ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : บทที่9 ความบรรลัยในวันเสาร์ที่ต้องไปโรงเรียน
ในตอนเช้าของวันหนึ่งอาจารย์หนุ่มตื่นขึ้นแต่เช้าเช่นทุกครั้งแม้จะเป็นวันเสาร์ เขาอาบน้ำและแต่งตัวตามปกติต่างไปแค่ไม่ได้ใส่ชุดสุภาพเหมือนวันธรรมดา ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อยืดคอปกและกางเกงยีนส์ขายาวเตรียมของใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วก่อนจะลงไปที่ห้องครัว ด้านล่างนั้นมีเด็กสาวรอเขาอยู่ตามปกติรวมถึงแม่บ้านที่อยู่กับเขามาหลายปี
“อรุณสวัสดิ์ซาเคีย”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณดันเต้ วันนี้ออกไปข้างนอกหรอคะ”
“ใช่ พอดีลูกศิษย์ใกล้จะแข่งแล้วแต่เพลงยังไม่พร้อม เลยซ้อมนอกเวลาน่ะ”
“เหนื่อยหน่อยนะคะ”
หญิงสาวพูดพลางรินกาแฟลงในแก้วแล้วยื่นให้กับอาจารย์หนุ่ม ดันเต้รับแก้วกาแฟก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับลูกสาวที่รักของเขา
“ไม่เหนื่อยเท่าสมัยก่อนหรอก”
“แหม แต่คุณดันเต้ก็ยังดูตื่นเต้นทุกงานที่จะทำละครเวทีจริงๆจังๆไม่ต่างจากเมื่อก่อนนะคะ”
“ฮะๆ ก็คงงั้น”
“คุณพ่อจะไปข้างนอกวันหยุดอีกแล้วหรอคะ”
เด็กสาวที่นั่งเงียบไม่กล้าขัดบทสนทนาของผู้ใหญ่ถามขึ้นทำให้ผู้เป็นพ่อหันไปมองด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ค่ะคลาริต้า จะเป็นแบบนี้อีกประมาณสองสัปดาห์ แต่รอบนี้พ่อจะไปแค่วันเสาร์นะ วันอาทิตย์พ่อว่างให้หนูได้ทั้งวันเลย แล้วก็ไม่ได้อยู่ซ้อมจนดึกด้วย”
ดันเต้พูดเสียงอ่อนเสียงหวานกับลูกสาวเป็นประจำ เวลาเขาอยู่บ้านนั้นช่างต่างกับตอนอยู่โรงเรียนโดยสิ้นเชิง จากอาจารย์สุดเคร่งขรึมกลับกลายเป็นคุณพ่อที่แสนใจดี เขาลูบผมของเด็กสาวอย่างเบามือก่อนจะพูดต่อ
“ขากลับอยากได้อะไรไหมคะ เดี๋ยวจะซื้อมาฝาก”
“...อือ...หนูอยากได้กระดาษวาดรูปเพิ่ม แล้วก็เค้ก!”
เด็กสาวยิ้มออกมาอย่างร่าเริงทำให้ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้มตอบ
“งั้นเดี๋ยวพ่อไปแล้วนะ ไม่เกิน5โมงเย็นพ่อจะกลับมา ถ้ามีอะไรก็บอกซาเคียได้เลยนะคะ”
“อื้อ! สู้ๆนะคะ”
เด็กสาวให้กำลังใจดันเต้ก่อนออกจากบ้านเป็นประจำๆ บ้านของดันเต้นั้นแม้จะเป็นบ้านหลังใหญ่สองชั้นที่ดูดีและสวยงามทีเดียว แต่มันไม่ได้ตั้งอยู่ในย่านที่เป็นชุมชนครอบครัวเสียเท่าไรทำให้คลาริต้าที่รักของเขาไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นนัก คนสนิทของเธอส่วนมากคือแม่บ้านอย่างซาเคียและอาจารย์ที่มาสอนเธอที่บ้าน นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ดันเต้พยายามจะยกเวลาว่างของเขาทั้งหมดให้เธอแม้ว่างานของเขาจะยุ่งก็ตาม
อาจารย์หนุ่มมาถึงโรงเรียนด้วยรถของเขา ทันที่ถึงเขาก็รีบสาวเท้าไปที่อาคารอเนกประสงค์ทันทีเพราะเขาสายกว่าเวลานัดไปเล็กน้อย แต่เมื่อเขาไปถึงคนในชมรมของเขาทุกคนกลับใส่ชุดวอร์มสำหรับซ้อมตามปกติแเละกำลังซ้อมกันอยู่โดยที่ยังไม่มีเครื่องดนตรีมาเซ็ตไว้ตามที่ควรจะเป็นเลยแม้แต่น้อย ดันเต้เดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าสุดตรงกลาง เขาทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างก่อนจะเอามือกอดอกทำให้มิคุริโอที่รู้นิสัยของอาจารย์เป็นอย่างดีถึงกับกลืนน้ำลาย ก่อนจะกระซิบกับเพื่อนข้างๆว่าวันนี้พวกชมรมดนตรีคงงานเข้าเป็นแน่
เวลาผ่านไปเกือบ20นาทีชมรมดนตรีก็เอาของมาตั้งในห้องจนเรียบร้อยแต่อารมณ์จริงจังที่เริ่มไม่ดีนักก็ยากเกินกว่าจะกู้คืน อีกทั้งการมากลางคันทำให้ที่ซ้อมนำไปเกือบครึ่งชั่วโมงต้องมาเริ่มกันใหม่
“ไม่เอานะคะอาจารย์ ใจเย็นๆ”
เพรทเซลเดินลงมาจากเวทีพลางนวดบ่าของอาจารย์จากด้านหลังระหว่างรอชมรมดนตรีเช็คเสียง
“ผมคงต้องฆ่าเรย์นะทิ้งแล้วมั้ง”
“ฮะๆ เฮียดันเต้อารมณ์ไม่ดีแบบนี้ก็แย่สิครับ แต่อาจารย์เรย์นะก็เป็นคนตรงเวลามากนะ ทำไมถึงสายได้”
“อ้อ วันนี้อาจารย์เรย์นะไม่สบายหนักน่ะ เพราะงั้นชมรมก็เลยปวกเปียกกันแบบนี้”
นักเรียนชมรมการละครคุยกันทำให้ดันเต้ถอนหายใจ เขานั้นพอจะรู้นิสัยของเพื่อนร่วมงานดีว่าค่อนข้างตรงเวลาแต่การที่เธอไม่อยู่แล้วลูกศิษย์กล้าสายแบบนี้แปลว่าเธอยังไม่เด็ดขาดเท่ากับเขา ชมรมการละครนั้นซ้อมตรงเวลาทั้งช่วงกลางวันและเย็น และเมื่อมีการนัดนอกเวลา99%ของชมรมจะมาถึงก่อนอาจารย์เสมอ เพราะดันเต้ผู้เคร่งครัดอบรมเป็นอย่างดีและทุ่มเทให้กับชมรมของเขามาก
“เช็คเสียงเสร็จแล้วครับ ขอโทษจริงๆที่ช้า”
ดันเต้ได้ยินก็กำลังจะหันไปว่า แต่เมื่อเห็นเห็นสีหน้านิ่งๆที่แฝงบรรยากาศซึมๆอย่างบอกไม่ถูกของชายหนุ่มผมสีแดงอมส้มเขาก็ถอนหายใจออกมา
เล่นซะด่าไม่ลงเลย
เขาคิดในใจก่อนจะบอกออกไปว่า
“อือ ช่างมันเถอะครับ ว่าแต่ มีแค่นี้สินะครับ”
“ครับ คุณเฟยเฟิ่งเป็นมือเปียโน คุณสเลย์มือไวโอลิน ส่วนผมจะเล่นกีตาร์ให้ครับ”
ชายหนุ่มพูดนิ่งๆแม้ว่าจริงๆเขาจะไม่ใช่มือกีตาร์ แต่เกวนนิสก็เล่นได้เกือบทุกอย่าง ดันเต้พยักหน้าเบาๆก่อนจะบอกว่าให้คุยเรื่องกับประธานชมรมให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไปด้านนอกอาคาร
“เพรทเซล เธอคุยนะ ฉันขอไปเปลี่ยนกางเกงหน่อย ตัวนี้ขยับยาก”
มิคุริโอผู้เป็นประธานชมรมพูดหลังดันเต้เดินออกจากอาคารไป
“อ๊ะ ได้ๆ รีบไปรีบมานะ”
เพรทเซลตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปคุยกับเกวนนิสเธอยิ้มก่อนจะยื่นมือขวาให้กับเขาตามมารยาทพร้อมพูดเสียงใส
“ฉันเพรทเซลนะ เป็นนักแสดงนำเรื่องนี้ มีอะไรบอกได้หมดนะคะ”
“ผมเกวนนิสครับ เรื่องคิวผมพอจะดูมาก่อนบ้างแล้ว”
เกวนนิสตอบโดยเมินมือที่หญิงสาวยื่นมาให้ ทำให้เพรทเซลถึงกับเหงื่อตกเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก แต่ด้วยงานเธอจึงพยายามคุยต่อแม้ว่าท่าทางนิ่งเย็นเกินเหตุของอีกฝ่ายจะทำให้เธอแอบอึดอัดก็ตาม ทั้งคู่คุยเรื่องคิวของเพลงที่จะขึ้นและฉากต่างๆในละครเรื่องนี้ของพวกเขาจนเรียบร้อย ก่อนที่ดันเต้จะเดินกลับเข้ามาหลังจากไปคูลดาวน์อารมณ์ของตัวเอง
“บอกไว้ก่อนนะว่าอาจารย์ดันเต้น่ะเข้มสุดๆเลย ถ้ามีอะไรพลาดต้องเริ่มใหม่ตลอด อาจจะลำบากหน่อยนะ”
หญิงสาวพูดเตือนก่อนจะรีบลงแป้งบนหน้าเล็กน้อยแล้วกลับขึ้นไปที่หลังเวทีเพื่อรอเข้าฉาก เกวนนิสผู้มีความมั่นใจในตัวเองติดลบแอบหวั่นใจเล็กน้อย ต่างกับเฟยเฟิ่งและสเลย์ที่พร้อมจะเล่นตั้งแต่ก่อนเซ็ตของแล้ว และแน่นอนว่าเฟยหลงเองก็มาด้วยเพื่อช่วยยกของและหน้าที่ของเขาต่อจากนี้คือการนอนรอเวลาผ่านไปเพราะเขานั้นเล่นดนตรีอะไรไม่ได้เลย
หลังการซ้อมเริ่มไปได้เกือบชั่วโมง เกวนนิสก็ได้รู้ว่าคำพูดของเพรทเซลนั้นไม่ใช่คำขู่ ดันเต้นั้นควบคุมการซ้อมด้วยวิธีการที่โหดไม่ใช่น้อยราวกับว่าละครเรื่องนี้จะต้องเล่นในโรงละครที่มีผู้ชมมากมาย ตอนนี้เขาเริ่มไม่แปลกใจที่ชมรมการละครจะมีถ้วยรางวัลจากการแข่งขันตั้งเรียงรายราวกับรั้วบ้าน เพราะการซ้อมที่เคร่งครัดของดันเต้นั้น หากไม่มีใจรักคงยากมี่จะยืนต่อบนเวทีแห่งนี้ แม้การพลาดเพียงเล็กน้อยเช่นพูดบทผิด หากนักแสดงไม่สามารถแก้ได้อย่างรวดเร็วด้วยไหวพริบและความสามารถแล้วทุกคนก็จะต้องเริ่มกันใหม่ทั้งฉากโดยไม่มีข้อแม้หรือเวลาพัก อย่างในตอนนี้ก็เช่นกัน
“เอเฟรน เธอจะต้องไปเรียนต่อถึงเมือง...”
