ตอนที่ 6 : เหนือปลายเมฆ ☆ V
เหนือปลายเมฆ ☆ V
ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าระหว่างสายไหมในมือกับรอยยิ้มของคุณอันไหนมันหวานมากกว่ากัน
หกโมงตรงกับเสียงของไก่ขันแทนเสียงของนาฬิกาปลุก คุณหมอหยัดตัวลุกขึ้นจากที่นอนพลางสะบัดหัวไล่ความเมาค้างก่อนจะนั่งนิ่งๆสักพัก ภายนอกหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ตลอดทั้งคืนทำให้เห็นว่าเช้านี้อากาศนั้นแสนจะดีพอเหมาะกับดวงอาทิตย์กลมโตนอกหน้าต่างนั่น
ปลายเมฆบิดตัวซ้ายขวานั่งตั้งสติอีกสักพักก่อนที่ภาพเมื่อคืนจะฉายชัดเข้ามาในสมอง เขาทะเลาะกับมันหวาน จำได้ดีว่าเด็กคนนั้นร้องไห้ จำได้ดีกับคำสารภาพความรู้สึกที่เด็กคนนั้นมีให้ และจำได้ดีว่าถึงแม้ใบหน้าติดหวานนั้นจะมีน้ำตาแต่มันหวานเป็นคนพยุงเขาขึ้นมาส่งถึงห้องนอนพร้อมกับน้ำเสียงสั่นเครือในคำว่าฝันดี
ปลายเมฆจะไม่ใส่ใจและรู้สึกผิดมากมายขนาดนี้ถ้ามันหวานบอกคำว่าชอบด้วยน้ำเสียงสดใสแบบที่เจ้าตัวถนัดไม่ใช่บอกชอบด้วยหยดน้ำตา ไม่รู้ว่ามันหวานชอบเขาไปได้อย่างไรทั้งที่เขาทั้งคู่เพิ่งเจอกัน ไม่ทันรู้จักกันดีเลยด้วยซ้ำ
มันหวานไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยยกเว้นชื่อและรู้ว่าเป็นหมอ เป็นลูกของเพื่อนสนิทพ่อตัวเอง ปลายเมฆไม่ได้บ่งบอกความเป็นตัวเองที่ลึกซึ้งขนาดที่จะทำให้เด็กคนนั้นหลุดคำว่าชอบออกมาได้เลยสักนิด
เขาน่ะไม่น่าจะมีอะไรให้มันหวานมาชอบได้เลยไม่ใช่หรือไง
หรือบางทีมันหวานแค่อยากรู้อยากลองตามประสาเด็กที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น มันอาจจะเป็นแบบนั้น ปลายเมฆอาจจะรู้สึกเบาใจถ้าไม่ใช่เพียงเพราะสิ่งที่มันหวานอยากลองมันเกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความรู้สึกของมันหวานที่เขาอาจจะรับมันไว้ไม่ได้ เขากลัวว่าเด็กอย่างมันหวานจะผิดหวังและมีน้ำตาเพราะกันอีก บอกตามตรงว่าหัวใจของปลายเมฆยังไม่พร้อมจะเปิดใจรับใคร
รวมถึงยังไม่พร้อมจะเรียนรู้ความรักครั้งใหม่
ถ้ามันหวานเพียงอยากรู้อยากลองแล้วพอถึงเวลาหนึ่งเกิดเบื่อและล้มเลิกไปก็คงจะดี แต่ถ้าไม่..ถ้ายังคงพยายามที่จะเข้าใกล้กันพยายามจะเปิดความรู้สึกของเขาให้สัมผัสกับความรักอีกครั้งปลายเมฆก็ไม่แน่ใจว่าจะห้ามตัวเองได้มากแค่ไหนเพื่อให้มันหวานไม่เสียใจหรือเสียใจน้อยที่สุด
เขาไม่อยากให้มันหวานมารู้สึกกับคนที่มีใครในใจเช่นเขา
