ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่2 ปัญหาของเหล่าอาจารย์
โครม!!
เสียงร่างของชายหนุ่มอายุ16ปีกระเด็นไปกระแทกกับโต๊ะและเก้าอี้ในห้องจนข้าวของล้มระเนระนาด แม้ร่างนั้นจะสิ้นสติในทันทีไม่สามารถลุกขึ้นมาได้แต่เจ้าของหมัดที่ต่อยเขาในครั้งแรกนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนหรือมอบความเมตตาให้ โซริเซียนั่งคร่อมร่างนั้นไว้ก่อนจะง้างหมัดขึ้นด้วยความโมโหและชกเข้าไปที่หน้าของเพื่อนร่วมห้องเต็มแรง
เสียงร่างของชายหนุ่มอายุ16ปีกระเด็นไปกระแทกกับโต๊ะและเก้าอี้ในห้องจนข้าวของล้มระเนระนาด แม้ร่างนั้นจะสิ้นสติในทันทีไม่สามารถลุกขึ้นมาได้แต่เจ้าของหมัดที่ต่อยเขาในครั้งแรกนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนหรือมอบความเมตตาให้ โซริเซียนั่งคร่อมร่างนั้นไว้ก่อนจะง้างหมัดขึ้นด้วยความโมโหและชกเข้าไปที่หน้าของเพื่อนร่วมห้องเต็มแรง
แต่ก่อนที่กำปั้นของเด็กหนุ่มจะได้บดขยี้กรามบนหน้าของอีกฝ่าย หมัดของเขากลับหยุดลงห่างจากหน้าของอีกฝ่ายเพียงไม่กี่นิ้ว โซริเซียพยายามดันหมัดของตัวเองไปต่อแต่ร่างกายของเขากลับไม่ขยับแม้แต่มิลลิเมตรเดียว เขาทำไม่ได้แม้แต่จะขยับนัยน์ตาไปมองชายผมสีขาวบริสุทธิ์ที่ยืนพิงประตูห้องอยู่ด้วยซ้ำ
“คุณแบล็คไนท์ ทำไมคุณต้องมีปัญหากับโลกใบนี้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
เสียงที่คุ้นหูของดันเต้ทำให้โซริเซียนึกขุ่นเคืองในใจแต่ก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้จนในที่สุดเขาก็ถูกตบเข้าที่หัวอย่างจัง แต่เขาก็ไม่รู้สึกใดๆเพราะพลังของอาจารย์หนุ่ม
“ช่วยพาคุณสมิธไปห้องพยาบาลด้วยนะครับ ส่วนผมจะไปจัดการธุระเสียหน่อย”
ดันเต้ยิ้มหวานให้กับนักเรียนคนอื่นก่อนที่จะมีคนรีบอุ้มร่างที่ไร้สติจากฝีมือของโซริเซียไปห้องพยาบาลตามคำสั่ง อาจารย์หนุ่มมองตามนักเรียนของเขาด้วยความเป็นห่วงก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาจับแขนของลูกศิษย์เจ้าปัญหาและลากออกไปจากห้อง ร่างนั้นค้างอยู่ท่าเดิมไม่ขยับราวกับรูปปั้นหิน แม้แต่ผิวหนังที่ยืดหยุ่นก็ถูกหยุดทุกสิ่งจนนิ่งสนิทไม่ว่าจะบีบแรงแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีว่าเนื้อนั้นจะยุบลงไป ดันเต้ลากโซริเซียเข้าไปในห้องปกครองก่อนจะปิดประตู
“เฮ้อ เด็กๆนี่แรงเหลือเฟือจริงๆ”
เขาพูดพลางดีดนิ้วดังเป๊าะทำให้ทุกอย่างกลับเป็นปกติ ร่างของเด็กหนุ่มเจ็บแปล๊บขึ้นมาที่หัวเหมือนถูกตบอย่างแรงก่อนจะรู้สึกเจ็บที่แขนข้างหนึ่งราวกับโดนบีบเต็มแรงและส่วนที่ถูกับพื้นตอนถูกลากมาก็เริ่มรู้สึก ทันทีที่เขาตั้งตัวได้เขาก็มองอาจารย์หนุ่มด้วยสายตาอาฆาตราวกับจะฆ่าให้ตายแต่ดันเต้กลับคลี่ยิ้มอย่างใจดีแม้จะเต็มไปด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง
“สอดไม่เข้าเรื่องน่าท่านหัวหน้างานปกครอง”
“อย่าเรียกหัวหน้าเลยครับ เพราะยังไงก็มีผมแค่คนเดียวในงานปกครอง ไม่มีแผลใช่ไหมครับคุณแบล็คไนท์”
“ไม่มี ฉันไม่เคยมีแผลจากการต่อสู้”
โซริเซียพูดก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างวางมาด เขาพาดแขนทั้งสองไปตามพนักพิงของโซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มและมองอาจารย์หนุ่มที่ยืนพิงโต๊ะทำงานของตัวเองด้วยสายตายียวนแต่ดูเหมือนจะไร้ผล
