ลำดับตอนที่ #17
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : บทที่13 ...ตั้งชื่อตอนให้ที
“หา? จะขอออก?!”
แคชพูดเสียงดังใส่โทรศัพท์ทำให้เด็กผู้หญิงที่นั่งข้างๆเขาอยู่สะดุ้ง เขาที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านพร้อมกับสาวรุ่นน้องต้องอารมณ์เสียขึ้นมาทันทีเมื่อโซอัสโทรมาหา
“มันมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่วะ?! เฮ้ย! โซอัส...เฮ้ย เดี๋ยว! ...แม่งเอ๊ย!”
แคชสบถก่อนขว้างโทรศัพท์ไปมุมห้องนอนเต็มแรง เขากำลังหงุดหงิดเพราะคนสนิทที่อยู่ๆก็โทรมาขอออกจากแก๊งไปหน้าตาเฉย ทั้งยังไม่ยอมเล่าให้อะไรให้เขาฟังเลยแม้แต่น้อย
มันเกิดบ้าอะไรขึ้นวะ
อีกด้านของปลายสายนั้นรู้ดีว่าลูกพี่ของตัวเองต้องโกรธมากเป็นแน่ แต่เขาก็คิดว่าทำแบบนี้คงจะดีกว่าเพราะถ้าเทียบกันแล้วสำหรับชายหนุ่ม ดูเหมือนว่าคนที่นั่งข้างๆเขาจะน่ากลัวและควบคุมยากกว่าแคชมาก
“ฮะๆ ถึงกับออกจากกลุ่มเลยหรอครับ”
ดาร์เรลที่นั่งอยู่ข้างๆชายร่างใหญ่ถามขึ้นทำให้ความเงียบของป้ายรถเมล์ที่มีแต่พวกเขาในเวลา5โมงเย็นดูกดดันขึ้นเล็กน้อย
“เออ ไม่งั้นเดี๋ยวถ้าลูกพี่มาวุ่นวาย แกก็จะมาโทษฉัน”
“แหม กลัวขนาดนั้นเชียวหรอครับ”
ดาร์เรลที่ตอนนี้ท่าทางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขากลับดูเป็นแค่นักเรียนธรรมดาๆมากกว่าชายวิกลจริตแบบเมื่อครู่
“ผมเกลียดแคชนะครับคุณรู้ไหม นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมแอบสะใจนะ”
“หา? แกก็ไม่เคยมีเรื่องกับลูกพี่ไม่ใช่รึไง”
“...มีสิครับ เป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่ต้องชดใช้ด้วยความสุขทั้งหมดในชีวิตเลยล่ะครับ”
ดาร์เรลพูดโดยที่สีหน้าของเขานั้นยังเหมือนเดิมแต่ไอเย็นรอบๆทำให้โซอัสรู้ว่าชายตรงหน้ากำลังจริงจังกับเรื่องที่พูดไม่น้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไรออกไปดาร์เรลก็ถอนหายใจแล้วยัดบางอย่างใส่มือของเขา
แคชพูดเสียงดังใส่โทรศัพท์ทำให้เด็กผู้หญิงที่นั่งข้างๆเขาอยู่สะดุ้ง เขาที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านพร้อมกับสาวรุ่นน้องต้องอารมณ์เสียขึ้นมาทันทีเมื่อโซอัสโทรมาหา
“มันมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่วะ?! เฮ้ย! โซอัส...เฮ้ย เดี๋ยว! ...แม่งเอ๊ย!”
แคชสบถก่อนขว้างโทรศัพท์ไปมุมห้องนอนเต็มแรง เขากำลังหงุดหงิดเพราะคนสนิทที่อยู่ๆก็โทรมาขอออกจากแก๊งไปหน้าตาเฉย ทั้งยังไม่ยอมเล่าให้อะไรให้เขาฟังเลยแม้แต่น้อย
มันเกิดบ้าอะไรขึ้นวะ
อีกด้านของปลายสายนั้นรู้ดีว่าลูกพี่ของตัวเองต้องโกรธมากเป็นแน่ แต่เขาก็คิดว่าทำแบบนี้คงจะดีกว่าเพราะถ้าเทียบกันแล้วสำหรับชายหนุ่ม ดูเหมือนว่าคนที่นั่งข้างๆเขาจะน่ากลัวและควบคุมยากกว่าแคชมาก
“ฮะๆ ถึงกับออกจากกลุ่มเลยหรอครับ”
ดาร์เรลที่นั่งอยู่ข้างๆชายร่างใหญ่ถามขึ้นทำให้ความเงียบของป้ายรถเมล์ที่มีแต่พวกเขาในเวลา5โมงเย็นดูกดดันขึ้นเล็กน้อย
“เออ ไม่งั้นเดี๋ยวถ้าลูกพี่มาวุ่นวาย แกก็จะมาโทษฉัน”
“แหม กลัวขนาดนั้นเชียวหรอครับ”
ดาร์เรลที่ตอนนี้ท่าทางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขากลับดูเป็นแค่นักเรียนธรรมดาๆมากกว่าชายวิกลจริตแบบเมื่อครู่
“ผมเกลียดแคชนะครับคุณรู้ไหม นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมแอบสะใจนะ”
“หา? แกก็ไม่เคยมีเรื่องกับลูกพี่ไม่ใช่รึไง”
“...มีสิครับ เป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่ต้องชดใช้ด้วยความสุขทั้งหมดในชีวิตเลยล่ะครับ”
ดาร์เรลพูดโดยที่สีหน้าของเขานั้นยังเหมือนเดิมแต่ไอเย็นรอบๆทำให้โซอัสรู้ว่าชายตรงหน้ากำลังจริงจังกับเรื่องที่พูดไม่น้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไรออกไปดาร์เรลก็ถอนหายใจแล้วยัดบางอย่างใส่มือของเขา
“ล้างแผลให้สะอาดแล้วทาซะนะครับ ลดอาการปวด แล้วก็ทำให้แผลช้ำหายเร็ว”
ชายหนุ่มมองหลอดยาที่ดาร์เรลมอบให้อย่างแปลกใจก่อนที่ดาร์เรลจะลุกขึ้น
“ผมน่ะไม่ใช่คนใจร้ายอะไรนักหรอกนะครับ แค่คุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ คุณเองก็อย่าไปรังแกคนอื่นเขาให้มากนักเพราะคนอื่นเขาก็รู้สึกเหมือนคุณตอนที่โดนผมเตะนั่นแหละ เอาเป็นว่าหลังจากนี้...เราก็ไม่ต้องรู้จักกันแล้วกันนะครับ”
ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินไปหาเด็กหนุ่มผมสีขาวที่เพิ่งวิ่งออกมาที่หน้าประตูโรงเรียนด้วยท่าทางดีใจ ปล่อยให้ชายร่างใหญ่นั่งนิ่งคิดอะไรในใจคนเดียว
“ดาร์เรลๆๆ ฉันมีข่าวดีจะบอกล่ะ”
ฟาโรห์ที่เพิ่งออกมาจากโรงเรียนด้วยท่าทางดีใจสุดขีดนั้นไม่ได้สังเกตเห็นโซอัสเลยแม้แต่น้อย เขารีบจับมือของดาร์เรลขึ้นก่อนจะพูดต่อ
“ฉันได้ไปแข่งครั้งนี้ด้วยล่ะ! ตื่นเต้นชะมัด ในชีวิตเพิ่งเคยทำอะไรแบบนี้!”
ท่าทางดีใจออกหน้าออกตาของฟาโรห์ที่เพิ่งโดนลีจับคัดตัวนักกีฬาทำให้ดาร์เรลยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูพลางลูบผมสีขาวที่ยังชื้นอยู่เบาๆ
“แหม วันนี้คัดตัวเด็กม.ต้นสินะครับเนี่ย มิน่าล่ะอาจารย์ลีถึงบอกว่าม.ปลายไม่ต้องเขาชมรมวันนี้ สนุกไหมครับ ใครได้ไปแข่งบ้างล่ะ”
“อ่า...มีเรน แล้วก็เด็กผู้หญิงผมสีแดงๆ...”