มันหวานรู้ว่าเขามีคนเก่าอยู่ในหัวใจ มันหวานคงต้องรู้ว่านั่นหมายถึงว่าตัวเองอาจจะต้องเจ็บปวด ก้อนเมฆที่มันหวานเลือกจะปีนขึ้นไปและเสี่ยงจะตกลงมาอาจจะไม่ใช่แบบที่วาดฝัน หากมันหวานยังยืนยันความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขา
ปลายเมฆพนันได้เลยว่าเด็กคนนี้จะต้องเสียน้ำตาอีกแน่ๆ
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงจากภายนอกดังขึ้นในเวลาเดิมเหมือนกับทุกๆวันปลายเมฆเอ่ยตอบรับก่อนที่เด็กคนเดิมจะเดินเข้ามา แต่ที่น่าแปลกคือรอยยิ้มของมันหวานยังคงมีให้กันเหมือนอย่างเคยแม้ว่าดวงตาของเด็กตรงหน้าจะติดช้ำจากการร้องไห้เมื่อคืน
ทำไมยังยิ้มให้กันได้ทั้งที่เขาเพิ่งทำร้ายความรู้สึกไปแบบนั้น
ทำไมกันมันหวาน
“ไปใส่บาตรกับมันหวานไหมจ๊ะ”
น้ำเสียงนั้นยังคงหวานหูเหมือนอย่างเคยจนปลายเมฆรู้สึกผิด มันหวานควรจะโกรธหรือต่อว่ากันสักคำ แต่ไม่เลย มันหวานยิ้มอยู่แบบนั้นก่อนจะขยับกายมาพับผ้าห่มให้
“มันหวาน” ปลายเมฆจับมือเล็กเบาๆ
“จ๋า?”
“ไม่โกรธหรอ”
มันหวานไม่ตอบในทันที เด็กน้อยหัวเราะเบาๆก่อนจะนั่งลงที่ปลายเตียง ข้อมือเล็กนั่นถูกฝ่ามือใหญ่กว่าจับกุมและอีกฝ่ายไม่ได้ขืนมือออก
“มันหวานไม่รู้จะโกรธทำไม”
“ฉันทำเธอร้องไห้นะ”
“มันหวานเข้าใจนะหมอปลาย เข้าใจทุกอย่างเลย” ดวงตากลมที่สบมองกันนั้นไม่ได้ทำให้ปลายเมฆเข้าใจอะไรขึ้นได้เลย
“เข้าใจว่าอะไร”
“เอาเป็นว่ามันหวานเข้าใจ และมันหวานไม่โกรธหมอปลาย”
“...”
“เรื่องเมื่อคืนช่วยถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นได้ไหม ถ้านั่นมันทำให้หมอปลายรู้สึกอึดอัด”
ปลายเมฆไม่ได้ตอบกลับในทันที เขามองหน้าเด็กตัวเล็กที่แววตาใสซื่อนั้นได้ตอกย้ำว่าปลายเมฆได้ทำผิดไปในเรื่องของเมื่อคืน เขาทั้งตะหวาดใส่มันหวาน ตะโกนใส่หน้า ลืมตัวจนทำให้มันหวานเจ็บจากการที่กำข้อมือเล็กเสียแน่น รอยน้ำตาของมันหวานยังคงติดตากระทั่งวินาทีนี้ แล้วการที่มาขอว่าให้เรื่องเมื่อคืนเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น ปลายเมฆคงทำให้ไม่ได้ ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้วและเขาเองก็รู้ถึงความรู้สึกของมันหวานที่มีต่อกันชัดเจนเต็มสองหู
“ฉันขอโทษ..”
“มันหวานก็ขอโทษที่ใจง่ายบอกชอบหมอปลายไปแบบนั้น”
“ไม่” คนแก่กว่าเว้นช่วง ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆก่อนจะปล่อยข้อมือของเด็กตรงหน้าและมองตากัน "เธอไม่ได้ผิดที่ชอบฉัน”
“แต่ก็ไม่ได้ถูกใจหมอปลายใช่ไหม”
“...”
“หมอปลาย..” นิ้วเรียวเล็กนั้นแตะลงหลังมือหนาอย่างแผ่วเบา
“หืม?”
