ตอนที่ 7 : เหนือปลายเมฆ ☆ VI
เหนือปลายเมฆ ☆ VI
หากจดจำเขาแล้วมันเจ็บ ต่อไปนี้คุณจดจำเพียงแค่ผมดีไหม
ปลายเมฆกำลังมองเด็กแครอทที่กำลังสวมรองเท้านักเรียนอยู่ตรงตีนบันไดโดยที่หน้าผากกว้างๆนั่นมีแผ่นเจลลดไข้แปะอยู่ วันนี้มันหวานต้องไปโรงเรียนทำอะไรก็ไม่รู้ของเจ้าตัว แต่เพราะมันหวานยังไม่หายดีคุณหมอจึงอาสาพาไปส่งที่โรงเรียนโดยจักรยานคันเดิมสีตุ่นๆที่คุณหมอแปลงร่างเป็นช่างซ่อมชั่วคราวในการหาเบาะหลังมาติดให้ เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ต้องลำบากเดินเท้าไปโรงเรียนกัน
เจ็ดโมงเศษเด็กมอหกถึงได้ฤกษ์มาซ้อนจักรยานเสียที มือเล็กกำชายเสื้อคนตัวสูงไว้แทบทันทีแบบไม่ต้องเอ่ยสั่งอะไรทั้งสิ้น ไหนจะเสียงหัวเราะคิกคักที่ไม่รู้ไปอารมณ์ดีจากไหนมานั่นก็อีก
จักรยานปั่นไปตามทางเรื่อยๆพร้อมกับเสียงฮัมเพลงจากมันหวานตลอดทาง เด็กที่แสนจะนิสัยดีไม่ลืมที่จะยกมือไหว้คนที่ผ่านไปผ่านมาด้วยน้ำเสียงสดใสแม้ไข้จะยังไม่หายสนิท แต่หมอปลายเมฆก็ชินไปแล้วกับนิสัยแบบนี้ของคนที่เกาะเอวเขาอยู่ด้านหลัง
“ใช้เวลาที่โรงเรียนนานไหม” คนตัวสูงกว่าเอ่ยถาม ไม่ใช่อะไรหรอกเพราะเขาต้องรอกลับบ้านพร้อมกับมันหวาน เป็นไข้แบบนี้ไม่วางใจให้กลับบ้านคนเดียวเด็ดขาด
“แป๊ปเดียวจ้าหมอปลายไม่ถึงสองชั่วโมงนะ” มันหวานยิ้มแก้มอูมแม้คนที่อยู่ข้างหน้าจะไม่เห็นก็ตาม
เช้านี้มันหวานแสนสุขใจ อาหารเช้าก็อร่อยมากกว่าที่เคยเพราะคุณหมอใจดีพามันหวานไปโรงเรียนแถมยังแกะส้มให้กินเพิ่มวิตามินซีหลังมื้อเช้าอีกต่างหาก ปกติมันหวานก็ปั่นจักรยานไปเรียนคนเดียว เวลาไม่สบายก็ปั่นไปคนเดียว แต่พอมีหมอปลายอยู่มันหวานกลับไม่ต้องทำแบบเดิม
“อย่าดื่มน้ำเย็นนะรู้ไหม”
“รู้จ้า”
“อย่าไปนั่งจ่อพัดลมด้วย”
“จ้าๆ ไม่นั่งจ้า มันหวานจะนั่งไกลๆเลยนะ”
“ถึงโรงเรียนแล้วก็สวมผ้าปิดจมูกที่ให้ไปเพื่อนจะได้ไม่ติดหวัด”
“จ้าๆ มันหวานจำได้ๆ”
ก็เป็นแบบนี้ คุณหมอย้ำเรื่องเมื่อครู่มาตั้งหลายรอบแต่มันหวานไม่เบื่อที่จะฟังหรอกนะ เพราะมันหวานรู้ว่าหมอปลายกำลังเป็นห่วงกัน น่ะ น่าชื่นใจซะไม่มี
ใช้เวลาปั่นจักรยานมาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงโรงเรียน ปลายเมฆจอดรถจักรยานก่อนจะให้เด็กแครอทข้างหลังลงอย่างปลอดภัย คนตัวสูงถึงเข็นรถไปล็อคกับรั้วก่อนจะเดินมาหาคนตัวเล็กที่ยิ้มแฉ่งรออยู่แล้ว