ปึ้ง!
เพรทเซลในบทมารีอา นางเอกของเรื่องหันไปถามมิคุริโอแต่เธอที่ลืมชื่อเมืองนั้น และไม่สามารถนึกออกหรือแถได้ทันทำให้ดันเต้ใช้ม้วนบทในมือฟาดเก้าอี้ข้างตัวเขาเสียงดัง
“โบโกตา มารีอา คุณไม่ได้ทำการบ้านมาใช่ไหมครับ โบโกตาเป็นเมืองหลวงของโคลอมเบียไงครับ ผมบอกแล้วไงว่าคุณต้องจำชื่อเมืองทุกเมืองในเรื่องให้ได้ คุณก็เหมือนกันเอเฟรน อย่าหลุดสีหน้าลุ้นว่าอีกฝ่ายจะนึกคำออกรึเปล่าออกมาสิครับ ฉากนี้เริ่มใหม่!”
ดันเต้ตวาดเสียงแข็งทำให้ทุกคนหน้าเสียเพราะเป็นการเริ่มหนึ่งใหม่ครั้งที่2แล้วของวันนี้ มิคุริโอในบทเอเฟรน พระเอกของเรื่องเดินกลับเข้าไปหลังเวทีอีกครั้งเพื่อเติมหน้าเล็กน้อยและเตรียมกลับไปเริ่มฉากนี้ใหม่ตั้งแต่บทพูดแรก
“แหม แบบนี้ก็ทำให้คุณเฟยเฟิ่งยุ่งขึ้นเลยสิครับเนี่ย แต่ต้องไหวอยู่แล้วเนอะ”
เสียงของอาจารย์หนุ่มที่มากระทบโซนประสาทเด็กหนุ่มที่กำลังอารมณ์ไม่คงที่ราวกับเมนส์มาทำให้เขาหันหน้าไปมองดันเต้ด้วยตาขวางก่อนจะอ้าปากพูด
“ไหวกับผ...!”
แต่เมื่อสบสายตากับอาจารย์ในดวงใจที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนในทันที ใจที่เต้นแรงขึ้นทำให้ทุกอย่างดูราวกับมีแสงสว่างจากพระเจ้าทอประกายมาด้านหลัง
เชี่ย...หล่อXัด
เขาอุทานในใจโดยที่ตายังเบิกกว้าง ก่อนที่ความเห็นแก่ผู้ชายทั้งหมดในร่างกายและวิญญาณที่มีระดับยอมขายวิญญาณให้ซาตาน ก็ทำให้เด็กหนุ่มผู้มีอาการแปลกๆกับความหลงใหลใคร่รักอาจารย์พูดออกไปด้วยน้ำเสียงสดใสสุดขีด
“ไหวค่ะ! หนูน่ะพร้อมมากๆเลยค่ะ ปกติก็ตื่นเช้าอยู่แล้วด้วยไม่มีปัญหาแน่นอน! จะพยายามเต็มที่เลยค่ะ คอยดูนะคะ!!”
“อรุณสวัสดิ์ซาเคีย”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณดันเต้ วันนี้ออกไปข้างนอกหรอคะ”
“ใช่ พอดีลูกศิษย์ใกล้จะแข่งแล้วแต่เพลงยังไม่พร้อม เลยซ้อมนอกเวลาน่ะ”
“เหนื่อยหน่อยนะคะ”
หญิงสาวพูดพลางรินกาแฟลงในแก้วแล้วยื่นให้กับอาจารย์หนุ่ม ดันเต้รับแก้วกาแฟก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับลูกสาวที่รักของเขา
“ไม่เหนื่อยเท่าสมัยก่อนหรอก”
“แหม แต่คุณดันเต้ก็ยังดูตื่นเต้นทุกงานที่จะทำละครเวทีจริงๆจังๆไม่ต่างจากเมื่อก่อนนะคะ”
“ฮะๆ ก็คงงั้น”
“คุณพ่อจะไปข้างนอกวันหยุดอีกแล้วหรอคะ”
เด็กสาวที่นั่งเงียบไม่กล้าขัดบทสนทนาของผู้ใหญ่ถามขึ้นทำให้ผู้เป็นพ่อหันไปมองด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ค่ะคลาริต้า จะเป็นแบบนี้อีกประมาณสองสัปดาห์ แต่รอบนี้พ่อจะไปแค่วันเสาร์นะ วันอาทิตย์พ่อว่างให้หนูได้ทั้งวันเลย แล้วก็ไม่ได้อยู่ซ้อมจนดึกด้วย”
ดันเต้พูดเสียงอ่อนเสียงหวานกับลูกสาวเป็นประจำ เวลาเขาอยู่บ้านนั้นช่างต่างกับตอนอยู่โรงเรียนโดยสิ้นเชิง จากอาจารย์สุดเคร่งขรึมกลับกลายเป็นคุณพ่อที่แสนใจดี เขาลูบผมของเด็กสาวอย่างเบามือก่อนจะพูดต่อ
“ขากลับอยากได้อะไรไหมคะ เดี๋ยวจะซื้อมาฝาก”
“...อือ...หนูอยากได้กระดาษวาดรูปเพิ่ม แล้วก็เค้ก!”