“ให้มันหวานลองดูได้ไหม แล้วมันหวานรับปากนะ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมายังไง มันหวานจะรับผิดชอบความรู้สึกตัวเอง”
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกมันหวาน” ใช่..มันอาจจะเป็นไปไม่ได้หรอก
“หมอปลายกำลังตัดโอกาสมันหวานนะรู้ไหม”
ปลายเมฆพอมองออกว่าลึกๆมันหวานเป็นเด็กดื้อรั้น แต่ไม่ได้คิดว่าจะดื้อได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่เขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วแต่มันหวานก็ยังดื้อที่จะลอง
“หมอปลายจะมองว่ามันหวานเป็นเด็กแบบไหนมันหวานไม่รู้”
“...”
“แต่สิ่งหนึ่งที่มันหวานรู้คือมันหวานเป็นคนที่จะไม่ยอมแพ้จนกว่าปลายทางจะไม่มีแล้วจริงๆ”
“...”
“มันหวานชอบหมอปลายนะ”
“แต่มันเร็วไป” หมอปลายเมฆแย้งแต่เด็กน้อยกลับหัวเราะออกมาเบาๆ
“หมอปลายไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่าตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบสบตาหรอจ๊ะ”
คำพูดของมันหวานทำให้ปลายเมฆนึกย้อนไปถึงม่านฝน ใช่..เขาเคยได้ยินประโยคแบบนี้และเคยพบเจอมันมากับตัว เพราะม่านฝนคือคนนั้น คนที่ทำให้ตกหลุมรักได้เพียงแรกพบสบตา
“เข้าใจใช่ไหมจ๊ะ เพราะงั้นอย่าห้ามมันหวานเลยนะ”
ร่างสูงมองหน้าคนตัวเล็กกว่า แววตาของมันหวานดูไม่มีความล้อเล่นจนปลายเมฆรู้สึกว่าต้องยอมให้กับความมุ่งมั่นนั้น บางทีเขาอาจจะต้องยอมเปิดโอกาสให้กับคนที่เอ่ยขอ อาจจะต้องลองเสี่ยง..ถือว่าให้โอกาสที่จะได้เดินหนีแล้ว แต่ในเมื่อมันหวานเลือกที่จะเดินเข้าใกล้กันก็คงห้ามอะไรไม่ได้อีก
“อืม แต่ถ้าไม่ไหวก็ถอยออกไปได้เลยนะ อย่าฝืนให้ตัวเองเจ็บ”
มันหวานไม่ตอบเพียงพยักหน้าหงึกๆพร้อมรอยยิ้มสดใสเหมือนกับดวงตะวันนอกบานหน้าต่าง
ปลายเมฆไม่รู้ว่าเด็กอย่างมันหวานจะทำยังไงกับเขาต่อนับจากนี้ ในเมื่อเจ้าบ้านกับผู้อยู่อาศัยเช่นเขามีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน แต่ก็หวังลึกๆว่ามันหวานจะล้มเลิกความตั้งใจก่อนที่จะติดกับดักแห่งความเจ็บปวด หวังว่ามันหวานจะเป็นเพียงเด็กอายุสิบแปดคนหนึ่งที่จะหมดสนุกกับการลองปีนปลายเมฆก้อนนี้ที่มีปลายทางเป็นเขา