“หมอปลายรอมันหวานตรงศาลาไม้ก็ได้จ่ะ มันหวานจะรีบออกมานะ” ปากก็พูดไป ส่วนมือก็หยิบหน้ากากอนามัยมาสวมตามคำสั่งของคุณหมอ
“อื้ม ไปเถอะรอได้ไม่ต้องห่วง” คุณหมอยีผมลื่นมือนั้นเบาๆก่อนจะโบกมือตอบกลับเด็กแครอทที่เดินแยกออกไปอีกทาง
คนตัวสูงเดินตรงไปยังศาลาไม้ที่มันหวานได้ว่าไว้ แล้วเพราะว่าสายตาของเด็กนักเรียนคนอื่นที่มองมานั่นกำลังทำให้เขารู้สึกเกร็งแปลกๆจนต้องเร่งฝีเท้าแล้วหย่อนก้นนั่งลงที่แผ่นไม้ทันที
คุณหมอหยิบมือถือมาไถๆเล่นคร่าเวลาแม้จะไม่มีอะไรให้เล่นก็ตาม ปลายเมฆกดเข้าที่อัลบัมภาพก่อนที่ภาพกว่าร้อยรูปของตนและม่านฝนจะปรากฏขึ้นมา
มันเป็นช่วงเวลานี้อีกแล้ว
เวลาที่นึกถึงความหลังนั่นนะ
มองภาพเหล่านี้เมื่อไรก็มีแต่ความเสียใจและปะปนไปด้วยความคิดถึง แม้จะไม่สามารถนำคนในภาพกลับมาเคียงข้างได้อีกแล้ว ปลายเมฆเลื่อนนิ้วไปที่ไอค่อนถังขยะก่อนจะลบออกไป แต่ก็ทำใจลบทีเดียวไม่ไหวเขาจึงเลือกจะลบเพียงวันละไม่กี่ภาพ
มันอาจจะดูปอดแหกหรือภาษาวัยรุ่นที่เรียกว่าคนกาก แต่เพราะเขาและม่านฝนมีช่วงเวลาที่ดีต่อกันมายาวนานนับสิบปี การหักดิบกวาดล้างทุกความทรงจำมันคงจะดูโหดร้ายไปนิดนึงสำหรับคนที่ยังรักเช่นเขา
สองชั่วโมงผ่านไปแล้วแต่มันหวานกลับไม่มาเสียทีทั้งที่บอกว่าไปไม่นาน เขาเห็นนักเรียนคนอื่นเริ่มทยอยเดินออกจากรั้วโรงเรียนแต่ก็ปราศจากคนที่เขากำลังเฝ้ารอ และลางสังหรณ์บางอย่างมันบอกว่าเขาไม่ควรรออยู่เฉยๆแบบนี้
ปลายเมฆรีบเร่งฝีเท้าไปยังอาคารที่เขียนไว้ว่าของเด็กม.6 มันหวานยังไม่หายป่วยดีบางทีอาจจะเกิดไข้ขึ้นหรือเป็นลมอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เขาเดินตามทางที่ปูด้วยไม้มาเรื่อยๆ และบนอาคารของเด็กม.6นี้ก็เหลือเด็กนักเรียนไม่ถึงสิบคนดีด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่ามันหวานเรียนอยู่ห้องไหนเลยเดินตามหาทีละห้อง ตึกนี้มีเพียงสามชั้นคงไม่ยากหากจะเดินหา
“ขอโทษนะคะ ผู้ปกครองนักเรียนคนไหนหรือเปล่าคะ?”
เสียงละมุนของผู้หญิงคนหนึ่งเรียกไว้และปลายเมฆคิดว่าอาจจะเป็นคุณครู คนตัวสูงก้มหัวลงเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามถึงคนที่ตามหา
“ผมเป็นผู้ปกครองมันหวานน่ะครับ ผมรอเขานานแล้วแต่มันหวานไม่มาสักที เขาไม่สบายด้วยผมเกรงว่าจะเป็นอะไรไป” คุณหมอเร่งตอบ
“มันหวานลูกกำนันใช่ไหมคะ?”