เด็กสาวยิ้มออกมาอย่างร่าเริงทำให้ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้มตอบ
“งั้นเดี๋ยวพ่อไปแล้วนะ ไม่เกิน5โมงเย็นพ่อจะกลับมา ถ้ามีอะไรก็บอกซาเคียได้เลยนะคะ”
“อื้อ! สู้ๆนะคะ”
เด็กสาวให้กำลังใจดันเต้ก่อนออกจากบ้านเป็นประจำๆ บ้านของดันเต้นั้นแม้จะเป็นบ้านหลังใหญ่สองชั้นที่ดูดีและสวยงามทีเดียว แต่มันไม่ได้ตั้งอยู่ในย่านที่เป็นชุมชนครอบครัวเสียเท่าไรทำให้คลาริต้าที่รักของเขาไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นนัก คนสนิทของเธอส่วนมากคือแม่บ้านอย่างซาเคียและอาจารย์ที่มาสอนเธอที่บ้าน นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ดันเต้พยายามจะยกเวลาว่างของเขาทั้งหมดให้เธอแม้ว่างานของเขาจะยุ่งก็ตาม
อาจารย์หนุ่มมาถึงโรงเรียนด้วยรถของเขา ทันที่ถึงเขาก็รีบสาวเท้าไปที่อาคารอเนกประสงค์ทันทีเพราะเขาสายกว่าเวลานัดไปเล็กน้อย แต่เมื่อเขาไปถึงคนในชมรมของเขาทุกคนกลับใส่ชุดวอร์มสำหรับซ้อมตามปกติแเละกำลังซ้อมกันอยู่โดยที่ยังไม่มีเครื่องดนตรีมาเซ็ตไว้ตามที่ควรจะเป็นเลยแม้แต่น้อย ดันเต้เดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าสุดตรงกลาง เขาทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างก่อนจะเอามือกอดอกทำให้มิคุริโอที่รู้นิสัยของอาจารย์เป็นอย่างดีถึงกับกลืนน้ำลาย ก่อนจะกระซิบกับเพื่อนข้างๆว่าวันนี้พวกชมรมดนตรีคงงานเข้าเป็นแน่
เวลาผ่านไปเกือบ20นาทีชมรมดนตรีก็เอาของมาตั้งในห้องจนเรียบร้อยแต่อารมณ์จริงจังที่เริ่มไม่ดีนักก็ยากเกินกว่าจะกู้คืน อีกทั้งการมากลางคันทำให้ที่ซ้อมนำไปเกือบครึ่งชั่วโมงต้องมาเริ่มกันใหม่
“ไม่เอานะคะอาจารย์ ใจเย็นๆ”
เพรทเซลเดินลงมาจากเวทีพลางนวดบ่าของอาจารย์จากด้านหลังระหว่างรอชมรมดนตรีเช็คเสียง
“ผมคงต้องฆ่าเรย์นะทิ้งแล้วมั้ง”
“ฮะๆ เฮียดันเต้อารมณ์ไม่ดีแบบนี้ก็แย่สิครับ แต่อาจารย์เรย์นะก็เป็นคนตรงเวลามากนะ ทำไมถึงสายได้”
“อ้อ วันนี้อาจารย์เรย์นะไม่สบายหนักน่ะ เพราะงั้นชมรมก็เลยปวกเปียกกันแบบนี้”
นักเรียนชมรมการละครคุยกันทำให้ดันเต้ถอนหายใจ เขานั้นพอจะรู้นิสัยของเพื่อนร่วมงานดีว่าค่อนข้างตรงเวลาแต่การที่เธอไม่อยู่แล้วลูกศิษย์กล้าสายแบบนี้แปลว่าเธอยังไม่เด็ดขาดเท่ากับเขา ชมรมการละครนั้นซ้อมตรงเวลาทั้งช่วงกลางวันและเย็น และเมื่อมีการนัดนอกเวลา99%ของชมรมจะมาถึงก่อนอาจารย์เสมอ เพราะดันเต้ผู้เคร่งครัดอบรมเป็นอย่างดีและทุ่มเทให้กับชมรมของเขามาก
“เช็คเสียงเสร็จแล้วครับ ขอโทษจริงๆที่ช้า”
ดันเต้ได้ยินก็กำลังจะหันไปว่า แต่เมื่อเห็นเห็นสีหน้านิ่งๆที่แฝงบรรยากาศซึมๆอย่างบอกไม่ถูกของชายหนุ่มผมสีแดงอมส้มเขาก็ถอนหายใจออกมา
เล่นซะด่าไม่ลงเลย
เขาคิดในใจก่อนจะบอกออกไปว่า
“อือ ช่างมันเถอะครับ ว่าแต่ มีแค่นี้สินะครับ”
“ครับ คุณเฟยเฟิ่งเป็นมือเปียโน คุณสเลย์มือไวโอลิน ส่วนผมจะเล่นกีตาร์ให้ครับ”
ชายหนุ่มพูดนิ่งๆแม้ว่าจริงๆเขาจะไม่ใช่มือกีตาร์ แต่เกวนนิสก็เล่นได้เกือบทุกอย่าง ดันเต้พยักหน้าเบาๆก่อนจะบอกว่าให้คุยเรื่องกับประธานชมรมให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไปด้านนอกอาคาร
“เพรทเซล เธอคุยนะ ฉันขอไปเปลี่ยนกางเกงหน่อย ตัวนี้ขยับยาก”
มิคุริโอผู้เป็นประธานชมรมพูดหลังดันเต้เดินออกจากอาคารไป
“อ๊ะ ได้ๆ รีบไปรีบมานะ”
เพรทเซลตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปคุยกับเกวนนิสเธอยิ้มก่อนจะยื่นมือขวาให้กับเขาตามมารยาทพร้อมพูดเสียงใส
“ฉันเพรทเซลนะ เป็นนักแสดงนำเรื่องนี้ มีอะไรบอกได้หมดนะคะ”
“ผมเกวนนิสครับ เรื่องคิวผมพอจะดูมาก่อนบ้างแล้ว”
เกวนนิสตอบโดยเมินมือที่หญิงสาวยื่นมาให้ ทำให้เพรทเซลถึงกับเหงื่อตกเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก แต่ด้วยงานเธอจึงพยายามคุยต่อแม้ว่าท่าทางนิ่งเย็นเกินเหตุของอีกฝ่ายจะทำให้เธอแอบอึดอัดก็ตาม ทั้งคู่คุยเรื่องคิวของเพลงที่จะขึ้นและฉากต่างๆในละครเรื่องนี้ของพวกเขาจนเรียบร้อย ก่อนที่ดันเต้จะเดินกลับเข้ามาหลังจากไปคูลดาวน์อารมณ์ของตัวเอง
“บอกไว้ก่อนนะว่าอาจารย์ดันเต้น่ะเข้มสุดๆเลย ถ้ามีอะไรพลาดต้องเริ่มใหม่ตลอด อาจจะลำบากหน่อยนะ”
หญิงสาวพูดเตือนก่อนจะรีบลงแป้งบนหน้าเล็กน้อยแล้วกลับขึ้นไปที่หลังเวทีเพื่อรอเข้าฉาก เกวนนิสผู้มีความมั่นใจในตัวเองติดลบแอบหวั่นใจเล็กน้อย ต่างกับเฟยเฟิ่งและสเลย์ที่พร้อมจะเล่นตั้งแต่ก่อนเซ็ตของแล้ว และแน่นอนว่าเฟยหลงเองก็มาด้วยเพื่อช่วยยกของและหน้าที่ของเขาต่อจากนี้คือการนอนรอเวลาผ่านไปเพราะเขานั้นเล่นดนตรีอะไรไม่ได้เลย
หลังการซ้อมเริ่มไปได้เกือบชั่วโมง เกวนนิสก็ได้รู้ว่าคำพูดของเพรทเซลนั้นไม่ใช่คำขู่ ดันเต้นั้นควบคุมการซ้อมด้วยวิธีการที่โหดไม่ใช่น้อยราวกับว่าละครเรื่องนี้จะต้องเล่นในโรงละครที่มีผู้ชมมากมาย ตอนนี้เขาเริ่มไม่แปลกใจที่ชมรมการละครจะมีถ้วยรางวัลจากการแข่งขันตั้งเรียงรายราวกับรั้วบ้าน เพราะการซ้อมที่เคร่งครัดของดันเต้นั้น หากไม่มีใจรักคงยากมี่จะยืนต่อบนเวทีแห่งนี้ แม้การพลาดเพียงเล็กน้อยเช่นพูดบทผิด หากนักแสดงไม่สามารถแก้ได้อย่างรวดเร็วด้วยไหวพริบและความสามารถแล้วทุกคนก็จะต้องเริ่มกันใหม่ทั้งฉากโดยไม่มีข้อแม้หรือเวลาพัก อย่างในตอนนี้ก็เช่นกัน
“เอเฟรน เธอจะต้องไปเรียนต่อถึงเมือง...”
ปึ้ง!
เพรทเซลในบทมารีอา นางเอกของเรื่องหันไปถามมิคุริโอแต่เธอที่ลืมชื่อเมืองนั้น และไม่สามารถนึกออกหรือแถได้ทันทำให้ดันเต้ใช้ม้วนบทในมือฟาดเก้าอี้ข้างตัวเขาเสียงดัง
“โบโกตา มารีอา คุณไม่ได้ทำการบ้านมาใช่ไหมครับ โบโกตาเป็นเมืองหลวงของโคลอมเบียไงครับ ผมบอกแล้วไงว่าคุณต้องจำชื่อเมืองทุกเมืองในเรื่องให้ได้ คุณก็เหมือนกันเอเฟรน อย่าหลุดสีหน้าลุ้นว่าอีกฝ่ายจะนึกคำออกรึเปล่าออกมาสิครับ ฉากนี้เริ่มใหม่!”
ดันเต้ตวาดเสียงแข็งทำให้ทุกคนหน้าเสียเพราะเป็นการเริ่มหนึ่งใหม่ครั้งที่2แล้วของวันนี้ มิคุริโอในบทเอเฟรน พระเอกของเรื่องเดินกลับเข้าไปหลังเวทีอีกครั้งเพื่อเติมหน้าเล็กน้อยและเตรียมกลับไปเริ่มฉากนี้ใหม่ตั้งแต่บทพูดแรก
เป็นที่รู้กันดีในชมรมละครว่าดันเต้จะไม่เรียกชื่อจริงของนักแสดงระหว่างซ้อม รวมถึงเขาสามารถจำบทได้ทั้งเล่มทำให้ยากเหลือเกินที่พลาดแล้วจะเนียนไปได้ การซ้อมดำเนินมาจนถึงเวลาเที่ยง นาฬิกาข้อมือของอาจารย์หนุ่มส่งเสียงดังติ๊ดๆแต่ทุกคนก็ยังซ้อมกันแม้จะรู้ว่าสัญญาณพักดังแล้วก็ตาม แต่ก็เหมือนกับนักแสดงอาชีพที่จะไม่หยุดจนกว่าผู้กำกับจะสั่งคัท พวกเขาจะรอให้ดันเต้บอกว่าพอได้เท่านั้น
“โอเค พัก! บ่ายสองมาต่อฉากลอนดอนนะครับ”
เสียงดันเต้ดังขึ้นทำให้ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนที่มิคุริโอจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วปรบมือสามครั้งเพื่อให้ทุกคนหันไป
“ขอบคุณสำหรับช่วงเช้าครับ!”