“อาจารย์ดันเต้เนี่ย เป็นคนที่ตั้งใจทำงานจังนะ”
“อยากจะบอกอะไรครับ”
คำถามนั้นทำให้โซริเซียยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปใกล้อาจารย์หนุ่ม เขาหยุดยืนตรงหน้าของอาจารย์แล้ววางมือลงบนขอบโต๊ะที่ดันเต้ยืนพิงอยู่ก่อนจะผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นบนใบหน้า
“ก็...อยากจะบอกว่าผมชื่นชมอาจารย์ที่ทุ่มเทในงานไงครับ แต่ผมอยากรู้ว่าอาจารย์จะสุขุมได้ทุกเวลาจริงๆรึเปล่า”
โซริเซียพูดพลางใช้มือซ้ายลูบแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวของอาจารย์ราวกับกำลังจะล่วงเกิน แต่แทนที่อาจารย์จะขัดขืนหรือว่ากล่าวเขากลับลูบแก้มของลูกศิษย์อย่างเบามือและก้มลงไปหาเล็กน้อยให้สายตาของเขาทั้งสองสบกัน
“บนเตียง...ผมก็สุขุมนะครับ แต่ถ้ากดถูกจุด ผมอาจจะดีแตกก็ได้”
เขาก้มลงไปใกล้ใบหน้าของเด็กหนุ่ม กลิ่นน้ำหอมผู้ใหญ่จางๆทำให้โซริเซียเริ่มรู้สึกเขินๆในใจ แต่ขณะที่เขากำลังทำตัวไม่ถูกอยู่นั้นเสียงดีดนิ้วก็ดังขึ้นทำให้ร่างกายของเขาหยุดนิ่ง
“เวลาคุณพูดสุภาพเนี่ยทำให้ผมขนลุกจริงๆเลยล่ะครับ อีกอย่าง...ผมอยากได้คู่นอนที่สูงพอจะจูบผมได้โดยที่ผมไม่ต้องก้มมากกว่านะครับ”
ดันเต้พูดก่อนจะผลักร่างที่แข็งราวรูปปั้นให้ล้มลงกับพื้นแล้วเดินออกจากห้อง แต่เขาก็หยุดฝีเท้าลงที่หน้าประตูก่อนที่จะเปิดออกไป
“ผมรู้ว่าคาดโทษไปคุณก็คงไม่ไปทำ งั้นเอาเป็นหักคะแนนความประพฤติแล้วกันนะครับ”
ดันเต้พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะดีดนิ้วยอมให้โซริเซียขยับเป็นปกติแล้วออกจากห้องไป เขาปิดประตูลงก่อนจะถอนหายใจแอบหงุดหงิดกับสายตาไม่พ่อใจของใครบางคนที่มองเหตุการณ์ทึ่เกิดขึ้นตลอดเวลา
ดันเต้เดินไปตามทางเดินของอาคารเรียนก่อนที่จะมีมือเรียวสวยของเพื่อนร่วมงานมาวางบนบ่าของเขา แล้วคว้าเขาจากด้านหลังจนเกือบเสียหลัก
“เฮ้ ดูเหนื่อยมากเลยนี่ดันเต้”
ผมสีอ่อนหยักศกเล็กน้อยกับรอยยิ้มแสนเป็นมิตรบนใบหน้าที่สวยราวกับผู้หญิงทำให้ดันเต้ไม่รู้ว่าจะด่าออกไปดีหรือไม่
“ว่าไงครับ อาจารย์ควีนด้า”
ดันเต้ถามอย่างสุภาพก่อนจะจับมือของอลันออก แต่อลันก็ยังไม่วายพาดแขนลงบนบ่าของเพื่อนร่วมงานแต่ระหว่างที่กำลังเดินไปคุยไปนั้นมือที่จับบ่าของดันเต้ก็ค่อยๆบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆจนดันเต้หยุดฝีเท้าลง
“อาจารย์ควีนด้า กรุณาบอกมาเถอะครับว่ามีอะไร”
“เรียกอลันเถอะน่า รู้จักกันมาตั้งนานเรียกนามสกุลอยู่ได้”
“จะพยายามครับ ว่าแต่...คุณกำลังหึงคุณแบล็คไนท์หรอครับ”
คำพูดนั้นทำให้อลันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะขื่นๆออกมาพร้อมกับปล่อยมือออกจากดันเต้ในทันที
“ฮะ..ฮะๆ นายพูดเรื่องอะไรเนี่ยดันเต้”
“พูดความจริงครับ แต่ช่างเถอะ คุณไม่ต้องคิดมากนะครับ ผมไม่มีความสนใจในตัวเขาเลยแม้แต่น้อย”
ดันเต้พูดก่อนเดินจากไป ดูเหมือนเขาจะเกลียดตัวปัญหาแบบโซริเซียมากอยู่เหมือนกันถึงได้พูดถึงลูกศิษย์จอมหาเรื่องด้วยท่าทางที่เย็นชากว่าปกติ แม้จะโล่งอกที่ได้ยินและเห็นดันเต้แสดงท่าทางชัดเจนแบบนั้น แต่อลันก็แอบรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่เพื่อนร่วมงานของเขารู้ทันแบบนี้
“อาจารย์ฮะ ขอรบกวนหน่อยนะ!”
เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำให้อาจารย์ประจำห้องพยาบาลสะดุ้งเล็กน้อยขณะที่กำลังทำแผลให้กับลูกศิษย์ที่ยังไม่ได้สติ
“บะ...เบาๆหน่อยสิครับ เฟรจ มันรบกวนคนอื่นนะครับ”
“อ๊ะ โทษทีฮะ พอดีผมจะมาขอนอนหน่อย”
“ไม่มีเรียนรึไงครับ”
“มีฮะ แต่วิ่งจนขาชาแล้ว ง่วงมากเลยด้วย”
ไม่ทันที่จะได้ว่าอะไรชายหนุ่มผมแดงก็ล้มตัวลงบนเตียงและสลบเป็นตายไปในทันที เฟรจไม่อาจฝืนร่างกายของตัวเองได้ เขาที่วิ่งต่อเนื่องกันมานานเกือบชั่วโมง พักเพียงไม่กี่นาที เมื่อได้เข้าไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำข้างๆสระว่ายน้ำของโรงเรียนแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะฝืนไปเรียนในห้องของตัวเอง เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ห้องพยาบาลนั้นเงียบสงบไร้ผู้คนเหลือเพียงแค่อาจารย์ผู้ไม่เคยไปไหนกับเฟรจที่ยังไม่มีแรงจะลุก ชายหนุ่มผลิกตัวเล็กน้อยมาอยู่ในท่านอนตะแคง เขามองอาจารย์ที่ทำงานอยู่ด้วยสายตาที่เหมือนกับอยากจะพูดอะไร
“มีอะไรหรอครับ ไม่สบายใจอีกแล้วหรอ”
ยูกิเนอะถามราวกับรู้ความในใจโดยไม่หันไปมองลูกศิษย์แม้แต่น้อย
“ก็นิดหน่อยฮะ ไม่สำคัญหรอก”
ยูกิเนะถอนหายใจเมื่อได้ยินคำตอบ เขาหมุนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่ให้หันไปทางลูกศิษย์หนุ่มพร้อมกันกอดอก
“มีอะไรก็บอกสิครับ พออยู่มัธยมปลายแล้วไม่กล้าบอกเหมือนเมื่อก่อนรึยังไง”
น้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจเล็กน้อยทำให้เฟรจยิ้มออกมาเพราะมันไม่เหมือนโดนโกรธเลย มันกลับเหมือนโดนสาวสักคนงอนอยู่เสียมากกว่า
“ไม่ต้องมายิ้มเลยนะครับ สรุปมีอะไรกันแน่”
“ผมก็แค่เหนื่อย พอดีว่าซ้อมแล้วมันรู้สึกเบื่อๆน่ะฮะ”
“โดนเหน็บมาหรอครับ”
อาจารย์หนุ่มถามอย่างตรงไปตรงมาทำให้เด็กหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
“คิดมากซะจริง เหมือนเดิมรึเปล่าครับ”
“...ฮะ ผมไม่ชอบเลยเวลาซ้อมแล้วมีคนมาพูดว่าที่ทำได้ขนาดนี้เพราะเป็นS-Human ผมไม่ชอบเลยตอนที่พยายามแล้วคนอื่นไม่เห็นน่ะ”
ยูกิเนะนั่งฟังลูกศิษย์จอมคิดมากบ่นปัญหาของตัวเองไปเรื่อยๆ เฟรจมักจะเป็นแบบนี้เสมอๆในสายตาของเขาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เขารู้สึกว่ามันเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกซะจริงๆสำหรับเรื่องที่คนปกติมองว่าS-humanทำได้ทุกสิ่งอย่างจนไม่เห็นว่าคนๆหนึ่งพยายามมากแค่ไหน แต่เมื่อยังไม่มีทางออกเขาก็ทำได้แค่รับฟังและให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆ
“สู้ๆนะ เดี๋ยวก็มีคนเข้าใจนั่...”
“จะสนใจทำไมกัน”
เสียงที่ดูเหมือนกำลังหงุดหงิดกับบทสนทนาของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องพยาบาลที่เปิดออก หญิงสาวผมสั้นสีดำผู้มีดวงตาสีฟ้าสว่างดูท่าทางหงุดหงิดไม่น้อย เธอปิดประตูห้องเสียงดังก่อนหยิบแผ่นประคบจากในตู้มาใช้
“จะสนใจพวกนั้นทำไมกัน รุ่นพี่น่ะพยายามได้ดีแล้วแท้ๆ ที่บ่นก็เพราะอิจฉาไม่ใช่รึไง”
พีริเซียพูดเสียงแข็ง เธอที่เพิ่งกลับจากโรงยิมหลังจากโดดเรียนไปเล่นบาสเกตบอลอยู่เป็นชั่วโมงไม่ชอบเลยที่จะต้องได้ยินบทสนทนาแบบนี้เวลาจะมาเอาแผ่นประคบหลังเลิกซ้อม
“ฮะๆ เธอนี่แมนกว่าฉันอีกนะเนี่ย”
“ก็รุ่นพี่ทำให้ฉันหงุดหงิดนี่คะ จะไปสนใจเพื่อ? ฉันก็เห็นอยู่ว่ารุ่นพี่น่ะตั้งใจขนาดไหน”