“คุณเชอริล?”
“ใช่ๆ แล้วก็ซากิด้วยล่ะ”
“อ้อ คุณคิตากาวะก็ติดสินะครับ ฮะๆ งั้นไปฉลองหน่อยไหมครับ”
“เอาสิๆ ถ้าเป็นดาร์เรลล่ะก็ ถึงไปค้างแม่ฉันไม่ว่าหรอก”
“เฮ้! นี่พวกนายจะไปเที่ยวกันโดยไม่มีฉันหรอเนี่ย”
เสียงพูดที่คุ้นเคยแทรกขึ้นมาพร้อมกับไวท์ที่วางแขนลงบนบ่าของฟาโรห์
“เฮ้ย แกเป็นเด็กหอไม่ใช่รึไง”
“อะไรกันฟาโรห์ หอโรงเรียนเรามีคนเฝ้าที่ไหน ไปได้อยู่แล้วน่า ว่าแต่เที่ยวไหนกันดี อยากกินชาบูจังน้า”
ไวท์พูดขึ้นพลางขยี้ผมของฟาโรห์ก่อนที่ดาร์เรลจะนึกบางอย่างขึ้นได้
“จะว่าไปที่ห้องผมก็มีเตากับหม้อไฟฟ้านะครับ ซื้อของไปทำกันเองดีไหมครับ”
ดาร์เรลยิ้มเล็กน้อยทำให้ไวท์พยักหน้าตกลงทันที โดยไม่มีใครฟังความเห็นของฟาโรห์ที่ได้แต่ทำหน้าเซ็งๆเลยแม้แต่น้อย และสุดท้ายทั้งสามหนุ่มก็นั่งรถประจำทางเข้าไปในตัวเมืองเพื่อซื้อของและไปถึงห้องของดาร์เรลในที่สุด
ไวท์เพิ่งเคยมาห้องของชายหนุ่มเป็นครั้งแรกแอบแปลกใจกับอพาร์ตเมนต์ที่ดูแพงเกินราคาที่เด็กม.ปลายจะอยู่ตัวคนเดียวเล็กน้อย และมันทำให้ไวท์สนใจไปเสียทุกอย่างจนลืมมารยาทในบ้านคนอื่นจนหมดสิ้น
“ฮะๆ ทำตัวตามสันดานกันได้เลยนะครับ”
“เฮ้ย ดาร์เรลมันต้องตามสบายไม่ใช่หรอวะ”
“อ้าว หรอครับ ฮะๆๆ”
ฟาโรห์มองชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ดูจะเผลอหลุดคำแปลกๆออกมาแต่เขาก็รู้ว่าดาร์เรลคงดีใจไม่น้อยที่มีเพื่อนมาที่นี่นอกจากเขาบ้าง
“เดี๋ยวผมไปหาเตาให้นะครับ ฟาโรห์ช่วยเอาฟูกออกมาให้ทีนะครับ”
“เออ”
ฟาโรห์ตอบสั้นๆก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักใต้ตู้เสื้อผ้าของดาร์เรลแล้วเอาฟูกออกมาปูที่พื้นในขณะที่ดาร์เรลกำลังหาของอยู่ในส่วนครัว
“ฟาโรห์ดูเหมือนจะรู้จักห้องนี้ดีนะเนี่ย”
ไวท์ทักขึ้นเมื่อเห็นรุ่นน้องหนุ่มเดินไปเปิดลิ้นชักโดยไม่ลังเลและเจ้าของห้องไม่ต้องบอกตำแหน่งเลยด้วยซ้ำ
“อ่า...ฉันมาค้างสามสี่รอบจนแม่ฉันจำมันได้แล้ว ถ้าของพื้นๆก็พอรู้ที่เก็บอะนะ”
“โห นี่นายมาบ่อยหรอกหรอ มีอะไรรึเปล่าเนี่ย หืม~?”
“ถามจริงเหอะ ทำไมแกต้องแซวฉันกับดาร์เรลตลอด ปกติก็เห็นนิ่งๆไม่ร่าเริงขนาดนี้นี่”
ฟาโรห์ถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยขณะหาหมอนสำรองโดยไม่หันไปมองรอยยิ้มของไวท์เลย
“ก็พวกนายเป็นเพื่อนฉันนี่”
“แล้วคนอื่นไม่ใช่เพื่อนรึไง เห็นมีคนรายล้อมนายตั้งมากมาย ทำไมมานับไอ้คนไร้ญาติขาดมิตรแบบฉันเป็นเพื่อนได้ล่ะห๊ะ”
“...คนที่จะมาหาประโยชน์จากฉันหรือนินทาฉันลับหลังน่ะหรอเพื่อน ก็แค่คนรู้จัก”
ไวท์พูดด้วยเสียงนิ่งๆทำให้ฟาโรห์ไม่ต่อบทสนทนาด้วย จนไวท์ที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเดินไปช่วยดาร์เรลในครัว ชายหนุ่มยืนมองเพื่อนของตัวเองที่กำลังล้างผักซักพักก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าถึงจะเดินมาเขาก็ไม่รู้จะช่วยอะไรอยู่ดี จนดาร์เรลยื่นผักที่ล้างแล้วให้
“หันให้หน่อยสิครับ”
ไวท์รับมานิ่งๆก่อนจะคิดในใจว่าจะเริ่มยังไงดีแล้วในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำอะไรแปลกๆอย่างการสร้างน้ำแข็งให้เป็นรูปมีดขึ้นมาและหั่นผักทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
“...แล้วทำไมไม่ใช้มีดจิงๆไปเลยล่ะครับ”
ดาร์เรลถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจกับพฤติกรรมแปลกๆของเพื่อน
“ก็โชว์เหนือไง...”
“...นั่นพยายามจะมุกสินะครับ”
ดาร์เรลทำหน้าเอื่อมๆก่อนจะหันไปทำอย่างอื่นต่อทำให้ไวท์ได้แต่คิดในใจว่า
ฉันมีปัญญาเรียกร้องความสนใจแค่นี้จริงๆ อย่าเมินสิเว้ย
“จะว่าไป พรุ่งนี้วันหยุดนี่ มาค้างแบบนี้จะใส่ชุดอะไรกลับล่ะ”
ฟาโรห์พูดขึ้นพลางคีบเนื้อเข้าปากทำให้ไวท์ทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาหน้าตาเฉยว่า
“งั้นก็ไปซื้อเสื้อผ้ากันไหม ช่วงนี้ฉันหาชุดสำหรับถ่ายโปรไฟล์อยู่นะ”
“ถ่ายโปรไฟล์?”
