำเร็จรูปบ้างนี่นา!”
พี่น้องแบล็คไนท์เริ่มเถียงกันตามปกติทำให้เด็กสาวหัวเราะออกมาเล็กน้อย คิสซารีสเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยู่นอกบทสนทนาจึงพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหมือนสมองกับใจของเขาจะไม่ตรงกันนัก
“เหอะ พวกนายจะสนใจยัยเด็กจากประเทศที่ชอบทำอะไรไม่เป็นผู้เป็นคนกันนักหนา ฉันไม่เห็น...”
ยังไม่ทันสิ้นคำอาหารมื้อกลางวันของรุ่นน้องสาวก็ราดลงบนหัวของคิสซารีสพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของคายะ
“ค่ะ พ่อคนมีสกุลรุนชาติ”
คายะปากล่องข้าวเปล่าๆในมือใส่หน้าของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินจากไปทำให้พีริเซียและโซริเซียได้แต่กุมขมับ
“นี่นายรู้รึเปล่าเนี่ยว่าคนญี่ปุ่นเป็นประเภทชาตินิยม”
พีริเซียพูดอย่างเซ็งๆก่อนจะลุกเดินออกไปไม่สนใจคนที่ทำตัวเอง ปล่อยให้โซริเซียนั่งปลอบใจเพื่อนอยู่คนเดียว
“ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นนะ!”
ชายหนุ่มพูดหลังออกมาจากห้องอาบน้ำข้างๆสระว่ายน้ำ คิสซารีสนั้นมีอุปนิสัยที่ค่อนข้างจะปากหมาพร่ำเพรื่อ รวมทั้งยับยั้งคำพูดของตัวเองไม่ได้ แน่นอนว่ามันเป็นนิสัยที่ค่อนข้างน่ารำคาญทำให้เขาไม่มีเพื่อนนักและเมื่อเขาพยายามจะทำความรู้จักกับใครสักคนเขาก็จะเผลอหลุดพูดแย่ๆออกไปจนจบไม่สวยแบบนี้เสมอ
“อือ ฉันรู้น่า คราวหน้าก็พยายามหน่อยแล้วกัน ไม่มีเพื่อนไม่เท่าไร ถ้ามีแต่คนเกลียดเนี่ยจะลำบากเอา”
“อือ...”
คิสซารีสตอบรับอย่างหงอยๆทำให้โซริเซียอดปลอบไม่ได้ เขาลูบผมของเพื่อนสนิทก่อนจะตบหัวของคิสซารีสเสียงดัง
“เอาล่ะ! เลิกซึมได้แล้วไอ้หมาหงอย แล้วจะอยู่ในนี้อีกนานไหมเนี่ย”
โซริเซียที่ใจอ่อนไปชั่วครู่เริ่มกลับสู่โหมดปกติ และอยากจะรีบออกจากเขตของสระว่ายน้ำเพราะในใจของเขารู้ดีว่าที่นี่มีสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่เขาไม่อยากเจอนักอยู่ ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากเขตสระว่ายน้ำแต่สิ่งมีชีวิตที่โซริเซียพยายามจะหลีกเลี่ยงดูเหมือนจะเร็วกว่าพวกเขาทั้งสองไปหลายก้าว
“อ้าว สวัสดีครับคุณโซริเซีย”
เสียงร่าเริงสดใสอันแสนคุ้นหูทำให้โซริเซียหันไปมองดาร์เรลที่นั่งอยู่ที่นั่งบนสุดของอัฒจันทร์ข้างสระ ในมือของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนมีสมุดวาดภาพที่ดูเหมือนจะวาดยังไม่เสร็จดีอยู่ และแม้เขาจะมองหน้าพร้อมยิ้มให้โซริเซียแต่มือของเขาก็ยังขยับวาดอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องมองกระดาษเลย
“ไง ยังชอบมาสิงที่นี่เหมือนเดิมเลยนะ”
“ฮะๆ เป็นปกติเวลาไม่มีเรียนครับ”
“ว่าแต่นายวาดอะไรอยู่ล่ะ”
โซริเซียถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ดาร์เรลคลี่ยิ้มออกมา
“เป็นความลับครับ”
“ก็ได้ๆ นายนี่มันเป็นแบบนี้เสมอเลย งั้นฉันไปก่อนนะ”
“ครับ โชคดีนะ”
ดาร์เรลโบกมือให้โซริเซียเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินออกไป คิสซารีสที่เห็นเพื่อนของตนรีบเดินออกไปเองก็รีบวิ่งตามไปปล่อยให้ชายหนุ่มบนอัฒจันทร์หันกลับไปวาดรูปอย่างตั้งใจต่อ
“เฮ้ๆ โซเซียรู้จักคนนั้นด้วยหรอ”
คิสซารีสที่รีบเดินตามมาได้จับบ่าของโซริเซียให้หยุดก่อนถึงทางเดินขึ้นตึก
“อือ พ่อฉันกับมันเป็นเพื่อนกันน่ะ แต่ก็ไม่ได้สนิทนักหรอก สนใจหรอ”
“ฉันก็สนใจทุกเรื่องของโซเซียนั่นแหละ”
คิสซารีสพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรทำให้โซริเซียถอนหายใจออกมาก่อนยิ้มเล็กน้อย
“โอเคๆ หมอนั่นกับฉันน่ะเคยเจอกันในงานเลี้ยงของพวกผู้ใหญ่บ่อยๆ แล้วก็มักจะเป็นคนมีรอยยิ้มตามมารยาทกับท่าทางแปลกๆเป็นปกติแหละนะ”
“อ้อ มิน่าล่ะโซเซียถึงดูใจดีกับเขา”
“หืม? ใจดี?”