เขาตะโกนเพื่อเป็นการปิดการซ้อมช่วงเช้าอย่างสมบูรณ์ ในการซ้อมอย่างหนักที่ต้องทุ่มทั้งแรงกายและแรงใจนั้น การขอบคุณเพื่อนร่วมงานก็เป็นสิ่งเล็กๆที่ทำให้บรรยากาศของทีมดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่นั่งพักและกำลังคิดว่าจะกินอะไรดีนั่นเองเสียงประตูของอาคารอเนกประสงค์ก็ดังขึ้นพร้อมกับอาจารย์สาวและลูกศิษย์อีกสองสามคน ในมือของพวกเขาถือถุงกระดาษบางอย่างและเอามันมาวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆเวที
“สวัสดีครับ ไม่นึกว่าอาจารย์โอยามาวันนี้ด้วย”
“พอดีช่วงนี้ทำโครงงานน่ะค่ะเลยต้องให้เด็กมาเก็บข้อมูลนอกเวลา แล้วมีลูกศิษย์บอกว่าพวกคุณซ้อมกันอยู่เลยเอาผลไม้ในสวนของชมรมมาให้ ถ้าจะปล่อยให้มันเสียก็เสียดาย”
“ขอบคุณครับ พอเป็นเรื่องพืชเรื่องผักนี่สีหน้าอาจารย์ดีเป็นพิเศษเลยนะครับ”
“ฮะๆ ก็หวังว่าเด็กๆที่โดนอาจารย์ดันเต้ทารุณกรรมจะสีหน้าดีตามฉันนะคะ”
อาจารย์ทั้งสองยืนคุยกันตามประสาเพื่อนร่วมงานที่จริงๆไม่ได้สนิทกันมากมายอะไร แต่ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันเงียบๆด้านนักเรียนของดันเต้ก็หยิบแอปเปิ้ลในถุงกระดาษออกมากัดแล้ว
“รุ่นพี่คะ ขอถ่ายรูปด้วยหน่อยสิคะ”
เด็กสาวจากชมรมพฤกษศาสตร์คนหนึ่งเดินเข้าไปหามิคุริโอ ชายหนุ่มที่กำลังซับเหงื่อจากการซ้อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าแล้วขยับไปใกล้เด็กสาวเพื่อถ่ายรูป
“เบื่อคนเนื้อหอมว่ะ”
เพื่อนผู้ชายใกล้ๆที่ไร้สาวเหลียวแลบ่นอุบอิบก่อนที่มิคุริโอจะวางแขนพาดบ่นบ่าเขา
“เอาน่า พ่อคนคุมไฟ ไปกินข้าวกันเถอะ”
“...เอ่อ ไม่ได้ว่ะ พอดีแฟนฉันทำข้าวกล่องมา นายก็รู้ ชาล็อตทำอาหารอร่อยมาก”
“อยากอยู่กับแฟนก็บอก”
“เออ แกก็ไปอยู่กับสเลย์สิฟะ ไปละ”
เพื่อนหนุ่มผู้เป็นคนคุมไฟขอตัวออกไป เขาเดินตรงไปหาแฟนสาวที่เป็นช่างแต่งหน้าของชมรมก่อนจะไปนั่งหลบมุมตรงขั้นบันไดเวทีกินข้าวด้วยกันสองคน มิคุริโอมองตามก่อนจะหันไปมองด้านเพรทเซลที่กำลังถ่ายรูปกับแฟนๆอย่างสนุกสนาน
ถ้าฉันเนื้อหอม ยัยนั่นคงระดับดาราเลยล่ะ
ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะเดินไปหาเพื่อนของตัวเอง
“ไว้แท็กรูปมาน้า! อย่าลืมมาเชียร์อีกนะคะ!”
เพรทเซลพูดไล่หลังพลางโบกมือให้กลุ่มเด็กนักเรียนที่เดินตามโอยาออกไปจากอาคาร กลุ่มเด็กสาวโบกมือกลับด้วยท่าทางเขินๆก่อนจะรีบเดินออกไป เพรทเซลเป็นลูกนักแสดงทำให้ไม่แปลกนักที่จะมีคนมาสนใจและชอบเธออยู่ไม่น้อย อีกทั้งเธอยังสนิทกันคนอื่นง่ายยิ่งทำให้มีคนเข้าหาเธอเยอะสมกับยอดคนติดตามในโลกออนไลน์เกือบ3แสนคนของเธอ
“ชมรมของมิคุริโอนี่เจ๋งไปเลยนะ! มิน่าล่ะผู้อำนวยการถึงอวยชมรมละครนักหนา”
สเลย์ที่แยกออกมานั่งในโรงอาหารกับคนในชมรมตัวเองและมิคุริโอพูดพลางกัดแซนวิชในมือ ในวันหยุดแบบนี้ไม่มีร้านอะไรเปิดนอกจากร้านสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่ในโรงอาหารเพราะร้านนี้ปกติจะเปิดทุกวันเป็นปกติอยู่แล้วทำให้พวกเขาต้องกินอาหารสำเร็จรูปกันอย่างช่วยไม่ได้
“อือ ก็นะ คนในชมรมส่วนมากก็เป็นที่รู้จักของคนในโรงเรียน แถมมีเพรทเซลที่เป็นลูกนักแสดงดังๆ กับรุ่นพี่คิมโอซูที่เป็นลูกสาวเจ้าของค่ายหนังอีก เงินสนับสนุนก็เหลือเฟือ
“โอเค พัก! บ่ายสองมาต่อฉากลอนดอนนะครับ”
เสียงดันเต้ดังขึ้นทำให้ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนที่มิคุริโอจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วปรบมือสามครั้งเพื่อให้ทุกคนหันไป
“ขอบคุณสำหรับช่วงเช้าครับ!”
เขาตะโกนเพื่อเป็นการปิดการซ้อมช่วงเช้าอย่างสมบูรณ์ ในการซ้อมอย่างหนักที่ต้องทุ่มทั้งแรงกายและแรงใจนั้น การขอบคุณเพื่อนร่วมงานก็เป็นสิ่งเล็กๆที่ทำให้บรรยากาศของทีมดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่นั่งพักและกำลังคิดว่าจะกินอะไรดีนั่นเองเสียงประตูของอาคารอเนกประสงค์ก็ดังขึ้นพร้อมกับอาจารย์สาวและลูกศิษย์อีกสองสามคน ในมือของพวกเขาถือถุงกระดาษบางอย่างและเอามันมาวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆเวที
“สวัสดีครับ ไม่นึกว่าอาจารย์โอยามาวันนี้ด้วย”
“พอดีช่วงนี้ทำโครงงานน่ะค่ะเลยต้องให้เด็กมาเก็บข้อมูลนอกเวลา แล้วมีลูกศิษย์บอกว่าพวกคุณซ้อมกันอยู่เลยเอาผลไม้ในสวนของชมรมมาให้ ถ้าจะปล่อยให้มันเสียก็เสียดาย”
“ขอบคุณครับ พอเป็นเรื่องพืชเรื่องผักนี่สีหน้าอาจารย์ดีเป็นพิเศษเลยนะครับ”
“ฮะๆ ก็หวังว่าเด็กๆที่โดนอาจารย์ดันเต้ทารุณกรรมจะสีหน้าดีตามฉันนะคะ”
อาจารย์ทั้งสองยืนคุยกันตามประสาเพื่อนร่วมงานที่จริงๆไม่ได้สนิทกันมากมายอะไร แต่ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันเงียบๆด้านนักเรียนของดันเต้ก็หยิบแอปเปิ้ลในถุงกระดาษออกมากัดแล้ว
“รุ่นพี่คะ ขอถ่ายรูปด้วยหน่อยสิคะ”
เด็กสาวจากชมรมพฤกษศาสตร์คนหนึ่งเดินเข้าไปหามิคุริโอ ชายหนุ่มที่กำลังซับเหงื่อจากการซ้อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าแล้วขยับไปใกล้เด็กสาวเพื่อถ่ายรูป
“เบื่อคนเนื้อหอมว่ะ”
เพื่อนผู้ชายใกล้ๆที่ไร้สาวเหลียวแลบ่นอุบอิบก่อนที่มิคุริโอจะวางแขนพาดบ่นบ่าเขา
“เอาน่า พ่อคนคุมไฟ ไปกินข้าวกันเถอะ”
“...เอ่อ ไม่ได้ว่ะ พอดีแฟนฉันทำข้าวกล่องมา นายก็รู้ ชาล็อตทำอาหารอร่อยมาก”
“อยากอยู่กับแฟนก็บอก”
“เออ แกก็ไปอยู่กับสเลย์สิฟะ ไปละ”
เพื่อนหนุ่มผู้เป็นคนคุมไฟขอตัวออกไป เขาเดินตรงไปหาแฟนสาวที่เป็นช่างแต่งหน้าของชมรมก่อนจะไปนั่งหลบมุมตรงขั้นบันไดเวทีกินข้าวด้วยกันสองคน มิคุริโอมองตามก่อนจะหันไปมองด้านเพรทเซลที่กำลังถ่ายรูปกับแฟนๆอย่างสนุกสนาน
ถ้าฉันเนื้อหอม ยัยนั่นคงระดับดาราเลยล่ะ
ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะเดินไปหาเพื่อนของตัวเอง
“ไว้แท็กรูปมาน้า! อย่าลืมมาเชียร์อีกนะคะ!”
