ตอนที่ 8 : เหนือปลายเมฆ ☆ VII
เหนือปลายเมฆ ☆ VII
เส้นทางระหว่างเราทั้งคู่ไม่ใช่ทางแยก แต่เป็นทางที่จะต้องมาบรรจบกันอีก
ปลายเมฆกำลังพยายามทำความคุ้นชินกับอาการงอแงของเด็กอายุสิบแปด ตอนนี้มันหวานกำลังเบะปากขั้นสุด หางตาเริ่มตกเหมือนหมาตัวน้อยเพื่อหวังจะให้เขาเปลี่ยนใจไม่กลับกรุงเทพฯในวันนี้ แต่เพราะปลายเมฆกร้านโลกมาพอสมควร
หมายถึงเขาใจแข็งพอสมควร มุขขี้อ้อนของเด็กแครอทจึงไม่ได้ผล
“ไหนบอกว่าจะไม่ดื้อ” น้ำเสียงทุ้มๆถูกส่งไปยังเด็กหน้าขาว มันหวานมีอาการงอแงตั้งแต่เมื่อคืนที่เขาเริ่มเก็บกระเป๋าจนถึงวินาทีนี้ที่คุณหมอกำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถ
“ก็ไม่ได้ดื้อ แต่ไม่อยากให้ไปนี่” ปากเล็กจิ้มลิ้มกำลังยู่ลง คนตัวเล็กกำลังคิดว่าความอ้อนของเขาไม่ทำให้ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนใจไปบ้างเลยหรือยังไงกัน?
นี่ก็อ้อนสุดใจแล้วนะ
“โตแล้วนะมันหวาน” ปลายเมฆกวาดสายตามองเด็กที่กำลังเอาแต่ใจ คำพูดที่บอกว่าโตแล้วนั้นมันก็ขัดปากไปนิดหน่อยเพราะดูเด็กแครอทจะโตไม่สุดยังไงก็ไม่รู้
“โธ่ หมอปลายไม่ใจอ่อนเลยอ่ะ” มีคนตัดพ้อ
“ตั้งใจอ่านหนังสือแล้วรีบตามไป คุยกับลุงกำนันให้แล้ว"
ฝ่ามือหนาวางแหมะลงที่กลุ่มผมนุ่มก่อนจะโยกไปมาเบาๆ เขาไม่รู้จะพูดอะไรให้มันหวานเลิกงอแง สิ่งที่ปลายเมฆทำได้ตอนนี้คือลูบผมเด็กขี้ดื้อและพยายามไม่ใจอ่อน
อดทนไว้ปลายเมฆ
“ถ้ามันหวานสอบไม่ติดที่กรุงเทพฯล่ะจ๊ะ”
“สอบไม่ติดก็ไม่ต้องมาเจอกัน”
“โคตรจะใจร้ายเลยนะผู้ชายคนนี้อ่ะ”
มันหวานส่งสายตาเคืองๆให้คนตัวสูงกว่า ถึงแม้หมอปลายจะคุยกับพ่อกำนันให้แล้ว ถึงพ่อจะยอมใจอ่อนให้มันหวานไปเรียนที่กรุงเทพฯได้ แต่มันหวานก็ยังไม่แน่ใจในตัวเองว่าจะสอบติดมหา'ลัยที่ฝันได้หรือเปล่า การแข่งขันน่ะสูงมากๆแล้วมันหวานก็เป็นแค่เด็กบ้านนอก
แต่หากอยากเจอหมอปลายมันหวานก็ต้องสู้ใช่ไหมล่ะ?