ฟาโรห์มองไปทางไวท์อย่างสงสัยว่าการถ่ายโปรไฟล์คืออะไร
“เอ่อ...มันก็เหมือนถ่ายภาพเป็นเซ็ทๆนั่นแหละ”
“ฮะๆ ฟาโรห์ไม่รู้สินะครับว่าไวท์เป็นนายแบบ เห็นแบบนี้ลงนิตยสารดังด้วยนะครับ ถึงฟาโรห์จะไม่สนใจก็เถอะนะ”
ดาร์เรลที่ตอนแรกตั้งอกตั้งใจตักทุกสิ่งทุกอย่างเข้าปากอดที่จะพูดไม่ได้ทำให้ไวท์ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเพราะคำพูดนั้น
“เฮ้อ นี่ฟาโรห์ไม่สนใจอะไรรอบตัวเองรึไง ตอนเดินมาน่ะเราผ่านร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่งที่มีรูปฉันด้วยนะ”
“จริงดิ?! ฉันไม่ได้สนใจเลย”
ฟาโรห์ตอบพลางกินต่ออย่างมูมมามโดยแทบไม่ใส่ใจไวท์เลยแม้แต่น้อย ก่อนที่อยู่ๆเขาจะลดตะเกียบลง
“จะว่าไป ฉันไม่เคยมาทำอะไรแบบนี้กินกับเพื่อนเลยนะ”
รุ่นน้องเพียงคนเดียวในห้องพูดขึ้นมาทำให้บรรยากาศดูเงียบลง
“เอาจริงๆ ก่อนหน้านี้น่ะ รู้สึกว่าจะไม่มีเพื่อนด้วยซ้ำ ทุกคนไม่ค่อยชอบหน้าฉันเท่าไร อาจจะเพราะภาพพจน์ฉันดูอารมณ์ร้อนเสมอๆด้วยล่ะมั้ง”
“เหอะ...ฉันก็ไม่เคยหรอก อย่างดีก็แค่กินกับที่บ้าน ครอบครัวฉันคนเยอะ พอกินด้วยกันเลยดูเป็นมื้อพิเศษ แต่ตั้งแต่ขึ้นม.ปลายก็ไม่มีใครว่างเท่าไรแล้วล่ะ”
ไวท์พูดขึ้นเพื่อให้รุ่นน้องรู้ว่าไม่ได้มีเพียงเขาที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้
“ฮะๆๆ จะว่าไปฉันก็กินข้าวกับที่บ้านบ่อยนะ ถึงจะแค่แม่ก็เถอะ ปกติพ่อฉันจะทำงาน กลับดึก ส่วนพี่ชายก็ไปเรียนไกล ปกติก็เลยจะอยู่กับแม่เป็นหลัก”
“อ้อ นี่คือสาเหตุที่นายเป็นลูกแหงติดแม่หรอ”
“หุบปากน่า! มันช่วยไม่ได้นี่ คนในบ้านมันก็มีอยู่แค่นั้น”
“ก็พอจะเก็ทอะนะ ฉันนี่สิแทบไม่ได้พัก ใจมันเป็นห่วงน้องอยู่ตลอด ว่าไงดีล่ะ ความรับผิดชอบมันค่ำคออยู่”
ชายหนุ่มทั้งสองคุยกันเรื่องครอบครัวด้วยท่าทางสบายๆโดยไม่ได้ใส่ใจรอยยิ้มของดาร์เรลที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรจนในที่สุดฟาโรห์ก็หันไปถาม
“แล้วดาร์เรลล่ะที่บ้านเป็นไงบ้าง”
คำถามนั้นทำให้ชายหนุ่มเงียบไปก่อนที่ไวท์จะนึกอะไรขึ้นได้และรีบพูดขัด
“เฮ้ย ฟาโรห์ไม่ต้องเสื...”
“ไม่เป็นไรครับ ฮะๆ ที่บ้านของผมหรอ อือ...ก็ปกติจะกินข้าวคนเดียวครับ แม่ผมหย่าไปแล้ว ส่วนพ่อก็ทำงานน่ะ พอมาอยู่อพาร์ตเมนต์ก็เลยชินๆ”
คำตอบของดาร์เรลนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเช่นทุกครั้งแต่ดูเหมือนจะทำให้ฟาโรห์รู้ตัวแล้วว่าทำไมถึงไม่ควรถาม
“...ขอโทษนะที่ถามน่ะ”
“ฮะๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเฉยๆน่ะนะ”
ดาร์เรลพูดออกมาด้วยท่าทีปกติแต่เพื่อนทั้งสองก็รู้ดีว่าในใจนั้นคงไม่ใช่ ทำให้หลังจากประโยคนั้นก็ไม่มีใครพูดเรื่องส่วนตัวของดาร์เรลอีกจนกระทั่งกินอิ่มและเก็บของกันเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มมองหลอดยาที่ดาร์เรลมอบให้อย่างแปลกใจก่อนที่ดาร์เรลจะลุกขึ้น
“ผมน่ะไม่ใช่คนใจร้ายอะไรนักหรอกนะครับ แค่คุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ คุณเองก็อย่าไปรังแกคนอื่นเขาให้มากนักเพราะคนอื่นเขาก็รู้สึกเหมือนคุณตอนที่โดนผมเตะนั่นแหละ เอาเป็นว่าหลังจากนี้...เราก็ไม่ต้องรู้จักกันแล้วกันนะครับ”
ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินไปหาเด็กหนุ่มผมสีขาวที่เพิ่งวิ่งออกมาที่หน้าประตูโรงเรียนด้วยท่าทางดีใจ ปล่อยให้ชายร่างใหญ่นั่งนิ่งคิดอะไรในใจคนเดียว
“ดาร์เรลๆๆ ฉันมีข่าวดีจะบอกล่ะ”
ฟาโรห์ที่เพิ่งออกมาจากโรงเรียนด้วยท่าทางดีใจสุดขีดนั้นไม่ได้สังเกตเห็นโซอัสเลยแม้แต่น้อย เขารีบจับมือของดาร์เรลขึ้นก่อนจะพูดต่อ
“ฉันได้ไปแข่งครั้งนี้ด้วยล่ะ! ตื่นเต้นชะมัด ในชีวิตเพิ่งเคยทำอะไรแบบนี้!”
ท่าทางดีใจออกหน้าออกตาของฟาโรห์ที่เพิ่งโดนลีจับคัดตัวนักกีฬาทำให้ดาร์เรลยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูพลางลูบผมสีขาวที่ยังชื้นอยู่เบาๆ
“แหม วันนี้คัดตัวเด็กม.ต้นสินะครับเนี่ย มิน่าล่ะอาจารย์ลีถึงบอกว่าม.ปลายไม่ต้องเขาชมรมวันนี้ สนุกไหมครับ ใครได้ไปแข่งบ้างล่ะ”
“อ่า...มีเรน แล้วก็เด็กผู้หญิงผมสีแดงๆ...”
“คุณเชอริล?”