แม้จะพูดอย่างหนักแน่นแต่ในใจของเธอก็แอบรู้สึกเขินเล็กน้อยที่ต้องพูดแบบนี้เพราะมันทำให้คนอื่นรู้สึกเหมือนกับว่าเธอนั้นแอบมองเฟรจอยู่ทั้งที่ความจริงเธอก็สนใจทุกคนเท่าๆกัน พีริเซียเองก็เจอปัญหาไม่ได้ต่างกันนัก โดยเฉพาะเวลาที่เธอไปแข่งกับโรงเรียนที่มีแต่นักเรียนธรรมดาแล้วชนะ คู่แข่งกลับเอาเรื่องพลังมาพูดทั้งที่จริงๆมันไม่ได้เกี่ยวกันเลยแม้แต่น้อย เธอจึงเลือกที่จะไม่แคร์ เสียงเห่าของคนที่ไม่ได้มีความเข้าใจถึงพลังจริงๆแม้แต่น้อยแทนที่จะเก็บมาคิดแบบเฟรจ
“โอเคๆ ขอบใจนะ ฉันควรจะไปเรียนได้แล้ว ไว้เจอกันนะสาวเลือดร้อน”
“อย่ามาเรียกคนอื่นด้วยชื่อประหลาดๆแบบนั้นนะ! ไอ้รุ่นพี่ตะกละ”
“คร้าบๆ ไปแล้วนะฮะ อาจารย์ยูกิเนะ”
เฟรจพูดจบก็ออกจากห้องไปในทันที ปล่อยให้ทั้งสองนั่งเงียบกันอยู่สักพัก
“อาจารย์อย่าพูดแบบนั้นอีกนะคะ”
“แบบไหนหรอครับ”
ยูกิเนะถามเมื่ออยู่ๆหญิงสาวก็พูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจขึ้นมา
“ที่พูดว่า เดี๋ยวก็มีคนเข้าใจ นั่นน่ะค่ะ ฟังดูแล้วมันไร้ความรับผิดชอบชะมัด”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“...อาจารย์เป็นคนใจดีนะคะ แต่อ่านปัญหาคนไม่ออก พูดแบบนั้นน่ะมันแปลว่าอาจารย์ไม่ได้เข้าใจเขาเลยสักนิด แถมยังนั่งฟังปัญหาของคนอื่นยังกับไม่ได้ใส่ใจแบบนั้น มันไม่ได้โอเคสำหรับทุกคนหรอกนะคะ”
พีริเซียพูดอย่างจริงจัง แม้ตอนอยู่กับเพื่อนเธอจะดูอารมณ์ดีและร่าเริงตามประสาเด็กสาวรุ่นเดียวกันแค่ไหนแต่เรื่องความจริงจังในชีวิตและแคร์คนอื่นเธอก็ไม่แพ้ใคร เด็กสาวพูดเพียงเท่านั้นแล้วเดินออกไป เสียงประตูปิดดังปังทำให้ยูกิเนะได้แต่ถอนหายใจ เขาแอบกังวลในใจว่าเขาอาจจะทำได้ไม่ดีอย่างที่เด็กสาวพูดจริงๆ และถ้าเทียบกันแล้ว เขาไม่ใช่อาจารย์ที่นักเรียนใส่ใจหรือเคารพนับถือแบบดันเต้หรือฟรายเดย์ ยูกิเนะถอนหายใจให้ตัวเองอีกครั้งก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากในลิ้นชัก เขาเปิดหนังสือจิตวิทยาสำหรับการให้คำปรึกษาและนั่งอ่านมันต่อไปด้วยความะยายามของเขาเอง
“ไอ้พวกเด็กบ้าเอ๊ย!”
ฟรายเดย์สบถเป็นประโยคสุดท้ายหลังบ่นความซนและวุ่นยุ่งเหยิงของเด็กๆในห้องที่เขาสอนในช่วงต้นเปิดเทอมนี้ เขาดูหงุดหงิดมากแต่หญิงสาวผมสีฟ้าครามข้างกายของเขานั้นกลับยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางเท้าแขนลงบนราวระเบียงจองดาดฟ้าที่มีเพียงพวกเขาสองคน ควันสีขาวลอยฟุ้งในอากาศเพราะบุหรี่ที่เธอจุด
“เห็นนายบ่นทุกปี แต่จริงๆก็ชอบสอนนี่”
หญิงสาวยิ้มแซวๆพลางยื่นซองบุหรี่ให้เพื่อนร่วมงานจอมเหวี่ยง ฟรายเดย์ดึงบุหรี่ตัวหนึ่งออกมาจากซองนั้นและจุดสูบ เขาอดกลั้นมานานไม่น้อยเพราะไม่สามารถสูบระหว่างที่สอนหรืออยู่ในจุดอื่นของโรงเรียนได้เท่าไรนัก ควันสีขาวถูกสูบเข้าทางปากและปล่อยออกทางจมูกทำให้รู้ว่าเขาและเธอนั้นไม่ใช่นักสูบมือใหม่ แต่หลังจากงานที่เครียดมาทั้งวันพวกเขาก็ต้องมีเวลาผ่อนคลายกันบ้าง
“ว่าแต่ปีนี้แกมีปัญหาอะไรบางไหม ไอ้คุณผู้อำนวยการ”
“ก็เดิมๆ แคช ฟาโรห์ โซริเซีย ก่อเรื่องตั้งแต่ต้นเทอม นอกนั้นยังพอคุมไหว แต่เหมือนกลุ่มของแคชจะเริ่มเยอะกว่าปีก่อน ฉันก็แค่รำคาญน่ะนะ”
ฮาวายพูดอย่างปัดๆ เธอเบื่อเกินกว่าจะคุยเรื่องงานในเวลานี้ ทั้งคู่จึงเริ่มเข้าสู้เรื่องอื่นที่เป็นเรื่องส่วนตัวแทน แต่ระหว่างนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของฮาวายก็ดังขึ้น เธอใช้นิ้วสไลด์หน้าจอเพื่อรับสายและกดเปิดลำโพงทันทีเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนโทรมา
“เฮ้ ทำอะไรกันอยู่น่ะ ไปดื่มกันไหม”
เสียงที่คุ้นหูทำให้ฮาวายและฟรายเดย์มองหน้ากันก่อนจะตอบพร้อมกันราวกับเพลงประสานเสียงที่ฝึกมาให้เสียงของทั้งสองทับซ้อนกันอย่างเหมาะเจาะ
“จองที่นั่งกับเหล้ารอเลยดันเต้”
