ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่4 เป้าเคลื่อนที่สำหรับปาสิ่งของโดยมิได้ตั้งใจ
“โอ้ งั้นหรอครับๆ แบบนั้นก็ดีแล้วนี่ครับ”
อาจารย์หนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเคาะปากกาลงบนโต๊ะเบาๆเป็นจังหวะหลังฟังเรื่องราวที่น่าแปลกใจของนักเรียนจอมหาเรื่อง เขาแอบแปลกใจตั้งแต่ผ่านไปที่สระว่ายน้ำแล้วบังเอิญไปเห็นนักเรียนคนโปรดใส่ชุดว่ายน้ำประจำของโรงเรียน ซึ่งกางเกงว่ายน้ำขาสั้นสีกรมท่าคาดขีดสีแดงและแว่นตาว่ายน้ำที่ขาวสลักเลข77888นั้นเป็นของที่สามารถเบิกได้จากในโรงเรียนเท่านั้นและถ้าไม่ใช่สมาชิกชมรมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเบิกมันออกมาใช้
“เห็นไหมครับ ก็มีคนที่แม้จะรู้ว่าคุณหยาบคายและเจ้าอารมณ์แต่ก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาอยู่นี่นา”
“อือ ฉันก็รู้ล่ะนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างปัญหาให้พวกเขารึเปล่า”
ชายหนุ่มพูดนิ่งๆ ใบหน้าเขาดูครุ่นคิดราวกับมีบางสิ่งอยู่ในใจและมันกำลังกระตุ้นความกังวลของเขาอยู่
“หึ ให้ตายสิครับ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเห็นคุณทำท่าทางแบบนั้น ผมอยากจะลงรายละเอียดเรื่องของคุณอีกสักหน่อยหรอกนะ แต่พอดีผมมีธุระบางอย่าง วันพรุ่งนี้ค่อยกลับมาใหม่ได้ไหมครับ”
“อา...ไว้ว่างแล้วจะมาละกัน อาจจะไม่ใช่พรุ่งนี้หรอกนะดันเต้”
“หืม?”
“...อาจารย์ดันเต้”
“ดีมากครับ ไว้เจอกันนะครับคุณฟาโรห์ แล้วก็ฝากบอกคนที่อยู่หน้าห้องด้วยว่าผมว่างแล้ว ให้เข้ามาได้เลยครับ”
ฟาโรห์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนลุกจากเก้าอี้ที่นั่งระหว่างการสนทนา เขาเดินไปที่ประตูพลางทำตามคำสั่งแล้วเดินจากไปตามทางเดินสีขาว
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเดินเข้ามาในห้องตามคำสั่ง ดวงตาสีเขียวของเขาจ้องมองใบหน้าของอาจารย์ในทุกย่างก้าวก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟายาวในห้องอย่างเบื่อหน่าย
“ว่าไงครับ อาจารย์ดันเต้ จะปรับทัศนคติอะไรผมถึงได้เรียกผมมา”
ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยท่าทางรำคาญทำให้อาจารย์ผู้เรียกต้องถอนหายใจออกมา
“นักเรียนคลาสAระดับBที่เข้าโรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อนเป็นฝีมือของพวกคุณใช่ไหมครับ”
ดันเต้ถามอย่างชัดเจนไม่อ้อมค้อมพลางยกแขนขึ้นกอดอกและพิงโต๊ะทำงานของตัวเอง
“มีหลักฐานอะไรล่ะครับเนี่ย”
“ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอกครับ นอกจากแหวนของคุณ”
อาจารย์หนุ่มล้วงหยิบแหวนทองเรียบๆที่ไม่มีลายใดๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ดันเต้หรี่ตา มองชายหนุ่มที่ยังนึกคำพูดไม่ออกด้วยท่าทางใจเย็นแต่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเย็นได้ถึงตอนไหนกัน
“แล้วอาจารย์มั่นใจจริงๆหรอครับว่าเป็นแหวนของผม”
“ไม่ครับ แต่ถ้าคุณไม่สารภาพมา ผมก็จะไม่คืนมันให้ใครทั้งนั้น และระวังคุณพ่อจะโกรธเอานะครับคุณหนู”
“ไอ้...!”
แคชดูอารมณ์เสียขึ้นมาในทันทีและเกือบหลุดปากด่าผู้เป็นครูบาอาจารย์ แต่ปฏิกิริยานั้นกำลังทำให้ดันเต้อารมณ์ดีขึ้น
“...เออ ฉันยอมก็ได้ ลูกน้องของฉันทำเอง”
“ก็แค่นั้นเองครับ เอ้า”
ดันเต้ยิ้มก่อนปาแหวนให้ลูกศิษย์หนุ่ม แคชรีบคว้าแหวนทองนั้นไว้ก่อนจะถอนหายใจเมื่อเห็นดันเต้หันไปหยิบสมุดคาดโทษมาเขียนอะไรบางอย่าง
“ผมถามอะไรหน่อยสิอาจารย์ดันเต้”
ชายหนุ่มกลับมาพูดอย่างสุภาพอีกครั้งเมื่อใจเขาสงบลง
“คุณรู้ตัวไหมว่าตัวเองเหมาะกับงานนี้มากเลย”
“หืม? การเป็นอาจารย์น่ะหรอครับ”
“เปล่า ผมหมายถึงการคอยจัดการปัญหาการทะเลาะวิวาทและคอยปกป้องนักเรียนคนอื่น”
“เหมาะยังไงหรอครับ”
“เหมาะเพราะดูเหมือนเป็นการชดเชย “ตอนนั้น” ที่คุณปกป้องใครไม่ได้เลยไงล่ะครับ”
ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มทำให้ดันเต้ละสายตาจากกระดาษสมุดและเหลือบมองเขาเล็กน้อย เขาไม่พูดอะไรตอบโต้จนเด็กหนุ่มเดินไปถึงหน้าประตูห้อง
“เป็นอะไรไปครับ ช็อคจนลืมบอกงานทำโทษที่ผมต้องทำเลยรึไง”
“ถ้าพูดแล้วคุณจะทำหรอครับ”
“ฮ่าๆๆๆ นั่นสินะครับ”
แคชหัวเราะก่อนปิดประตูลง อาจารย์หนุ่มยืนนิ่งอยู่สักพัก เขาพยายามไม่ใส่ใจคำพูดไร้สาระและเป็นโชคดีของเขาที่มีคนเข้ามาในห้องของเขาพอดีทำให้เขาไม่มีเวลาได้อยู่ฟุ้งซ่านคนเดียว แต่ก็เป็นโชคร้ายของเขาที่คนที่เดินเข้ามาคือฟรายเดย์ผู้แสนสุภาพน่ารักใจเย็นทำตัวเป็นมิตรและมีกาลเทศะ
“ไง หัวหงอก อ่านเอกสารวันประชุมรึยัง”
อาจารย์หนุ่มเดินเข้ามาเพราะการประชุมที่กำลังจะมาถึงในอีก3ชั่วโมงข้างหน้า แต่เขายังไม่ได้รับเอกสารประชุมเลย
“เอาของผมไปอ่านแล้วกันนะครับ ผมอ่านไปหมดแล้ว แถมคนแจกเอกสารก็ไม่ใช่ผมด้วย ผมไม่มีให้หรอก”
“โอ้ ขอบใจ ว่าแต่แกเป็นแป๊ะอะไรทำหน้าอย่างกับลูกตาย”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่เครียดเรื่องเด็ก ก็เหมือนทุกที”
“อ้อ งั้นหรอ ก็ดี เวลาเห็นแกทำหน้าแบบนั้นแล้วรู้สึกเหมือนความชิบหายกำลังจะมา”
ฟรายเดย์พูดก่อนจะเดินไปหยิบเอกสารบนโต๊ะของดันเต้แล้วเดินออกไปจากห้อง อาจารย์หนุ่มนิ่งไปสักพักก่อนจะกำสมุดคาดโทษในมือแน่นแล้วปามันไปทางประตูอย่างแรงราวนักเบสบอลอาชีพ แต่สิ่งที่สมุดนั้นไปกระทบกลับไม่ใช่บานประตูไม้สีน้ำตาลแต่เป็นใบหน้าของนักเรียนปี3ที่บังเอิญเดินเข้ามาส่งงาน
ปึ้ก!