“ใช่ๆ แล้วก็ซากิด้วยล่ะ”
“อ้อ คุณคิตากาวะก็ติดสินะครับ ฮะๆ งั้นไปฉลองหน่อยไหมครับ”
“เอาสิๆ ถ้าเป็นดาร์เรลล่ะก็ ถึงไปค้างแม่ฉันไม่ว่าหรอก”
“เฮ้! นี่พวกนายจะไปเที่ยวกันโดยไม่มีฉันหรอเนี่ย”
เสียงพูดที่คุ้นเคยแทรกขึ้นมาพร้อมกับไวท์ที่วางแขนลงบนบ่าของฟาโรห์
“เฮ้ย แกเป็นเด็กหอไม่ใช่รึไง”
“อะไรกันฟาโรห์ หอโรงเรียนเรามีคนเฝ้าที่ไหน ไปได้อยู่แล้วน่า ว่าแต่เที่ยวไหนกันดี อยากกินชาบูจังน้า”
ไวท์พูดขึ้นพลางขยี้ผมของฟาโรห์ก่อนที่ดาร์เรลจะนึกบางอย่างขึ้นได้
“จะว่าไปที่ห้องผมก็มีเตากับหม้อไฟฟ้านะครับ ซื้อของไปทำกันเองดีไหมครับ”
ดาร์เรลยิ้มเล็กน้อยทำให้ไวท์พยักหน้าตกลงทันที โดยไม่มีใครฟังความเห็นของฟาโรห์ที่ได้แต่ทำหน้าเซ็งๆเลยแม้แต่น้อย และสุดท้ายทั้งสามหนุ่มก็นั่งรถประจำทางเข้าไปในตัวเมืองเพื่อซื้อของและไปถึงห้องของดาร์เรลในที่สุด
ไวท์เพิ่งเคยมาห้องของชายหนุ่มเป็นครั้งแรกแอบแปลกใจกับอพาร์ตเมนต์ที่ดูแพงเกินราคาที่เด็กม.ปลายจะอยู่ตัวคนเดียวเล็กน้อย และมันทำให้ไวท์สนใจไปเสียทุกอย่างจนลืมมารยาทในบ้านคนอื่นจนหมดสิ้น
“ฮะๆ ทำตัวตามสันดานกันได้เลยนะครับ”
“เฮ้ย ดาร์เรลมันต้องตามสบายไม่ใช่หรอวะ”
“อ้าว หรอครับ ฮะๆๆ”
ฟาโรห์มองชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ดูจะเผลอหลุดคำแปลกๆออกมาแต่เขาก็รู้ว่าดาร์เรลคงดีใจไม่น้อยที่มีเพื่อนมาที่นี่นอกจากเขาบ้าง
“เดี๋ยวผมไปหาเตาให้นะครับ ฟาโรห์ช่วยเอาฟูกออกมาให้ทีนะครับ”
“เออ”
ฟาโรห์ตอบสั้นๆก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักใต้ตู้เสื้อผ้าของดาร์เรลแล้วเอาฟูกออกมาปูที่พื้นในขณะที่ดาร์เรลกำลังหาของอยู่ในส่วนครัว
“ฟาโรห์ดูเหมือนจะรู้จักห้องนี้ดีนะเนี่ย”
ไวท์ทักขึ้นเมื่อเห็นรุ่นน้องหนุ่มเดินไปเปิดลิ้นชักโดยไม่ลังเลและเจ้าของห้องไม่ต้องบอกตำแหน่งเลยด้วยซ้ำ
“อ่า...ฉันมาค้างสามสี่รอบจนแม่ฉันจำมันได้แล้ว ถ้าของพื้นๆก็พอรู้ที่เก็บอะนะ”
“โห นี่นายมาบ่อยหรอกหรอ มีอะไรรึเปล่าเนี่ย หืม~?”
“ถามจริงเหอะ ทำไมแกต้องแซวฉันกับดาร์เรลตลอด ปกติก็เห็นนิ่งๆไม่ร่าเริงขนาดนี้นี่”
ฟาโรห์ถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยขณะหาหมอนสำรองโดยไม่หันไปมองรอยยิ้มของไวท์เลย
“ก็พวกนายเป็นเพื่อนฉันนี่”
“แล้วคนอื่นไม่ใช่เพื่อนรึไง เห็นมีคนรายล้อมนายตั้งมากมาย ทำไมมานับไอ้คนไร้ญาติขาดมิตรแบบฉันเป็นเพื่อนได้ล่ะห๊ะ”
“...คนที่จะมาหาประโยชน์จากฉันหรือนินทาฉันลับหลังน่ะหรอเพื่อน ก็แค่คนรู้จัก”
ไวท์พูดด้วยเสียงนิ่งๆทำให้ฟาโรห์ไม่ต่อบทสนทนาด้วย จนไวท์ที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเดินไปช่วยดาร์เรลในครัว ชายหนุ่มยืนมองเพื่อนของตัวเองที่กำลังล้างผักซักพักก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าถึงจะเดินมาเขาก็ไม่รู้จะช่วยอะไรอยู่ดี จนดาร์เรลยื่นผักที่ล้างแล้วให้
“หันให้หน่อยสิครับ”
ไวท์รับมานิ่งๆก่อนจะคิดในใจว่าจะเริ่มยังไงดีแล้วในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำอะไรแปลกๆอย่างการสร้างน้ำแข็งให้เป็นรูปมีดขึ้นมาและหั่นผักทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
“...แล้วทำไมไม่ใช้มีดจิงๆไปเลยล่ะครับ”
ดาร์เรลถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจกับพฤติกรรมแปลกๆของเพื่อน
“ก็โชว์เหนือไง...”
“...นั่นพยายามจะมุกสินะครับ”
ดาร์เรลทำหน้าเอื่อมๆก่อนจะหันไปทำอย่างอื่นต่อทำให้ไวท์ได้แต่คิดในใจว่า
ฉันมีปัญญาเรียกร้องความสนใจแค่นี้จริงๆ อย่าเมินสิเว้ย
“จะว่าไป พรุ่งนี้วันหยุดนี่ มาค้างแบบนี้จะใส่ชุดอะไรกลับล่ะ”
ฟาโรห์พูดขึ้นพลางคีบเนื้อเข้าปากทำให้ไวท์ทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาหน้าตาเฉยว่า
“งั้นก็ไปซื้อเสื้อผ้ากันไหม ช่วงนี้ฉันหาชุดสำหรับถ่ายโปรไฟล์อยู่นะ”
“ถ่ายโปรไฟล์?”
ฟาโรห์มองไปทางไวท์อย่างสงสัยว่าการถ่ายโปรไฟล์คืออะไร
“เอ่อ...มันก็เหมือนถ่ายภาพเป็นเซ็ทๆนั่นแหละ”
“ฮะๆ ฟาโรห์ไม่รู้สินะครับว่าไวท์เป็นนายแบบ เห็นแบบนี้ลงนิตยสารดังด้วยนะครับ ถึงฟาโรห์จะไม่สนใจก็เถอะนะ”
ดาร์เรลที่ตอนแรกตั้งอกตั้งใจตักทุกสิ่งทุกอย่างเข้าปากอดที่จะพูดไม่ได้ทำให้ไวท์ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเพราะคำพูดนั้น
“เฮ้อ นี่ฟาโรห์ไม่สนใจอะไรรอบตัวเองรึไง ตอนเดินมาน่ะเราผ่านร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่งที่มีรูปฉันด้วยนะ”
“จริงดิ?! ฉันไม่ได้สนใจเลย”
ฟาโรห์ตอบพลางกินต่ออย่างมูมมามโดยแทบไม่ใส่ใจไวท์เลยแม้แต่น้อย ก่อนที่อยู่ๆเขาจะลดตะเกียบลง
“จะว่าไป ฉันไม่เคยมาทำอะไรแบบนี้กินกับเพื่อนเลยนะ”
รุ่นน้องเพียงคนเดียวในห้องพูดขึ้นมาทำให้บรรยากาศดูเงียบลง
“เอาจริงๆ ก่อนหน้านี้น่ะ รู้สึกว่าจะไม่มีเพื่อนด้วยซ้ำ ทุกคนไม่ค่อยชอบหน้าฉันเท่าไร อาจจะเพราะภาพพจน์ฉันดูอารมณ์ร้อนเสมอๆด้วยล่ะมั้ง”
“เหอะ...ฉันก็ไม่เคยหรอก อย่างดีก็แค่กินกับที่บ้าน ครอบครัวฉันคนเยอะ พอกินด้วยกันเลยดูเป็นมื้อพิเศษ แต่ตั้งแต่ขึ้นม.ปลายก็ไม่มีใครว่างเท่าไรแล้วล่ะ”
ไวท์พูดขึ้นเพื่อให้รุ่นน้องรู้ว่าไม่ได้มีเพียงเขาที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้
“ฮะๆๆ จะว่าไปฉันก็กินข้าวกับที่บ้านบ่อยนะ ถึงจะแค่แม่ก็เถอะ ปกติพ่อฉันจะทำงาน กลับดึก ส่วนพี่ชายก็ไปเรียนไกล ปกติก็เลยจะอยู่กับแม่เป็นหลัก”
“อ้อ นี่คือสาเหตุที่นายเป็นลูกแหงติดแม่หรอ”
“หุบปากน่า! มันช่วยไม่ได้นี่ คนในบ้านมันก็มีอยู่แค่นั้น”
“ก็พอจะเก็ทอะนะ ฉันนี่สิแทบไม่ได้พัก ใจมันเป็นห่วงน้องอยู่ตลอด ว่าไงดีล่ะ ความรับผิดชอบมันค่ำคออยู่”
ชายหนุ่มทั้งสองคุยกันเรื่องครอบครัวด้วยท่าทางสบายๆโดยไม่ได้ใส่ใจรอยยิ้มของดาร์เรลที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรจนในที่สุดฟาโรห์ก็หันไปถาม
“แล้วดาร์เรลล่ะที่บ้านเป็นไงบ้าง”
คำถามนั้นทำให้ชายหนุ่มเงียบไปก่อนที่ไวท์จะนึกอะไรขึ้นได้และรีบพูดขัด
“เฮ้ย ฟาโรห์ไม่ต้องเสื...”