“คุณแบล็คไนท์ ทำไมคุณต้องมีปัญหากับโลกใบนี้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
เสียงที่คุ้นหูของดันเต้ทำให้โซริเซียนึกขุ่นเคืองในใจแต่ก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้จนในที่สุดเขาก็ถูกตบเข้าที่หัวอย่างจัง แต่เขาก็ไม่รู้สึกใดๆเพราะพลังของอาจารย์หนุ่ม
“ช่วยพาคุณสมิธไปห้องพยาบาลด้วยนะครับ ส่วนผมจะไปจัดการธุระเสียหน่อย”
ดันเต้ยิ้มหวานให้กับนักเรียนคนอื่นก่อนที่จะมีคนรีบอุ้มร่างที่ไร้สติจากฝีมือของโซริเซียไปห้องพยาบาลตามคำสั่ง อาจารย์หนุ่มมองตามนักเรียนของเขาด้วยความเป็นห่วงก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาจับแขนของลูกศิษย์เจ้าปัญหาและลากออกไปจากห้อง ร่างนั้นค้างอยู่ท่าเดิมไม่ขยับราวกับรูปปั้นหิน แม้แต่ผิวหนังที่ยืดหยุ่นก็ถูกหยุดทุกสิ่งจนนิ่งสนิทไม่ว่าจะบีบแรงแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีว่าเนื้อนั้นจะยุบลงไป ดันเต้ลากโซริเซียเข้าไปในห้องปกครองก่อนจะปิดประตู
“เฮ้อ เด็กๆนี่แรงเหลือเฟือจริงๆ”
เขาพูดพลางดีดนิ้วดังเป๊าะทำให้ทุกอย่างกลับเป็นปกติ ร่างของเด็กหนุ่มเจ็บแปล๊บขึ้นมาที่หัวเหมือนถูกตบอย่างแรงก่อนจะรู้สึกเจ็บที่แขนข้างหนึ่งราวกับโดนบีบเต็มแรงและส่วนที่ถูกับพื้นตอนถูกลากมาก็เริ่มรู้สึก ทันทีที่เขาตั้งตัวได้เขาก็มองอาจารย์หนุ่มด้วยสายตาอาฆาตราวกับจะฆ่าให้ตายแต่ดันเต้กลับคลี่ยิ้มอย่างใจดีแม้จะเต็มไปด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง
“สอดไม่เข้าเรื่องน่าท่านหัวหน้างานปกครอง”
“อย่าเรียกหัวหน้าเลยครับ เพราะยังไงก็มีผมแค่คนเดียวในงานปกครอง ไม่มีแผลใช่ไหมครับคุณแบล็คไนท์”
“ไม่มี ฉันไม่เคยมีแผลจากการต่อสู้”
โซริเซียพูดก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างวางมาด เขาพาดแขนทั้งสองไปตามพนักพิงของโซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มและมองอาจารย์หนุ่มที่ยืนพิงโต๊ะทำงานของตัวเองด้วยสายตายียวนแต่ดูเหมือนจะไร้ผล
“อาจารย์ดันเต้เนี่ย เป็นคนที่ตั้งใจทำงานจังนะ”
“อยากจะบอกอะไรครับ”
คำถามนั้นทำให้โซริเซียยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปใกล้อาจารย์หนุ่ม เขาหยุดยืนตรงหน้าของอาจารย์แล้ววางมือลงบนขอบโต๊ะที่ดันเต้ยืนพิงอยู่ก่อนจะผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นบนใบหน้า
“ก็...อยากจะบอกว่าผมชื่นชมอาจารย์ที่ทุ่มเทในงานไงครับ แต่ผมอยากรู้ว่าอาจารย์จะสุขุมได้ทุกเวลาจริงๆรึเปล่า”
โซริเซียพูดพลางใช้มือซ้ายลูบแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวของอาจารย์ราวกับกำลังจะล่วงเกิน แต่แทนที่อาจารย์จะขัดขืนหรือว่ากล่าวเขากลับลูบแก้มของลูกศิษย์อย่างเบามือและก้มลงไปหาเล็กน้อยให้สายตาของเขาทั้งสองสบกัน
“บนเตียง...ผมก็สุขุมนะครับ แต่ถ้ากดถูกจุด ผมอาจจะดีแตกก็ได้”
เขาก้มลงไปใกล้ใบหน้าของเด็กหนุ่ม กลิ่นน้ำหอมผู้ใหญ่จางๆทำให้โซริเซียเริ่มรู้สึกเขินๆในใจ แต่ขณะที่เขากำลังทำตัวไม่ถูกอยู่นั้นเสียงดีดนิ้วก็ดังขึ้นทำให้ร่างกายของเขาหยุดนิ่ง
“เวลาคุณพูดสุภาพเนี่ยทำให้ผมขนลุกจริงๆเลยล่ะครับ อีกอย่าง...ผมอยากได้คู่นอนที่สูงพอจะจูบผมได้โดยที่ผมไม่ต้องก้มมากกว่านะครับ”
ดันเต้พูดก่อนจะผลักร่างที่แข็งราวรูปปั้นให้ล้มลงกับพื้นแล้วเดินออกจากห้อง แต่เขาก็หยุดฝีเท้าลงที่หน้าประตูก่อนที่จะเปิดออกไป
“ผมรู้ว่าคาดโทษไปคุณก็คงไม่ไปทำ งั้นเอาเป็นหักคะแนนความประพฤติแล้วกันนะครับ”