เขา..ปลายเมฆผู้ที่ไม่กล้าเริ่มรับความรู้สึกจากใครอื่นเพราะหัวใจมันติดอยู่กับเจ้าของคนเดิม
ตกเย็นมันหวานชวนกันไปเดินเล่นที่ตลาดไม่ห่างไกลจากโรงเรียนตัวเองมากนัก ปลายเมฆเองก็ไม่ได้ค้านอะไรเพราะคิดว่านาทีนี้ควรจะตามใจเด็กตัวน้อยเพราะอยากแก้ตัวกับความผิดที่ตัวเองก่อไปเมื่อคืน
โรงเรียนของมันหวานไม่ได้ใหญ่นัก คนตัวเล็กเล่าว่ามีนักเรียนในแต่ละห้องไม่มาก แต่ก็ได้รับความรู้แน่นปึ้กและโม้ว่าตัวเองเรียนเก่งมากๆไม่เคยหลุดสามอันดับแรกของชั้นปีเลย คนเป็นหมอก็ได้แต่เออออตามไปเพราะไม่อยากขัดบทขี้โม้ของเด็กตัวจ้อย
เราเดินเล่นกันที่ตลาดเรื่อยๆโดยที่มันหวานจับมือคนโตกว่าไว้หลวมๆ เด็กน้อยให้เหตุผลว่ากลัวจะหลงกันเลยต้องจับมือ แต่ปลายเมฆรู้ว่านี่มันคือข้ออ้างคนที่ชอบแต๊ะอั๋ง
“หมอปลายมันหวานเลี้ยงสายไหมนะจ๊ะ”
“ไม่—“ ยังไม่ทันที่จะบอกว่าไม่ชอบกินเด็กน้อยก็ตรงไปยังลุงขายสายไหมเสียแล้ว แล้วก็นะสายไหมที่เลือกมาก็สีชมพูหวานแจ๋ว
“หวานมากๆเลยจ่ะ อร่อยสุดๆเลยนะ”
ปากเล็กนั้นจ้อไม่หยุดในขณะที่มือก็ฉีกสายไหมเข้าปากตัวเองและไม่ลืมที่จะป้อนให้คุณหมอด้วยเช่นกัน
“อร่อยไหมๆ”
เจ้าตัวส่งยิ้มหวานเลี่ยนจนปลายเมฆต้องหลบสายตาก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ที่จริงคือมันหวานจนแสบคอแต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตอบเอาใจเด็กหน้าหวานนี่ด้วย
ปลายเมฆเดินตามแรงจับมือของคนตัวเล็กกว่า เขามองมันหวานที่คุยนั่นนี่ไม่หยุดปาก แวะทักทายคนนั้นคนนี้ไปทั่วอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สายไหมสีชมพูบัดนี้ตกมาอยู่ในมือของคุณหมอแทนเพราะเด็กแครอทกำลังตกหลุมรักอยู่กับชานมไข่มุกแก้วใหญ่
แล้วยังไงล่ะ คุณหมอก็ต้องจัดการสายไหมที่เหลือคนเดียว กินไปกินมาเรื่อยๆจนหมดก็ค้นพบว่ามันไม่ได้แย่เท่าไร ถึงจะหวานจนเลี่ยนปากและประโยชน์ไม่มี แต่พอเทียบกับรอยยิ้มของมันหวานในตอนนี้ก็เล่นทำเอาสายไหมรสหวานสีชมพูจืดไปเลย
บางครั้งปลายเมฆก็แอบคิดว่ามันหวานเป็นเด็กที่อารมณ์แปรปรวนง่ายหรือเปล่า เมื่อคืนยังร้องไห้แถมยังเสียงดังใส่กันอยู่เลย ดูตอนนี้สิอย่างกับคนละคน เด็กอะไรพลังความสดใสเต็มเปี่ยมจนแสงตะวันยังอาย
แล้วทำไมเขาต้องเอามันหวานไปเปรียบกับพระอาทิตย์ตลอดเลยล่ะ?