“ไม่เป็นไรครับ ฮะๆ ที่บ้านของผมหรอ อือ...ก็ปกติจะกินข้าวคนเดียวครับ แม่ผมหย่าไปแล้ว ส่วนพ่อก็ทำงานน่ะ พอมาอยู่อพาร์ตเมนต์ก็เลยชินๆ”
คำตอบของดาร์เรลนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเช่นทุกครั้งแต่ดูเหมือนจะทำให้ฟาโรห์รู้ตัวแล้วว่าทำไมถึงไม่ควรถาม
“...ขอโทษนะที่ถามน่ะ”
“ฮะๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเฉยๆน่ะนะ”
ดาร์เรลพูดออกมาด้วยท่าทีปกติแต่เพื่อนทั้งสองก็รู้ดีว่าในใจนั้นคงไม่ใช่ ทำให้หลังจากประโยคนั้นก็ไม่มีใครพูดเรื่องส่วนตัวของดาร์เรลอีกจนกระทั่งกินอิ่มและเก็บของกันเรียบร้อยแล้ว
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อกันเรียบร้อย อยู่ๆไวท์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำก็ถามบางอย่างกับดาร์เรลที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ข้างๆฟาโรห์
“ดาร์เรลไม่มีWacebookเลยหรอ”
คำถามของไวท์ทำให้ดาร์เรลส่ายหัวก่อนจะกดโทรศัพท์เปิดหน้าจอที่แสดงให้เห็นบัญชีโซเชี่ยลของตัวเอง ตัวเลขผู้ติดตามสูงอย่างไม่น่าเชื่อนั้นสวนทางกับจำนวนเพื่อนอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งชื่อบัญชียังดูกวนประสาทอย่างบอกไม่ถูก
“C Uming? นี่นายต้องเป็นคนยังไงถึงกล้าตั้งชื่อแบบนี้เนี่ย ติดเรทชิบหาย”
“มันนามปากกาผมน่ะ นั่นก็อุตส่าห์วรรคสวยๆแล้วไง มีแต่คนหมกมุ่นเท่านั้นแหละครับที่จะอ่านแล้วเข้าใจความหมายแฝง”
“นี่นายจะด่าว่าฉันหมกมุ่นหรอ”
“เปล่านะครับ ผมแค่พูดลอยๆจะร้อนตัวทำไม”
ดาร์เรลพูดด้วยรอยยิ้มก่อนที่ไวท์จะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขา ชายหนุ่มที่ไม่รู้จะเถียงอะไรดึงเพื่อนที่ตัวเล็กกว่ามานั่งระหว่างขาของเขาก่อนจะวางคางลงบนหัวของดาร์เรล
“รู้สึกเหมือนตุ๊กตาเลย ผมนิ่มจัง”
ชายหนุ่มพูดพลางถูแก้มของตัวเองลงกับผมของดาร์เรลโดยไม่สนใจสายตาหงุดหงิดของฟาโรห์เลยแม้แต่น้อย ก่อนที่ฟาโรห์จะปากระป๋องเปล่าใส่หัวของไวท์อย่างแม่นยำ
“โอ๊ย! ทำอะไรของนายฟะ?!”
“แกนั่นแหละทำอะไร น่าขนลุก”
“หา? อ้อ...หวงหรอ แต่ไม่ได้หรอกนะ เพราะดาร์เรลน่ะเป็นของฉันแล้ว”
ไวท์พูดก่อนจะใช้สองมือกอดดาร์เรลเอาไว้พลางยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับรุ่นน้องหนุ่ม
“นี่แกจะหาเรื่องกันเรอะ?!”
“ไม่เอาน่า อุตส่าห์มาค้างทั้งที อย่าทะเลาะกันสิครับ แบบนี้ผมก็ลำบากใจแย่สิ”
ดาร์เรลพูดขึ้นทำให้ท่าทีของฟาโรห์สงบขึ้นมาทันที เขาหันกลับไปดูโทรทัศน์ต่อโดยไม่พูดอะไร ฟาโรห์และไวท์นั่งดูโทรทัศน์กันจนดึกดื่น แม้พวกเขาทั้งสองจะไม่ค่อยถูกชะตากันในบางเรื่องแต่โชคดีที่ชายหนุ่มทั้งสองนั้นติดซีรี่ย์เรื่องเดียวกัน ทำให้พวกเขานั่งดูและคุยกันไปพร้อมๆกันได้นานเป็นชั่วโมงๆ ปล่อยให้ดาร์เรลที่เพิ่งไปกินยาและไม่ได้สนใจซีรี่ย์สงครามแฟนตาซีเลยแม้แต่น้อยผล็อยหลับไปบนโซฟาอย่างง่ายดาย
“เสียงดังขนาดนี้ยังหลับได้อีกนะเนี่ย ให้ตายสิ”
ไวท์พูดพลางมองเพื่อนชายที่หลับสนิทพิงบ่าของเขา
“ดาร์เรลไม่ชอบนอนเงียบๆน่ะ ปกติจะเปิดเพลงนอนตลอด”
“หืม? นิสัยพอๆกับน้องชายฉันเลย แต่ทำแบบนั้นร่างกายมันจะหลับไปสนิทเอาน่ะสิ”
“งั้นหรอ”
“ใช่ พอตื่นขึ้นมาจะเพลียกว่านอนเงียบๆนะ แล้วก็...ไม่ควรนอนตรงนี้ด้วย”
ชายหนุ่มพูดก่อนจะลุกขึ้นแล้วช่อนแขนอุ้มร่างของเพื่อนขึ้นมาอย่างง่ายดาย แล้วเดินไปที่เตียง เขาวางร่างของดาร์เรลที่หลับสนิทลงบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มมาห่มตัวไว้ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม
“จะว่าไป...ตอนกินข้าวฉันเห็นแกพยายามจะถามอะไรดาร์เรลแต่ก็ไม่ถามหลายรอบเลยนี่ เอะอะๆก็เรียกแล้วบอกไม่มีอะไรอยู่นั่นแหละ”
ฟาโรห์ถามขึ้นทันทีที่รุ่นพี่ของเขานั่งลงทำให้ไวท์ถอนหายใจเบาๆก่อนจะตอบคำถามนั้น
“ถ้าเป็นนายบอกไปก็คงไม่เสียหาย ฉันน่ะอยากถามดาร์เรลว่าหมอนั่นเป็นโรคซึมเศร้ารึเปล่า พอดีมีรุ่นพี่นินทาให้ฟังมาน่ะ”
ไวท์ตอบนิ่งๆทำให้ทุกอย่างเงียบลง ก่อนการสนทนาที่ต่างฝ่ายต่างมองไปทางโทรทัศน์ไม่มองหรือสบตาซึ่งกันและกันจะดำเนินไปต่อ
“ดาร์เรลไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า มันแค่มีอาการผิดปกติในการควบคุมอารมณ์แล้วก็เครียดจัดก็แค่นั้น”
“นายรู้ได้ยังไง”
“...ฉันค้นของทุกอย่างในห้องนี้ตอนกลางคืน ดาร์เรลจะกินยาคลายกังวลแล้วนอน ไม่มีทางตื่นภายใน6ชั่วโมงหรอก”
คำพูดนั้นทำให้ไวท์หันไปมองใบหน้านิ่งเรียบของฟาโรห์ที่ยังหันข้างให้กับเขาในขณะพูดอยู่ด้วยความแปลกใจ
“ฉันรู้ทุกอย่างที่จะรู้ได้จากภายนอก ฉันอ่านไดอารี่ ต้นฉบับหนังสือ โน้ตทุกหน้าของดาร์เรล”