ดันเต้พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะดีดนิ้วยอมให้โซริเซียขยับเป็นปกติแล้วออกจากห้องไป เขาปิดประตูลงก่อนจะถอนหายใจแอบหงุดหงิดกับสายตาไม่พ่อใจของใครบางคนที่มองเหตุการณ์ทึ่เกิดขึ้นตลอดเวลา
ดันเต้เดินไปตามทางเดินของอาคารเรียนก่อนที่จะมีมือเรียวสวยของเพื่อนร่วมงานมาวางบนบ่าของเขา แล้วคว้าเขาจากด้านหลังจนเกือบเสียหลัก
“เฮ้ ดูเหนื่อยมากเลยนี่ดันเต้”
ผมสีอ่อนหยักศกเล็กน้อยกับรอยยิ้มแสนเป็นมิตรบนใบหน้าที่สวยราวกับผู้หญิงทำให้ดันเต้ไม่รู้ว่าจะด่าออกไปดีหรือไม่
“ว่าไงครับ อาจารย์ควีนด้า”
ดันเต้ถามอย่างสุภาพก่อนจะจับมือของอลันออก แต่อลันก็ยังไม่วายพาดแขนลงบนบ่าของเพื่อนร่วมงานแต่ระหว่างที่กำลังเดินไปคุยไปนั้นมือที่จับบ่าของดันเต้ก็ค่อยๆบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆจนดันเต้หยุดฝีเท้าลง
“อาจารย์ควีนด้า กรุณาบอกมาเถอะครับว่ามีอะไร”
“เรียกอลันเถอะน่า รู้จักกันมาตั้งนานเรียกนามสกุลอยู่ได้”
“จะพยายามครับ ว่าแต่...คุณกำลังหึงคุณแบล็คไนท์หรอครับ”
คำพูดนั้นทำให้อลันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะขื่นๆออกมาพร้อมกับปล่อยมือออกจากดันเต้ในทันที
“ฮะ..ฮะๆ นายพูดเรื่องอะไรเนี่ยดันเต้”
“พูดความจริงครับ แต่ช่างเถอะ คุณไม่ต้องคิดมากนะครับ ผมไม่มีความสนใจในตัวเขาเลยแม้แต่น้อย”
ดันเต้พูดก่อนเดินจากไป ดูเหมือนเขาจะเกลียดตัวปัญหาแบบโซริเซียมากอยู่เหมือนกันถึงได้พูดถึงลูกศิษย์จอมหาเรื่องด้วยท่าทางที่เย็นชากว่าปกติ แม้จะโล่งอกที่ได้ยินและเห็นดันเต้แสดงท่าทางชัดเจนแบบนั้น แต่อลันก็แอบรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่เพื่อนร่วมงานของเขารู้ทันแบบนี้
“อาจารย์ฮะ ขอรบกวนหน่อยนะ!”
เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำให้อาจารย์ประจำห้องพยาบาลสะดุ้งเล็กน้อยขณะที่กำลังทำแผลให้กับลูกศิษย์ที่ยังไม่ได้สติ
“บะ...เบาๆหน่อยสิครับ เฟรจ มันรบกวนคนอื่นนะครับ”
“อ๊ะ โทษทีฮะ พอดีผมจะมาขอนอนหน่อย”
“ไม่มีเรียนรึไงครับ”
“มีฮะ แต่วิ่งจนขาชาแล้ว ง่วงมากเลยด้วย”
ไม่ทันที่จะได้ว่าอะไรชายหนุ่มผมแดงก็ล้มตัวลงบนเตียงและสลบเป็นตายไปในทันที เฟรจไม่อาจฝืนร่างกายของตัวเองได้ เขาที่วิ่งต่อเนื่องกันมานานเกือบชั่วโมง พักเพียงไม่กี่นาที เมื่อได้เข้าไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำข้างๆสระว่ายน้ำของโรงเรียนแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะฝืนไปเรียนในห้องของตัวเอง เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ห้องพยาบาลนั้นเงียบสงบไร้ผู้คนเหลือเพียงแค่อาจารย์ผู้ไม่เคยไปไหนกับเฟรจที่ยังไม่มีแรงจะลุก ชายหนุ่มผลิกตัวเล็กน้อยมาอยู่ในท่านอนตะแคง เขามองอาจารย์ที่ทำงานอยู่ด้วยสายตาที่เหมือนกับอยากจะพูดอะไร
“มีอะไรหรอครับ ไม่สบายใจอีกแล้วหรอ”
ยูกิเนอะถามราวกับรู้ความในใจโดยไม่หันไปมองลูกศิษย์แม้แต่น้อย
“ก็นิดหน่อยฮะ ไม่สำคัญหรอก”
ยูกิเนะถอนหายใจเมื่อได้ยินคำตอบ เขาหมุนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่ให้หันไปทางลูกศิษย์หนุ่มพร้อมกันกอดอก
“มีอะไรก็บอกสิครับ พออยู่มัธยมปลายแล้วไม่กล้าบอกเหมือนเมื่อก่อนรึยังไง”
น้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจเล็กน้อยทำให้เฟรจยิ้มออกมาเพราะมันไม่เหมือนโดนโกรธเลย มันกลับเหมือนโดนสาวสักคนงอนอยู่เสียมากกว่า
“ไม่ต้องมายิ้มเลยนะครับ สรุปมีอะไรกันแน่”
“ผมก็แค่เหนื่อย พอดีว่าซ้อมแล้วมันรู้สึกเบื่อๆน่ะฮะ”
“โดนเหน็บมาหรอครับ”
อาจารย์หนุ่มถามอย่างตรงไปตรงมาทำให้เด็กหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