“ครับ”
“อ๋อ ห้องมันหวานอยู่ชั้นสองค่ะหกทับสี่ให้ดิฉันขึ้นไปด้วยไหมคะ”
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ ขอบคุณมาก”
ปลายเมฆส่งยิ้มให้เพียงนิดก่อนจะรีบสาวเท้าไปยังห้องเด็กแครอทตามข้อมูลที่ได้มา จากเดินเป็นวิ่งเพราะรู้ร้อนใจแปลกๆ ไม่ถึงสองนาทีคุณหมอก็หยุดยืนอยู่หน้าห้องหกทับสี่ แต่แปลกที่ประตูถูกปิดไว้ทั้งประตูหน้าและหลัง
ปลายเมฆตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปและสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทำให้เขาต้องกำมือแน่นอย่างฉับพลันอีกทั้งสองขาที่ก้าวเข้าไปในห้องหกทับสี่อย่างรวดเร็วจนตัวเองยังตกใจ
เพราะมันหวานอยู่ตรงนั้น ทรุดตัวนั่งลงอยู่ที่พื้นพร้อมกับผู้ชายอีกสองคน คนหนึ่งที่ง้างมือเตรียมจะทำร้ายมันหวานอย่างแน่นอน และอีกคนที่ถือกระเป๋าตังค์ของมันหวานเอาไว้ อีกทั้งเก้าอี้และโต๊ะบางตัวที่ล้มระเนระนาด
“เห้ย! เข้ามาได้ไงวะ”
“ปล่อย” น้ำเสียงที่เย็นเยียบกว่าครั้งไหนถูกเอ่ยออกไป
“หมอปลายมันหวานกลัว ฮึก!”
ปลายเมฆปัดมือที่ง้างค้างไว้กลางอากาศออกอย่างแรงก่อนจะคว้าคนตัวเล็กขึ้นมาและดันให้ไปอยู่ที่ด้านหลังของเขา ปลายเมฆพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ระเบิดกับเด็กอันธพาลตรงหน้า เขารู้ว่าโรงเรียนต้องมีคนประเภทนี้ที่จะรีดไถเงินคนอื่นแต่ที่ปลายเมฆไม่เข้าใจคือทำไมมันต้องเกิดกับเด็กอย่างมันหวาน
“ส่งของในมือคุณมาให้ผม แล้วรีบไสหัวไปครับ” มือหนายื่นไปข้างหน้า ปลายเมฆรู้สึกถึงความแนบชิดจากคนที่อยู่ข้างหลัง สองมือเล็กๆนั่นกำลังกำเสื้อเขาแน่นและส่งเสียงสะอื้นออกมา
ซึ่งน้ำตาของมันหวานเปรียบเสมือนน้ำมันที่ทำให้ความโกรธของเขาลุกโชนขึ้นมา
ปลายเมฆกำลังโกรธตัวเอง เพราะถ้าหากเขาช้ากว่านี้มันหวานอาจจะโดนทำร้ายไปแล้ว
“เสือกไรด้วยวะ จะเป็นฮีโร่ว่างั้น?” เด็กอ้วนอีกคนเท้าเอวพลางชี้หน้าคนเป็นหมออย่างไม่เกรงกลัว
ปลายเมฆกระตุกยิ้ม สำหรับเขาเด็กสองคนตรงหน้าก็เหมือนไส้เดือนโง่ๆเท่านั้น
“ผมเสือกได้มากกว่าที่คุณคิด เสือกแม้กระทั่งแจ้งความจับคุณข้อหาลักทรัพย์และเจตนาทำร้ายร่างกายได้เลยล่ะ”
สายตาแสนเฉือดเฉือนนั้นกวาดมองเด็กนิสัยเสียตรงหน้า เขาเห็นสีหน้าเลิกลั่กนั้นเต็มสองตา
ก็เก่งแต่แค่รังแกคนอ่อนแอกว่านั่นแหละ
“จะลองดูก็ได้นะครับ” ปลายเมฆท้าทาย เขาล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ยังไม่ทันที่จะกดโทรออกหาตำรวจเด็กนักเลงทั้งสองก็รีบทิ้งข้าวของของมันหวานลงที่พื้นและรีบวิ่งออกไปทันที
คุณหมอตัวสูงหัวเราะในลำคอ ที่แท้ก็พวกเด็กดีแต่ปาก
“เจ็บตรงไหนไหม” ทันทีที่เด็กสองคนนั้นหายลับไปจากกรอบสายตา เขาจึงรีบสำรวจคนตัวเล็กกว่าทันที ใบหน้าหวานนั้นเต็มไปด้วยหยดน้ำตาจนคุณหมอต้องรวบตัวเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมกอด
“หมอปลาย..” มันหวานกำชายเสื้อด้านหลังของคนตัวโตกว่าแน่น แนบใบหน้าไว้ที่อกแกร่งและปลดปล่อยความกลัวออกมากับสิ่งที่ไม่เคยเจอมาก่อน
มันหวานไม่เคยได้คาดคิดว่าที่โรงเรียนของเขาจะมีคนนิสัยแบบนั้นอาศัยร่วมอยู่ด้วย
“มันเคยทำแบบนี้กับเธอมาก่อนหรือเปล่า”
“ไม่จ่ะ ไม่..” มันหวานเงยหน้ามองคุณหมอก่อนจะเล่าเรื่องออกมา “พวกนั้นน่ะมันหวานไม่คุ้นหน้าเลยด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเด็กของสักห้องที่ไม่ค่อยชอบมาเรียน”
“...”