“...นายนี่มันบ้าชัดๆ แล้วทำไปเพื่ออะไรเนี่ย”
“ถ้าแกอยู่กับมันตลอด แกจะรู้ว่ามันอารมณ์ขึ้นๆลงๆรุนแรงกว่าปกติ และถ้ามาค้างด้วยบ่อยๆก็จะรู้ว่าถ้าลืมกินยามันจะนอนไม่หลับ ฉันก็แค่ค้นเพราะอยากรู้ว่าอะไรทำให้เป็นแบบนั้นก็เท่านั้น”
คำตอบของฟาโรห์นั้นทำให้ไวท์ยิ้มแห้งๆออกมาเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ
“แล้วจะทำไปทำไม”
“ก็เขาเป็นเพื่อนของฉัน”
ฟาโรห์ตอบอย่างชัดเจนโดยไม่คิดอะไรเลยแม้แต่น้อยทำให้ไวท์นิ่งไปก่อนที่รุ่นน้องหนุ่มจะเริ่มพูดต่อ
“ฉันน่ะมันคนสันดานเสีย หยาบคาย ชอบหาเรื่อง ไหนจะอารมณ์ร้อนไม่บันยะบันยังอีก ตั้งแต่ปี1แล้วที่ไม่มีใครอยากมายุ่งด้วยหรอก แต่ดาร์เรลน่ะชอบมาตื้อฉันตลอด ทั้งที่มีกลุ่มเพื่อนตั้งเยอะแยะแต่กลับมาสนใจฉันเนี่ยนะ โคตรโง่เลย แถมยังให้เหตุผลเข้าใจยากอย่าง 'เราสองคนเหมือนกัน' อีกต่างหาก
คำถามของไวท์ทำให้ดาร์เรลส่ายหัวก่อนจะกดโทรศัพท์เปิดหน้าจอที่แสดงให้เห็นบัญชีโซเชี่ยลของตัวเอง ตัวเลขผู้ติดตามสูงอย่างไม่น่าเชื่อนั้นสวนทางกับจำนวนเพื่อนอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งชื่อบัญชียังดูกวนประสาทอย่างบอกไม่ถูก
“C Uming? นี่นายต้องเป็นคนยังไงถึงกล้าตั้งชื่อแบบนี้เนี่ย ติดเรทชิบหาย”
“มันนามปากกาผมน่ะ นั่นก็อุตส่าห์วรรคสวยๆแล้วไง มีแต่คนหมกมุ่นเท่านั้นแหละครับที่จะอ่านแล้วเข้าใจความหมายแฝง”
“นี่นายจะด่าว่าฉันหมกมุ่นหรอ”
“เปล่านะครับ ผมแค่พูดลอยๆจะร้อนตัวทำไม”
ดาร์เรลพูดด้วยรอยยิ้มก่อนที่ไวท์จะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขา ชายหนุ่มที่ไม่รู้จะเถียงอะไรดึงเพื่อนที่ตัวเล็กกว่ามานั่งระหว่างขาของเขาก่อนจะวางคางลงบนหัวของดาร์เรล
“รู้สึกเหมือนตุ๊กตาเลย ผมนิ่มจัง”
ชายหนุ่มพูดพลางถูแก้มของตัวเองลงกับผมของดาร์เรลโดยไม่สนใจสายตาหงุดหงิดของฟาโรห์เลยแม้แต่น้อย ก่อนที่ฟาโรห์จะปากระป๋องเปล่าใส่หัวของไวท์อย่างแม่นยำ
“โอ๊ย! ทำอะไรของนายฟะ?!”
“แกนั่นแหละทำอะไร น่าขนลุก”
“หา? อ้อ...หวงหรอ แต่ไม่ได้หรอกนะ เพราะดาร์เรลน่ะเป็นของฉันแล้ว”
ไวท์พูดก่อนจะใช้สองมือกอดดาร์เรลเอาไว้พลางยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับรุ่นน้องหนุ่ม
“นี่แกจะหาเรื่องกันเรอะ?!”
“ไม่เอาน่า อุตส่าห์มาค้างทั้งที อย่าทะเลาะกันสิครับ แบบนี้ผมก็ลำบากใจแย่สิ”
ดาร์เรลพูดขึ้นทำให้ท่าทีของฟาโรห์สงบขึ้นมาทันที เขาหันกลับไปดูโทรทัศน์ต่อโดยไม่พูดอะไร ฟาโรห์และไวท์นั่งดูโทรทัศน์กันจนดึกดื่น แม้พวกเขาทั้งสองจะไม่ค่อยถูกชะตากันในบางเรื่องแต่โชคดีที่ชายหนุ่มทั้งสองนั้นติดซีรี่ย์เรื่องเดียวกัน ทำให้พวกเขานั่งดูและคุยกันไปพร้อมๆกันได้นานเป็นชั่วโมงๆ ปล่อยให้ดาร์เรลที่เพิ่งไปกินยาและไม่ได้สนใจซีรี่ย์สงครามแฟนตาซีเลยแม้แต่น้อยผล็อยหลับไปบนโซฟาอย่างง่ายดาย
“เสียงดังขนาดนี้ยังหลับได้อีกนะเนี่ย ให้ตายสิ”
ไวท์พูดพลางมองเพื่อนชายที่หลับสนิทพิงบ่าของเขา
“ดาร์เรลไม่ชอบนอนเงียบๆน่ะ ปกติจะเปิดเพลงนอนตลอด”
“หืม? นิสัยพอๆกับน้องชายฉันเลย แต่ทำแบบนั้นร่างกายมันจะหลับไปสนิทเอาน่ะสิ”
“งั้นหรอ”
“ใช่ พอตื่นขึ้นมาจะเพลียกว่านอนเงียบๆนะ แล้วก็...ไม่ควรนอนตรงนี้ด้วย”
ชายหนุ่มพูดก่อนจะลุกขึ้นแล้วช่อนแขนอุ้มร่างของเพื่อนขึ้นมาอย่างง่ายดาย แล้วเดินไปที่เตียง เขาวางร่างของดาร์เรลที่หลับสนิทลงบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มมาห่มตัวไว้ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม
“จะว่าไป...ตอนกินข้าวฉันเห็นแกพยายามจะถามอะไรดาร์เรลแต่ก็ไม่ถามหลายรอบเลยนี่ เอะอะๆก็เรียกแล้วบอกไม่มีอะไรอยู่นั่นแหละ”
ฟาโรห์ถามขึ้นทันทีที่รุ่นพี่ของเขานั่งลงทำให้ไวท์ถอนหายใจเบาๆก่อนจะตอบคำถามนั้น
“ถ้าเป็นนายบอกไปก็คงไม่เสียหาย ฉันน่ะอยากถามดาร์เรลว่าหมอนั่นเป็นโรคซึมเศร้ารึเปล่า พอดีมีรุ่นพี่นินทาให้ฟังมาน่ะ”
ไวท์ตอบนิ่งๆทำให้ทุกอย่างเงียบลง ก่อนการสนทนาที่ต่างฝ่ายต่างมองไปทางโทรทัศน์ไม่มองหรือสบตาซึ่งกันและกันจะดำเนินไปต่อ
“ดาร์เรลไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า มันแค่มีอาการผิดปกติในการควบคุมอารมณ์แล้วก็เครียดจัดก็แค่นั้น”
“นายรู้ได้ยังไง”
“...ฉันค้นของทุกอย่างในห้องนี้ตอนกลางคืน ดาร์เรลจะกินยาคลายกังวลแล้วนอน ไม่มีทางตื่นภายใน6ชั่วโมงหรอก”
คำพูดนั้นทำให้ไวท์หันไปมองใบหน้านิ่งเรียบของฟาโรห์ที่ยังหันข้างให้กับเขาในขณะพูดอยู่ด้วยความแปลกใจ
“ฉันรู้ทุกอย่างที่จะรู้ได้จากภายนอก ฉันอ่านไดอารี่ ต้นฉบับหนังสือ โน้ตทุกหน้าของดาร์เรล”
“...นายนี่มันบ้าชัดๆ แล้วทำไปเพื่ออะไรเนี่ย”