“อือ โซเซียไม่โวยวายแล้วก็ไม่พูดหาเรื่องเขา แล้วก็ดูเป็นห่วงนิดหน่อย”
คิสซารีสพูดออกมาทำให้โซริเซียรู้สึกตัวว่าสายตาของเขานั้นดูเป็นห่วงลูกชายของเพื่อนพ่อคนนั้นเป็นพิเศษ
“ก็คง...สงสารล่ะมั้ง แต่ช่างมันเถอะน่า ฉันไม่เป็นห่วงใครมากกว่านายหรอกคิส”
ชายหนุ่มผิวเข้มพูดพร้อมรอยยิ้มใจดีพลางคว้าบ่าของเพื่อนให้มาเดินข้างเขา
“ฉันไม่ได้อยากให้นายมาเป็นห่วงหรอกนะ!”
คิสซารีสรีบพูดเมื่อเห็นท่าทางของโซริเซีย
“เออๆ งั้นไม่ห่วงก็ได้วะ”
“เดี๋ยวสิ! ทำไมเปลี่ยนใจง่ายงั้นล่ะ?!”
“ก็นายโวยวาย”
“ฉันเปล่าสักหน่อย!”
“ฮ่าๆๆ ฉันล่ะชอบท่าทางแบบนี้ของนายจริงๆเลย”
โซริเซียพูดพลางปล่อยมือจากบ่าของเพื่อนแล้วเดินขึ้นตึกเรียน ปล่อยให้คิสซารีสยืนเขินนิ่งๆอยู่สักพักก่อนจะรีบเดินตามไป
หลังจากแยกกับโซิริเซียได้สักพักชายหนุ่มก็เดินกลับมาที่ห้องเรียนของตัวเอง ปี4คลาสSห้องเรียนที่แสนจะวุ่นวายและชวนให้เขาเป็นกังวล เพราะเขาไม่อาจเข้าหาใครในห้องนี่ได้เลย และถ้าเขาพยายามก็คงจบไม่ต่างจากเหตุการณ์ของรุ่นน้องสาวเมื่อพักกลางวันที่ผ่านมานัก
“สวัสดีครับคุณคิสซารีส”
เสียงคุ้นๆหูดังขึ้นหลังจากคิสซารีสทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเองที่โต๊ะหน้าสุดริมหน้าต่าง เขาเงยหน้ามองชายหนุ่มที่วางมือลงบนโต๊ะของเขาอย่างแปลกใจ
“นาย...?”
“ผมดาร์เรลครับ ผมคิดว่าคุณคงไม่ได้ใส่ใจผมสักเท่าไรสินะเนี่ย ฮะๆๆ”
ดาร์เรลยิ้มอย่างใจดีทำให้คิสซารีสทำตัวไม่ถูกอีกครั้ง ทั้งที่อยู่ในห้องเดียวกันแต่ตอนที่เจอกันในสระว่ายน้ำเขากลับคิดว่าตัวเองเจอกับชายคนนี้เป็นครั้งแรกโดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่สมัยปี1แล้ว
“ทำไม...ถึงมาทักฉันล่ะ”
“ก็ผมเห็นคุณสนิทกับคุณโซริเซียเลยคิดว่าจะลองคุยดู ถ้าสนิทกับคนหัวร้อนแบบนั้นได้ ก็คงจะคุยกับผมได้นะครับ”
“...ฉันเกลียดหน้านาย นายยิ้มไม่จริงใจสุดๆเลย”
“ฮะๆๆ ผมรู้ตัวครับ ไม่ต้องย้ำก็ได้”
คิสซารีสไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดสิ่งที่เขาคิดตรงไปตรงมาขนาดนั้น แต่ความปากไวก็ทำให้เขาหลุดปากออกไปแล้ว
“ถ้านายจะมาตีสนิทกับฉันเอาหน้าหรือทำให้คนอื่นรู้สึกว่านายเหนือกว่าก็ไม่ต้องดีกว่า นายทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยง”
ปัง!!
“เฮ้ย! หุบปากคิสซารีส!”
ในขณะที่คิสซารีสกำลังพูดออกไปนั้นเสียงทุบโต๊ะจากด้านหลังก็ดังขึ้น ไวท์ลุกขึ้นจากโต๊ะและละทิ้งบทสนทนาที่กำลังคุยกับกลุ่มเพื่อนไปในทันมีเมื่อคำพูดของคิสซารีสลอยไปกระทบหูเขาเข้า
“นี่แกกล้าว่าดาร์เรลน่าขยะแขยงหรอ ห๊ะ?!”