“คือว่ามันหวานอยู่ในห้องคนสุดท้ายเพราะมัวแต่ปิดหน้าต่าง แล้วพอพวกนั้นเห็นมันหวานอยู่คนเดียวเลยเข้ามา ปิดประตูแล้วพยายามจะเอาเงินมันหวานไป”
ปลายเมฆรับฟัง สองคิ้วเขาขมวดกันมุ่น
“เขาเตะโต๊ะ เตะเก้าอี้ขู่มันหวาน พอมันหวานจะวิ่งหนีเขาก็ผลักมันหวาน”
“...”
“แย่งกระเป๋าจะเอาเงินให้ได้ แต่มันหวานไม่ยอมเขาเลยจะต่อยมันหวาน.. มันหวานแค่ให้เงินเขาไม่ได้”
ทั้งที่เป็นเด็กที่น่ารักขนาดนี้ ทำไมต้องมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ด้วย
“เพราะเงินนั่นมันหวานจะใช้ซื้อของให้หมอปลาย”
“ซื้อของให้ฉัน?” ปลายเมฆทวนคำก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อ บรรจงเช็ดน้ำตารวมถึงน้ำมูกออกจากใบหน้าของเด็กน้อยที่กำลังสะอื้นจนตัวสั่น
“หมอปลายจะไปแล้ว มันหวานอยากซื้อของให้”
“ไม่จำเป็นเลยมันหวาน มันแลกไม่ได้เลยถ้าเธอจะเจ็บตัว”
“หมอปลายไม่ดุมันหวานนะ ไม่เอา” คนตัวเล็กเบะปากส่ายหน้า กลัวผู้ชายร่างยักษ์สองคนนั้นก็มากพออยู่แล้วยังจะมาเจอหมอปลายดุอีก
มันหวานก็แค่อยากจะทำอะไรให้คนที่ตัวเองชอบบ้างก็เท่านั้น เพราะแบบนั้นแล้วเงินไม่มากที่อยู่ในกระเป๋าตังค์จึงสำคัญเหลือเกินสำหรับมันหวาน
“ไม่ได้ดุ เขาเรียกเป็นห่วง” ปลายเมฆถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะลูบผมเรียกขวัญคนเด็กกว่า "ทั้งป่วย ทั้งโดนไถเงินแล้วฉันจะกลับกรุงเทพฯด้วยใจเป็นสุขได้ไหมเนี่ย"
“ก็ไม่กลับไงหมอปลาย” พอเห็นโอกาสมันหวานจึงกอบโกย เพราะใจจริงก็ไม่ได้อยากให้อีกคนไปอยู่แล้ว
จะโดนหาว่าเอาแต่ใจมันหวานก็ยอมหมดแล้วนาทีนี้
“เราคุยกันแล้วมันหวาน ไม่ดื้อ”
ปลายนิ้วชี้เคาะลงหน้าผากของเด็กน้อยที่ยังคงมีแผ่นเจลลดไข้อยู่ ปลายเมฆยีผมมันหวานเบาๆเมื่อรู้สึกว่าอีกคนขวัญกลับมาแล้ว คุณหมอจึงละตัวไปเก็บข้าวของที่ตกหล่นใส่กระเป๋าให้กับเด็กแครอทจนครบทุกชิ้นก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้น
“ขอบคุณนะจ๊ะหมอปลายที่มาช่วยมันหวาน”
“อืม”
“เหมือนฮีโร่เลย” คนตัวเล็กยิ้มแม้จะมีคราบของน้ำตาอยู่ แต่ในวินาทีที่หมอปลายเปิดประตูเข้ามาเหมือนมันหวานได้เห็นเจ้าชายขี่ม้าขาวเลยล่ะ
จริงๆนะ
“เพ้อเจ้อ” ปลายเมฆเสหน้าไปทางอื่นเมื่อรู้สึกแปลกกับรอยยิ้มหวานๆนั้นอีกแล้ว คุณหมอกระแอ่มไอเบาๆก่อนจะยื่นมือไปหาเด็กตรงหน้า
“จ๋า?” มันหวานเอียงคอสงสัย
“จับมือฉัน เดินไปด้วยกัน”
“...”