นี่มันหวานรู้สึกว่าเป้าหมายของตัวเองไม่ใช่การสอบติดแล้วนะ แต่เป็นการอยากไปหาหมอปลายเมฆมากกว่า
พ่อรู้คงดีใจแย่
“ต้องไปแล้ว ที่มือน่ะจะให้ไหม” ปลายเมฆเพยิดหน้าไปทางมือเล็กที่กอบกุมขวดโหลแก้วไว้ ดูยังไงก็ต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอนเพราะตรงนี้ไม่มีใครอื่น ลุงกำนันน่ะขอตัวกลับไปแล้วเพราะลูกตัวเองล่ำลาเขานานไปหน่อย
“ใครบอกว่าของหมอปลาย ขี้ตู่จริงๆ” เด็กมอหกกอดขวดโหลแก้วแน่นเสมือนหวงนักหนาทั้งที่จริงก็ตั้งใจให้แก่คนตัวสูงตรงหน้านี่แหละ
“ถ้าไม่ใช่ของฉัน งั้นกลับแล้วนะ”
“หูยยย เดี๋ยวซี่ๆ” มันหวานละมือข้างหนึ่งจากโหลแก้วก่อนจะรั้งข้อมือคนตัวสูงเอาไว้
คนเด็กกว่าส่งรอยยิ้มหวานก่อนจะส่งขวดโหลในมือให้แก่คุณหมอ มันเป็นโหลแก้วที่เต็มไปด้วยดาวกระดาษ ดาวทุกดวงมันหวานเป็นคนพับมันเองกับมือ ใช้เวลากับมันสามวันเต็มๆกว่าจะได้เต็มโหลขนาดนี้
ทั้งหมดนี่น่ะมาจากเงินเก็บของมันหวานที่เกือบจะโดนพวกเกเรนั่นไถไปเลยนะ!
“ขอบคุณนะมันหวาน” ปลายเมฆมองดาวหลายร้อยดวงที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในโหลแก้ว สีสันละลานตาสดใสเหมือนคนให้ไม่มีผิดเพี้ยน ถึงจะมีบางดวงที่บิดเบี้ยวไม่เหมือนดาวแต่ปลายเมฆมองเห็นความตั้งใจจากมันหวานมากกว่าความสมบูรณ์แบบของมัน
ดาวบางดวงที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ยังคงเป็นดาว
“มันหวานพับเองหมดเลยนะ”
“รู้แล้วครับ ชอบมากๆ”
เพียงคำว่าชอบก็ทำให้หัวใจมันหวานได้เริ่มทำงานอีกครั้ง มันหวานไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร หมอปลายเป็นคนแรกที่มันหวานยอมอดหลับอดนอน ยอมสละเวลากินขนมหรือแม้กระทั่งไม่ดูละครตอนสองทุ่มครึ่งเพื่อพับดาวหลายร้อยดวงนี่ให้ และมันหวานหวังว่าเมื่อหมอปลายมองมาที่โหลดาวพวกนี้หมอปลายจะคิดถึงมันหวาน
เหมือนที่มันหวานก็จะคิดถึงหมอปลายในทุกๆวันนับต่อจากนี้จนกว่าเราจะได้เจอกันอีก
“มันหวานก็ชอบหมอปลาย”
น้ำเสียงใสๆนั้นเอ่ยอย่างอ้อมแอ้มด้วยความเขินอาย แต่คนตัวสูงกว่ากลับได้ยินมันอย่างชัดเจน ปลายเมฆเคาะปลายนิ้วลงที่หน้าผากของเด็กแครอทก่อนจะส่งรอยยิ้มออกมา รู้สึกแปลกเหมือนกันที่จะไม่ได้ตื่นมาใส่บาตรกับเด็กตัวเล็กนี่อีก คงจะคิดถึงฝีมืออาหารอีสาน คงจะคิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ที่นี่
คงจะคิดถึงช่วงเวลาสั้นๆที่ได้ใช้กับเด็กคนนี้
แต่ถึงยังไงปลายเมฆก็เชื่อว่าสักวันเขาทั้งคู่จะได้เจอกันอีก การจากกันวันนี้ไม่ใช่การจากลาถาวร แต่จะเป็นการจากเพื่อมาพบกันใหม่ ปลายเมฆไม่อยากให้ความสดใสของมันหวานที่เคยได้รับเลือนหายไป เขายอมรับว่าอยากเห็นรอยยิ้มของมันหวานอีก เพราะระยะเวลาเกือบเดือนที่ได้มาอยู่ที่นี่ มันทำให้เขาคุ้นชินกับรอยยิ้มหวานๆและพลังแห่งความสดใสจากเด็กคนนี้
ปลายเมฆคุ้นชิน และซึมซับบางสิ่งบางอย่างจากการกระทำและคำพูดของเด็กคนนี้
“ต้องไปแล้วนะเดี๋ยวรถติด”
“จ้า เดินทางดีๆนะหมอปลาย”
“อืม”
“มันหวานกอดหมอปลายได้ไหม?”