ไวท์เดินเข้ามาจับบ่าของคิสซารีส ทำให้เพื่อนร่วมห้องหันมาสนใจพวกเขาเป็นตาเดียว
“คุณมาร์ติน”
เสียงเรียกนิ่งๆแต่แข็งของดาร์เรลทำให้ไวท์ปล่อยมือออกจากไหล่ของเพื่อนร่วมห้องและหันไปมองต้นเสียง
“ผมแค่ขอให้คุณคิสซารีสพูดประโยคนั้นให้ผมเท่านั้นเองครับ พอดีช่วงนี้ผมแต่งตัวละครในหนังสือที่ท่าทางแรงๆหน่อยอยู่แล้วอยากได้อารมณ์ก็เท่านั้น กรุณารักษามารยาทหน่อยครับ”
ดาร์เรลพูดออกตัวแทน แม้จะเป็นเหตุผลพิลึกๆแต่เมื่อดาร์เรลผู้มีท่าทางจริงจังและชอบทำอะไรเข้าใจยากเป็นคนพูดมันกลับดูมีน้ำหนักขึ้นมาทันตาเห็น ไวท์ที่ยังดูหงุดหงิดอยู่ถอนหายใจก่อนจะคว้าข้อมือแล้วดึงตัวดาร์เรลออกมาจากห้องเรียนทันที ปล่อยให้คิสซารีสนั่งทำตัวไม่ถูกอยู่ที่โต๊ะ
“เอ่อ...คิสซารีส ไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ สงสัยไวท์จะโมโหแล้วพาลน่ะ”
หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆคิสซารีสพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มทำให้ชายหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น เพราะเขาเองก็ไม่อยากตกเป็นเป้าเกลียดขี้หน้าของเพื่อนๆ เขาหันกลับไปหยิบหนังสือที่ตัวเองชอบขึ้นมาอ่านเพื่อปิดกั้นสิ่งรอบข้างอีกครั้งอย่างเงียบๆ
นี่ฉันพลาดอีกแล้วหรอเนี่ย
“คุณมาร์ติน ปล่อยผมได้แล้วนะครับ”
ชายหนุ่มพูดให้อีกฝ่ายหยุดลงตรงบันไดพอดี ไวท์ปล่อยมือของเพื่อนร่วมชั้นก่อนจะนั่งลงที่ขั้นบันไดด้วยท่าทางอารมณ์เสีย
“...นายจะช่วยหมอนั่นทำไม”
ไวท์ถามด้วยความสงสัยเพราะถ้าเป็นเขาคงชกหน้าคิสซารีสไปแล้วเป็นแน่
“เพราะผมอยากทำก็เท่านั้นแหละครับ ต้องมีเหตุผลด้วยหรอ...
ชายหนุ่มผิวเข้มโวยวายขึ้นกลางโรงอาหารทำให้สายตาของคนอื่นมองมาที่เขาอย่างช่วยไม่ได้
“ก็พี่ทำผิดเอง อาจารย์ฟรายเดย์ก็ต้องไม่ชอบเป็นธรรมดา”
พีริเซียพูดพลางกัดขนมปังที่เธอซื้อมาเป็นมื้อกลางวันและมองพี่ชายด้วยความเบื่อหน่าย
“ไม่หรอก พวกนั้นผิดเองนะที่มาหาเรื่องโซเซียน่ะ!”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้วยพูดขึ้นก่อนจะโดนพีริเซียปาห่อเปล่าของขนมปังที่หมดแล้วใส่
“คิสก็เข้าข้างพี่โซริเซียตลอด เพราะแบบนี้ไงถึงเสียคน”
พีริเซียถอนหายใจแต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะสำนึกเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่กำลังเซ็งๆอยู่นั่นเองสายตาของหญิงสาวก็ไปสะดุดเข้ากับรุ่นน้องคนหนึ่ง
“คาย้าาา! คายะมานั่งนี่สิ!”
พีริเซียตะโกนเรียกเด็กสาวที่กำลังยืนหมุนๆเพราะหาที่ว่างนั่งไม่ได้อยู่ เด็กสาวชาวเอเชียหันไปตามเสียงก่อนจะยิ้มออกมาแล้วรีบเดินมานั่งข้างๆพีริเซีย เธอวางข้าวกล่องแกงกะหรี่ที่ซื้อมาจากร้านค้าลงบนโต๊ะก่อนจะเริ่มชวนคุย
“ขอบคุณนะคะ หาที่นั่งแทบตาย”
“ไม่เป็นไรหรอกคายะจัง ไม่ได้เจอกันสักพักเลยนะ แล้ววันนี้เฟยเฟิ่งไม่มาหรอ”
รุ่นพี่สาวถามหาเพื่อนของรุ่นน้องตามประสาคนที่เริ่มสนิทกันพอสมควรแล้ว
“อ้อ เฟยเฟิ่งไปชมรมน่ะค่ะ ส่วนเพื่อนอีกคนก็ท่าทางจะไม่สบายหนักเลยล่ะค่ะ”
“เห? เดี๋ยวนี้พีริเซียคบค้าสมาคมกับเด็กยุ่นชนชั้นกลางล่างแบบนี้ด้วยหรอเนี่ย”
คิสซารีสพูดขัดขึ้นมากลางบทสนทนาของสองสาว ทำให้คายะหันควับไปมองทันที แต่พีริเซียที่รู้นิสัยของเพื่อนตัวเองก็ได้แต่ทำใจไว้ลึกๆ
“ไม่เอาน่าคิส คายะน่ะเป็นรุ่นน้องที่น่ารักนะ”
โซริเซียรีบพูดแก้สถานการณ์ทำให้เด็กสาวกลับมายิ้มอีกครั้งแม้ในใจจะยังหงุดหงิดเล็กๆอยู่ก็ตาม
“จะว่าไปทำไมถึงเป็นแกงกะหรี่ของร้านสะดวกซื้อโรงอาหารล่ะ ฉันน่ะยังไม่เคยลองเลย อร่อยหรอ”
ชายหนุ่มผิวเข้มชวนคุยเพื่อไม่ให้เด็กสาวรู้สึกแย่ คายะส่ายหน้าเล็กน้อยพลางแกะฝาข้าวกล่อง
“เปล่าหรอกค่ะ ก็กลางๆนะ แต่ฉันลืมเอาข้าวกล่องมาน่ะสิก็เลยซื้อมาเพราะมันไม่แพงมากน่ะค่ะ ฮะๆ แต่ถ้าแกงกะหรี่น่ะฉันทำอร่อยกว่านี้อีกนะคะ!”