“แล้วจะไม่มีใครกล้ามาทำร้ายเธอ”
มันหวานก้มหน้าเขินกับคำพูดนั่น ไม่รู้ว่าคนตัวโตกว่ามีความหมายอื่นแฝงในประโยคนั้นไหม แต่สำหรับมันหวานคำพูดของหมอปลายเมฆทำให้ใจของเขาเกิดการเต้นผิดจังหวะอีกแล้ว
มันหวานส่งมือของตัวเองให้คนตัวโตกว่ากอบกุมก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมๆกัน มันหวานหวังว่าในสักวันจะได้มีโอกาสเดินจับมือคู่นี้ และเดินไปด้วยกันในความรู้สึกที่เท่ากันเสียที
นับถอยหลังอีกสองคืนเท่านั้นที่ปลายเมฆจะได้อยู่ที่แห่งนี้ สถานที่พักใจชั่วคราวที่ทำให้รู้สึกปลดปล่อยความหม่นหมองในใจออกมาได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่คนเราก็ต้องตื่นมาเพื่อพบกับความจริงว่าในวันรุ่งขึ้นยังคงต้องโตกว่านี้ และปัญหามากมายรวมถึงความรู้สึกที่แหลกสลายต้องอาศัยเวลาทั้งนั้นในการแก้ไขให้มันดีขึ้น
ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าโปร่งจนเห็นแสงดาว คุณหมอกำลังนั่งตรงใต้ถุนบ้านกับเด็กแครอทคนเดิม ในมือของมันหวานมีจานแอปเปิ้ลที่ปอกเปลือกออกเกลี้ยงส่วนในมือของคุณหมอมีเบียร์หนึ่งกระป๋อง ไม่กล้าดื่มมากกว่านี้เพราะกลัวคนตัวขาวข้างๆจะเดือดร้อนจากความไร้สติอีก
เสียงเพลงจากวิทยุของมันหวานดังขึ้นกลบความเงียบระหว่างเขาทั้งคู่ ปลายเมฆไม่เคยรู้สึกอึดอัดต่อมันหวานเลยสักครั้งต่อให้ไม่มีคำพูดสักคำต่อกันก็ตาม
ตอนนี้เขาวางมันหวานไว้อยู่ในจุดที่ทำให้สบายใจ หากหมดพลังก็หันมามองหน้าเด็กใจดีคนนี้ มองรอยยิ้มที่มักมีเสมอเพื่อเพิ่มพลังให้แก่กัน นึกไม่ออกเลยว่าหากกลับกรุงเทพฯไปเขาจะคิดถึงรอยยิ้มนี้มากแค่ไหน
เรื่องที่จะคุยกับกำนันก็ยังไม่มีโอกาสเพราะกำนันหมู่บ้านนี้ดูยุ่งเสียจริง ถ้าหากไม่มีเขาอยู่ด้วยมันหวานก็ไม่ต่างจากอยู่คนเดียวในแต่ละวัน
“หมอปลายอันนั้นเขาเรียกว่าดาวอะไรหรอจ๊ะ” นิ้วเรียวเล็กชี้ไปยังท้องฟ้า หมอปลายเมฆมองขึ้นไปก่อนจะยิ้มบางออกมา
“ฉันเป็นหมอไม่ใช่นักดาราศาสตร์นะ”
“จริงด้วย มันหวานนี่ซื่อบื้อจริงๆ” ว่าจบคนตัวเล็กก็เคาะหัวตัวเองเบาๆจนเรียกเสียงหัวเราะจากคนข้างกาย "แต่มันหวานสงสัยว่าดาวที่อยู่บนฟ้ามีดาวอะไรบ้างมาจากไหน”
“ฉันรู้ไม่มากหรอก รู้แค่ว่าดาวที่เราเห็นด้วยตาเปล่าตอนนี้คือดาวที่อยู่ในทางช้างเผือก” คุณหมอว่าพลางยกเบียร์ขึ้นมาจิบ
“แล้วดาวดวงนั้นทำไมกระพริบได้ แต่ดวงตรงนู้นนนน กระพริบไม่ได้ล่ะจ๊ะหมอปลาย” เจ้าเด็กแครอทกำลังกลายร่างเป็นเจ้าหนูจำไมอีกแล้วล่ะ
“ดาวที่เห็นว่ากระพริบได้น่ะเป็นดาวที่มีแสงสว่างในตัวเองเรียกว่าดาวฤกษ์”
“อ๋อๆ มันหวานพอนึกออกแล้วว่าเคยเรียน”
“อืม ส่วนดาวที่ส่องสว่างแต่ไม่กระพริบเรียกว่าดาวเคราะห์”
"แต่มันหวานชอบดาวเคราะห์มากกว่าดาวฤกษ์นะจ๊ะ”
มันหวานยกมือขึ้นแตะปลายนิ้วลงที่ดวงดาวบนฟากฟ้าเสมือนว่าสามารถได้สัมผัสมันจริงๆ คนตัวเล็กทำมือเป็นวงกลมครอบดาวเคราะห์สีสว่างที่คงนิ่งไร้การกระพริบ คล้ายกับกำลังโอบกอดดวงดาว
“ทำไมล่ะ” คุณหมอถามพลางมองมือเล็กที่พยายามจะกำดาวเคราะห์ดวงนั้น
“ถึงดาวเคราะห์จะไม่มีแสงสว่างในตัวเองแต่ก็ยังคงสามารถส่องแสงอยู่ได้”
“...”