สมุดคาดโทษความหนา200หน้าหน่อยๆหุ้มปกด้วยหนังสีดำสนิทกระแทกเข้ากับหน้าผากของเฟยเฟิ่งผู้โชคร้ายราวกับลูกเบสบอลที่บันเอิญปาไปโดนเสาเหล็กของป้ายบอกคะแนนอย่างจัง แรงกระแทกทำให้เด็กหนุ่มในภาพลักษณ์ของสาวน้อยล้มลงที่พื้นอย่างง่ายดายก่อนที่รายงาน20หน้าที่ยังไม่ได้เย็บสันของเขาจะร่วงลงพื้นและกระจายออกพร้อมกับเขาที่สลบลงกับพื้น ทำให้อาจารย์หนุ่มสบถคำที่อยู่ในคำพูดของเพื่อนร่วมงานออกมารวมกับชะตาถูกกำหนดไว้
“ชิบหาย...”
ไฟสว่างจ้ากับเพดานสีขาวไม่มีแม้ใยแมงมุมนั้นคือสิ่งแรกที่มองเห็น เด็กหนุ่มพยุงตัวขึ้นจากโซฟายาวในห้องปกครองของอาจารย์ที่ไม่รู้จะเร่งแอร์ให้เย็นกว่าห้องอื่นไปเพื่ออะไร เขาหันไปมองที่โต๊ะของอาจารย์แต่ก็ไม่มีใครอยู่อีกทั้งห้องที่เงียบสงบเกินไปก็ทำให้เขาประหม่าไม่น้อย
“อ้าว ตื่นแล้วหรอครับ”
เสียงทุ่มหวานของอาจารย์ที่เขาไม่คุ้นเคยทำให้เขาหันไปมองที่ประตูตามเสียงทันที อาจารย์ที่เขาไม่มั่นใจเรื่องชื่อของเจ้าตัวเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำใบหนึ่ง
“เอ่อ...ค่ะ”
“ผมขอโทษจริงๆนะครับ ผม...ไม่นึกว่าจะมีคนเปิดประตูเข้ามา”
ดันเต้กล่าวขอโทษอย่างสุภาพก่อนยื่นแก้วน้ำให้เด็กหนุ่ม
“ว่าแต่ว่าทำไมคุณถึงเอารายงานของคุณอลิสมาส่งให้ผมโดยไม่มีสันเล่มล่ะครับเนี่ย”
อาจารย์หนุ่มถามสิ่งที่เขาสงสัยทันทีโดยไม่ให้เวลาสมองของเฟยเฟิ่งเข้าที่เลย
“หืม? อ้อ...อลิสเป็นเพื่อนที่บ้านใกล้กับหนูน่ะค่ะ แต่พอดีว่าวันนี้เธอไข้ขึ้นหนักก็เลยมาไม่ได้แต่เธออยากจะส่งรายงานมากๆเพราะกลัวจะโดนหักคะแนน หนูก็เลยเอามาส่งให้แทน”
“อ้อ แล้วทำไมไม่มีสันล่ะครับ”
“เอ่อ...พอดีหนูทำหายน่ะค่ะ เลยกะว่าจะมายืมที่เย็บกระดาษของอาจารย์ที่ห้องนี้เลย”
“อ้อออ มิน่าล่ะไม่เคยเห็นหน้าเลย งั้นก็ขอบคุณนะครับ ปกติผมจะชอบงานที่เรียบร้อยมากกว่าแต่ถ้าคุณอลิสตั้งใจส่งขนาดนี้ผมคงพอจะมองข้ามเรื่องความเรียบร้อยได้ ฝากบอกเธอด้วยว่าผมจะเช็คลาป่วยให้ในคาบที่เธอขาดแล้วก็รายงานเธอผ่านนะครับ”
ดันเต้พูดพลางเอารายงานไปที่โต๊ะทำงานก่อนจะหยิบสันปกในลิ้นชักมาใส่ให้รายงานของนักเรียน
“ยังไงผมก็ต้องขอโทษจริงๆนะครับ ผมนี่แย่จริงๆที่ทำให้เด็กสาวต้องมีแผล”
เขาพูดโดยไม่รู้ว่าเฟยเฟิ่งเป็นนักเรียนชายแต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้แก้ตัวอะไร ดันเต้ก็เดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะหยิบพลาสเตอร์ในกระเป๋ามาแปะลงหน้าผากที่มีรอยแผล ลูกศิษย์หนุ่มทำตัวไม่ถูกเล็กน้อยเพราะอาจารย์ที่เขาไม่เคยเรียนด้วยและไม่คุ้นเคยกำลังเข้าใกล้เขามากเกินไป
“โดยตรงสันหนังสือแน่เลยมันถึงเป็นแผลได้ขนาดนี้ ยังไงก็ทายาด้วยนะครับ”
อาจารย์หนุ่มพูดพร้อมกับปัดผมหน้าม้าของเฟยเฟิ่งให้เข้าที่และปิดไม่ให้เห็นพลาสเตอร์บนหัวของเขา
“ขะ...ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็ต้องขอโทษด้วยนะ”
หลังจากขอโทษกันเสร็จเฟยเฟิ่งก็รีบออกมาจากห้องปกครอง เขาเดินไปตามทางเดินของโรงเรียนอย่างอารมณ์ดีก่อนจะลูบพลาสเตอร์ที่หน้าผากเบาๆ
แชะ!
เสียงแฟลชของกล้องดังขึ้นพร้อมแสงที่กระทบหน้าของเธอทำให้เฟยเฟิ่งหันไปมองอย่างตกใจ สาวญี่ปุ่นผู้มีกล้องมีมือยิ้มอย่างร่าเริงก่อนจะเดินเข้ามาหาพร้อมท่าทางอารมณ์ดี
“กำลังเพ้อถึงใครอยู่หรอเนี่ย”
“เพ้อบ้าอะไรเล่า! ฉันก็แค่เจ็บหน้าผากนิดหน่อยแค่นั้นเอง”
“อ้อ ก็เลยยิ้มกรุ้มกริ่มสินะ ว่าแต่หน้าผากไปโดนอะไรมาน่ะ”
คายะถามเพื่อนของเธอด้วยความสงสัยำลางเก็บกล้องถ่ายรูปลงกระเป๋า เฟยเฟิ่งทำท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มและตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“หนังสือแห่งโชคชะตาน่ะ”
คายะมองเพื่อนของเธอที่ทำท่าทางเพ้อๆก่อนจะถอนหายใจแรงๆ
“อืม ท่าจะหนัก”
“ว่าแต่ๆ คายะจังรู้จักอาจารย์ผมสีขาวใส่แว่นที่สอนประวัติศาสตร์บ้างรึเปล่า”
“หืม? อาจารย์เฮอร์ริแกนหรอ เขาสอนคลาสฉันอยู่ คลาสเธอเป็นอาจารย์คนละคนสินะ”
“คลาสฉันเป็นอาจารย์จีน่าน่ะ ผู้หญิงผมแดงๆที่ชอบทำตัวงี่เง่าๆหน่อย แต่ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ามีอาจารย์ผู้ชายท่าทางนิ่งๆแบบนั้นในโรงเรียนด้วย”
เฟยเฟิ่งพูดระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินไปตามทางยาวของโรงเรียน
“...นี่หล่อนไปอยู่หลืบไหนมาเนี่ย?! อาจารย์เฮอร์ริแกนน่ะเด่นมากเลยนะในโรงเรียน ทั้งเรื่องจัดการหัวโจกคลาสซี เรื่องการปรึกษานอกเวลา ไหนจะเป็นที่ปรึกษาชมรมละครอีก”
คายะแปลกใจมากเมื่อรู้ว่าเพื่อนของตัวเองไม่ทันข่าวในโรงเรียนเลยถึงขั้นไม่รู้จักอาจารย์ปกครองเพียงคนเดียวของโรงเรียน แต่ความจริงแล้วก็เป็นเพราะเฟยเฟิ่งไม่ได้สนใจเรื่องการทะเลาะวิวาทในโรงเรียนนักด้วยจึงไม่ได้ใส่ใจข่าวที่นักเรียนคนอื่นคุยกันนัก
ระหว่างที่สาวๆกำลังคุยกันระหว่างทางไปโรงอาหาร อีกด้านก็มีกลุ่มชายหนุ่มที่กำลังจะมุ่งหน้าไปโรงอาหารไม่ต่างกัน ระหว่างทางที่พวกเขากำลังเดินไปชายหนุ่มทั้งสองก็หยุดฝีเท้าลงที่หน้าห้องเรียนปี4คลาสบี ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยื่นหน้าเข้าไปในห้องก่อนตะโกนเรียกเพื่อนเสียงดัง
“พีริเซีย!!”