เพรทเซลพูดไล่หลังพลางโบกมือให้กลุ่มเด็กนักเรียนที่เดินตามโอยาออกไปจากอาคาร กลุ่มเด็กสาวโบกมือกลับด้วยท่าทางเขินๆก่อนจะรีบเดินออกไป เพรทเซลเป็นลูกนักแสดงทำให้ไม่แปลกนักที่จะมีคนมาสนใจและชอบเธออยู่ไม่น้อย อีกทั้งเธอยังสนิทกันคนอื่นง่ายยิ่งทำให้มีคนเข้าหาเธอเยอะสมกับยอดคนติดตามในโลกออนไลน์เกือบ3แสนคนของเธอ
“ชมรมของมิคุริโอนี่เจ๋งไปเลยนะ! มิน่าล่ะผู้อำนวยการถึงอวยชมรมละครนักหนา”
สเลย์ที่แยกออกมานั่งในโรงอาหารกับคนในชมรมตัวเองและมิคุริโอพูดพลางกัดแซนวิชในมือ ในวันหยุดแบบนี้ไม่มีร้านอะไรเปิดนอกจากร้านสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่ในโรงอาหารเพราะร้านนี้ปกติจะเปิดทุกวันเป็นปกติอยู่แล้วทำให้พวกเขาต้องกินอาหารสำเร็จรูปกันอย่างช่วยไม่ได้
“อือ ก็นะ คนในชมรมส่วนมากก็เป็นที่รู้จักของคนในโรงเรียน แถมมีเพรทเซลที่เป็นลูกนักแสดงดังๆ กับรุ่นพี่คิมโอซูที่เป็นลูกสาวเจ้าของค่ายหนังอีก เงินสนับสนุนก็เหลือเฟือ
อาจารย์อย่างเฮียดันเต้ก็เคยเป็นทั้งนักแสดงละครเวทีชื่อดังกับคนเขียนบทละครอีก ไม่แปลกหรอกที่จะเป็นชมรมโปรดของผอ. พวกสูงๆก็ต้องชอบเอาหน้าหน่อย”
มิคุริโอพูดด้วยท่าทางนิ่งๆแต่เฟยเฟิ่งกลับดูสนใจขึ้นมา
“อาจารย์ดันเต้เคยเป็นนักแสดงหรอคะ?!”
“หืม? อ้อ อือ เป็นนักแสดงละครเวทีอาชีพเลยล่ะ ถ้าสัก5-6ปีที่แล้วช่วงพีคๆเรียกว่ามีละครเวทีในปีหนึ่งที่เขาเล่นเกือบ5เรื่องเลยล่ะ พ่อฉันน่ะเคยพาไปดูตอนเด็กๆ ตอนนั้นเฮียดันเต้ยังเป็นพระเอกหนุ่มไฟแรงอยู่เลย”
“ตอนนั้นฉันก็ไปดูด้วยนะ! สมัยประถมเลยล่ะ น้าโรเลน พ่อของมิคุริโอน่ะชอบพวกเดอะ มิวสิคคัลมากเลยนี่นา”
สเลย์พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“มีแผ่นบันทึกกรแสดงสดด้วยนะ เฟยเฟิ่งอยากดูไหมล่ะเดี๋ยวไปยืมน้ามาให้”
“จริงหรอคะ?! เอาสิคะ”
“ฮะๆๆ เฟยเฟิ่งชอบละครเวทีน่าดูเลยนะ”
สเลย์พูดพลางลูบผมสีน้ำตาลอ่อนของรุ่นน้องหนุ่มอย่างเอ็นดู
“ฉันว่าชอบคนสอนละครซะมากกว่า”
มิคุริโอยิ้มกวนๆทำให้เฟยเฟิ่งหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร
“พี่จะไม่ช่วยแก้ให้ฉันหน่อยหรอ”
เฟยเฟิ่งพูดขึ้นก่อนที่ทั้งสามจะหันไปมองเฟยหลง แต่ชายหนุ่มกลับฟุบลงไปกับโต๊ะและหลับสนิทราวกับไม่อยากฟังอะไรรอบข้างแล้วในตอนนี้
“เฟยเฟิ่งชอบอาจารย์ดันเต้หรอ ทำไมล่ะ”
สเลย์พูดต่อเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจก่อนที่เฟยเฟิ่งจะตบกะโหลกพี่ชายตัวเอง
“อือ...ไม่รู้สิคะ แต่แบบว่าตอนเจอเขาครั้งแรกก็รู้สึกใจเต้นสุดๆเลยล่ะค่ะ! ต้องเป็นคู่แห่งโชคชะตาแน่ๆเลยล่ะค่ะ!”
เด็กหนุ่มในคราบเด็กสาวแสดงอาการมุ่งมั่นชัดเจนจนรุ่นพี่ทั้งสองถึงกับเหงื่อตกและแอบนินทรุ่นน้องในใจ
มันต้องเป็นเอฟเฟคของเฟยเฟิ่งจากการอ่านมังงะรักใสๆสไตล์จับจารย์ทำผัวเยอะไปแน่ๆ
มิคุริโอคิดในใจพลางมองหน้าสเลย์
นี่เฟยเฟิ่งเป็นนางเอกมังงะตาหวานที่เปลี่ยนจากชอบอาจารย์ภาษาอังกฤษหรือศิลปะเป็นอาจารย์ประวัติศาสตร์สินะ?!
สเลย์คิดไม่ต่างกันก่อนที่ทั้งสองจะหันหน้าเบนออกไม่มองรุ่นน้องสาวและกินมื้อกลางวันของตัวเองต่อ เฟยเฟิ่งที่เห็นทุกคนเริ่มแสดงอาการรู้สึกว่าเธอเพ้อเจ้อจึงเริ่มเกิดอาการงอนและประชดด้วยการเดินออกจากโต๊ะไป เด็กหนุ่มเดินไปตามทางเรื่อยเปื่อยพลางคิดในใจ
ชิ พวกผู้ชายเนี่ยไม่สนใจความรู้สึกอ่อนไหวของสาวน้อยเอาซะเลย
ชายหนุ่มคิดในใจโดยไม่สำเนียกว่าตัวเองก็เป็นผู้ชายเช่นกัน เขาเดินไปเรื่อยๆจนถึงลานจอดรถ และที่นั่นเขาก็สังเกตเห็นอาจารย์หนุ่มนั่งอยู่ในรถของตัวเองและกำลังทำอะไรบางอย่าง
ดันเต้วางโทรศัพท์ของตัวเองไว้ที่ที่วางโทรศัพท์เหนือเครื่องเล่นเพลงของรถ เขากำลังโทรหาลูกสาวในช่วงเวลาพักเช่นทุกวัน อาจารย์เปิดการคุยผ่านวีดีโอและมองหน้าจอด้วยรอยยิ้มเอ็นดู เสียงใสๆของเด็กหญิงที่แล่นผ่านสายหูฟังทำให้เขาแทบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แม้ว่าเฟยเฟิ่งจะแอบมองพฤติกรรมของเขาด้วยแววตาสนใจสุดขีดก็ตาม และด้วยความสนใจ สุดท้ายเด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปที่รถและเรียกอาจารย์ของตน
“อาจารย์ดันเต้ทำอะไรอยู่หรอคะ”
อาจารย์หนุ่มยิ้มก่อนจะเอานิ้วแตะริมฝีปากของเด็กหนุ่มเบาๆแล้วพูดใส่ไมค์ของหูฟัง
“แค่นี้ก่อนนะคะคนดี พอดีต้องทำงานแล้ว”
ดันเต้พูดพลางยิ้มให้หน้าจอแล้วกดตัดสายไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เฟยเฟิ่งจะได้มองเห็นคนในจอ เขาดึงหูฟังของตัวเองออกก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่ม
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ ผมฟังไม่ถนัดเลย”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อาจารย์ทานข้าวรึยังคะ”
“อ้อ ยังเลยครับ เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมง ว่าจะไปหาอะไรทานข้างนอกกับอาจารย์คนอื่นน่ะครับ แต่รอเขามารับอยู่ แล้วคุณเฟยเฟิ่งล่ะครับ ทานอะไรรึยัง”
“อ๊ะ ยังเลยค่ะ!”
คำถามของอาจารย์หนุ่มทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่าลืมกินขนมปังที่ซื้อมาไว้ที่โต๊ะในโรงอาหารและคิดว่าเฟยหลงคงจะกินหมดไม่เหลือแล้วแน่ๆ แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดอะไรต่ออาจารย์หนุ่มก็เปิดประตูลงมาจากรถแล้ววางมือลงบนผมของเขา
“งั้นไปกินด้วยกันไหมครับ”
“...จะดีหรอคะ”
“ดีสิ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เดี๋ยวไปกับผู้อำนวยการ ไม่ได้มีแต่ผู้ชายหรอกครับ”
“งะ...งั้นหรอคะ งั้นก็ได้ค่ะ”
เฟยเฟิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม เขาก็ดีใจที่ถูกชวนแต่ในใจก็แอบกังวลเล็กน้อยในเรื่องที่อาจารย์ยังคิดว่าเขายังเป็นผู้หญิงอยู่
“เฮ้ย ดันเต้ อย่าชักช้าสิ!”