“ถ้าแกอยู่กับมันตลอด แกจะรู้ว่ามันอารมณ์ขึ้นๆลงๆรุนแรงกว่าปกติ และถ้ามาค้างด้วยบ่อยๆก็จะรู้ว่าถ้าลืมกินยามันจะนอนไม่หลับ ฉันก็แค่ค้นเพราะอยากรู้ว่าอะไรทำให้เป็นแบบนั้นก็เท่านั้น”
คำตอบของฟาโรห์นั้นทำให้ไวท์ยิ้มแห้งๆออกมาเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ
“แล้วจะทำไปทำไม”
“ก็เขาเป็นเพื่อนของฉัน”
ฟาโรห์ตอบอย่างชัดเจนโดยไม่คิดอะไรเลยแม้แต่น้อยทำให้ไวท์นิ่งไปก่อนที่รุ่นน้องหนุ่มจะเริ่มพูดต่อ
“ฉันน่ะมันคนสันดานเสีย หยาบคาย ชอบหาเรื่อง ไหนจะอารมณ์ร้อนไม่บันยะบันยังอีก ตั้งแต่ปี1แล้วที่ไม่มีใครอยากมายุ่งด้วยหรอก แต่ดาร์เรลน่ะชอบมาตื้อฉันตลอด ทั้งที่มีกลุ่มเพื่อนตั้งเยอะแยะแต่กลับมาสนใจฉันเนี่ยนะ โคตรโง่เลย แถมยังให้เหตุผลเข้าใจยากอย่าง 'เราสองคนเหมือนกัน' อีกต่างหาก
ฉันน่ะหรอเหมือนมัน ฉันไม่มีทางเหมือนพ่อคนดีแสนดีที่ทุกคนรักแบบนั้นหรอก”
ฟาโรห์พูดก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“แต่ตั้งแต่มาที่ห้องนี้คืนแรก ฉันก็เริ่มมั่นใจในความเหมือนที่มันพูดถึงแล้ว เจ้าชายแสนดีที่คนอื่นพูดถึงอะไรกัน ก็แค่คนขี้ขลาดที่เอาแต่คิดถึงอดีตของตัวเองไม่ใช่รึไง”
ชายหนุ่มพูดก่อนจะมีรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“...ไม่ต่างกับฉันเลย เพราะดูเข้มแข็ง ดูไม่มีปัญหาอะไร ทุกคนก็เลยมองว่าไม่เป็นอะไรเลยงั้นหรอ การนั่งอยู่มุมห้องแล้วถูกทุกคนแบนออกมาด้วยสายตาน่ะ มันไม่ง่ายสำหรับฉันหรอกนะ ก็เหมือนมันนั่นแหละ การเป็นพ่อหนุ่มแสนดีที่ทุกคนมองว่าไม่มีเรื่องทุกข์้อนน่ะมันไม่ง่าย
ฟาโรห์พูดก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“แต่ตั้งแต่มาที่ห้องนี้คืนแรก ฉันก็เริ่มมั่นใจในความเหมือนที่มันพูดถึงแล้ว เจ้าชายแสนดีที่คนอื่นพูดถึงอะไรกัน ก็แค่คนขี้ขลาดที่เอาแต่คิดถึงอดีตของตัวเองไม่ใช่รึไง”
ชายหนุ่มพูดก่อนจะมีรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“...ไม่ต่างกับฉันเลย เพราะดูเข้มแข็ง ดูไม่มีปัญหาอะไร ทุกคนก็เลยมองว่าไม่เป็นอะไรเลยงั้นหรอ การนั่งอยู่มุมห้องแล้วถูกทุกคนแบนออกมาด้วยสายตาน่ะ มันไม่ง่ายสำหรับฉันหรอกนะ ก็เหมือนมันนั่นแหละ การเป็นพ่อหนุ่มแสนดีที่ทุกคนมองว่าไม่มีเรื่องทุกข์้อนน่ะมันไม่ง่าย
แล้วก็เพราะไอ้ความเหมือนในเรื่องแปลกๆนี่แหละที่ทำให้อดเXือกไม่ได้สักที มันอยากจะช่วยให้อะไรดีขึ้นสักหน่อยจนบอกไม่ถูกเลย แต่จะให้พูดกับมันตรงๆก็ยังไงๆอยู่”
ไวท์ที่นั่งฟังอยู่นานก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนตักของฟาโรห์ด้วยรอยยิ้ม
“เชื่อรึเปล่าว่าโชคชะตาน่ะจะดึงคนที่คล้ายๆกันเข้ามาอยู่ด้วยกัน”
คำพูดของไวท์ทำให้ฟาโรห์ก้มลงสบตากับผู้พูดด้วยความสงสัยในคำพูดนั้น
“ฉันก็ไม่ต่างกันเลย ยังสลัดเรื่องเก่าๆไม่ได้สักที แล้วก็ยังยอมรับความอ่อนแอของตัวเองต่อหน้าใครไม่ได้สักที บางทีก็เหนื่อยชะมัดเลย มันคงไม่เป็นไรใช่ไหม”
คำถามของไวท์ทำให้รุ่นน้องหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะใช้สองมือขยี้ผมสีขาวของอีกฝ่ายจนกระเซอะกระเซิง
“เออ ไม่เป็นไรแล้ว”
“ฮะๆ นี่พวกเราเป็นพวกขี้แพ้รึไงนะ”
“อาจจะใช่ แต่ก็อาจจะไม่ใช่”
“ฮะๆๆ ช่างมันเถอะ นอนดีกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปเที่ยวกันนะ”
ไวท์รีบพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“อ่า แกไปนอนข้างๆเตียงแล้วกัน ปกติฉันนอนโซฟาอยู่แล้ว”
“หา? ไม่ได้นะ รู้ไหมว่านอนโซฟาบ่อยๆมันทำให้กระดูกผิดรูปได้น่ะ ไปนอนบนนวมกับฉันก็ได้น่า”
ยังไม่ทันที่จะตอบอะไรไวท์ก็ปิดทีวีแล้วลากฟาโรห์ไปนอนด้วยในทันที ทำให้หนุ่มรุ่นน้องต้องจำใจยอมลงไปนอนกับรุ่นพี่กำลังยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง ไวท์ลุกขึ้นมาจากที่นอน เขามองนาฬิกาที่บอกเวลาตีสองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความไปหาน้องชายว่าให้นอนได้แล้วเพราะเขารู้ว่าน้องของเขาต้องยังไม่นอนแน่ๆเมื่อเขาไม่ได้อยู่ที่ห้อง และก็เป็นไปตามคาดเพราะน้องชายของเขาอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไร
ไวท์ที่เสร็จธุระแล้วหันไปมองฟาโรห์ที่หลับสนิทอยู่ข้างๆโดยไม่ได้รู้เลยว่ารุ่นน้องหนุ่มยังไม่หลับ เขาเพียงแค่กำลังใช้พลังของตัวเองทำบางอย่างในความฝันอันแสนแปลกประหลาดของดาร์เรลเช่นทุกคืนทำให้เขาเหมือนกำลังหลับสนิทก็เท่านั้น ไวท์ลองตบแก้มของฟาโรห์เบาๆเพื่อให้มั่นใจว่าชายหนุ่มจะไปตื่น ก่อนจะอุ้มร่างนั้นขึ้นไปบนเตียงให้นอนข้างๆดาร์เรลแล้วกลับไปนอนตามเดิม