เสียงเรียกทำให้หญิงสาวที่สภาพไม่เหมือนผู้หญิงนักสะดุ้งก่อนจะหันไปมองต้นเสียง
“ถ้าไม่รีบเราจะไปกันก่อนแล้วนะ”
ต้นเสียงพูดต่อโดยไม่เว้นช่วงให้พีริเซียได้โต้ตอบ เธอรีบเก็บของก่อนจะวิ่งออกไปหาเพื่อนทั้งสองอย่างรวดเร็วแล้วทั้งสามก็เดินตรงไปที่โรงอาหารต่อในทันที
“นี่ จะรีบอะไรกันนักกันหนาห๊ะ? สเลย์”
หญิงสาวพูดขึ้นระหว่างที่กำลังเดินไป เธอไม่ค่อยชอบให้ใครมาเร่งนักโดยเฉพาะเวลาที่กำลังเก็บของ
“ก็ฉันหิวนี่ ฉันหิว ฉันยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลยนะ”
“ฉันก็ไม่ได้กินมาตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
มิคุริโอพูดแทรกขึ้นเพื่อขัดคำของสเลย์ทำให้สเลย์หันไปมองเพื่อนสนิทของเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง
“โอ๋ๆ ไม่งอนนะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าว”
มิคุริโอพูดด้วยสีหน้านิ่งตายและไม่แม้จะหันไปมองคนที่เขาง้อ แม้คำพูดนั้นจะดูไม่ได้แสดงความจริงใจออกมาเลยแม้แต่น้อยแต่มันก็ทำให้สเลย์หายงอนได้ง่ายๆและดูสดชื่นกับคำว่าเลี้ยงข้าวมากๆ
“อี๋ เห็นแบบนี้แล้วขนลุกเลย”
ชะนีที่เดินขนาบมาด้วยนั้นถึงกับเบะปาก ไม่ใช่เพราะเธอรังเกียจหรืออะไรแต่เป็นเพราะว่าพวกเขาสนิทกันมาก การจะแซวกันด้วยท่าทางแบบนี้เลยไม่แปลกนัก
“จะว่าไปอยากกินเบอร์เกอร์จังแฮะ”
หญิงสาวพูดขึ้นลอยๆระหว่างที่กำลังก้าวลงบันได
“หมดแล้วล่ะ”
เสียงของใครบางคนที่อยู่ด้านล่างของบันไดทำให้ทั้งสามหันไปมอง ชายผิวเข้มผู้แสนคุ้นหน้าคุ้นตายืนอยู่ที่ด้านล่างของบันได ในมือของเขาถือแฮมเบอร์เกอร์ที่ถูกกินไปแล้วครึ่งอันอยู่
“ฉันเป็นคนซื้อชิ้นสุดท้ายเอง”
“ทำไมเป็นคนแบบนี้ล่ะเนี่ยโซเซีย”
สเลย์พูดแซวๆแต่ในขณะที่เขาแซวก็มีกระเป๋าจากมือของพีริเซียลอยไปกำลังจะกระทบหน้าของโซริเชีย แต่ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของชายหนุ่มที่สูงจนดูพิลึกทำให้เขาปัดกระเป๋าออกไปได้อย่างรวดเร็ว
ปั้ก!
และแรงพอที่จะกระทบหน้าของคนที่เดินมาจากอีกทางจนล้มลง เฟยเฟิ่งผู้โชคร้ายได้โดนเฮดช็อทถึงสองครั้งในวันเดียวเขาล้มลงก่อนที่จะมีใครได้ตั้งตัวพร้อมกับเสียงกรี๊ดด้วยความตกใจของคายะที่ดังขึ้น
“ขอโทษจริงๆนะ หมอนี่ค่อนข้างแรงวัวแรงควายมากเลยด้วยคงเจ็บแย่เลยสิ”
สเลย์พูดหลังจากทุกอย่างสงบลงแล้ว พวกเขาทั้ง6นั่งกินข้าวที่โต๊ะเดียวกันรวมทั้งพีริเซียยังลงทุนเลี้ยงข้าวกลางวันรุ่นน้องทั้งสองเพื่อเป็นการขอโทษ เฟยเฟิ่งที่มีพลาสเตอร์บนหน้าผากตอนนี้ได้เพิ่มพลาสเตอร์ที่สันจมูกมาอีกจุดแล้ว
“มันเป็นความผิดของพีริเซียที่โยนกระเป๋ามาต่างหาก”
โซริเซียพูดด้วยสีหน้านิ่งตายก่อนชี้ไปทางน้องสาวฝาแฝด
“แต่ฉันไม่ได้เอากระเป๋าไปฟาดหน้าเขานะยะ!!”
“หา? แล้วถ้าเธอไม่ปามาฉันจะเผลอปัดไปทางเขาไหมฟะ?!”
“เอาล่ะเลิกเถียงกันเป็นเด็กๆเถอะ อยู่ต่อหน้าคนอื่นยังทำตัวทุเรศแบบนี้กันอีก”
มิคุริโอจับหัวของทั้งสองที่นั่งอยู่ทั้งสองข้างของตัวเขาเขย่าเบาๆด้วยสีหน้านิ่งเฉยตาก็ดูจะดุพอที่จะทำให้ทั้งคู่สงบลง
“จะว่าไปแนะนำตัวกันหน่อยละกันนะ ฉันสเลย์ ปี4คลาสเอส ส่วนนั่นมิคุริโอ ห้องเดียวกัน”
สเลย์แนะนำตัวกับรุ่นน้องอย่างเป็นกันเองทำให้เฟยเฟิ่งแนะนำตัวกลับ
“เฟยเฟิ่ง คลาสเอสปี3ค่ะ”
“อ่า...คายะคลาสเอ ปี3เหมือนกันค่ะเป็นคนธรรมดา”
“เห? คนเอเชียหรอ แถมเป็นคนธรรมดาอีก หายากนะเนี่ย แล้วพวกตัวต้นเหตุจะไม่กล่าวชื่อเสียงเรียงนามของท่านหรือ”
สเลย์พูดพลางหันไปมองพี่น้องฝาแฝดเจ้าอารมณ์พร้อมคำพูดแซวๆ
“เชอะ ไม่ใช่ต้นเหตุสักหน่อย ฉันพีริเซีย ปี4คลาสบี ส่วนนี่พี่ชายฝาแฝดโซริเซีย คลาสซี”
“อ๊ะ ชื่อน่ารักจังเลย ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ”
เฟยเฟิ่งพูดขึ้นทำให้คนในโต๊ะหันไปมองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ
“อ้อ ลืมบอกเลย เฟยเฟิ่งเป็นผู้ชายน่ะค่ะ”
คายะพูดคลายความสงสัยของคนในโต๊ะทำให้มิคุริโอหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ฮะๆ เอาจริงหรอเนี่ย น่ารักกว่ายัยพีริเซียเยอะเลย”
“หุบปากเลย!”