เสียงของหญิงสาวที่ดูเหมือนจะอารมณ์เสียเล็กน้อยดังขึ้นจากด้านหลังของเฟยเฟิ่งทำให้เขาหันไปมอง หญิงสาวผมสีฟ้าวางแขนลงบนช่องหน้าต่างของรถ ใบหน้าที่เด็กกว่าอายุอย่างมากเพราะหมดเงินไปกับหมอไม่น้อย และการแต่งหน้าแรงๆอย่างการทาลิปสติกสีฟ้าทำให้เธอแทบไม่มีคราบบุคลากรทางราชการ ดันเต้ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะดันไหล่ของลูกศิษย์ที่ยังประหม่าไปทางรถ
“ฮาวาย เอาเด็กฉันไปด้วยได้ไหม”
“...เออ เรื่องของมึงเถอะค่ะ”
ฮาวายพูดพร้อมมองเฟยเฟิ่งแบบไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า อาจารย์หนุ่มที่ชินกับนิสัยเพื่อนร่วมงานคนนี้มานานแล้วถอนหายใจเล็กน้อยก่อนเปิดประตูรถให้เฟยเฟิ่ง เด็กหนุ่มขึ้นไปนั่งอย่างเกร็งๆก่อนที่ดันเต้จะเข้าไปนั่งข้างคนขับคู่กับฮาวาย ผู้อำนวยการสาวแอบเหล่มองเฟยเฟิ่งผ่านกระจกหลังเล็กน้อยก่อนจะขับรถออกไปแล้วเหยียบแทบมิดไมล์แบบไม่แคร์จราจรตามปกติ สายตาที่หญิงสาวัยกลางคนมองเพื่อนร่วมงานหนุ่มในความคิดของเฟยเฟิ่งนั้นราวกับเจ้านายจิกหัวทาส แต่ที่หนักกว่าคือเธอมองเฟยเฟิ่งราวกับกระป๋องที่เธออยากจะแตะออกไปให้พ้นทาง
“นายสนใจเด็กนี่สินะ”
ฮาวายเปิดฉากการคุยระหว่างนั่งรถด้วยคำถามที่ตรงจนเฟยเฟิ่งรู้สึกหวั่นใจ
“ใช่”
แต่คนให้คำตอบดูเหมือนจะน่ากลัวกว่าคนถาม
“ฉันชอบ ตาสวย ฉัน...อยากให้เป็นนางเอกเรื่องหน้าแทนเพรทเซล”
ดันเต้พูดตรงๆด้วยรอยยิ้ม เขากับฮาวายนั้นคุยกันโดยไม่แม้จะมองมาดูสีหน้าของคนที่นั่งเบาะหลัง
เชี่ย! นี่เขาเห็นว่าเรานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ไหมเนี่ย แถมคิดอะไรจะให้ไปแทนบทรุ่นพี่เนี่ยนะ
เฟยเฟิ่งคิดในใจ มือของเขาที่วางบนตักนั้นกำกระโปรงแน่นและไม่รู้ว่าควรจะวางตัวยังไง
“อ้อ ดันเต้ชอบเด็กผู้หญิงสไตล์นี้สินะ ไม้กระดาน”
ฮาวายพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายในสายตาเฟยเฟิ่งอย่างบอกไม่ถูก แต่หญิงสาวที่ว่าแรงแล้วก็ยังสู้ดันเต้ตอนเปิดใจพูดไม่ได้
“เปล่าครับ ผมชอบแบบไม่ใส่ซิลิโคนเฉยๆ”
“อื้อ ปากไม่ลดละจากวงเหล้าเลยนะ”
“ท่านก็หยาบคายไม่แพ้ตอนเมาเลยนะครับ”
“อย่ามาประชดด้วยคำสุภาพนะยะหัวหงอก”
“อย่าเหวี่ยงสิครับ เดี๋ยวโบท็อกซ์ที่ฉีดมาจะไม่มีผลเอานะ”
“ไอ้พวกกินเหล้าแล้วแซวสาวไปทั่วน่ะหุบปากไปเลย”
“ฮะๆ ผมก็แซวสาวที่อายุยังไม่เฉียดเลข4เท่านั้นแหละครับ”
ระหว่างที่อาจารย์ทั้งสองกำลังทำตัวทำลายภาพพจน์ของตัวอยู่นั้น ก็มีเสียงที่ดังกว่าเกิดขึ้นในใจของเด็กหนุ่ม ณ เบาะหนัง
นี่อาจารย์ยังมองเห็นหนูไหมคะเนี่ย?! นี่กะจะด่าใส่กันแบบแฉหมดเลยรึไงคะ ฉันอยู่ตรงนี้นะ!
“รู้แล้วน่า ฉันไม่ลืมเธอหรอกสาวน้อย”
ฮาวายพูดขึ้นทำให้เฟยเฟิ่งถึงกับสะดุ้ง
อะ...อะไรน่ะ พวกอ่านใจหรอ เวรแล้ว
“ฉันก็แค่อยากเป็นตัวของฉันเองทุกเวลาเท่านั้นเอง ฉันไม่เหมือนดันเต้หรอกนะที่ชอบเก๊กน่ะ”
คำพูดของฮาวายทำให้เฟยเฟิ่งหงุดหงิดขึ้นมา ไม่ใช่เพราะการเหน็บแนมคนข้างๆแต่เป็นทำตัวไม่สมกับอายุและตำแหน่งที่ได้รับ เด็กหนุ่มมีสีหน้าขึ้นมาอย่างลืมตัวก่อนจะพูดสิ่งที่ไม่มีใครในรถคาดไว้ออกไป
“เรื่องอยากเป็นตัวเองน่ะก็เข้าใจนะคะ แต่บางทีมันก็เป็นการไม่รู้กาลเทศะเกินไปรึเปล่า คนทำงานเกี่ยวกับการศึกษาก็ควรจะสำนึกในหน้าที่กับจรรยาบรรณของตัวเองบ้างนะคะ”
คำพูดของเฟยเฟิ่งทำให้อาจารย์ทั้งสองถึงกับชะงัก ก่อนที่ฮาวายจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“ฮะๆ ฮ่าๆๆ! ฉันเข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจแล้วดันเต้ว่าทำไมถึงอยากให้ยัยนี่มาด้วย เพื่อเจอฉันอย่างนั้นหรอ นายนี่มันร้ายจริงๆ”
ฮาวายพูดออกมาด้วยท่าทางอารมณ์ดีก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเสยผมตัวเองขึ้นเล็กน้อย
“ฉันชอบเธอ! สาวน้อย ฉันถูกใจเธอจริงๆ เธอจะต้องมาทำงานให้ฉันตั้งแต่จันทร์หน้าห้ามปฏิเสธ”
“ทำไมฉันต้องทำล่ะคะ”
“...ทำไม? เพราะฉันสั่ง! ฉันจำข้อมูลทุกอย่างของเธอได้ ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากให้ใครรู้อะไร เพราะอะไร หรือแม้แต่เธอรู้สึกยังไงฉันก็รู้ เพราะงั้นเธอห้ามปฏิเสธฉัน เฟยเฟิ่ง จิว ตั้งแต่นี้เธอต้องมาเป็นทาสในห้องทำงานฉัน!”
เฟยเฟิ่งผู้ยังเก่งเมื่อ20วินาทีก่อนตอนนี้ได้สำเนียกแล้วว่าหมาป่าได้งับขาของแกะน้อยจนหักแล้วลากไปเป็นของเล่นในถ้ำของมันแล้ว
หลังกินข้าวเสร็จฮาวายก็มาส่งทั้งสองคนที่หน้าอาคารอเนกประสงค์ก่อนจะลดกระจกลง
“เฟยเฟิ่ง อย่าลืมมาหาฉันวันจันทร์ หกโมงเช้า”
“...อย่ามาสายเองแล้วกันนะคะ”
เด็กหนุ่มมองผู้อำนวยการสาวที่มีรอยยิ้มแปลกๆด้วยสีหน้าแข็งๆก่อนที่ฮาวายจะขับรถออกไป
ชิบหายๆๆๆ! อุตส่าห์เก๊กไม่คิดอะไรในใจตั้งแต่กินข้าวยันนั่งรถกลับ แถมไปปากดีใส่เขาอีก ฉันยังไม่เคยตื่นก่อน7โมงเลยนะเฮ้ย! เอาจริงหรอ?! นั่นผู้อำนวยการเลยนะ หล่อนไปต่อปากต่อคำเขาได้ยังไง?!! นั่นมันสายตาของนักล่าชัดๆ เกรด คะแนนประพฤติ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตโรงเรียนของฉันอยู่ในมือของยัยผอ.อวดดีสติไม่เต็มนั่นเลยนะเฮ้ย
เฟยเฟิ่งคิดในใจอย่างหงุดหงิดโดยไม่รู้ตัวเลยว่าถ้ายังอยู่ในรัศมี2กิโลเมตร ฮาวายก็ยังได้ยินเธออยู่ ทั้งยังมีรอยยิ้มราวกับเด็กเล็กๆที่กำลังจะได้ของเล่นใหม่ ผู้อำนวยการสาวกดโทรศัพท์ก่อนที่เสียงอ่อนหวานของเด็กสาวจะดังมาจากอีกฝั่งของสาย
“เวโรนิก้า ฉันมีเด็กน่ารักๆคนหนึ่งจะให้ช่วยดูแลให้หน่อย อย่าให้มีไอ้อันธพาลขยะตัวไหนในโรงเรียนมาแตะต้องล่ะ”
ฮาวายพูดด้วยรอยยิ้มก่อนที่ปลายสายจะถามถึงเหตุผลของงานที่เธอสั่ง
“...เด็กนั่นเหมือนคนสำคัญของฉันอย่างกับแกะ ฉันชอบ และฉันไม่ต้องกาให้ใครมาแตะต้อง"
มิคุริโอพูดด้วยท่าทางนิ่งๆแต่เฟยเฟิ่งกลับดูสนใจขึ้นมา
“อาจารย์ดันเต้เคยเป็นนักแสดงหรอคะ?!”