“ดาวเคราะห์อาจจะไม่ได้วิ๊บวับเรียกสายตาให้คนมองเหมือนดาวฤกษ์ แต่ดาวเคราะห์ก็ทำให้ท้องฟ้าที่มืดมิดสวยได้เหมือนกัน”
“…”
“หมอปลายว่าไหมจ๊ะ” มันหวานละมือออกจากท้องฟ้าก่อนจะหันหน้ามามองคนข้างกายเพื่อรอคำตอบ แต่คุณฮีโร่กลับส่งยิ้มบางเบามาให้และจ้องมองท้องฟ้าแทนการให้คำตอบแก่กัน
แต่ก็ไม่เป็นอะไรหรอก
มันหวานเอื้อมแขนไปยังท้องฟ้าอีกครั้ง มือเล็กกำครอบดาวเคราะห์ดวงหนึ่งบนแผ่นฟ้า ก่อนจะหันกลับมาหาคนข้างกาย ขวามือใหญ่ที่อุ่นสัมผัสเสมอ ก่อนจะบรรจงวางดาวเคราะห์ทิพย์ดวงนั้นลงไป
“ดาวเคราะห์ดวงนี้มันหวานให้หมอปลาย”
ปลายเมฆเฝ้ามอง เขากำลังเฝ้ามองดาวเคราะห์ดวงนั้นที่ย้ายจากบนฟ้ามาอยู่ในมือของเขา
“ไม่ว่าหมอปลายจะอยู่ที่ไหน ห่างจากมันหวานเท่าไร มันหวานอยากให้หมอปลายมองดาวเคราะห์ดวงนี้”
ดาวเคราะห์ดวงนี้ของมันหวาน ดวงที่เขาไม่ต้องปีนป่ายเพื่อไปคว้ามันมา
“ให้มันหวานได้รู้สึกว่าเราไม่ได้ห่างกันเลย เรายังคงมองท้องฟ้าผืนเดียวกัน ยังคงเห็นดวงดาวที่ม่านเมฆเหมือนกัน”
เป็นดาวเคราะห์จากเด็กแสนดีคนหนึ่ง เด็กแสนดีคนนั้นที่เป็นคนนำมันมาใส่มือของเขาเอง
“มันหวานอาจจะไม่ได้ส่องแสงระยิบระยับเหมือนกับดาวดวงนั้น อาจจะไม่น่ามองจนหมอปลายต้องหยุดสายตา”
ไม่หรอก ที่จริงแล้วมีหลายคราที่ปลายเมฆเผลอหยุดสายตา
“แต่ถ้าหมอปลายมองมา จะเห็นว่ามันหวานยังอยู่ที่เดิม แม้จะมีเพียงแสงที่น้อยนิดก็ตาม”
ปลายเมฆมองรอยยิ้มหวานของเด็กที่แสนดี มองดวงตากลมโตที่เหมือนขโมยดาวบนท้องฟ้าไปไว้ในแววตาของเจ้าตัว
“ถึงมันหวานจะไม่ได้เป็นดาวที่สวยที่สุด”
“...”