คายะพูดอย่างมั่นใจ
“จริงหรอๆ อยากลองเลยนะเนี่ย”
“พีริเซีย ฉันก็เห็นเธออยากกินทุกอย่าง”
“หุบปากน่า! ฉันก็อยากกินอะไรที่มันไม่ใช่ของสำเร็จรูปบ้างนี่นา!”
พี่น้องแบล็คไนท์เริ่มเถียงกันตามปกติทำให้เด็กสาวหัวเราะออกมาเล็กน้อย คิสซารีสเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยู่นอกบทสนทนาจึงพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหมือนสมองกับใจของเขาจะไม่ตรงกันนัก
“เหอะ พวกนายจะสนใจยัยเด็กจากประเทศที่ชอบทำอะไรไม่เป็นผู้เป็นคนกันนักหนา ฉันไม่เห็น...”
ยังไม่ทันสิ้นคำอาหารมื้อกลางวันของรุ่นน้องสาวก็ราดลงบนหัวของคิสซารีสพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของคายะ
“ค่ะ พ่อคนมีสกุลรุนชาติ”
คายะปากล่องข้าวเปล่าๆในมือใส่หน้าของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินจากไปทำให้พีริเซียและโซริเซียได้แต่กุมขมับ
“นี่นายรู้รึเปล่าเนี่ยว่าคนญี่ปุ่นเป็นประเภทชาตินิยม”
พีริเซียพูดอย่างเซ็งๆก่อนจะลุกเดินออกไปไม่สนใจคนที่ทำตัวเอง ปล่อยให้โซริเซียนั่งปลอบใจเพื่อนอยู่คนเดียว
“ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นนะ!”
ชายหนุ่มพูดหลังออกมาจากห้องอาบน้ำข้างๆสระว่ายน้ำ คิสซารีสนั้นมีอุปนิสัยที่ค่อนข้างจะปากหมาพร่ำเพรื่อ รวมทั้งยับยั้งคำพูดของตัวเองไม่ได้ แน่นอนว่ามันเป็นนิสัยที่ค่อนข้างน่ารำคาญทำให้เขาไม่มีเพื่อนนักและเมื่อเขาพยายามจะทำความรู้จักกับใครสักคนเขาก็จะเผลอหลุดพูดแย่ๆออกไปจนจบไม่สวยแบบนี้เสมอ
“อือ ฉันรู้น่า คราวหน้าก็พยายามหน่อยแล้วกัน ไม่มีเพื่อนไม่เท่าไร ถ้ามีแต่คนเกลียดเนี่ยจะลำบากเอา”
“อือ...”
คิสซารีสตอบรับอย่างหงอยๆทำให้โซริเซียอดปลอบไม่ได้ เขาลูบผมของเพื่อนสนิทก่อนจะตบหัวของคิสซารีสเสียงดัง
“เอาล่ะ! เลิกซึมได้แล้วไอ้หมาหงอย แล้วจะอยู่ในนี้อีกนานไหมเนี่ย”
โซริเซียที่ใจอ่อนไปชั่วครู่เริ่มกลับสู่โหมดปกติ และอยากจะรีบออกจากเขตของสระว่ายน้ำเพราะในใจของเขารู้ดีว่าที่นี่มีสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่เขาไม่อยากเจอนักอยู่ ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากเขตสระว่ายน้ำแต่สิ่งมีชีวิตที่โซริเซียพยายามจะหลีกเลี่ยงดูเหมือนจะเร็วกว่าพวกเขาทั้งสองไปหลายก้าว
“อ้าว สวัสดีครับคุณโซริเซีย”
เสียงร่าเริงสดใสอันแสนคุ้นหูทำให้โซริเซียหันไปมองดาร์เรลที่นั่งอยู่ที่นั่งบนสุดของอัฒจันทร์ข้างสระ ในมือของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนมีสมุดวาดภาพที่ดูเหมือนจะวาดยังไม่เสร็จดีอยู่ และแม้เขาจะมองหน้าพร้อมยิ้มให้โซริเซียแต่มือของเขาก็ยังขยับวาดอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องมองกระดาษเลย
“ไง ยังชอบมาสิงที่นี่เหมือนเดิมเลยนะ”
“ฮะๆ เป็นปกติเวลาไม่มีเรียนครับ”
“ว่าแต่นายวาดอะไรอยู่ล่ะ”
โซริเซียถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ดาร์เรลคลี่ยิ้มออกมา
“เป็นความลับครับ”
“ก็ได้ๆ นายนี่มันเป็นแบบนี้เสมอเลย งั้นฉันไปก่อนนะ”
“ครับ โชคดีนะ”
ดาร์เรลโบกมือให้โซริเซียเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินออกไป คิสซารีสที่เห็นเพื่อนของตนรีบเดินออกไปเองก็รีบวิ่งตามไปปล่อยให้ชายหนุ่มบนอัฒจันทร์หันกลับไปวาดรูปอย่างตั้งใจต่อ
“เฮ้ๆ โซเซียรู้จักคนนั้นด้วยหรอ”
คิสซารีสที่รีบเดินตามมาได้จับบ่าของโซริเซียให้หยุดก่อนถึงทางเดินขึ้นตึก
“อือ พ่อฉันกับมันเป็นเพื่อนกันน่ะ แต่ก็ไม่ได้สนิทนักหรอก สนใจหรอ”
“ฉันก็สนใจทุกเรื่องของโซเซียนั่นแหละ”
คิสซารีสพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรทำให้โซริเซียถอนหายใจออกมาก่อนยิ้มเล็กน้อย
“โอเคๆ หมอนั่นกับฉันน่ะเคยเจอกันในงานเลี้ยงของพวกผู้ใหญ่บ่อยๆ แล้วก็มักจะเป็นคนมีรอยยิ้มตามมารยาทกับท่าทางแปลกๆเป็นปกติแหละนะ”
“อ้อ มิน่าล่ะโซเซียถึงดูใจดีกับเขา”
“หืม? ใจดี?”