พีริเซียตะคอกก่อนตบหัวของมิคุริโอ ทั้งสี่คนค่อนข้างจะเป็นเพื่อนสนิทกัน ทั้งหมดก็เพราะระดับของตระกูลที่เรียกได้ว่าไม่ใช่ชนชั้นกลางแบบรุ่นน้องทั้งสองคน โดยเฉพาะตระกูลแบล็คไนท์ที่จริงๆก็ไม่ได้มีอำนาจหรือเงินมากมายเท่าสเลย์ แต่พวกเขากลับมีพลังที่มหาศาลระดับที่ถ้าเป็นคนเล่นเกมออนไลน์ก็คงเติมทรูไปเป็นแสนเห็นจะได้
หลังเลิกเรียนเฟยเฟิ่งเดินออกมาจากอาคารเรียนพร้อมกับคายะเช่นทุกครั้ง และถ้าเป็นปกติจะต้องมีอลิสมาเป็นคนชวนไปส่องรุ่นพี่ชมรมกรีฑาแต่ในวันนี้เธอไม่สบายทั้งสองจึงรีบกลับบ้านกว่าปกติ ทั้งคู่แยกกันที่หน้าอาคารเรียน คายะนั้นรีบตรงไปที่จุดรอรถประจำทางน่าโรงเรียน ส่วนเฟยเฟิ่งยังยืนรอเฟยหลงที่หน้าอาคารเรียน เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ30นาที เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าคนที่เขารอนั้นมาช้ากว่าปกติเขาจึงอดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรตามไม่ได้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่ด้านหลังของเขาทำให้เฟยเฟิ่งหันกลับไปแต่คนที่เขาเห็นนั้นไม่ได้มีแต่พี่ชายของเขาเพียงคนเดียว เฟยหลงถือเอกสารปึกใหญ่เดินลงมาพร้อมกับอาจารย์ที่เขาคุ้นตา
“รับโทรศัพท์ก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวที่เหลือผมถือเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเจอตัวคนโทรแล้ว”
เฟยหลงมองน้องชายของตัวเองทำให้อาจารย์หนุ่มมองตามก่อนจะหลุดขำออกมา
“ฮะๆ สาวน้อยเมื่อช่วงสายๆนี่นา ว่าแต่ทำไมมีแผลเพิ่มล่ะครับ”
ดันเต้พูดแซวๆทำให้เฟยหลงมองหน้าเขา
“อาจารย์มองยังไงถึงเห็นเป็นสาวน้อยครับเนี่ย”
“ฮะๆๆ ท่าทางสนิทกันนะครับ ถึงแซวแรงแบบนี้ คุณเฟยหลงกลับเถอะครับที่เหลือเดี๋ยวผมถือไปเอง จะได้ไม่ต้องรอกัน”
ดันเต้พูดแม้ว่าเอกสารในมือเขาจะสูงจนแทบบังหน้าแล้วก็ตาม เฟยเฟิางเห็นแบบนั้นจึงเข้าไปรับเอกสารครึ่งหนึ่งในมือของอาจารย์ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวหนูจะช่วยด้วยค่ะ”
“ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวเอาไปที่รถผมละกัน”
ดันเต้ยิ้มตอบและเดินนำทั้งสองคนไปที่รถ รถของเขานั้นจำง่ายกว่าคันอื่นมากมันเป็นรถVW beetle สีฟ้าพาสเทลที่มีที่ล็อคกระเป๋าบนหลังคารถ ดันเต้เปิดประตูก่อนจะให้นักเรียนทั้งสองเอาเอกสารวางไว้ที่นั่งข้างคนขับ
“ขอบคุณมากนะ ผมมีของกลับบ้านเยอะตลอดเลยเลยต้องรบกวนคุณเฟยหลงตลอด”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ว่าแต่ มีน้องสาวที่แข็งแรงดีนะครับ ฮะๆๆ”
เฟยหลงทำหน้าตายๆแล้วหันไปมองน้องชายผู้เป็นที่รักก่อนจะอ้าปากพูด
“ความจริงมันเป็นน้องช...”
“น้องไม่แท้ค่ะ!”
เฟยเฟิ่งพูดขัดขึ้นเสียงดังพลางแอบเตะขาของพี่ชายเล็กน้อย
“อ้อ งั้นหรอครับ ให้ผมไปส่งไหมครับ นี่ก็เย็นมากแล้ว”
“ก็ดี...”
“ไม่เป็นไรค่ะ! หนูโทรเรียกแม่มารับแล้ว”
เฟยเฟิ่งพูดขัดพี่ชายอีกครั้งก่อนจะแอบหยิกแขนของเฟยหลง
“อ้อ ดีแล้วครับ อ๊ะ จริงสิ”
ดันเต้พูดเหมือนนึกอะไรได้ก่อนจะหยิบพลาสเตอร์ในกระเป๋าออกมาแกะแล้วแปะลงบนคางของเด็กหนุ่มที่เขาคิดว่าเป็นผู้หญิง
“มะ...มีแผลหรอคะ”
“เปล่าครับเปล่า แค่ผมว่ามันน่ารักดีน่ะ ฮะๆ”
ดันเต้พูดโดยไม่คิดอะไรแต่กลับทำให้เด็กหนุ่ใหน้าแดงขึ้นมาได้ เมื่อเห็นว่าลูศิษย์มีคนจะมารับแล้วเขาจึงกล่าวลาและขับรถออกไป ปล่อยให้นักเรียนทั้งสองเดินไปหน้ารั้วโรงเรียน ระหว่างทางเดินไปเฟยเฟิ่งก็กดโทรศัพท์ไปด้วยก่อนจะยกมันขึ้นมาแนบหู
“ฮัลโหลค่ะ พ่อมารับหนูกับพี่เฟยหลงหน่อยสิคะ ค่าๆ ขอบคุณค่ะ”
เขาคุยโทรศัพท์กับพ่อทำให้เฟยหลงมองหน้าเขาเล็กน้อยเมื่อเขาวางสาย
“ไหนบอกว่าโทรเรียกแม่ไปแล้วไง”
“แหม ก็ไม่อยากรบกวนอาจารย์เขานี่นา แล้วไม่ต้องไปบอกเขาล่ะว่าฉันเป็นผู้ชายน่ะ”
“จะดีหรอ เดี๋ยวเขาก็ต้องรู้อยู่ดีแหละมั้ง”
“ก็ตอนนี้เขายังไม่รู้นี่ พี่ก็อย่าเปิดปากสิ!”
เฟยหลงถอนหายใจแต่เขาก็รับคำเพราะอาจปฏิเสธน้องชายที่ดูมีท่าทางตื่นเต้นและอารมณ์ดีผิดปกติได้ ไม่นานเกินรอพ่อของเฟยเฟิ่งก็ขับรถมารับ และเมื่อทั้งสองเข้าไปในรถแล้วพ่อก็มองหน้าของเฟยเฟิ่งผ่านกระจกมองหลังก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆ ทำไมลูกพ่อมีพลาสเตอร์แปะสามจุดบน กลาง ล่างเป็นยันต์แปะประตูแบบนั้นล่ะ”
ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่าฃอารมณ์ดีและเฟยหลงก็พยักหน้าเห็นด้วยว่ามันดูตลก แต่เฟยเฟิ่งกลับลูบพลาสเตอร์ที่หน้าผากอย่างเบามือ
“เป็นยันต์ทำเสน่ห์มากกว่าค่ะ ฮิๆ”
เด็กหนุ่มพูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทำให้พี่ขายของเขาถอนหายใจ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไปแม้ท่าทางของเฟยเฟิ่งจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาคิดอะไรก็ตาม
อาจารย์หนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเคาะปากกาลงบนโต๊ะเบาๆเป็นจังหวะหลังฟังเรื่องราวที่น่าแปลกใจของนักเรียนจอมหาเรื่อง เขาแอบแปลกใจตั้งแต่ผ่านไปที่สระว่ายน้ำแล้วบังเอิญไปเห็นนักเรียนคนโปรดใส่ชุดว่ายน้ำประจำของโรงเรียน ซึ่งกางเกงว่ายน้ำขาสั้นสีกรมท่าคาดขีดสีแดงและแว่นตาว่ายน้ำที่ขาวสลักเลข77888นั้นเป็นของที่สามารถเบิกได้จากในโรงเรียนเท่านั้นและถ้าไม่ใช่สมาชิกชมรมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเบิกมันออกมาใช้
“เห็นไหมครับ ก็มีคนที่แม้จะรู้ว่าคุณหยาบคายและเจ้าอารมณ์แต่ก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาอยู่นี่นา”
“อือ ฉันก็รู้ล่ะนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างปัญหาให้พวกเขารึเปล่า”
ชายหนุ่มพูดนิ่งๆ ใบหน้าเขาดูครุ่นคิดราวกับมีบางสิ่งอยู่ในใจและมันกำลังกระตุ้นความกังวลของเขาอยู่
“หึ ให้ตายสิครับ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเห็นคุณทำท่าทางแบบนั้น ผมอยากจะลงรายละเอียดเรื่องของคุณอีกสักหน่อยหรอกนะ แต่พอดีผมมีธุระบางอย่าง วันพรุ่งนี้ค่อยกลับมาใหม่ได้ไหมครับ”
“อา...ไว้ว่างแล้วจะมาละกัน อาจจะไม่ใช่พรุ่งนี้หรอกนะดันเต้”
“หืม?”