ดวงหน้าหวานเงยหน้ามองคนที่ตัวสูงกว่าตั้งเยอะ มันหวานกำลังตระเตรียมรอยยิ้มอยู่ในใจ ก่อนที่มันจะถูกแสดงออกมาเมื่อคนตรงหน้ากางแขนออกเพื่อรับเขาไว้ในอ้อมกอดแสนอบอุ่นนั่น
มันหวานเคยไม่ชอบที่ตัวเองตัวเล็กเกินไปไม่สมความเป็นผู้ชายแต่ตอนนี้มันหวานกำลังเปลี่ยนใจ เพราะเขากำลังชอบส่วนสูงของตัวเองเมื่อมาอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ตัวเองชอบแบบนี้
เขาแนบแก้มตัวเองไว้กับอกที่แข็งปึ้ก กระชับแขนกับเอวแกร่งนั่น และแอบสูดดมกลิ่นกายอ่อนๆของหมอปลายเมฆที่มันหวานคุ้นชินไปเสียแล้วในเวลาที่อยู่ด้วยกัน
“หมอปลายรอมันหวานนะ มันหวานจะไปหาหมอปลาย” เอ่ยชิดกับหัวใจของอีกฝ่าย
“การเจอฉันมันเป็นผลพลอยได้ แต่สิ่งที่เธอต้องทำคือสอบให้ติด แยกแยะนะมันหวานว่าอันไหนสำคัญก่อนหลัง” ฝ่ามือใหญ่ลูบกลุ่มผมนิ่มไปพลางๆ รับรู้ถึงหัวใจคนเด็กกว่าที่เต้นไม่เป็นจังหวะจนสัมผัสได้
หัวใจของมันหวานเต้นแรงโดยไม่ต้องพึ่งสเต็ทฯเขาก็สามารถรับรู้ถึงมัน
“ก็ตอนนี้มันหวานจัดให้หมอปลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งนี่หน่า”
“เดี๋ยวเถอะมันหวาน”
“น่ะ ทำเสียงเข้มอีกละ” คนตัวเล็กแสร้งเอ่ยเสียงหงอย ก่อนจะค่อยๆละอ้อมกอดออกมา มันหวานยิ้มอีกครั้ง ยิ้มจนแก้มเป็นก้อน
มันหวานรู้ว่าหมอปลายชอบให้มันหวานยิ้ม และจนกว่าที่มันหวานจะเก่งพอไปเจอหมอปลายได้อีกครั้ง วันนี้มันหวานจะฝากรอยยิ้มหวานๆให้หมอปลายได้เห็นแล้วเก็บไว้ในยามที่คิดถึงรอยยิ้มของเขา
“กลับบ้านได้แล้ว อ่านหนังสือเยอะๆ ดูแลพ่อ และเป็นเด็กดีเข้าใจไหม”
“มันหวานเป็นเด็กดีแล้วหมอปลายจะชอบมันหวานใช่ไหม ได้เลยๆ มันหวานจะเป็นเด็กดีมีคุณธรรมใฝ่เรียนรู้นะ”
“เธอนี่มัน” คุณหมอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูรถ (ที่ซ่อมเสร็จตั้งนานแล้ว) เพื่อบอกว่าคงถึงเวลาแล้วที่เขาต้องกลับไปยังที่ของตัวเอง "ดูแลตัวเองนะ อย่าดื้อ"
“มันหวานจะดูแลตัวเอง หมอปลายก็เหมือนกัน อย่าดื่มเบียร์เยอะ บุหรี่อย่าสูบบ่อย รักตัวเองให้มากๆนะหมอปลาย”
“ครับ จะพยายาม”
“คนเก่งของมันหวาน” เด็กน้อยปรบมือแปะๆก่อนจะจับบานประตูรถให้กว้างอีกนิดเพื่อให้คุณหมอได้แทรกตัวเข้าไปนั่ง "ขับรถดีๆนะจ๊ะหมอปลาย"
“อืม มีอะไรก็โทรมา” ปลายเมฆวางโหลแก้วไว้เบาะข้างคนขับก่อนจะหันมามองใบหน้าหวานของเด็กแครอทอีกครั้ง “ถ้าไม่ติดผ่าตัดหรือติดธุระจะรีบรับ”
“หมอปลายน่ารักจัง”
“เธอก็น่ารัก” ปลายเมฆบีบแก้มเด็กแครอทอีกครั้ง ก่อนจะดูนาฬิกาข้อมือ ถึงเวลาที่เขาต้องออกจากที่นี่สักที ล่ำลากันนานจนเวลาเคลื่อนไปเยอะแล้ว