“อือ โซเซียไม่โวยวายแล้วก็ไม่พูดหาเรื่องเขา แล้วก็ดูเป็นห่วงนิดหน่อย”
คิสซารีสพูดออกมาทำให้โซริเซียรู้สึกตัวว่าสายตาของเขานั้นดูเป็นห่วงลูกชายของเพื่อนพ่อคนนั้นเป็นพิเศษ
“ก็คง...สงสารล่ะมั้ง แต่ช่างมันเถอะน่า ฉันไม่เป็นห่วงใครมากกว่านายหรอกคิส”
ชายหนุ่มผิวเข้มพูดพร้อมรอยยิ้มใจดีพลางคว้าบ่าของเพื่อนให้มาเดินข้างเขา
“ฉันไม่ได้อยากให้นายมาเป็นห่วงหรอกนะ!”
คิสซารีสรีบพูดเมื่อเห็นท่าทางของโซริเซีย
“เออๆ งั้นไม่ห่วงก็ได้วะ”
“เดี๋ยวสิ! ทำไมเปลี่ยนใจง่ายงั้นล่ะ?!”
“ก็นายโวยวาย”
“ฉันเปล่าสักหน่อย!”
“ฮ่าๆๆ ฉันล่ะชอบท่าทางแบบนี้ของนายจริงๆเลย”
โซริเซียพูดพลางปล่อยมือจากบ่าของเพื่อนแล้วเดินขึ้นตึกเรียน ปล่อยให้คิสซารีสยืนเขินนิ่งๆอยู่สักพักก่อนจะรีบเดินตามไป
หลังจากแยกกับโซิริเซียได้สักพักชายหนุ่มก็เดินกลับมาที่ห้องเรียนของตัวเอง ปี4คลาสSห้องเรียนที่แสนจะวุ่นวายและชวนให้เขาเป็นกังวล เพราะเขาไม่อาจเข้าหาใครในห้องนี่ได้เลย และถ้าเขาพยายามก็คงจบไม่ต่างจากเหตุการณ์ของรุ่นน้องสาวเมื่อพักกลางวันที่ผ่านมานัก
“สวัสดีครับคุณคิสซารีส”
เสียงคุ้นๆหูดังขึ้นหลังจากคิสซารีสทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเองที่โต๊ะหน้าสุดริมหน้าต่าง เขาเงยหน้ามองชายหนุ่มที่วางมือลงบนโต๊ะของเขาอย่างแปลกใจ
“นาย...?”
“ผมดาร์เรลครับ ผมคิดว่าคุณคงไม่ได้ใส่ใจผมสักเท่าไรสินะเนี่ย ฮะๆๆ”
ดาร์เรลยิ้มอย่างใจดีทำให้คิสซารีสทำตัวไม่ถูกอีกครั้ง ทั้งที่อยู่ในห้องเดียวกันแต่ตอนที่เจอกันในสระว่ายน้ำเขากลับคิดว่าตัวเองเจอกับชายคนนี้เป็นครั้งแรกโดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่สมัยปี1แล้ว
“ทำไม...ถึงมาทักฉันล่ะ”
“ก็ผมเห็นคุณสนิทกับคุณโซริเซียเลยคิดว่าจะลองคุยดู ถ้าสนิทกับคนหัวร้อนแบบนั้นได้ ก็คงจะคุยกับผมได้นะครับ”
“...ฉันเกลียดหน้านาย นายยิ้มไม่จริงใจสุดๆเลย”
“ฮะๆๆ ผมรู้ตัวครับ ไม่ต้องย้ำก็ได้”
คิสซารีสไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดสิ่งที่เขาคิดตรงไปตรงมาขนาดนั้น แต่ความปากไวก็ทำให้เขาหลุดปากออกไปแล้ว
“ถ้านายจะมาตีสนิทกับฉันเอาหน้าหรือทำให้คนอื่นรู้สึกว่านายเหนือกว่าก็ไม่ต้องดีกว่า นายทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยง”
ปัง!!