“...อาจารย์ดันเต้”
“ดีมากครับ ไว้เจอกันนะครับคุณฟาโรห์ แล้วก็ฝากบอกคนที่อยู่หน้าห้องด้วยว่าผมว่างแล้ว ให้เข้ามาได้เลยครับ”
ฟาโรห์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนลุกจากเก้าอี้ที่นั่งระหว่างการสนทนา เขาเดินไปที่ประตูพลางทำตามคำสั่งแล้วเดินจากไปตามทางเดินสีขาว
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเดินเข้ามาในห้องตามคำสั่ง ดวงตาสีเขียวของเขาจ้องมองใบหน้าของอาจารย์ในทุกย่างก้าวก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟายาวในห้องอย่างเบื่อหน่าย
“ว่าไงครับ อาจารย์ดันเต้ จะปรับทัศนคติอะไรผมถึงได้เรียกผมมา”
ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยท่าทางรำคาญทำให้อาจารย์ผู้เรียกต้องถอนหายใจออกมา
“นักเรียนคลาสAระดับBที่เข้าโรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อนเป็นฝีมือของพวกคุณใช่ไหมครับ”
ดันเต้ถามอย่างชัดเจนไม่อ้อมค้อมพลางยกแขนขึ้นกอดอกและพิงโต๊ะทำงานของตัวเอง
“มีหลักฐานอะไรล่ะครับเนี่ย”
“ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอกครับ นอกจากแหวนของคุณ”
อาจารย์หนุ่มล้วงหยิบแหวนทองเรียบๆที่ไม่มีลายใดๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ดันเต้หรี่ตา มองชายหนุ่มที่ยังนึกคำพูดไม่ออกด้วยท่าทางใจเย็นแต่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเย็นได้ถึงตอนไหนกัน
“แล้วอาจารย์มั่นใจจริงๆหรอครับว่าเป็นแหวนของผม”
“ไม่ครับ แต่ถ้าคุณไม่สารภาพมา ผมก็จะไม่คืนมันให้ใครทั้งนั้น และระวังคุณพ่อจะโกรธเอานะครับคุณหนู”
“ไอ้...!”
แคชดูอารมณ์เสียขึ้นมาในทันทีและเกือบหลุดปากด่าผู้เป็นครูบาอาจารย์ แต่ปฏิกิริยานั้นกำลังทำให้ดันเต้อารมณ์ดีขึ้น
“...เออ ฉันยอมก็ได้ ลูกน้องของฉันทำเอง”
“ก็แค่นั้นเองครับ เอ้า”
ดันเต้ยิ้มก่อนปาแหวนให้ลูกศิษย์หนุ่ม แคชรีบคว้าแหวนทองนั้นไว้ก่อนจะถอนหายใจเมื่อเห็นดันเต้หันไปหยิบสมุดคาดโทษมาเขียนอะไรบางอย่าง
“ผมถามอะไรหน่อยสิอาจารย์ดันเต้”
ชายหนุ่มกลับมาพูดอย่างสุภาพอีกครั้งเมื่อใจเขาสงบลง
“คุณรู้ตัวไหมว่าตัวเองเหมาะกับงานนี้มากเลย”
“หืม? การเป็นอาจารย์น่ะหรอครับ”
“เปล่า ผมหมายถึงการคอยจัดการปัญหาการทะเลาะวิวาทและคอยปกป้องนักเรียนคนอื่น”
“เหมาะยังไงหรอครับ”
“เหมาะเพราะดูเหมือนเป็นการชดเชย “ตอนนั้น” ที่คุณปกป้องใครไม่ได้เลยไงล่ะครับ”
ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มทำให้ดันเต้ละสายตาจากกระดาษสมุดและเหลือบมองเขาเล็กน้อย เขาไม่พูดอะไรตอบโต้จนเด็กหนุ่มเดินไปถึงหน้าประตูห้อง
“เป็นอะไรไปครับ ช็อคจนลืมบอกงานทำโทษที่ผมต้องทำเลยรึไง”
“ถ้าพูดแล้วคุณจะทำหรอครับ”
“ฮ่าๆๆๆ นั่นสินะครับ”
แคชหัวเราะก่อนปิดประตูลง อาจารย์หนุ่มยืนนิ่งอยู่สักพัก เขาพยายามไม่ใส่ใจคำพูดไร้สาระและเป็นโชคดีของเขาที่มีคนเข้ามาในห้องของเขาพอดีทำให้เขาไม่มีเวลาได้อยู่ฟุ้งซ่านคนเดียว แต่ก็เป็นโชคร้ายของเขาที่คนที่เดินเข้ามาคือฟรายเดย์ผู้แสนสุภาพน่ารักใจเย็นทำตัวเป็นมิตรและมีกาลเทศะ
“ไง หัวหงอก อ่านเอกสารวันประชุมรึยัง”
อาจารย์หนุ่มเดินเข้ามาเพราะการประชุมที่กำลังจะมาถึงในอีก3ชั่วโมงข้างหน้า แต่เขายังไม่ได้รับเอกสารประชุมเลย
“เอาของผมไปอ่านแล้วกันนะครับ ผมอ่านไปหมดแล้ว แถมคนแจกเอกสารก็ไม่ใช่ผมด้วย ผมไม่มีให้หรอก”
“โอ้ ขอบใจ ว่าแต่แกเป็นแป๊ะอะไรทำหน้าอย่างกับลูกตาย”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่เครียดเรื่องเด็ก ก็เหมือนทุกที”
“อ้อ งั้นหรอ ก็ดี เวลาเห็นแกทำหน้าแบบนั้นแล้วรู้สึกเหมือนความชิบหายกำลังจะมา”
ฟรายเดย์พูดก่อนจะเดินไปหยิบเอกสารบนโต๊ะของดันเต้แล้วเดินออกไปจากห้อง อาจารย์หนุ่มนิ่งไปสักพักก่อนจะกำสมุดคาดโทษในมือแน่นแล้วปามันไปทางประตูอย่างแรงราวนักเบสบอลอาชีพ แต่สิ่งที่สมุดนั้นไปกระทบกลับไม่ใช่บานประตูไม้สีน้ำตาลแต่เป็นใบหน้าของนักเรียนปี3ที่บังเอิญเดินเข้ามาส่งงาน
ปึ้ก!
สมุดคาดโทษความหนา200หน้าหน่อยๆหุ้มปกด้วยหนังสีดำสนิทกระแทกเข้ากับหน้าผากของเฟยเฟิ่งผู้โชคร้ายราวกับลูกเบสบอลที่บันเอิญปาไปโดนเสาเหล็กของป้ายบอกคะแนนอย่างจัง แรงกระแทกทำให้เด็กหนุ่มในภาพลักษณ์ของสาวน้อยล้มลงที่พื้นอย่างง่ายดายก่อนที่รายงาน20หน้าที่ยังไม่ได้เย็บสันของเขาจะร่วงลงพื้นและกระจายออกพร้อมกับเขาที่สลบลงกับพื้น ทำให้อาจารย์หนุ่มสบถคำที่อยู่ในคำพูดของเพื่อนร่วมงานออกมารวมกับชะตาถูกกำหนดไว้
“ชิบหาย...”