“แต่มันหวานอยากเป็นดวงดาวของหมอปลายนะ”
ปลายเมฆกำลังซึมซับคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้งนั้น เขาไม่ได้ฟังประโยคหวานซึ้งและแฝงไปด้วยความรู้สึกจริงใจจากใครแบบนี้มาสักพักแล้ว แต่มันหวานกลับกำลังทำมัน
เอ่ยประโยคที่ทำให้หัวใจได้เริ่มใช้งานด้วยแววตาใสซื่อที่สุกสกาวคู่นั้น
“แต่ที่กรุงเทพฯเรามองไม่เห็นดวงดาวหรอกรู้ไหม” ปลายเมฆเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“...”
“บนท้องฟ้าที่กรุงเทพฯถูกฉาบไปด้วยกลุ่มควันและตึกสูงจนบดบังแสงดาวพวกนี้”
“...”
“ถ้าเธออยากเป็นดวงดาวของฉัน มันอาจจะเป็นไปได้ยากมันหวาน”
ถ้อยประโยคที่แสนระวังนั่น ปลายเมฆพยายามจะใหอีกฝ่ายเข้าใจมันด้วยตัวเอง
คุณหมอบีบมือเล็กนั้นเบาๆในขณะที่เขาทั้งคู่ยังคงมองตากัน ปลายเมฆสัมผัสได้อีกครั้งในความรู้สึกที่มันหวานส่งให้ และเขารู้ว่ามันมีแต่ความจริงใจในความใสซื่อแสนไร้เดียงสา
มีแต่ความจริงใจอัดแน่นอยู่ในหัวใจดวงเล็กดวงนั้น
แต่เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่มันหวานเห็น สิ่งที่เขาเห็น มันจะไม่ใช่สิ่งเดียวกันในแผ่นฟ้าผืนนั้น
“หมอปลายหมายความว่ามันหวานไม่มีสิทธิ์เป็นดาวดวงนั้นของหมอปลายได้เลยหรอ” ความหมายถูกไตร่ตรอง และน้ำเสียงหวานใสนั้นเริ่มสั่นเครือ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรกันยามที่ได้คุยถึงความรู้สึกส่วนลึกให้คนตรงหน้าฟัง มันหวานจะกลายเป็นคนที่ควบคุมความรู้สึกตัวเองรวมถึงน้ำเสียงขึ้นมาไม่ได้ทันที
มันหวานจะสูญเสียการควบคุมตัวเองอย่างง่ายดาย
สูญเสียอย่างฉับพลัน
“เปล่า ฟังให้จับก่อนเด็กแครอท” ปลายนิ้วใหญ่จิ้มแก้มเด็กตรงหน้าที่กำลังคิดไปในทางที่แสนจะตัดพ้อ
และเพราะการควบคุมที่รวนเรนั่น ทำให้มันหวานต้องสลับความตัดพ้อเป็นรอยยิ้มเพียงแค่สัมผัสบางเบาตรงปลายแก้ม
“ถ้าเธออยากเป็นดวงดาวของฉันเธอต้องเปล่งแสงมากกว่าดาวดวงไหน”
มันหวานรับฟัง
...เขารับฟัง
“ทำให้ฉันสังเกตเห็นเธอได้จนต้องหยุดมอง”
มันหวานกำลังคิดตาม
...เขากำลังทบทวน
“ทำให้ฉันรู้สึกอยากครอบครองดาวดวงนี้แต่เพียงผู้เดียว”
ว่าเขาสามารถเป็นดาวดวงเดียวดวงนั้นของหมอปลายเมฆได้หรือไม่
และเขาต้องใช้เวลานานแค่ไหน
“แล้วมันหวานจะได้เป็นดาวเพียงดวงเดียวในใจของหมอปลายไหม” คำถามเป็นของคนที่อยากได้ความหวัง ลูกแก้วกลมใสทั้งสองข้างกำลังสะท้อนม่านแห่งความคาดหวังที่คนตรงหน้าอาจจะใจดีมอบให้
“ถ้าเธอทำได้ เธอจะเป็นดวงดาวเพียงดวงเดียวในใจฉัน”
ถ้ามันหวานทำได้อย่างนั้นหรือ?
“ถ่วงน้ำหนักดวงดาวของเธอให้มันตรึงอยู่ที่ใจของฉัน อย่าปลิวหายไปอย่างง่ายดายเหมือนดาวดวงก่อน”
ถ้ามันหวานทำได้จริงๆ
ต่อให้มีดาวอยู่บนท้องฟ้าเป็นล้าน ต่อให้โดนตึกสูงๆหรือควันอะไรนั่นบดบัง
หมอปลายเมฆก็ยังคงเห็นดวงดาวที่ชื่อว่ามันหวานใช่ไหม?