“เนี่ยๆ ใจสั่นเลย” มันหวานยกมือทาบหัวใจพร้อมกับพวงแก้มที่แดงแจ๋
ก็นี่มันครั้งแรกเลยนะที่หมอปลายเอ่ยชมมันหวานว่าน่ารักน่ะ
ปกติคุณหมอเขาน่ะพูดน้อยจนนับคำได้เลย
“เด็กบ๊อง ต้องไปจริงๆแล้วนะ”
“จ้าๆ บ๊ายบายนะจ๊ะหมอปลาย”
ฝ่ามือเล็กโบกให้กับคนในรถ หมอปลายเมฆพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือมาปิดประตู มันหวานมองคนตัวสูงผ่านกระจก พวกเขายิ้มให้กันอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายของวันนี้ มันหวานมองตามรถคันโตที่ค่อยๆเคลื่อนตัวไกลห่างออกไปจนลับสายตา
เหลือไว้เพียงร่องรอยจากฝุ่นผงและร่องรอยของล้อรถว่าคุณหมอตัวสูงคนนั้นเคยมายังที่แห่งนี้
“มันหวานจะคิดถึงหมอปลายทุกวัน จนกว่ามันหวานจะได้เจอหมอปลายอีก”
มันหวานจะพยายามไปกรุงเทพฯให้ได้ มันหวานจะไปตามความรู้สึกและหัวใจของตัวเองที่มันติดไปกับผู้ชายตัวสูงคนนั้น มันหวานจะไม่ปล่อยให้ความพยายามที่ได้ทำไว้ที่นี่มันสูญเปล่า มันหวานจะสู้ๆเพื่อไปเจอคุณหมอปลายเมฆให้ได้
ช่วยรอมันหวานหน่อยนะคุณหมอ
พอหมอปลายเมฆไม่อยู่บ้านก็กลับเงียบเหงามากกว่าเคยทั้งที่ก่อนที่หมอปลายเมฆจะมามันหวานก็อยู่กับพ่อแค่สองคนได้อย่างไม่รู้สึกเหงาหงอยอะไร ความคุ้นเคยนี่เป็นความรู้สึกที่น่ากลัวมากเลยทีเดียว เพราะตอนนี้มันหวานคิดถึงหมอปลายอีกแล้ว
คิดถึงผู้ชายตัวสูงที่เคยนุ่งผ้าขาวม้าโชว์กล้ามหน้าท้องแน่นๆเดินอยู่ในบ้าน คิดถึงริมฝีปากแดงแจ๋เวลากินอาหารเผ็ดๆที่มันหวานทำให้ คิดถึงสายตาอบอุ่นที่บางครั้งก็โศกเศร้าคู่นั้น คิดถึงกลิ่นกายอ่อนๆที่เคยคละคลุ้งอยู่ในห้องที่หมอปลายใช้หลับนอน
คิดถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากหมอปลายเมฆเลย
“หงอยเลยลูกชาย คิดถึงหมอเขาหรือไง” เหมือนพ่อมานั่งในใจเลยอ่ะ นี่มันหวานแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยหรอ?
“พ่อจ๋า เล่าให้มันหวานฟังหน่อยว่าหมอปลายคุยอะไรกับพ่อ พ่อถึงยอมให้มันหวานเรียนที่กรุงเทพฯ” มันหวานกอดเอวพ่อตัวเองก่อนจะเอาแก้มอูมๆแนบต้นแขนใหญ่ๆเหมือนทุกครั้ง
พอหมอปลายกลับไปกำนันบ้านนี้ก็อยู่ติดบ้านเฉย นี่มันหวานเริ่มคิดแล้วนะว่าพ่อเปิดโอกาสให้ลูกตัวเองอยู่กับชายอื่นสองต่อสองหรือเปล่า
“ไม่ได้ว่าอะไรมาก แค่บอกว่าโอกาสมันมีเยอะกว่าที่นี่”
“แค่นั้น? แล้วพ่อก็ยอมเลยหรอจ๊ะ ทีมันหวานเคยขอพ่อนี่ส่ายหน้าลูกเดียว”
"ที่พ่อไม่อยากให้ไปกรุงเทพฯเพราะกลัวว่าจะดูแลตัวเองไม่ได้ แต่หมอเขารับปากว่าถ้าสอบติดที่นั่นเขาจะดูแลให้” พ่อค่อยๆอธิบาย
“...”