ไฟสว่างจ้ากับเพดานสีขาวไม่มีแม้ใยแมงมุมนั้นคือสิ่งแรกที่มองเห็น เด็กหนุ่มพยุงตัวขึ้นจากโซฟายาวในห้องปกครองของอาจารย์ที่ไม่รู้จะเร่งแอร์ให้เย็นกว่าห้องอื่นไปเพื่ออะไร เขาหันไปมองที่โต๊ะของอาจารย์แต่ก็ไม่มีใครอยู่อีกทั้งห้องที่เงียบสงบเกินไปก็ทำให้เขาประหม่าไม่น้อย
“อ้าว ตื่นแล้วหรอครับ”
เสียงทุ่มหวานของอาจารย์ที่เขาไม่คุ้นเคยทำให้เขาหันไปมองที่ประตูตามเสียงทันที อาจารย์ที่เขาไม่มั่นใจเรื่องชื่อของเจ้าตัวเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำใบหนึ่ง
“เอ่อ...ค่ะ”
“ผมขอโทษจริงๆนะครับ ผม...ไม่นึกว่าจะมีคนเปิดประตูเข้ามา”
ดันเต้กล่าวขอโทษอย่างสุภาพก่อนยื่นแก้วน้ำให้เด็กหนุ่ม
“ว่าแต่ว่าทำไมคุณถึงเอารายงานของคุณอลิสมาส่งให้ผมโดยไม่มีสันเล่มล่ะครับเนี่ย”
อาจารย์หนุ่มถามสิ่งที่เขาสงสัยทันทีโดยไม่ให้เวลาสมองของเฟยเฟิ่งเข้าที่เลย
“หืม? อ้อ...อลิสเป็นเพื่อนที่บ้านใกล้กับหนูน่ะค่ะ แต่พอดีว่าวันนี้เธอไข้ขึ้นหนักก็เลยมาไม่ได้แต่เธออยากจะส่งรายงานมากๆเพราะกลัวจะโดนหักคะแนน หนูก็เลยเอามาส่งให้แทน”
“อ้อ แล้วทำไมไม่มีสันล่ะครับ”
“เอ่อ...พอดีหนูทำหายน่ะค่ะ เลยกะว่าจะมายืมที่เย็บกระดาษของอาจารย์ที่ห้องนี้เลย”
“อ้อออ มิน่าล่ะไม่เคยเห็นหน้าเลย งั้นก็ขอบคุณนะครับ ปกติผมจะชอบงานที่เรียบร้อยมากกว่าแต่ถ้าคุณอลิสตั้งใจส่งขนาดนี้ผมคงพอจะมองข้ามเรื่องความเรียบร้อยได้ ฝากบอกเธอด้วยว่าผมจะเช็คลาป่วยให้ในคาบที่เธอขาดแล้วก็รายงานเธอผ่านนะครับ”
ดันเต้พูดพลางเอารายงานไปที่โต๊ะทำงานก่อนจะหยิบสันปกในลิ้นชักมาใส่ให้รายงานของนักเรียน
“ยังไงผมก็ต้องขอโทษจริงๆนะครับ ผมนี่แย่จริงๆที่ทำให้เด็กสาวต้องมีแผล”
เขาพูดโดยไม่รู้ว่าเฟยเฟิ่งเป็นนักเรียนชายแต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้แก้ตัวอะไร ดันเต้ก็เดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะหยิบพลาสเตอร์ในกระเป๋ามาแปะลงหน้าผากที่มีรอยแผล ลูกศิษย์หนุ่มทำตัวไม่ถูกเล็กน้อยเพราะอาจารย์ที่เขาไม่เคยเรียนด้วยและไม่คุ้นเคยกำลังเข้าใกล้เขามากเกินไป
“โดยตรงสันหนังสือแน่เลยมันถึงเป็นแผลได้ขนาดนี้ ยังไงก็ทายาด้วยนะครับ”
อาจารย์หนุ่มพูดพร้อมกับปัดผมหน้าม้าของเฟยเฟิ่งให้เข้าที่และปิดไม่ให้เห็นพลาสเตอร์บนหัวของเขา
“ขะ...ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็ต้องขอโทษด้วยนะ”
หลังจากขอโทษกันเสร็จเฟยเฟิ่งก็รีบออกมาจากห้องปกครอง เขาเดินไปตามทางเดินของโรงเรียนอย่างอารมณ์ดีก่อนจะลูบพลาสเตอร์ที่หน้าผากเบาๆ
แชะ!
เสียงแฟลชของกล้องดังขึ้นพร้อมแสงที่กระทบหน้าของเธอทำให้เฟยเฟิ่งหันไปมองอย่างตกใจ สาวญี่ปุ่นผู้มีกล้องมีมือยิ้มอย่างร่าเริงก่อนจะเดินเข้ามาหาพร้อมท่าทางอารมณ์ดี
“กำลังเพ้อถึงใครอยู่หรอเนี่ย”
“เพ้อบ้าอะไรเล่า! ฉันก็แค่เจ็บหน้าผากนิดหน่อยแค่นั้นเอง”
“อ้อ ก็เลยยิ้มกรุ้มกริ่มสินะ ว่าแต่หน้าผากไปโดนอะไรมาน่ะ”
คายะถามเพื่อนของเธอด้วยความสงสัยำลางเก็บกล้องถ่ายรูปลงกระเป๋า เฟยเฟิ่งทำท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มและตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“หนังสือแห่งโชคชะตาน่ะ”
คายะมองเพื่อนของเธอที่ทำท่าทางเพ้อๆก่อนจะถอนหายใจแรงๆ
“อืม ท่าจะหนัก”
“ว่าแต่ๆ คายะจังรู้จักอาจารย์ผมสีขาวใส่แว่นที่สอนประวัติศาสตร์บ้างรึเปล่า”
“หืม? อาจารย์เฮอร์ริแกนหรอ เขาสอนคลาสฉันอยู่ คลาสเธอเป็นอาจารย์คนละคนสินะ”
“คลาสฉันเป็นอาจารย์จีน่าน่ะ ผู้หญิงผมแดงๆที่ชอบทำตัวงี่เง่าๆหน่อย แต่ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ามีอาจารย์ผู้ชายท่าทางนิ่งๆแบบนั้นในโรงเรียนด้วย”
เฟยเฟิ่งพูดระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินไปตามทางยาวของโรงเรียน
“...นี่หล่อนไปอยู่หลืบไหนมาเนี่ย?! อาจารย์เฮอร์ริแกนน่ะเด่นมากเลยนะในโรงเรียน ทั้งเรื่องจัดการหัวโจกคลาสซี เรื่องการปรึกษานอกเวลา ไหนจะเป็นที่ปรึกษาชมรมละครอีก”
คายะแปลกใจมากเมื่อรู้ว่าเพื่อนของตัวเองไม่ทันข่าวในโรงเรียนเลยถึงขั้นไม่รู้จักอาจารย์ปกครองเพียงคนเดียวของโรงเรียน แต่ความจริงแล้วก็เป็นเพราะเฟยเฟิ่งไม่ได้สนใจเรื่องการทะเลาะวิวาทในโรงเรียนนักด้วยจึงไม่ได้ใส่ใจข่าวที่นักเรียนคนอื่นคุยกันนัก
ระหว่างที่สาวๆกำลังคุยกันระหว่างทางไปโรงอาหาร อีกด้านก็มีกลุ่มชายหนุ่มที่กำลังจะมุ่งหน้าไปโรงอาหารไม่ต่างกัน ระหว่างทางที่พวกเขากำลังเดินไปชายหนุ่มทั้งสองก็หยุดฝีเท้าลงที่หน้าห้องเรียนปี4คลาสบี ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยื่นหน้าเข้าไปในห้องก่อนตะโกนเรียกเพื่อนเสียงดัง
“พีริเซีย!!”