“เย็นนี้หมอปลายอยากกินอะไรหรอจ๊ะ”
“อะไรก็ได้”
ตอบกลับไปเหมือนทุกวัน และมันหวานเองก็ทำอาหารที่ไม่ซ้ำเมนูให้ได้กินตลอดเกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา จนตอนนี้ปลายเมฆจำรสฝีมือของเด็กน้อยนี่ได้เสียแล้ว
“งั้น..ต้มข่าไก่ไหมจ๊ะแล้วก็คอหมูย่าง” เด็กตัวเล็กเสนอ
“ตามนั้น”
เขาทั้งสองเดินเล่นกันอีกสักพัก ได้ผลไม้และขนมหวานติดมือกลับบ้านมานิดหน่อย มันหวานดูจะมีความสุขมากๆกับการมาตลาดในครั้งนี้ สังเกตได้จากมือที่ยังถูกกุมเอาไว้ไม่มีปล่อยแถมยังแกว่งเล่นไปมาอีกต่างหาก
“หมอปลายไปพักเถอะจ้ะ เดี๋ยวมันหวานทำกับข้าวเสร็จแล้วจะเรียกนะ”
“ไม่เป็นไรช่วยกัน”
“หมอปลายทำอาหารเป็นหรอจ๊ะ?” เด็กตัวขาวทำหน้าตกใจจนปลายเมฆต้องเคาะหน้าผากกว้างนั้นเบาๆ
“ช่วยหั่นผักหั่นเนื้อได้” คุณหมอว่า
“อ๋ออออ” มันหวานลากเสียงซะยาวก่อนที่เจ้าตัวจะยกเขียงกับมีดและเนื้อหมูมาให้ “งั้นหั่นหมูก่อนเลยจ้ะคุณหมอ”
ปลายเมฆยืนหั่นหมูตามคำสั่งของพ่อครัวตัวเล็กไปเรื่อยๆ ส่วนพ่อครัวหลักก็กำลังวุ่นอยู่กับแกงในหม้อ สิ่งที่ปลายเมฆได้เห็นและทำมันกำลังทำให้เขาคิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังมีความสุขทั้งที่ตรงหน้ามันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษสักนิดเดียว
ใช้เวลาไม่นานกับข้าวก็พร้อมสำหรับเขาทั้งสองคนเพราะลุงกำนันยังไม่กลับบ้านมาเหมือนเคย ทำเอาอดแปลกใจไม่ได้ว่าเวลาที่ลุงแกไม่อยู่มันหวานก็ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้น่ะหรอ ตัวก็แค่นี้น่าเป็นห่วงจะตายไป
พวกเขานั่งกินข้าวด้วยกันเหมือนวันที่ผ่านมาและมันหวานก็มีเรื่องมาเล่าให้ฟังทุกที แปลกดีที่ไร้ความอึดอัดทั้งที่มันหวานเพิ่งเสียน้ำตาไปในเรื่องของเมื่อคืน แต่นั่นก็อาจจะดีไม่งั้นปลายเมฆคงรู้สึกแย่ไม่เลิก
หลังจากอิ่มกับมื้ออาหารคุณหมอก็ขออาสาเป็นคนล้างจานและมันหวานไม่ได้ห้ามอะไรเพียงแค่แยกไปกวาดบ้านถูบ้านเพื่อรอเวลาสองทุ่มครึ่งที่ละครจะมา
ปลายเมฆขึ้นห้องอาบน้ำหลังจากล้างจานเสร็จก่อนจะเดินลงมาชั้นล่าง ทิ้งตัวนั่งโซฟาข้างๆเด็กหน้าขาวแป้งที่กำลังนั่งเกาสายกีต้าร์อยู่
“เล่นเป็นด้วย?”
“นิดหน่อยจ้ะ”
คุณหมอพยักหน้าตอบรับพลางมองเด็กหนุ่มปรับสายกีต้าร์ก่อนจะเกามันเบาๆ เสียงทุ้มๆ ของกีต้าร์ที่ดังออกมาทำให้รู้สึกว่าเด็กมันหวานมีอะไรอีกเยอะที่จะทำให้แปลกใจ
“มันหวานร้องเพลงให้ฟังไหมจ๊ะ ระหว่างรอละครมา”
“เอาสิ”
มันหวานยิ้มอีกครั้ง คุณหมอนั่งมองเด็กข้างกายลูบสายกีต้าร์เบาๆในขณะที่สมองก็นึกเพลงที่จะร้องไปด้วย ปลายเมฆอยากรู้เหมือนกันว่าเสียงใสๆของมันหวานเวลาเปล่งเป็นเพลงออกมามันจะไพเราะแค่ไหน
“รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง รู้ว่าเหนื่อยถ้าอยากได้ของที่อยู่สูง ยังไงจะขอลองดูสักที”
เสียงกีต้าร์จังหวะนุ่มๆกับเสียงหวานใสของมันหวานไม่ได้ทำให้รู้สึกคันที่ใจเท่ากับความหมายของเพลงที่กำลังร้องออกมา
มันหวานมองหน้ากัน เด็กน้อยไม่ได้ก้มมองสายกีต้าร์เลยสักนิด ใบหน้าหวานนั้นมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่ ปากเล็กๆสีธรรมชาติก็ขยับไปเรื่อยๆตามเนื้อเพลงที่เปล่งออกมา
“รู้ว่าเราแตกต่างกันเท่าไร รู้ว่าเธออยู่ไกลอยู่สูงขนาดไหน ใครๆ ก็รู้เป็นไปไม่ได้ แต่คำว่ารักมันสั่งให้ฉันต้องปีนขึ้นไป..”