“เฮ้ย! หุบปากคิสซารีส!”
ในขณะที่คิสซารีสกำลังพูดออกไปนั้นเสียงทุบโต๊ะจากด้านหลังก็ดังขึ้น ไวท์ลุกขึ้นจากโต๊ะและละทิ้งบทสนทนาที่กำลังคุยกับกลุ่มเพื่อนไปในทันมีเมื่อคำพูดของคิสซารีสลอยไปกระทบหูเขาเข้า
“นี่แกกล้าว่าดาร์เรลน่าขยะแขยงหรอ ห๊ะ?!”
ไวท์เดินเข้ามาจับบ่าของคิสซารีส ทำให้เพื่อนร่วมห้องหันมาสนใจพวกเขาเป็นตาเดียว
“คุณมาร์ติน”
เสียงเรียกนิ่งๆแต่แข็งของดาร์เรลทำให้ไวท์ปล่อยมือออกจากไหล่ของเพื่อนร่วมห้องและหันไปมองต้นเสียง
“ผมแค่ขอให้คุณคิสซารีสพูดประโยคนั้นให้ผมเท่านั้นเองครับ พอดีช่วงนี้ผมแต่งตัวละครในหนังสือที่ท่าทางแรงๆหน่อยอยู่แล้วอยากได้อารมณ์ก็เท่านั้น กรุณารักษามารยาทหน่อยครับ”
ดาร์เรลพูดออกตัวแทน แม้จะเป็นเหตุผลพิลึกๆแต่เมื่อดาร์เรลผู้มีท่าทางจริงจังและชอบทำอะไรเข้าใจยากเป็นคนพูดมันกลับดูมีน้ำหนักขึ้นมาทันตาเห็น ไวท์ที่ยังดูหงุดหงิดอยู่ถอนหายใจก่อนจะคว้าข้อมือแล้วดึงตัวดาร์เรลออกมาจากห้องเรียนทันที ปล่อยให้คิสซารีสนั่งทำตัวไม่ถูกอยู่ที่โต๊ะ
“เอ่อ...คิสซารีส ไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ สงสัยไวท์จะโมโหแล้วพาลน่ะ”
หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆคิสซารีสพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มทำให้ชายหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น เพราะเขาเองก็ไม่อยากตกเป็นเป้าเกลียดขี้หน้าของเพื่อนๆ เขาหันกลับไปหยิบหนังสือที่ตัวเองชอบขึ้นมาอ่านเพื่อปิดกั้นสิ่งรอบข้างอีกครั้งอย่างเงียบๆ
นี่ฉันพลาดอีกแล้วหรอเนี่ย
“คุณมาร์ติน ปล่อยผมได้แล้วนะครับ”
ชายหนุ่มพูดให้อีกฝ่ายหยุดลงตรงบันไดพอดี ไวท์ปล่อยมือของเพื่อนร่วมชั้นก่อนจะนั่งลงที่ขั้นบันไดด้วยท่าทางอารมณ์เสีย
“...นายจะช่วยหมอนั่นทำไม”
ไวท์ถามด้วยความสงสัยเพราะถ้าเป็นเขาคงชกหน้าคิสซารีสไปแล้วเป็นแน่
“เพราะผมอยากทำก็เท่านั้นแหละครับ ต้องมีเหตุผลด้วยหรอ...
...แล้วไอ้การที่คุณดึงผมออกมาคุยข้างนอกแบบนี้แปลว่าไม่อยากให้ความช่วยเหลือของผมเสียเปล่าสินะครับ”
“ก็เห็นนายลงทุนปกป้องมันไปแล้ว จะให้ฉันทำยังไง”
“พิลึกคน...แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่เดือดร้อนแทนให้ ทำเอาคุณดูเสียหน้าไปเลย ฮะๆ ว่าแต่ไม่ได้เห็นคุณมาร์ตินโมโหแบบนี้บ่อยๆนะเนี่ย”
“ตอนนี้ฉันหงุดหงิดกว่าเดิมอีกไอ้บ้าเอ๊ย!”
“ทำไมล่ะครับ”
“...ไอ้หมอว่านายแต่นายกลับปกป้องมัน ทีฉันว่านายล่ะโกรธแทบเป็นแทบตาย สองมาตราฐานชะมัด”
ไวท์พูดอย่างอารมณ์เสียพลางลูบท้ายทอยของตัวเองไม่เงยหน้าขึ้นไปสบคู่สนทนา
“ก็ที่เขาพูดมันไม่ทำให้ผมรู้สึกได้เท่าคุณนี่ครับ”
“ยังไง?”