เสียงเรียกทำให้หญิงสาวที่สภาพไม่เหมือนผู้หญิงนักสะดุ้งก่อนจะหันไปมองต้นเสียง
“ถ้าไม่รีบเราจะไปกันก่อนแล้วนะ”
ต้นเสียงพูดต่อโดยไม่เว้นช่วงให้พีริเซียได้โต้ตอบ เธอรีบเก็บของก่อนจะวิ่งออกไปหาเพื่อนทั้งสองอย่างรวดเร็วแล้วทั้งสามก็เดินตรงไปที่โรงอาหารต่อในทันที
“นี่ จะรีบอะไรกันนักกันหนาห๊ะ? สเลย์”
หญิงสาวพูดขึ้นระหว่างที่กำลังเดินไป เธอไม่ค่อยชอบให้ใครมาเร่งนักโดยเฉพาะเวลาที่กำลังเก็บของ
“ก็ฉันหิวนี่ ฉันหิว ฉันยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลยนะ”
“ฉันก็ไม่ได้กินมาตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
มิคุริโอพูดแทรกขึ้นเพื่อขัดคำของสเลย์ทำให้สเลย์หันไปมองเพื่อนสนิทของเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง
“โอ๋ๆ ไม่งอนนะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าว”
มิคุริโอพูดด้วยสีหน้านิ่งตายและไม่แม้จะหันไปมองคนที่เขาง้อ แม้คำพูดนั้นจะดูไม่ได้แสดงความจริงใจออกมาเลยแม้แต่น้อยแต่มันก็ทำให้สเลย์หายงอนได้ง่ายๆและดูสดชื่นกับคำว่าเลี้ยงข้าวมากๆ
“อี๋ เห็นแบบนี้แล้วขนลุกเลย”
ชะนีที่เดินขนาบมาด้วยนั้นถึงกับเบะปาก ไม่ใช่เพราะเธอรังเกียจหรืออะไรแต่เป็นเพราะว่าพวกเขาสนิทกันมาก การจะแซวกันด้วยท่าทางแบบนี้เลยไม่แปลกนัก
“จะว่าไปอยากกินเบอร์เกอร์จังแฮะ”
หญิงสาวพูดขึ้นลอยๆระหว่างที่กำลังก้าวลงบันได
“หมดแล้วล่ะ”
เสียงของใครบางคนที่อยู่ด้านล่างของบันไดทำให้ทั้งสามหันไปมอง ชายผิวเข้มผู้แสนคุ้นหน้าคุ้นตายืนอยู่ที่ด้านล่างของบันได ในมือของเขาถือแฮมเบอร์เกอร์ที่ถูกกินไปแล้วครึ่งอันอยู่
“ฉันเป็นคนซื้อชิ้นสุดท้ายเอง”
“ทำไมเป็นคนแบบนี้ล่ะเนี่ยโซเซีย”
สเลย์พูดแซวๆแต่ในขณะที่เขาแซวก็มีกระเป๋าจากมือของพีริเซียลอยไปกำลังจะกระทบหน้าของโซริเชีย แต่ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของชายหนุ่มที่สูงจนดูพิลึกทำให้เขาปัดกระเป๋าออกไปได้อย่างรวดเร็ว
ปั้ก!
และแรงพอที่จะกระทบหน้าของคนที่เดินมาจากอีกทางจนล้มลง เฟยเฟิ่งผู้โชคร้ายได้โดนเฮดช็อทถึงสองครั้งในวันเดียวเขาล้มลงก่อนที่จะมีใครได้ตั้งตัวพร้อมกับเสียงกรี๊ดด้วยความตกใจของคายะที่ดังขึ้น
“ขอโทษจริงๆนะ หมอนี่ค่อนข้างแรงวัวแรงควายมากเลยด้วยคงเจ็บแย่เลยสิ”
สเลย์พูดหลังจากทุกอย่างสงบลงแล้ว พวกเขาทั้ง6นั่งกินข้าวที่โต๊ะเดียวกันรวมทั้งพีริเซียยังลงทุนเลี้ยงข้าวกลางวันรุ่นน้องทั้งสองเพื่อเป็นการขอโทษ เฟยเฟิ่งที่มีพลาสเตอร์บนหน้าผากตอนนี้ได้เพิ่มพลาสเตอร์ที่สันจมูกมาอีกจุดแล้ว
“มันเป็นความผิดของพีริเซียที่โยนกระเป๋ามาต่างหาก”
โซริเซียพูดด้วยสีหน้านิ่งตายก่อนชี้ไปทางน้องสาวฝาแฝด
“แต่ฉันไม่ได้เอากระเป๋าไปฟาดหน้าเขานะยะ!!”
“หา? แล้วถ้าเธอไม่ปามาฉันจะเผลอปัดไปทางเขาไหมฟะ?!”
“เอาล่ะเลิกเถียงกันเป็นเด็กๆเถอะ อยู่ต่อหน้าคนอื่นยังทำตัวทุเรศแบบนี้กันอีก”
มิคุริโอจับหัวของทั้งสองที่นั่งอยู่ทั้งสองข้างของตัวเขาเขย่าเบาๆด้วยสีหน้านิ่งเฉยตาก็ดูจะดุพอที่จะทำให้ทั้งคู่สงบลง
“จะว่าไปแนะนำตัวกันหน่อยละกันนะ ฉันสเลย์ ปี4คลาสเอส ส่วนนั่นมิคุริโอ ห้องเดียวกัน”
สเลย์แนะนำตัวกับรุ่นน้องอย่างเป็นกันเองทำให้เฟยเฟิ่งแนะนำตัวกลับ
“เฟยเฟิ่ง คลาสเอสปี3ค่ะ”
“อ่า...คายะคลาสเอ ปี3เหมือนกันค่ะเป็นคนธรรมดา”
“เห? คนเอเชียหรอ แถมเป็นคนธรรมดาอีก หายากนะเนี่ย แล้วพวกตัวต้นเหตุจะไม่กล่าวชื่อเสียงเรียงนามของท่านหรือ”
สเลย์พูดพลางหันไปมองพี่น้องฝาแฝดเจ้าอารมณ์พร้อมคำพูดแซวๆ
“เชอะ ไม่ใช่ต้นเหตุสักหน่อย ฉันพีริเซีย ปี4คลาสบี ส่วนนี่พี่ชายฝาแฝดโซริเซีย คลาสซี”
“อ๊ะ ชื่อน่ารักจังเลย ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ”
เฟยเฟิ่งพูดขึ้นทำให้คนในโต๊ะหันไปมองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ
“อ้อ ลืมบอกเลย เฟยเฟิ่งเป็นผู้ชายน่ะค่ะ”
คายะพูดคลายความสงสัยของคนในโต๊ะทำให้มิคุริโอหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ฮะๆ เอาจริงหรอเนี่ย น่ารักกว่ายัยพีริเซียเยอะเลย”
“หุบปากเลย!”