“ตอนแรกพ่อก็ลังเล แต่สายตาของหมอเขาจริงจังในคำพูดจนต้องยอม มันก็จริงอย่างหมอว่า ที่กรุงเทพฯน่ะมีหลายอย่างให้เรียนรู้ ลูกจะอยู่ที่นี่อย่างเดียวไม่ได้หรอกสังคมมันแคบ ลูกต้องโตขึ้นไปเจอสังคมที่กว้างกว่านี้หลายเท่า พ่อก็เลยคิดว่าควรจะให้ลูกลองเดินด้วยตัวเองบ้าง พ่อก็จะคอยดูแลห่างๆอย่างห่วงๆ”
“หนูรักพ่อจัง” มันหวานหอมแก้มพ่อตัวเองไปฟอดโต พ่อน่ะใจดีกับมันหวานเสมอ เป็นห่วงมันหวานสุดๆไม่เคยมองว่ามันหวานโตเลย แต่ต้องยกความดีความชอบให้หมอปลายนะที่พูดเกลี้ยกล่อมพ่อให้มันหวานได้
คนอะไรเท่จริงๆเลย
เหมาะสมแล้วที่มันหวานชอบ
“ดูลูกจะมีความสุขเวลาอยู่กับหมอ พ่อเลยไว้ใจเขา มั่นใจว่าลูกของสีครามจะดูแลลูกของพ่อได้”
มีความสุขสิ ก็มันหวานชอบหมอปลายเมฆนี่
“แน่นอนจ่ะ มันหวานจะเป็นเด็กดี”
“ก็สอบให้ได้ละกัน” พ่อว่าแค่นั้นก่อนจะยีผมมันหวานและหอมแก้มอีกสองฟอดใหญ่ ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไป
ตอนนี้มันหวานรู้สึกหึกเหริมยิ่งกว่าโดฟยาชูกำลัง รู้สึกได้รับกำลังใจเต็มเปี่ยมจากทั้งพ่อและหมอปลายเมฆ คนตัวเล็กดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาพลางฮัมเพลงไปด้วยขณะเดินกลับห้อง
มันหวานเดินไปยังตู้เสื้อผ้าค้นหาผ้าพันคอลูกเสืออันเก่าที่จะไม่ได้ใช้แล้วนับจากนี้ เขาคว้ามันติดมือมาก่อนจะนำกรรไกรมาตัดเป็นเส้นยาวพร้อมกับปากกาเมจิกสีดำเพื่อเขียนข้อความลงเนื้อผ้าว่า 'ไปหาหมอปลายเมฆกันเถอะ!' เสร็จแล้วก็นำมาคาดหน้าผาก คว้าหนังยางรัดผมที่หมอปลายเคยซื้อให้มามัดจุกหน้าม้าที่คนตัวสูงคนนั้นบอกว่ามันเหมือนจุกแอปเปิ้ล
มันหวานหย่อนก้นนั่งลงเก้าอี้ตรงมุมอ่านหนังสือ คว้าหนังสือเล่มโตมากางอ่านด้วยความมุ่งมั่นเต็มกำลัง หน้าผากก็ถูกคาดด้วยข้อความถึงคนที่อยู่กรุงเทพฯพร้อมกับหัวใจที่กำลังสูบฉีดด้วยความคิดถึง ห่างกันไปไม่กี่ชั่วโมงยังคิดถึงขนาดนี้ แล้วกว่าจะถึงวันที่ได้เจอกันอีกหัวใจมันหวานจะมีแรงเต้นไหมเนี่ย
มันหวานเริ่มรู้สึกแปลกๆไป เพราะเข้าสู่ชั่วโมงที่สองในการอ่านหนังสือ ตัวอักษรมากมายพวกนั้นกลับเปลี่ยนเป็นหน้าหมอปลายเมฆซะได้
นี่มันหวานกลับมาเป็นไข้อีกแล้วหรอ?
หรือก่อนที่หมอปลายจะไป คนตัวสูงคนนั้นฝ้ายไข้ใจไว้ให้มันหวานกันนะ?