“ถ้ามันหวานอยากเป็นดวงดาวของฉัน ..ฉันขอเวลาได้ไหม”
ปลายเมฆรู้แล้วว่าการใกล้ชิดเป็นบ่อเกิดแห่งการให้ความหวังได้อย่างไร เพราะตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับการหยิบยื่นความหวังให้แก่มันหวานแม้จะยังปลดปล่อยคนเก่าออกจากหัวใจไม่ได้เลยก็ตาม แต่เขาไม่อยากตัดความตั้งใจของเด็กคนหนึ่งทั้งที่ยังไม่ได้ปล่อยให้พยายามอย่างเต็มที่
แม่มักบอกเสมอว่าความรู้สึกเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเปราะบาง มันง่ายที่จะเกิดการตกหลุมรักแต่ยากที่จะตัดใจ ปลายเมฆเข้าใจในความหมายนั้นดี และสิ่งที่เขาและมันหวานกำลังเจอะเจอนั้นต่างกันสุดขั้ว
มันหวานกำลังตกหลุมรัก
ส่วนเขากำลังตัดใจ
แต่แม่ก็ย้ำเตือนในหลายคราว่าเมื่อตัดใจได้แล้ววัฏจักรแห่งการตกหลุมรักจะหมุนเวียนมาใหม่ ไม่ผิดหากเราจะปล่อยให้ตัวเองลองที่จะตกหลุมรักอีกครั้ง แม่สอนว่าอย่ากลัวกับการเริ่มต้นใหม่ เพราะมันคงจะมีสักครั้งที่วงล้อแห่งการรักนั้นจะเป็นของเราอย่างสมบูรณ์แบบ
และปลายเมฆหวังว่าเมื่อเขาตัดใจได้อย่างไร้เยื่อใยจากใครคนเก่า เขาจะสามารถเริ่มการหมุนวงล้อแห่งการตกหลุมรักครั้งใหม่ได้อีกครั้งกับหัวใจดวงเดิมของตัวเองแต่เปลี่ยนเจ้าของใจ และหวังว่าใครคนนั้นอาจจะเป็นเด็กตรงหน้าที่มีแววตาแห่งความจริงใจ ปลายเมฆแค่หวังว่ามันหวานจะปัดเป่าความกลัวในการเริ่มต้นใหม่ออกไปจากใจของเขาได้และไม่ทำให้เขาต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดอีก
ถ้าหากเขาเลือกจะหมุนวงล้อแห่งรักอีกครั้ง
“ได้.. ได้เสมอหมอปลาย มันหวานจะรอนะ” คนตัวเล็กยิ้ม น้ำเสียงที่เอ่ยไปนั้นบ่งบอกได้อย่างดีว่าความหวังในการได้ใจใครอีกคนมันอยู่เพียงแค่ความพยายามของเขา
และมันหวานเก่งเสมอในเรื่องของการใช้ความพยายาม
“ในระหว่างที่รอมันอาจจะเจ็บบ้าง ทุกข์บ้าง มันหวานจะไม่ท้อใช่ไหม” เป็นปลายเมฆที่ถาม เพราะที่จริงแล้วเขาก็แค่กลัวว่าจะไม่มีใครรอได้กับระยะเวลาที่เขาใช้ทำใจ
อาจจะไม่มีใครอยากรอกับการทำอะไรบางอย่างที่ไม่มีอะไรแน่นอน
“มันหวานอดทนได้ มันหวานรอเก่ง ขอแค่ปลายทางคือหมอปลาย มันหวานจะยอมทุกอย่าง”
แต่บางทีก็อาจจะมีใครบางคนที่ยอมเสี่ยง
“ขอแค่อย่างเดียว ขอแค่ลืมดาวดวงเก่าและมอบพื้นที่ในใจให้ดาวดวงนี้”
ใครบางคนที่เดิมพันด้วยหัวใจของตัวเอง
“หวานขอแค่นั้นเองพี่ปลายเมฆ”
หัวใจที่มันไม่เคยใช้รักใครมาก่อน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มันหวานสู้ๆ เป็นเด็กที่อ่อนโยนมากเลยน้า
หมอต้องกลับกรุงเทพแล้ว ฮือออ
ยิ่งอ่ายิ่งชอบไรท์เขียนดีมากค่ะรออนะคะสู้ๆ
แงหมอปลายไม่กลับได้ไหม