พีริเซียตะคอกก่อนตบหัวของมิคุริโอ ทั้งสี่คนค่อนข้างจะเป็นเพื่อนสนิทกัน ทั้งหมดก็เพราะระดับของตระกูลที่เรียกได้ว่าไม่ใช่ชนชั้นกลางแบบรุ่นน้องทั้งสองคน โดยเฉพาะตระกูลแบล็คไนท์ที่จริงๆก็ไม่ได้มีอำนาจหรือเงินมากมายเท่าสเลย์ แต่พวกเขากลับมีพลังที่มหาศาลระดับที่ถ้าเป็นคนเล่นเกมออนไลน์ก็คงเติมทรูไปเป็นแสนเห็นจะได้
หลังเลิกเรียนเฟยเฟิ่งเดินออกมาจากอาคารเรียนพร้อมกับคายะเช่นทุกครั้ง และถ้าเป็นปกติจะต้องมีอลิสมาเป็นคนชวนไปส่องรุ่นพี่ชมรมกรีฑาแต่ในวันนี้เธอไม่สบายทั้งสองจึงรีบกลับบ้านกว่าปกติ ทั้งคู่แยกกันที่หน้าอาคารเรียน คายะนั้นรีบตรงไปที่จุดรอรถประจำทางน่าโรงเรียน ส่วนเฟยเฟิ่งยังยืนรอเฟยหลงที่หน้าอาคารเรียน เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ30นาที เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าคนที่เขารอนั้นมาช้ากว่าปกติเขาจึงอดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรตามไม่ได้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่ด้านหลังของเขาทำให้เฟยเฟิ่งหันกลับไปแต่คนที่เขาเห็นนั้นไม่ได้มีแต่พี่ชายของเขาเพียงคนเดียว เฟยหลงถือเอกสารปึกใหญ่เดินลงมาพร้อมกับอาจารย์ที่เขาคุ้นตา
“รับโทรศัพท์ก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวที่เหลือผมถือเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเจอตัวคนโทรแล้ว”
เฟยหลงมองน้องชายของตัวเองทำให้อาจารย์หนุ่มมองตามก่อนจะหลุดขำออกมา
“ฮะๆ สาวน้อยเมื่อช่วงสายๆนี่นา ว่าแต่ทำไมมีแผลเพิ่มล่ะครับ”
ดันเต้พูดแซวๆทำให้เฟยหลงมองหน้าเขา
“อาจารย์มองยังไงถึงเห็นเป็นสาวน้อยครับเนี่ย”
“ฮะๆๆ ท่าทางสนิทกันนะครับ ถึงแซวแรงแบบนี้ คุณเฟยหลงกลับเถอะครับที่เหลือเดี๋ยวผมถือไปเอง จะได้ไม่ต้องรอกัน”
ดันเต้พูดแม้ว่าเอกสารในมือเขาจะสูงจนแทบบังหน้าแล้วก็ตาม เฟยเฟิางเห็นแบบนั้นจึงเข้าไปรับเอกสารครึ่งหนึ่งในมือของอาจารย์ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวหนูจะช่วยด้วยค่ะ”
“ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวเอาไปที่รถผมละกัน”
ดันเต้ยิ้มตอบและเดินนำทั้งสองคนไปที่รถ รถของเขานั้นจำง่ายกว่าคันอื่นมากมันเป็นรถVW beetle สีฟ้าพาสเทลที่มีที่ล็อคกระเป๋าบนหลังคารถ ดันเต้เปิดประตูก่อนจะให้นักเรียนทั้งสองเอาเอกสารวางไว้ที่นั่งข้างคนขับ
“ขอบคุณมากนะ ผมมีของกลับบ้านเยอะตลอดเลยเลยต้องรบกวนคุณเฟยหลงตลอด”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ว่าแต่ มีน้องสาวที่แข็งแรงดีนะครับ ฮะๆๆ”
เฟยหลงทำหน้าตายๆแล้วหันไปมองน้องชายผู้เป็นที่รักก่อนจะอ้าปากพูด
“ความจริงมันเป็นน้องช...”
“น้องไม่แท้ค่ะ!”
เฟยเฟิ่งพูดขัดขึ้นเสียงดังพลางแอบเตะขาของพี่ชายเล็กน้อย
“อ้อ งั้นหรอครับ ให้ผมไปส่งไหมครับ นี่ก็เย็นมากแล้ว”
“ก็ดี...”
“ไม่เป็นไรค่ะ! หนูโทรเรียกแม่มารับแล้ว”
เฟยเฟิ่งพูดขัดพี่ชายอีกครั้งก่อนจะแอบหยิกแขนของเฟยหลง
“อ้อ ดีแล้วครับ อ๊ะ จริงสิ”
ดันเต้พูดเหมือนนึกอะไรได้ก่อนจะหยิบพลาสเตอร์ในกระเป๋าออกมาแกะแล้วแปะลงบนคางของเด็กหนุ่มที่เขาคิดว่าเป็นผู้หญิง
“มะ...มีแผลหรอคะ”
“เปล่าครับเปล่า แค่ผมว่ามันน่ารักดีน่ะ ฮะๆ”
ดันเต้พูดโดยไม่คิดอะไรแต่กลับทำให้เด็กหนุ่ใหน้าแดงขึ้นมาได้ เมื่อเห็นว่าลูศิษย์มีคนจะมารับแล้วเขาจึงกล่าวลาและขับรถออกไป ปล่อยให้นักเรียนทั้งสองเดินไปหน้ารั้วโรงเรียน ระหว่างทางเดินไปเฟยเฟิ่งก็กดโทรศัพท์ไปด้วยก่อนจะยกมันขึ้นมาแนบหู
“ฮัลโหลค่ะ พ่อมารับหนูกับพี่เฟยหลงหน่อยสิคะ ค่าๆ ขอบคุณค่ะ”
เขาคุยโทรศัพท์กับพ่อทำให้เฟยหลงมองหน้าเขาเล็กน้อยเมื่อเขาวางสาย
“ไหนบอกว่าโทรเรียกแม่ไปแล้วไง”
“แหม ก็ไม่อยากรบกวนอาจารย์เขานี่นา แล้วไม่ต้องไปบอกเขาล่ะว่าฉันเป็นผู้ชายน่ะ”
“จะดีหรอ เดี๋ยวเขาก็ต้องรู้อยู่ดีแหละมั้ง”
“ก็ตอนนี้เขายังไม่รู้นี่ พี่ก็อย่าเปิดปากสิ!”
เฟยหลงถอนหายใจแต่เขาก็รับคำเพราะอาจปฏิเสธน้องชายที่ดูมีท่าทางตื่นเต้นและอารมณ์ดีผิดปกติได้ ไม่นานเกินรอพ่อของเฟยเฟิ่งก็ขับรถมารับ และเมื่อทั้งสองเข้าไปในรถแล้วพ่อก็มองหน้าของเฟยเฟิ่งผ่านกระจกมองหลังก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆ ทำไมลูกพ่อมีพลาสเตอร์แปะสามจุดบน กลาง ล่างเป็นยันต์แปะประตูแบบนั้นล่ะ”
ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่าฃอารมณ์ดีและเฟยหลงก็พยักหน้าเห็นด้วยว่ามันดูตลก แต่เฟยเฟิ่งกลับลูบพลาสเตอร์ที่หน้าผากอย่างเบามือ
“เป็นยันต์ทำเสน่ห์มากกว่าค่ะ ฮิๆ”
เด็กหนุ่มพูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทำให้พี่ขายของเขาถอนหายใจ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไปแม้ท่าทางของเฟยเฟิ่งจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาคิดอะไรก็ตาม
WRITER
สัปดาห์นี้มาก่อนกำหนดล่ะค่ะ เย้
แล้วก็แต่งยาวกว่าที่คิดไว้แบบไม่ได้ตั้งใจด้วยสิ
ตอนนี้ก็มีปัญหาเล็กน้อยกับชื่อตัวละครสองตัวล่ะค่ะ
คือหนึ่ง เราติดปากเรียกโซริเซียว่าโซริเชีย ถ้าอันไหนพิมพ์พลาดไปขอโทษน้า
ส่วนมิคุริโอ แค่ออกเสียงเร็วๆลิ้นยังแทบพันกันเลยค่ะ55 ไม่มีคำติดปากเลย
ความจริงตอนนี้ตั้งใจจะเปิดตัวเฟยเฟิ่งเฟยหลง แต่ไปๆมาๆ กลายเป็นว่าเฟยหลงไม่เด่นเท่าพวกสเลย์ซะงั้น
ดันเต้นี่ใช้คำว่าเปิดตัวไม่ได้เพราะรู้สึกว่าเฮียบทเยอะเหลือเกิน และคงจะเยอะไปอีกยาวเพราะเราค่อนข้างชอบสมาชิกชมรมละครผู้หญิงที่เพิ่งมีคนส่งมาให้น่ะนะ
........................................
ตอนหน้าเรายังไม่ได้เริ่มเลย อยากให้ตัวละครตัวไหนออกเป็นพิเศษก็บอกได้นะคะ
เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะไปอัพตัวละครละนะ
อ่านแล้วอย่าลืมกดให้กำลังใจกันหน่อยนะคะ<3
........................................
อัพตัวละครเสร็จแล้ว....คลาสเอสเยอะชิบหาย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น