“เห้อออ มันหวานคิดถึงหมอปลายจัง”
แต่ถ้ามันหวานเป็นไข้ใจก็คงเรื้อรังจนกว่าจะได้รักษากับหมอปลายเมฆนั่นแหละ
“กระสุนเข้าทางช่องท้องด้านขวาบนอาจจะเสี่ยงโดนอวัยวะที่สำคัญส่วนอื่น ช่วยเตรียมเลือดสำรองไว้เลยนะครับ"
“ค่ะคุณหมอ”
“ผมจะเริ่มการผ่าตัดเลยนะครับ”
ชีวิตแห่งการอุทิศให้ห้องผ่าตัดกลับมาเยือนปลายเมฆอีกครั้ง เขาได้รับเคสฉุกเฉินทันทีที่เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ และจนถึงตอนนี้เขายังคงไม่ได้นอนสักงีบ ภายในห้องผ่าตัดมีเสียงของเครื่องวัดระดับคลื่นหัวใจที่เป็นเสมือนเครื่องมือในการกดดันคนเป็นหมอที่ต้องเดิมพันกับวินาทีแห่งความเป็นความตายของคนไข้
เหงื่อเม็ดโตถูกซับโดยผู้ช่วยไม่ห่าง ความเคร่งเครียดยังคงดำเนินไปในห้องผ่าตัดแห่งนี้ก่อนที่เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจะดังออกมาเมื่อหมอปลายเมฆสามารถนำกระสุนออกมาจากร่างกายของคนเจ็บได้อย่างเรียบร้อย
“เย็บเส้นเลือดดำต่อครับ”
กว่าหลายชั่วโมงของการผ่าตัดและทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ปลายเมฆถอดถุงมือเปื้อนเลือดและหน้ากากอนามัยตามด้วยหมวกผ้าออก คนตัวสูงล้างมืออย่างสะอาดเรียบร้อยตามขั้นตอนก่อนจะเดินเข้าห้องพักของตัวเอง
ปลายเมฆทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาตัวเล็กอย่างเหนื่อยล้า เปลือกตาค่อยๆปิดลงเพราะความง่วงเริ่มคืบคลานเข้ามาทีละนิดและตอนนี้ร่างกายของเขาเรียกหาอาหารสักมื้อแทนที่กาแฟที่ดื่มไปก่อนเข้าห้องผ่าตัด
“ไงเพื่อน มาถึงก็เจอศึกหนักเลยนะ”
ปลายเมฆลืมตามองเพื่อนสนิทของตัวเองที่มาป่วนไม่ถูกเวลาแถมยังไม่เคาะประตูตามมารยาทอีกต่างหาก เขาหยัดตัวลุกขึ้นนั่งดีๆก่อนจะรับกระป๋องเครื่องดื่มผลไม้ที่เพื่อนสนิทโยนให้มาเปิดดื่ม
“ถ้าแกช่วยฉันก็คงไม่เหนื่อยขนาดนี้”
“เฮ้ ฉันก็มีเคสอื่นไหมล่ะ แล้วเป็นไงพักใจเกือบเดือนช่วยอะไรได้บ้างไหม?” หมอแทนไทเพื่อนสนิทของปลายเมฆเอ่ยถามพลางรอบมองเสี้ยวหน้าเพื่อนตัวดีที่เจอศึกหนักแห่งการนอกใจเมื่อสามเดือนก่อนจากคนรักที่คบกันมาถึงสิบปี
เพราะแบบนี้แทนไทถึงไม่อยากมีคนรักเป็นตัวเป็นตน เขาถนัดเหงาเมื่อไรก็เรียกหามากกว่า
อย่างน้อยไม่เกิดความรู้สึก ก็ไม่ต้องรับผิดชอบใจตัวเอง
รวมถึงไม่ต้องรับผิดชอบหัวใจของคนอื่นด้วย
“ก็ดี” ปลายเมฆตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ตอนนี้เขาอยากจะหลับเต็มที่แต่ดันมีเคสผ่าตัดอีกในหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า
“ได้คนบ้านนามาดามใจป่ะวะ” หมอแทนไทยังคงชวนเพื่อนคุยเพื่อหาความผิดปกติจากแววตาเพื่อนตัวเอง แม้ปลายเมฆจะไม่ค่อยแสดงออกอะไรมาให้รับรู้เท่าไรก็ตาม
เพื่อนเขาคนนี้น่ะ มันอ่านยากในบางที
“ไม่มี”
“โกหกว่ะ”
แต่บางทีก็อ่านโคตรง่าย
“มีอะไรก็เล่าดิ นี่เพื่อนไง”
ปลายเมฆถอนหายใจออกมาเบาๆ ปรายตามองเพื่อนตัวโย่งที่ยังคงน่ารำคาญไม่มีเปลี่ยน เกือบเดือนที่ไม่ได้เจอกันไม่ได้ทำให้ความขี้เสือกของแทนไทลดลงไปเลยสินะ
“มีเด็กบอกชอบ อายุสิบแปด”
“โอมายกอช..” หมอแทนไทเอามือทาบอก ตาโตอ้าปากหวอ และปลายเมฆรู้ว่านั่นคือการแสดงที่โคตรห่วยแตก “ผู้ชายหรือผู้หญิง?”