“คิดมากซะจริง เหมือนเดิมรึเปล่าครับ”
“...ฮะ ผมไม่ชอบเลยเวลาซ้อมแล้วมีคนมาพูดว่าที่ทำได้ขนาดนี้เพราะเป็นS-Human ผมไม่ชอบเลยตอนที่พยายามแล้วคนอื่นไม่เห็นน่ะ”
ยูกิเนะนั่งฟังลูกศิษย์จอมคิดมากบ่นปัญหาของตัวเองไปเรื่อยๆ เฟรจมักจะเป็นแบบนี้เสมอๆในสายตาของเขาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เขารู้สึกว่ามันเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกซะจริงๆสำหรับเรื่องที่คนปกติมองว่าS-humanทำได้ทุกสิ่งอย่างจนไม่เห็นว่าคนๆหนึ่งพยายามมากแค่ไหน แต่เมื่อยังไม่มีทางออกเขาก็ทำได้แค่รับฟังและให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆ
“สู้ๆนะ เดี๋ยวก็มีคนเข้าใจนั่...”
“จะสนใจทำไมกัน”
เสียงที่ดูเหมือนกำลังหงุดหงิดกับบทสนทนาของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องพยาบาลที่เปิดออก หญิงสาวผมสั้นสีดำผู้มีดวงตาสีฟ้าสว่างดูท่าทางหงุดหงิดไม่น้อย เธอปิดประตูห้องเสียงดังก่อนหยิบแผ่นประคบจากในตู้มาใช้
“จะสนใจพวกนั้นทำไมกัน รุ่นพี่น่ะพยายามได้ดีแล้วแท้ๆ ที่บ่นก็เพราะอิจฉาไม่ใช่รึไง”
พีริเซียพูดเสียงแข็ง เธอที่เพิ่งกลับจากโรงยิมหลังจากโดดเรียนไปเล่นบาสเกตบอลอยู่เป็นชั่วโมงไม่ชอบเลยที่จะต้องได้ยินบทสนทนาแบบนี้เวลาจะมาเอาแผ่นประคบหลังเลิกซ้อม
“ฮะๆ เธอนี่แมนกว่าฉันอีกนะเนี่ย”
“ก็รุ่นพี่ทำให้ฉันหงุดหงิดนี่คะ จะไปสนใจเพื่อ? ฉันก็เห็นอยู่ว่ารุ่นพี่น่ะตั้งใจขนาดไหน”
แม้จะพูดอย่างหนักแน่นแต่ในใจของเธอก็แอบรู้สึกเขินเล็กน้อยที่ต้องพูดแบบนี้เพราะมันทำให้คนอื่นรู้สึกเหมือนกับว่าเธอนั้นแอบมองเฟรจอยู่ทั้งที่ความจริงเธอก็สนใจทุกคนเท่าๆกัน พีริเซียเองก็เจอปัญหาไม่ได้ต่างกันนัก โดยเฉพาะเวลาที่เธอไปแข่งกับโรงเรียนที่มีแต่นักเรียนธรรมดาแล้วชนะ คู่แข่งกลับเอาเรื่องพลังมาพูดทั้งที่จริงๆมันไม่ได้เกี่ยวกันเลยแม้แต่น้อย เธอจึงเลือกที่จะไม่แคร์ เสียงเห่าของคนที่ไม่ได้มีความเข้าใจถึงพลังจริงๆแม้แต่น้อยแทนที่จะเก็บมาคิดแบบเฟรจ
“โอเคๆ ขอบใจนะ ฉันควรจะไปเรียนได้แล้ว ไว้เจอกันนะสาวเลือดร้อน”
“อย่ามาเรียกคนอื่นด้วยชื่อประหลาดๆแบบนั้นนะ! ไอ้รุ่นพี่ตะกละ”
“คร้าบๆ ไปแล้วนะฮะ อาจารย์ยูกิเนะ”
เฟรจพูดจบก็ออกจากห้องไปในทันที ปล่อยให้ทั้งสองนั่งเงียบกันอยู่สักพัก
“อาจารย์อย่าพูดแบบนั้นอีกนะคะ”
“แบบไหนหรอครับ”
ยูกิเนะถามเมื่ออยู่ๆหญิงสาวก็พูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจขึ้นมา
“ที่พูดว่า เดี๋ยวก็มีคนเข้าใจ นั่นน่ะค่ะ ฟังดูแล้วมันไร้ความรับผิดชอบชะมัด”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“...อาจารย์เป็นคนใจดีนะคะ แต่อ่านปัญหาคนไม่ออก พูดแบบนั้นน่ะมันแปลว่าอาจารย์ไม่ได้เข้าใจเขาเลยสักนิด แถมยังนั่งฟังปัญหาของคนอื่นยังกับไม่ได้ใส่ใจแบบนั้น มันไม่ได้โอเคสำหรับทุกคนหรอกนะคะ”
พีริเซียพูดอย่างจริงจัง แม้ตอนอยู่กับเพื่อนเธอจะดูอารมณ์ดีและร่าเริงตามประสาเด็กสาวรุ่นเดียวกันแค่ไหนแต่เรื่องความจริงจังในชีวิตและแคร์คนอื่นเธอก็ไม่แพ้ใคร เด็กสาวพูดเพียงเท่านั้นแล้วเดินออกไป เสียงประตูปิดดังปังทำให้ยูกิเนะได้แต่ถอนหายใจ เขาแอบกังวลในใจว่าเขาอาจจะทำได้ไม่ดีอย่างที่เด็กสาวพูดจริงๆ และถ้าเทียบกันแล้ว เขาไม่ใช่อาจารย์ที่นักเรียนใส่ใจหรือเคารพนับถือแบบดันเต้หรือฟรายเดย์ ยูกิเนะถอนหายใจให้ตัวเองอีกครั้งก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากในลิ้นชัก เขาเปิดหนังสือจิตวิทยาสำหรับการให้คำปรึกษาและนั่งอ่านมันต่อไปด้วยความะยายามของเขาเอง
“ไอ้พวกเด็กบ้าเอ๊ย!”