“ก็...เท่าที่รู้มาจากเพื่อนของผม คุณคิสซารีสเป็นคนปากไม่ตรงกับใจนักแล้วก็สิ่งที่เขาพูดน่ะก็แค่อารมณ์ชั่ววูบสำหรับผม แต่คำพูดของคุณมาร์ติน ทั้งสายตา แววตา ท่าทาง มันทำให้ผมรู้สึกว่าคุณน่ะว่าผมจริงๆมากกว่า อีกอย่าง เข้าใจซะใหม่นะครับ ผมไม่เคยโกรธคุณสักหน่อย แค่รู้สึกว่าคุณไม่ชอบผม ผมก็เลยเดินออกมาเท่านั้นเอง”
คำพูดด้วยท่าทางนิ่งๆไม่คิดอะไรของดาร์เรลทำให้ไวท์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“เออ ฉันขอโทษแล้วกัน พอเห็นนายแล้วฉันคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ว่าไงดี ไม่ถูกชะตาล่ะมั้ง”
“ฮะๆๆ ได้ยินแบบนี้ผมล่ะบอกไม่ถูกเลย สรุปคุณเกลียดหรือชอบผมกันนะ”
“...อยู่ระหว่างสองอย่างนั่นล่ะมั้ง ฉันชอบนายเพราะนายมักจะเป็นคนที่ใจดีกับชาวบ้านไปทั่ว ใครๆก็ชอบนายจริงไหม แต่ฉันเกลียดนาย เพราะนายมีบางอย่างที่เหมือนกับฉัน ฉัน...ขัดใจเวลาเห็น”
“ไม่ต่างกันครับ เราไม่ต่างกันเลย เพราะผมก็แอบเกลียดขี้หน้าคุณจริงๆ ฮะๆ”
ดาร์เรลพูดพลางเดินไปนั่งลงข้างๆชายผู้เป็นเพื่อนร่วมห้องแล้วลูบผมสีขาวของเขาเบาๆ
“ไม่เอาน่า ฉันไม่ชอบ”
“อ๊ะ ขอโทษครับคุณมาร์...”
“เรียกฉันว่าไวท์เถอะน่า นายนี่สุภาพซะจริง อยู่ห้องเดียวกันมาตั้งกี่ปี”
“ฮะๆ ขอโทษครับไวท์ แล้วนี่เราจะโดดเรียนกันหรอครับ”
“ตอนอารมณ์เสียน่ะ ไม่มีใครเขามีอารมณ์เรียนหรอกนะ โดดไปเถอะ”
ไวท์พูดพร้อมสีหน้าเบื่อหน่ายทำให้ดาร์เรลหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ขำอะไร”
“เปล่าครับ แค่คุณพูดเหมือนคนๆหนึ่งที่ผมรู้จักเลยล่ะครับ”
“ใครหรอ”
“คนที่ผมชอบ”
ชายหนุ่มยิ้มพลางลูบผมสีขาวราวหิมะอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม ครั้งนี้ไวท์ไม่ได้ทักให้เขาเอามือออกแต่กลับมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองในใจ
“นายชอบใครงั้นหรอ”
“เอ๊ะ? ทะ...ทำไมถามล่ะครับ”
“ก็นายบอกว่าฉันพูดเหมือนคนที่นายชอบ ฉันก็อยากรู้ว่านายชอบใคร”
“อ๊ะ....เอ่อ...ผมพูดแบบนั้นหรอ ฮะๆๆ สงสัยผมจะอินกับบทนิยายที่แต่งช่วงนี้มากไปหน่อย”
ดาร์เรลรีบเอามืออกจากผมของไวท์พลางหันหน้ามองไปตรงๆไม่สบตากับชายหนุ่มที่กำลังมองเขาด้วยความสงสัย ไวท์ไม่ได้ถามอะไรต่อแต่ใบหน้าแดงระเรื่อและท่าทางแอบมีความสุขเล็กๆน้อยๆของดาร์เรลก็มากพอที่จะตอบเขาว่ามันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่สิ่งที่ดาร์เรลกล่าวอ้างโกหกให้เขาฟัง
“ก็เห็นนายลงทุนปกป้องมันไปแล้ว จะให้ฉันทำยังไง”
“พิลึกคน...แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่เดือดร้อนแทนให้ ทำเอาคุณดูเสียหน้าไปเลย ฮะๆ ว่าแต่ไม่ได้เห็นคุณมาร์ตินโมโหแบบนี้บ่อยๆนะเนี่ย”
“ตอนนี้ฉันหงุดหงิดกว่าเดิมอีกไอ้บ้าเอ๊ย!”
“ทำไมล่ะครับ”
“...ไอ้หมอว่านายแต่นายกลับปกป้องมัน ทีฉันว่านายล่ะโกรธแทบเป็นแทบตาย สองมาตราฐานชะมัด”
ไวท์พูดอย่างอารมณ์เสียพลางลูบท้ายทอยของตัวเองไม่เงยหน้าขึ้นไปสบคู่สนทนา
“ก็ที่เขาพูดมันไม่ทำให้ผมรู้สึกได้เท่าคุณนี่ครับ”
“ยังไง?”