“ผู้ชาย ลูกกำนันที่ไปขอที่พักเขา”
“อ้อออ ลูกเพื่อนสนิทพ่อ” แทนไทยิ้มล้อ
“อืม”
“แล้วไงต่อวะ น้องเขาไม่รู้หรอว่ามึงมีคนในใจ” สรรพนามเริ่มเปลี่ยนไป และหมอปลายเมฆพนันได้เลยว่าถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทกันหมอแทนไทคงได้ถูกเตะออกจากห้อง
คำพูดนั้นเหมือนสะกิดต่อมความเสียใจของปลายเมฆขึ้นมาอีกครั้ง คุณหมอเลื่อนสายตาไปยังโต๊ะทำงานที่ยังมีกรอบรูปกรอบเดิม รูปใบเดิมที่ยังคงไม่ถูกทิ้งไปไหน รูปคู่ของเขาและม่านฝน คนที่แทนไทบอกว่าอยู่ในหัวใจของเขา
และนั่นไม่ใช่เรื่องที่ปลายเมฆคิดจะปฏิเสธ
“รู้ แต่เขาไม่ยอมแพ้”
“เช็ดครก... โคตรได้”
ปลายเมฆนึกถึงมันหวานที่ตอนนี้ไม่รู้กำลังทำอะไรอยู่ นี่ก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยเพราะแทบไม่มีเวลาแตะมือถือสักวินาที คิดได้ดังนั้นจึงหยิบมือถือออกมาจากลิ้นชักและจัดการเปิดเครื่อง เลือกจะเมินและไม่ตอบคำถามไร้สาระจากเพื่อนสนิท
ปลายเมฆปัดมือไล่ให้เพื่อนตัวเองออกไปจากห้องเพราะเวลานี้เขาต้องการความเป็นส่วนตัว และรู้สึกขอบคุณที่แทนไทมันยังคงมีมารยาทอยู่บ้าง
คุณหมอต่อสายไปยังเบอร์ที่ถูกบันทึกไว้ รอสายไม่นานเสียงใสคุ้นหูก็ดังขึ้นให้ได้ยิน
[หมอปลาย! ทำไมมันหวานติดต่อไม่ได้เลย! หมอปลายเป็นอะไรหรือเปล่า ถึงกรุงเทพฯปลอดภัยดีไหมจ๊ะ!]