เช้าตรู่วันต่อมาชายหนุ่มตื่นขึ้นโดยไร้เสียงนาฬิกาปลุก นาฬิกาบอกเวลาเกือบ9โมงไม่ได้ทำให้เขากระตือรือร้นในวันเสาร์ได้เลย เขาเอื้อมมือไปทางที่เขาจำได้ว่าวางแว่นเอาไว้ที่แขนของเขากลับไปโดนร่างของใครบางคนเข้า ทำให้เขาขยี้ตาตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเพ่งมองจนเห็นชัด ไวท์แอบแปลกใจไม่น้อยที่ตัวเองมานอนอยู่บนเตียงข้างๆดาร์เรล แต่เมื่อมองไปทางชายหนุ่มซึ่งอยู่อีกฝั่งของดาร์เรลที่กำลังชูนิ้วกลางให้เขาราวกับจะบอกว่าอย่าปลุกก็ทำให้ไวท์เข้าใจแล้วว่าตอนที่เขาหลับนั้นใครเป็นคนลากเขาขึ้นมา ไวท์ที่คิดว่าจะลุกขึ้นปลุกทุกคนทิ้งตัวลงอีกครั้งก่อนจะหลับตาลงนอนแล้วปล่อยให้เวลาผ่านไปเองจนกว่าจะมีใครตื่นมาปลุกเขาบ้าง
“เชื่อรึเปล่าว่าโชคชะตาน่ะจะดึงคนที่คล้ายๆกันเข้ามาอยู่ด้วยกัน”
คำพูดของไวท์ทำให้ฟาโรห์ก้มลงสบตากับผู้พูดด้วยความสงสัยในคำพูดนั้น
“ฉันก็ไม่ต่างกันเลย ยังสลัดเรื่องเก่าๆไม่ได้สักที แล้วก็ยังยอมรับความอ่อนแอของตัวเองต่อหน้าใครไม่ได้สักที บางทีก็เหนื่อยชะมัดเลย มันคงไม่เป็นไรใช่ไหม”
คำถามของไวท์ทำให้รุ่นน้องหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะใช้สองมือขยี้ผมสีขาวของอีกฝ่ายจนกระเซอะกระเซิง
“เออ ไม่เป็นไรแล้ว”
“ฮะๆ นี่พวกเราเป็นพวกขี้แพ้รึไงนะ”
“อาจจะใช่ แต่ก็อาจจะไม่ใช่”
“ฮะๆๆ ช่างมันเถอะ นอนดีกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปเที่ยวกันนะ”
ไวท์รีบพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“อ่า แกไปนอนข้างๆเตียงแล้วกัน ปกติฉันนอนโซฟาอยู่แล้ว”
“หา? ไม่ได้นะ รู้ไหมว่านอนโซฟาบ่อยๆมันทำให้กระดูกผิดรูปได้น่ะ ไปนอนบนนวมกับฉันก็ได้น่า”
ยังไม่ทันที่จะตอบอะไรไวท์ก็ปิดทีวีแล้วลากฟาโรห์ไปนอนด้วยในทันที ทำให้หนุ่มรุ่นน้องต้องจำใจยอมลงไปนอนกับรุ่นพี่กำลังยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง ไวท์ลุกขึ้นมาจากที่นอน เขามองนาฬิกาที่บอกเวลาตีสองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความไปหาน้องชายว่าให้นอนได้แล้วเพราะเขารู้ว่าน้องของเขาต้องยังไม่นอนแน่ๆเมื่อเขาไม่ได้อยู่ที่ห้อง และก็เป็นไปตามคาดเพราะน้องชายของเขาอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไร
ไวท์ที่เสร็จธุระแล้วหันไปมองฟาโรห์ที่หลับสนิทอยู่ข้างๆโดยไม่ได้รู้เลยว่ารุ่นน้องหนุ่มยังไม่หลับ เขาเพียงแค่กำลังใช้พลังของตัวเองทำบางอย่างในความฝันอันแสนแปลกประหลาดของดาร์เรลเช่นทุกคืนทำให้เขาเหมือนกำลังหลับสนิทก็เท่านั้น ไวท์ลองตบแก้มของฟาโรห์เบาๆเพื่อให้มั่นใจว่าชายหนุ่มจะไปตื่น ก่อนจะอุ้มร่างนั้นขึ้นไปบนเตียงให้นอนข้างๆดาร์เรลแล้วกลับไปนอนตามเดิม
เช้าตรู่วันต่อมาชายหนุ่มตื่นขึ้นโดยไร้เสียงนาฬิกาปลุก นาฬิกาบอกเวลาเกือบ9โมงไม่ได้ทำให้เขากระตือรือร้นในวันเสาร์ได้เลย เขาเอื้อมมือไปทางที่เขาจำได้ว่าวางแว่นเอาไว้ที่แขนของเขากลับไปโดนร่างของใครบางคนเข้า ทำให้เขาขยี้ตาตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเพ่งมองจนเห็นชัด ไวท์แอบแปลกใจไม่น้อยที่ตัวเองมานอนอยู่บนเตียงข้างๆดาร์เรล แต่เมื่อมองไปทางชายหนุ่มซึ่งอยู่อีกฝั่งของดาร์เรลที่กำลังชูนิ้วกลางให้เขาราวกับจะบอกว่าอย่าปลุกก็ทำให้ไวท์เข้าใจแล้วว่าตอนที่เขาหลับนั้นใครเป็นคนลากเขาขึ้นมา ไวท์ที่คิดว่าจะลุกขึ้นปลุกทุกคนทิ้งตัวลงอีกครั้งก่อนจะหลับตาลงนอนแล้วปล่อยให้เวลาผ่านไปเองจนกว่าจะมีใครตื่นมาปลุกเขาบ้าง
WRITER
อ๊ะๆ ตอนนี้มีเรื่อองแจ้งเยอะหน่อยนะ อ่านด้วยนาจา
.........................
อย่างแรก วันบังคับลงนิยายจะเปลี่ยนจากวันพุธเป็นวันอังคารน้า
เพราะวันจันทร์ พุธ ศุกร์แฟนเราจะมาค้างที่ห้องอะ
.........................
อย่างที่สอง อาาาาาา พอลงนิยายแบบพูดถึงตัวละครไม่กี่ตัวแล้วรู้สึกเกร็งๆ
เกรงใจเผื่อมีคนอยากเร่งให้ตัวละครตัวเองออก แต่แบบเราอยากให้มันค่อยๆไปที่ละกลุ่มอะ
อันนี้อธิบายไว้เพราะความกังวลของเราเองอะนะ
.........................
อย่างที่สาม ตอนนี้ใกล้จะจบเฟทของกลุ่มเพื่อนสามคน ฟาโรห์ ดาร์เรล แล้วก็ไวท์แล้ว
เฟทต่อไปจะเริ่มเรื่องของใครดี
1. สาวดุ้น เฟยเฟิ่ง
2. คนไม่มีใครเอา คิสซารีส
3. นุ้งวันศุกร์ ฟรายเดย์
เข้าเฟทใหม่ก็คงได้ดึงตัวละครที่ไม่ค่อยแตะแล้วก็เพิ่งส่งมาใหม่มาใช้ด้วย
.........................
อย่างสุดท้ายยยยย
ตอนนี้จะชื่ออะไรดีย์???????????
.........................
เม้นบอกความู้สึกเกี่ยวกับตอนนี้แล้วก็ช่วยเลือกกันด้วยนะค้าาา
อย่าลืมให้กำลังใจกันนะคะ เดี๋ยวจะอัพตัวละครละ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น