“หืม? อ้อ อือ เป็นนักแสดงละครเวทีอาชีพเลยล่ะ ถ้าสัก5-6ปีที่แล้วช่วงพีคๆเรียกว่ามีละครเวทีในปีหนึ่งที่เขาเล่นเกือบ5เรื่องเลยล่ะ พ่อฉันน่ะเคยพาไปดูตอนเด็กๆ ตอนนั้นเฮียดันเต้ยังเป็นพระเอกหนุ่มไฟแรงอยู่เลย”
“ตอนนั้นฉันก็ไปดูด้วยนะ! สมัยประถมเลยล่ะ น้าโรเลน พ่อของมิคุริโอน่ะชอบพวกเดอะ มิวสิคคัลมากเลยนี่นา”
สเลย์พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“มีแผ่นบันทึกกรแสดงสดด้วยนะ เฟยเฟิ่งอยากดูไหมล่ะเดี๋ยวไปยืมน้ามาให้”
“จริงหรอคะ?! เอาสิคะ”
“ฮะๆๆ เฟยเฟิ่งชอบละครเวทีน่าดูเลยนะ”
สเลย์พูดพลางลูบผมสีน้ำตาลอ่อนของรุ่นน้องหนุ่มอย่างเอ็นดู
“ฉันว่าชอบคนสอนละครซะมากกว่า”
มิคุริโอยิ้มกวนๆทำให้เฟยเฟิ่งหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร
“พี่จะไม่ช่วยแก้ให้ฉันหน่อยหรอ”
เฟยเฟิ่งพูดขึ้นก่อนที่ทั้งสามจะหันไปมองเฟยหลง แต่ชายหนุ่มกลับฟุบลงไปกับโต๊ะและหลับสนิทราวกับไม่อยากฟังอะไรรอบข้างแล้วในตอนนี้
“เฟยเฟิ่งชอบอาจารย์ดันเต้หรอ ทำไมล่ะ”
สเลย์พูดต่อเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจก่อนที่เฟยเฟิ่งจะตบกะโหลกพี่ชายตัวเอง
“อือ...ไม่รู้สิคะ แต่แบบว่าตอนเจอเขาครั้งแรกก็รู้สึกใจเต้นสุดๆเลยล่ะค่ะ! ต้องเป็นคู่แห่งโชคชะตาแน่ๆเลยล่ะค่ะ!”
เด็กหนุ่มในคราบเด็กสาวแสดงอาการมุ่งมั่นชัดเจนจนรุ่นพี่ทั้งสองถึงกับเหงื่อตกและแอบนินทรุ่นน้องในใจ
มันต้องเป็นเอฟเฟคของเฟยเฟิ่งจากการอ่านมังงะรักใสๆสไตล์จับจารย์ทำผัวเยอะไปแน่ๆ
มิคุริโอคิดในใจพลางมองหน้าสเลย์
นี่เฟยเฟิ่งเป็นนางเอกมังงะตาหวานที่เปลี่ยนจากชอบอาจารย์ภาษาอังกฤษหรือศิลปะเป็นอาจารย์ประวัติศาสตร์สินะ?!
สเลย์คิดไม่ต่างกันก่อนที่ทั้งสองจะหันหน้าเบนออกไม่มองรุ่นน้องสาวและกินมื้อกลางวันของตัวเองต่อ เฟยเฟิ่งที่เห็นทุกคนเริ่มแสดงอาการรู้สึกว่าเธอเพ้อเจ้อจึงเริ่มเกิดอาการงอนและประชดด้วยการเดินออกจากโต๊ะไป เด็กหนุ่มเดินไปตามทางเรื่อยเปื่อยพลางคิดในใจ
ชิ พวกผู้ชายเนี่ยไม่สนใจความรู้สึกอ่อนไหวของสาวน้อยเอาซะเลย
ชายหนุ่มคิดในใจโดยไม่สำเนียกว่าตัวเองก็เป็นผู้ชายเช่นกัน เขาเดินไปเรื่อยๆจนถึงลานจอดรถ และที่นั่นเขาก็สังเกตเห็นอาจารย์หนุ่มนั่งอยู่ในรถของตัวเองและกำลังทำอะไรบางอย่าง
ดันเต้วางโทรศัพท์ของตัวเองไว้ที่ที่วางโทรศัพท์เหนือเครื่องเล่นเพลงของรถ เขากำลังโทรหาลูกสาวในช่วงเวลาพักเช่นทุกวัน อาจารย์เปิดการคุยผ่านวีดีโอและมองหน้าจอด้วยรอยยิ้มเอ็นดู เสียงใสๆของเด็กหญิงที่แล่นผ่านสายหูฟังทำให้เขาแทบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แม้ว่าเฟยเฟิ่งจะแอบมองพฤติกรรมของเขาด้วยแววตาสนใจสุดขีดก็ตาม และด้วยความสนใจ สุดท้ายเด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปที่รถและเรียกอาจารย์ของตน
“อาจารย์ดันเต้ทำอะไรอยู่หรอคะ”
อาจารย์หนุ่มยิ้มก่อนจะเอานิ้วแตะริมฝีปากของเด็กหนุ่มเบาๆแล้วพูดใส่ไมค์ของหูฟัง
“แค่นี้ก่อนนะคะคนดี พอดีต้องทำงานแล้ว”
ดันเต้พูดพลางยิ้มให้หน้าจอแล้วกดตัดสายไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เฟยเฟิ่งจะได้มองเห็นคนในจอ เขาดึงหูฟังของตัวเองออกก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่ม
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ ผมฟังไม่ถนัดเลย”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อาจารย์ทานข้าวรึยังคะ”
“อ้อ ยังเลยครับ เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมง ว่าจะไปหาอะไรทานข้างนอกกับอาจารย์คนอื่นน่ะครับ แต่รอเขามารับอยู่ แล้วคุณเฟยเฟิ่งล่ะครับ ทานอะไรรึยัง”
“อ๊ะ ยังเลยค่ะ!”
คำถามของอาจารย์หนุ่มทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่าลืมกินขนมปังที่ซื้อมาไว้ที่โต๊ะในโรงอาหารและคิดว่าเฟยหลงคงจะกินหมดไม่เหลือแล้วแน่ๆ แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดอะไรต่ออาจารย์หนุ่มก็เปิดประตูลงมาจากรถแล้ววางมือลงบนผมของเขา
“งั้นไปกินด้วยกันไหมครับ”
“...จะดีหรอคะ”
“ดีสิ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เดี๋ยวไปกับผู้อำนวยการ ไม่ได้มีแต่ผู้ชายหรอกครับ”
“งะ...งั้นหรอคะ งั้นก็ได้ค่ะ”
เฟยเฟิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม เขาก็ดีใจที่ถูกชวนแต่ในใจก็แอบกังวลเล็กน้อยในเรื่องที่อาจารย์ยังคิดว่าเขายังเป็นผู้หญิงอยู่
“เฮ้ย ดันเต้ อย่าชักช้าสิ!”
เสียงของหญิงสาวที่ดูเหมือนจะอารมณ์เสียเล็กน้อยดังขึ้นจากด้านหลังของเฟยเฟิ่งทำให้เขาหันไปมอง หญิงสาวผมสีฟ้าวางแขนลงบนช่องหน้าต่างของรถ ใบหน้าที่เด็กกว่าอายุอย่างมากเพราะหมดเงินไปกับหมอไม่น้อย และการแต่งหน้าแรงๆอย่างการทาลิปสติกสีฟ้าทำให้เธอแทบไม่มีคราบบุคลากรทางราชการ ดันเต้ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะดันไหล่ของลูกศิษย์ที่ยังประหม่าไปทางรถ
“ฮาวาย เอาเด็กฉันไปด้วยได้ไหม”
“...เออ เรื่องของมึงเถอะค่ะ”
ฮาวายพูดพร้อมมองเฟยเฟิ่งแบบไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า อาจารย์หนุ่มที่ชินกับนิสัยเพื่อนร่วมงานคนนี้มานานแล้วถอนหายใจเล็กน้อยก่อนเปิดประตูรถให้เฟยเฟิ่ง เด็กหนุ่มขึ้นไปนั่งอย่างเกร็งๆก่อนที่ดันเต้จะเข้าไปนั่งข้างคนขับคู่กับฮาวาย ผู้อำนวยการสาวแอบเหล่มองเฟยเฟิ่งผ่านกระจกหลังเล็กน้อยก่อนจะขับรถออกไปแล้วเหยียบแทบมิดไมล์แบบไม่แคร์จราจรตามปกติ สายตาที่หญิงสาวัยกลางคนมองเพื่อนร่วมงานหนุ่มในความคิดของเฟยเฟิ่งนั้นราวกับเจ้านายจิกหัวทาส แต่ที่หนักกว่าคือเธอมองเฟยเฟิ่งราวกับกระป๋องที่เธออยากจะแตะออกไปให้พ้นทาง
“นายสนใจเด็กนี่สินะ”
ฮาวายเปิดฉากการคุยระหว่างนั่งรถด้วยคำถามที่ตรงจนเฟยเฟิ่งรู้สึกหวั่นใจ
“ใช่”
แต่คนให้คำตอบดูเหมือนจะน่ากลัวกว่าคนถาม
“ฉันชอบ ตาสวย ฉัน...อยากให้เป็นนางเอกเรื่องหน้าแทนเพรทเซล”
ดันเต้พูดตรงๆด้วยรอยยิ้ม เขากับฮาวายนั้นคุยกันโดยไม่แม้จะมองมาดูสีหน้าของคนที่นั่งเบาะหลัง
เชี่ย! นี่เขาเห็นว่าเรานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ไหมเนี่ย แถมคิดอะไรจะให้ไปแทนบทรุ่นพี่เนี่ยนะ
เฟยเฟิ่งคิดในใจ มือของเขาที่วางบนตักนั้นกำกระโปรงแน่นและไม่รู้ว่าควรจะวางตัวยังไง
“อ้อ ดันเต้ชอบเด็กผู้หญิงสไตล์นี้สินะ ไม้กระดาน”
ฮาวายพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายในสายตาเฟยเฟิ่งอย่างบอกไม่ถูก แต่หญิงสาวที่ว่าแรงแล้วก็ยังสู้ดันเต้ตอนเปิดใจพูดไม่ได้
“เปล่าครับ ผมชอบแบบไม่ใส่ซิลิโคนเฉยๆ”
“อื้อ ปากไม่ลดละจากวงเหล้าเลยนะ”
“ท่านก็หยาบคายไม่แพ้ตอนเมาเลยนะครับ”
“อย่ามาประชดด้วยคำสุภาพนะยะหัวหงอก”
“อย่าเหวี่ยงสิครับ เดี๋ยวโบท็อกซ์ที่ฉีดมาจะไม่มีผลเอานะ”
“ไอ้พวกกินเหล้าแล้วแซวสาวไปทั่วน่ะหุบปากไปเลย”
“ฮะๆ ผมก็แซวสาวที่อายุยังไม่เฉียดเลข4เท่านั้นแหละครับ”
ระหว่างที่อาจารย์ทั้งสองกำลังทำตัวทำลายภาพพจน์ของตัวอยู่นั้น ก็มีเสียงที่ดังกว่าเกิดขึ้นในใจของเด็กหนุ่ม ณ เบาะหนัง
นี่อาจารย์ยังมองเห็นหนูไหมคะเนี่ย?! นี่กะจะด่าใส่กันแบบแฉหมดเลยรึไงคะ ฉันอยู่ตรงนี้นะ!