“ใจเย็นๆ” ปลายเมฆหลุดขำกับน้ำเสียงที่ดูตระหนกนั่น “ฉันปลอดภัยดี ถึงกรุงเทพฯแล้ว ติดผ่าตัดด่วนเพิ่งได้แตะโทรศัพท์”
เอ่ยตอบคำถามอย่างใจเย็นและไม่นึกโกรธที่คนปลายสายตะโกนใส่ เขาเข้าใจว่ามันหวานคงเป็นห่วงที่ขาดการติดต่อแบบนี้ทั้งที่บอกไว้แล้วว่าจะรีบรับสายหากโทรมาหา
[เห้ออออ โล่งอก แค่นี้มันหวานก็สบายใจแล้ว] เสียงลมหายใจที่ผ่อนออกมานั่นกำลังทำให้คุณหมอยิ้ม
“อืม”
[เสียงหมอปลายดูเหนื่อยๆจังเลย]
“เพิ่งออกมาจากห้องผ่าตัด”
[เหนื่อยไหมจ๊ะ ได้กินอะไรบ้างหรือยัง]
“เหนื่อยจนชินแล้ว ดื่มกาแฟกับน้ำผลไม้”
[ไม่ได้เลยนะจ๊ะ หมอปลายต้องกินข้าว มันหวานบอกว่ายังไงให้รักตัวเอง จำไม่ได้หรอ]
ปลายเมฆไม่รู้ว่าทำไมคำบ่นของเด็กแครอทถึงทำให้เขามีรอยยิ้มบนใบหน้าได้แบบนี้ ความรู้สึกเหนื่อยจากเมื่อครู่มันคล้ายจะหายไปเพียงเพราะได้รับน้ำเสียงห่วงใยจากใครสักคน
และใครคนนั้นคือมันหวานที่ชอบเขามากเสียด้วย
“ไม่มีเวลา แต่จะพยายามหาเวลาไปกิน”
[มันหวานเป็นห่วงรู้ใช่ไหม]
“รู้ ขอบคุณครับ” คุณหมอลุกจากโซฟาก่อนจะเดินรอบห้องของตัวเอง ฟังเสียงงุ๊งงิ๊งจากคนปลายสายและมีรอยยิ้มค้างไว้อยู่แบบนั้น เขามองนาฬิกาที่ฝาพนังห้อง และอีกไม่ถึงยี่สิบนาทีเขาคงต้องวางสาย
[วันนี้มันหวานอยู่บ้านอ่านหนังสือทั้งวันเลยนะ ไม่ดื้อด้วย มันหวานเก่งไหม]
“เก่งมาก” ปลายเมฆรู้ได้เลยว่าวินาทีนี้มันหวานคงจะกำลังยิ้มแก้มบานแน่ๆ
และบางทีแก้มของเด็กมอหกคนนั้นอาจจะกำลังแดงเหมือนสีของพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน
[มันหวานคิดถึงหมอปลายนะ] น้ำเสียงนั้นจากคนปลายสายคล้ายขัดเขิน
“หรอ” ส่วนคุณหมอกำลังมองเข็มของนาฬิกาที่กำลังเคลื่อนเป็นวงกลมนั้น ไม่สามารถหยุดรอยยิ้มได้เลย
[หมอปลาย..คิดถึงมันหวานไหมจ๊ะ]
ปลายเมฆยังไม่ตอบในทันที เขาหยิบชาร์จคนไข้ขึ้นมาดู กวาดสายตามองมันอย่างคร่าวๆ เหมือนเป็นการซื้อเวลา
[หมอปลายยยยยย คิดถึงมันหวานไหมมมมม] มีบางคนที่กำลังงอแง เมื่อปลายเมฆไม่ยอมตอบคำถามนั้นเสียที
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูจากหน้าห้องเป็นสัญญาณบอกว่าปลายเมฆต้องเข้าผ่าตัดได้แล้ว คุณหมอเปิดประตูออกไปก่อนจะพยักหน้าเบาๆให้แก่พยาบาลที่ยืนรออยู่หน้าประตู เขาปิดประตูห้องลงอีกครั้งฟังเสียงงอแงจากคนปลายสายเมื่อยังไม่ได้คำตอบที่ถูกใจ
[หมอปลายยยย] มันหวานยังคงงอแง และปลายเมฆยังคงยิ้มไม่หุบ
“อืม”
[ไม่อืมได้ไหมอ่า]
ปลายเมฆก้มหน้ามองพื้น เขาเกิดอาการกลั้นหายใจ
“คิดถึงเหมือนกัน”
ก่อนจะกลับมาหายใจได้ในจังหวะที่ปกติเสียที
ปลายเมฆกดวางสายหลังจบประโยคของตัวเอง ไม่ได้รอฟังว่าเด็กแครอทจะพูดอะไรต่อ เขามองหน้าจอที่ดับลงพร้อมรอยยิ้มบางๆ
บางที ณ ขณะนี้ คำว่าหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง อาจจะเริ่มสะกดด้วยคำว่ามันหวาน
เขาคิดว่ามันเริ่มเป็นแบบนั้น
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้องน่ารัก สดใสมากกกกก
แค่คำคิดถึงคำเดียวเนี่ยหัวใจชิปเปอร์ก็เบิกบานแล้วจ้าาาน่าารักกมากกๆรออนะคะสู้ๆค่ะ
น้องน่าร๊ากกกกกก