ฟรายเดย์สบถเป็นประโยคสุดท้ายหลังบ่นความซนและวุ่นยุ่งเหยิงของเด็กๆในห้องที่เขาสอนในช่วงต้นเปิดเทอมนี้ เขาดูหงุดหงิดมากแต่หญิงสาวผมสีฟ้าครามข้างกายของเขานั้นกลับยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางเท้าแขนลงบนราวระเบียงจองดาดฟ้าที่มีเพียงพวกเขาสองคน ควันสีขาวลอยฟุ้งในอากาศเพราะบุหรี่ที่เธอจุด
“เห็นนายบ่นทุกปี แต่จริงๆก็ชอบสอนนี่”
หญิงสาวยิ้มแซวๆพลางยื่นซองบุหรี่ให้เพื่อนร่วมงานจอมเหวี่ยง ฟรายเดย์ดึงบุหรี่ตัวหนึ่งออกมาจากซองนั้นและจุดสูบ เขาอดกลั้นมานานไม่น้อยเพราะไม่สามารถสูบระหว่างที่สอนหรืออยู่ในจุดอื่นของโรงเรียนได้เท่าไรนัก ควันสีขาวถูกสูบเข้าทางปากและปล่อยออกทางจมูกทำให้รู้ว่าเขาและเธอนั้นไม่ใช่นักสูบมือใหม่ แต่หลังจากงานที่เครียดมาทั้งวันพวกเขาก็ต้องมีเวลาผ่อนคลายกันบ้าง
“ว่าแต่ปีนี้แกมีปัญหาอะไรบางไหม ไอ้คุณผู้อำนวยการ”
“ก็เดิมๆ แคช ฟาโรห์ โซริเซีย ก่อเรื่องตั้งแต่ต้นเทอม นอกนั้นยังพอคุมไหว แต่เหมือนกลุ่มของแคชจะเริ่มเยอะกว่าปีก่อน ฉันก็แค่รำคาญน่ะนะ”
ฮาวายพูดอย่างปัดๆ เธอเบื่อเกินกว่าจะคุยเรื่องงานในเวลานี้ ทั้งคู่จึงเริ่มเข้าสู้เรื่องอื่นที่เป็นเรื่องส่วนตัวแทน แต่ระหว่างนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของฮาวายก็ดังขึ้น เธอใช้นิ้วสไลด์หน้าจอเพื่อรับสายและกดเปิดลำโพงทันทีเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนโทรมา
“เฮ้ ทำอะไรกันอยู่น่ะ ไปดื่มกันไหม”
เสียงที่คุ้นหูทำให้ฮาวายและฟรายเดย์มองหน้ากันก่อนจะตอบพร้อมกันราวกับเพลงประสานเสียงที่ฝึกมาให้เสียงของทั้งสองทับซ้อนกันอย่างเหมาะเจาะ
“จองที่นั่งกับเหล้ารอเลยดันเต้”
WRITER
ปิดเทอมแล้วนาจาาาาาา
ขอโทษที่ลงห่างกันไปหน่อยนะคะ กะว่าจะลงสัปดาห์ละตอน มันจะห่างไปไหมนะ
ความจริงก็คิดว่าห่างไปละนะเพราะแต่งเสร็จก่อนหนึ่งอาทิตย์แน่ๆ
แต่ช่างเถอะเน้อ หลังจากนี้จะเอาเป็นว่าลงถี่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ละกันนะคะ
........................................
อ้อ ละก็ ละก็ ตัวละครที่ส่งมาตัวไหนอยากให้คู่กันเองบอกทีนะคะ
ไม่งั้นเขียนมาแค่ส่อๆ ฉันไม่ทำตามใจให้ไม่รู้ด้วยนะ
เรายิ่งบื้อๆอยู่ (จริงๆก็เอาแต่ใจนั่นแหละ)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น