“รู้แล้วน่า ฉันไม่ลืมเธอหรอกสาวน้อย”
ฮาวายพูดขึ้นทำให้เฟยเฟิ่งถึงกับสะดุ้ง
อะ...อะไรน่ะ พวกอ่านใจหรอ เวรแล้ว
“ฉันก็แค่อยากเป็นตัวของฉันเองทุกเวลาเท่านั้นเอง ฉันไม่เหมือนดันเต้หรอกนะที่ชอบเก๊กน่ะ”
คำพูดของฮาวายทำให้เฟยเฟิ่งหงุดหงิดขึ้นมา ไม่ใช่เพราะการเหน็บแนมคนข้างๆแต่เป็นทำตัวไม่สมกับอายุและตำแหน่งที่ได้รับ เด็กหนุ่มมีสีหน้าขึ้นมาอย่างลืมตัวก่อนจะพูดสิ่งที่ไม่มีใครในรถคาดไว้ออกไป
“เรื่องอยากเป็นตัวเองน่ะก็เข้าใจนะคะ แต่บางทีมันก็เป็นการไม่รู้กาลเทศะเกินไปรึเปล่า คนทำงานเกี่ยวกับการศึกษาก็ควรจะสำนึกในหน้าที่กับจรรยาบรรณของตัวเองบ้างนะคะ”
คำพูดของเฟยเฟิ่งทำให้อาจารย์ทั้งสองถึงกับชะงัก ก่อนที่ฮาวายจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“ฮะๆ ฮ่าๆๆ! ฉันเข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจแล้วดันเต้ว่าทำไมถึงอยากให้ยัยนี่มาด้วย เพื่อเจอฉันอย่างนั้นหรอ นายนี่มันร้ายจริงๆ”
ฮาวายพูดออกมาด้วยท่าทางอารมณ์ดีก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเสยผมตัวเองขึ้นเล็กน้อย
“ฉันชอบเธอ! สาวน้อย ฉันถูกใจเธอจริงๆ เธอจะต้องมาทำงานให้ฉันตั้งแต่จันทร์หน้าห้ามปฏิเสธ”
“ทำไมฉันต้องทำล่ะคะ”
“...ทำไม? เพราะฉันสั่ง! ฉันจำข้อมูลทุกอย่างของเธอได้ ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากให้ใครรู้อะไร เพราะอะไร หรือแม้แต่เธอรู้สึกยังไงฉันก็รู้ เพราะงั้นเธอห้ามปฏิเสธฉัน เฟยเฟิ่ง จิว ตั้งแต่นี้เธอต้องมาเป็นทาสในห้องทำงานฉัน!”
เฟยเฟิ่งผู้ยังเก่งเมื่อ20วินาทีก่อนตอนนี้ได้สำเนียกแล้วว่าหมาป่าได้งับขาของแกะน้อยจนหักแล้วลากไปเป็นของเล่นในถ้ำของมันแล้ว
หลังกินข้าวเสร็จฮาวายก็มาส่งทั้งสองคนที่หน้าอาคารอเนกประสงค์ก่อนจะลดกระจกลง
“เฟยเฟิ่ง อย่าลืมมาหาฉันวันจันทร์ หกโมงเช้า”
“...อย่ามาสายเองแล้วกันนะคะ”
เด็กหนุ่มมองผู้อำนวยการสาวที่มีรอยยิ้มแปลกๆด้วยสีหน้าแข็งๆก่อนที่ฮาวายจะขับรถออกไป
ชิบหายๆๆๆ! อุตส่าห์เก๊กไม่คิดอะไรในใจตั้งแต่กินข้าวยันนั่งรถกลับ แถมไปปากดีใส่เขาอีก ฉันยังไม่เคยตื่นก่อน7โมงเลยนะเฮ้ย! เอาจริงหรอ?! นั่นผู้อำนวยการเลยนะ หล่อนไปต่อปากต่อคำเขาได้ยังไง?!! นั่นมันสายตาของนักล่าชัดๆ เกรด คะแนนประพฤติ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตโรงเรียนของฉันอยู่ในมือของยัยผอ.อวดดีสติไม่เต็มนั่นเลยนะเฮ้ย
เฟยเฟิ่งคิดในใจอย่างหงุดหงิดโดยไม่รู้ตัวเลยว่าถ้ายังอยู่ในรัศมี2กิโลเมตร ฮาวายก็ยังได้ยินเธออยู่ ทั้งยังมีรอยยิ้มราวกับเด็กเล็กๆที่กำลังจะได้ของเล่นใหม่ ผู้อำนวยการสาวกดโทรศัพท์ก่อนที่เสียงอ่อนหวานของเด็กสาวจะดังมาจากอีกฝั่งของสาย
“เวโรนิก้า ฉันมีเด็กน่ารักๆคนหนึ่งจะให้ช่วยดูแลให้หน่อย อย่าให้มีไอ้อันธพาลขยะตัวไหนในโรงเรียนมาแตะต้องล่ะ”
ฮาวายพูดด้วยรอยยิ้มก่อนที่ปลายสายจะถามถึงเหตุผลของงานที่เธอสั่ง
“...เด็กนั่นเหมือนคนสำคัญของฉันอย่างกับแกะ ฉันชอบ และฉันไม่ต้องกาให้ใครมาแตะต้อง"
ฮาวายพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะกดตัดสายพลางคิดในใจด้วยสีหน้าจริงจัง
ถ้าเย็นนี้กินพิซซ่าน้ำหนักจะขึ้นมากไหมนะ
“แหม แบบนี้ก็ทำให้คุณเฟยเฟิ่งยุ่งขึ้นเลยสิครับเนี่ย แต่ต้องไหวอยู่แล้วเนอะ”
เสียงของอาจารย์หนุ่มที่มากระทบโซนประสาทเด็กหนุ่มที่กำลังอารมณ์ไม่คงที่ราวกับเมนส์มาทำให้เขาหันหน้าไปมองดันเต้ด้วยตาขวางก่อนจะอ้าปากพูด
“ไหวกับผ...!”
แต่เมื่อสบสายตากับอาจารย์ในดวงใจที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนในทันที ใจที่เต้นแรงขึ้นทำให้ทุกอย่างดูราวกับมีแสงสว่างจากพระเจ้าทอประกายมาด้านหลัง
เชี่ย...หล่อXัด
เขาอุทานในใจโดยที่ตายังเบิกกว้าง ก่อนที่ความเห็นแก่ผู้ชายทั้งหมดในร่างกายและวิญญาณที่มีระดับยอมขายวิญญาณให้ซาตาน ก็ทำให้เด็กหนุ่มผู้มีอาการแปลกๆกับความหลงใหลใคร่รักอาจารย์พูดออกไปด้วยน้ำเสียงสดใสสุดขีด
“ไหวค่ะ! หนูน่ะพร้อมมากๆเลยค่ะ ปกติก็ตื่นเช้าอยู่แล้วด้วยไม่มีปัญหาแน่นอน! จะพยายามเต็มที่เลยค่ะ คอยดูนะคะ!!”
WRITER
เย้ วันพุธแล้ว...หรอวะ
ฮะๆ ช่างมันเถอะ
.........................
เอาล่ะ วันนี้เรามาเริ่มพูดถึงเกร็ดกันก่อนดีกว่า
บทละครในตอนนี้ที่ชมรมละครจะแสดงคือบทละครจากหนังสือเรื่องมารีอาค่ะ
ซึ่งมีตัวเองก็คือมารีอากับเอเฟรนซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเองนี่แหละ
เป็นวรรณกรรมภาษาสเปนจากJorge Isaacs Ferrer นักเขียน ทหาร แล้วก็นักการเมืองชาวโคลอมเบียค่ะ
เป็นงานเขียนที่เจ๋งนะคะ เพราะคนเขียนเขียนนิยายแต่เล่มนี้เล่มเดียว แต่กลับได้เป็นนิยายโรแมนติกภาษาสเปนที่เยี่ยมที่สุดในยุคหนึ่งเลย ถึงจะจบโศกไปหน่อยก็เถอะนะ
.........................
ตอนหน้าจะเริ่มซัดเนื้อเรื่องไปทางอาจารย์กันแล้วล่ะค่ะ พอดีเห็นว่าตัวละครอาจารย์เริ่มเยอะละ
อ้อ แล้วก็มีการเพิ่มตัวละครตัวหนึ่งในCHARACTER BY MEนะคะ
เป็นสาวน้อยหมวดETC. ความจริงตัวละครตัวนี้ควรมีนานแล้วค่ะ แต่ว่ามันไม่ลงตัวสักทีว่าควรจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง อายุเท่าไร ลักษณะนิสัยควรจะเป็นแบบไหน มันมีที่ดูเข้าท่าเยอะเลยเพิ่งเลิกได้
.........................
กดกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะคะ วันนี้เราอัพตัวละครใหม่ให้แล้วด้วยนะ ไปเช็คนะคะจุ๊บๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น