“ก็...เท่าที่รู้มาจากเพื่อนของผม คุณคิสซารีสเป็นคนปากไม่ตรงกับใจนักแล้วก็สิ่งที่เขาพูดน่ะก็แค่อารมณ์ชั่ววูบสำหรับผม แต่คำพูดของคุณมาร์ติน ทั้งสายตา แววตา ท่าทาง มันทำให้ผมรู้สึกว่าคุณน่ะว่าผมจริงๆมากกว่า อีกอย่าง เข้าใจซะใหม่นะครับ ผมไม่เคยโกรธคุณสักหน่อย แค่รู้สึกว่าคุณไม่ชอบผม ผมก็เลยเดินออกมาเท่านั้นเอง”
คำพูดด้วยท่าทางนิ่งๆไม่คิดอะไรของดาร์เรลทำให้ไวท์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“เออ ฉันขอโทษแล้วกัน พอเห็นนายแล้วฉันคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ว่าไงดี ไม่ถูกชะตาล่ะมั้ง”
“ฮะๆๆ ได้ยินแบบนี้ผมล่ะบอกไม่ถูกเลย สรุปคุณเกลียดหรือชอบผมกันนะ”
“...อยู่ระหว่างสองอย่างนั่นล่ะมั้ง ฉันชอบนายเพราะนายมักจะเป็นคนที่ใจดีกับชาวบ้านไปทั่ว ใครๆก็ชอบนายจริงไหม แต่ฉันเกลียดนาย เพราะนายมีบางอย่างที่เหมือนกับฉัน ฉัน...ขัดใจเวลาเห็น”
“ไม่ต่างกันครับ เราไม่ต่างกันเลย เพราะผมก็แอบเกลียดขี้หน้าคุณจริงๆ ฮะๆ”
ดาร์เรลพูดพลางเดินไปนั่งลงข้างๆชายผู้เป็นเพื่อนร่วมห้องแล้วลูบผมสีขาวของเขาเบาๆ
“ไม่เอาน่า ฉันไม่ชอบ”
“อ๊ะ ขอโทษครับคุณมาร์...”
“เรียกฉันว่าไวท์เถอะน่า นายนี่สุภาพซะจริง อยู่ห้องเดียวกันมาตั้งกี่ปี”
“ฮะๆ ขอโทษครับไวท์ แล้วนี่เราจะโดดเรียนกันหรอครับ”
“ตอนอารมณ์เสียน่ะ ไม่มีใครเขามีอารมณ์เรียนหรอกนะ โดดไปเถอะ”
ไวท์พูดพร้อมสีหน้าเบื่อหน่ายทำให้ดาร์เรลหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ขำอะไร”
“เปล่าครับ แค่คุณพูดเหมือนคนๆหนึ่งที่ผมรู้จักเลยล่ะครับ”
“ใครหรอ”
“คนที่ผมชอบ”
ชายหนุ่มยิ้มพลางลูบผมสีขาวราวหิมะอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม ครั้งนี้ไวท์ไม่ได้ทักให้เขาเอามือออกแต่กลับมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองในใจ
“นายชอบใครงั้นหรอ”
“เอ๊ะ? ทะ...ทำไมถามล่ะครับ”
“ก็นายบอกว่าฉันพูดเหมือนคนที่นายชอบ ฉันก็อยากรู้ว่านายชอบใคร”
“อ๊ะ....เอ่อ...ผมพูดแบบนั้นหรอ ฮะๆๆ สงสัยผมจะอินกับบทนิยายที่แต่งช่วงนี้มากไปหน่อย”
ดาร์เรลรีบเอามืออกจากผมของไวท์พลางหันหน้ามองไปตรงๆไม่สบตากับชายหนุ่มที่กำลังมองเขาด้วยความสงสัย ไวท์ไม่ได้ถามอะไรต่อแต่ใบหน้าแดงระเรื่อและท่าทางแอบมีความสุขเล็กๆน้อยๆของดาร์เรลก็มากพอที่จะตอบเขาว่ามันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่สิ่งที่ดาร์เรลกล่าวอ้างโกหกให้เขาฟัง
WRITER
พอเสร็จแล้วมันรอให้ถึงวันพุธไม่ไหวอ่าาาาา
จริงๆตอนนี้แต่งเกือบจะขึ้นตอนที่8แล้วล่ะค่ะ ฮะๆ
จริงๆฉันไม่ชอบชื่อคิสซารีสเลยล่ะน้า เอ่อ มันไม่ติดหูอะ แต่ช่างมันเถอะเนอะ
.........................
อ้อ จริงสิ ลืมอัพตัวละครตัวหนึ่งของคุณพีพีพลอยอีกแล้วล่ะ คือแบบว่า เราชอบนึกว่าอัพไปแล้วทุกทีเลย ฮะๆๆ
.........................
แล้วก็ช่วงเวลาในเนื้อเรื่องนี่บางทีก็จะห่างกันประมาณสัปดาห์ถึงครึ่งเดือนนะคะ แต่ถ้ามันต่อกันแบบต่อกันในวันเดียวเลยก็จะสังเกตได้เนอะ แต่ก็จะพยายามแทรกๆให้นะคะว่าแบบ เวลามันเดินไปในระยะหนึ่งแล้ว แต่อาจจะไม่ได้ระบุชัดเจน ส่วนเหตุการณ์ในช่วงวันหยุดเนีย ได้ตัวละครมันไม่ได้มีอะไรสำคัญญญญญทีต้องทำก็คงข้ามๆไปเลย
(ถ้าในเนื้อเรื่องตั้งตอนแรกถึงตอนนี้ก็ข้ามมาหลายเสาร์อาทิตย์แล้วล่ะ ฮะๆ)
..........................
ตอนต่อไป คือ บทที่6 เข้าใจผิด
จะลงไม่เกินสามทุ่มคืนนี้นะคะ! เพราะฉันแต่งเสร็จนานแล้ว มันคันไม้คันมืออยากอัพแล้วววววว
ลองเดาดูนะคะว่าตอนต่อไปจะเกี่ยวกับอะไร ตัวเด่นตอนหน้าคือหนูเฟยเฟิ่งกับหนูเพรทเซลนะคะ
มีอะไรก็เม้นคุยกันได้ อย่าลืมกดให้กำลังใจด้วยนะคะ!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น