ปลายเมฆเข้าใจในความหมายของเพลงที่อีกฝ่ายกำลังสื่อมันออกมา เขาไม่ได้โง่เพราะว่าเจนโลกมาพอสมควร และขอยอมรับว่านี่คือครั้งแรกที่มีคนมาร้องเพลงให้ฟังต่อหน้าแบบนี้
ยอมรับว่าใจของตัวเองกำลังสั่น
“ได้เกิดมาเจอเธอทั้งทีไม่ว่ายังไงก็ลองดีสักวัน อยากรักก็ต้องเสี่ยง ไม่อยากให้เธอเป็นเพียงภาพในความฝัน..”
มันหวานไม่หลบสายตาเลยสักนิด เหมือนเด็กคนนี้อยากให้มองแววตาของเจ้าตัว มองว่าทุกอย่างที่ได้เอ่ยออกมาเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องโหก
มันเป็นความรู้สึกที่สัจจริง
“ลำบากลำบนไม่สนใจ..ตะเกียกตะกายสักเพียงใดก็ดีกว่าปล่อยเธอไปจากฉัน..”
เหมือนมันหวานอยากจะเอ่ยย้ำความรู้สึกที่บอกว่าชอบกันนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น.. ย้ำให้รู้ว่ามันหวานไม่ใช่เด็กน้อยที่จะเล่นสนุกกับความรู้สึกของตัวเองหรือของใคร
“ตกหลุมรักจริงๆเพราะรักจริงๆ เธอคงไม่ว่ากัน..”
มันหวานกำลังบอกผ่านแววตา น้ำเสียงแสนหวาน กับบทเพลงที่มีความหมายตรงกับความรู้สึกในตอนนี้
และตอนนี้ปลายเมฆเองกำลังรู้สึกว่ามีหัวใจบางห้องที่เต้นผิดแปลกไปจากพวก
มันผิดแปลก ไปแม้ว่าเพลงนั้นได้จบลงไปแล้วก็ตาม
มันหวานยิ้มบางให้แก่กัน ก่อนจะวางกีต้าร์ไว้ข้างกายและหันไปสนใจกับละครที่มาพอดี ไม่มีคำพูดใดหลังจากนั้น
ซึ่งนาทีนี้ปลายเมฆคงต้องทำความเข้าใจกับหัวใจที่เต้นผิดจังหวะของตัวเองเพียงลำพัง เพราะเขาคงไม่กล้าถามคนข้างกายหรอกว่ามันเพราะเจ้าตัวหรือเปล่า กับสาเหตุของการเต้นหัวใจที่ผิดแปลกไปของเขาในครั้งนี้
อาทิตย์ที่สามที่ปลายเมฆหนีเมืองกรุงมาพักใจที่ต่างจังหวัด เขาเองก็เริ่มติดใจวิถีของชาวบ้านที่นี่มากกว่าเดิมมากๆ ปั้นข้าวเหนียวจิ้มปลาร้าสับที่เด็กมันหวานคะยั้นคะยอให้ลองและค้นพบว่ารสชาติของมันอร่อยไม่แพ้สเต็กปลาสักนิดเดียว
อยู่กรุงเทพฯเป็นคุณหมอ อยู่ต่างจังหวัดเป็นคนสวนสลัดคราบผู้ชายหล่อเหลามาดเนี้ยบมานุ่งผ้าขาวม้าอาบน้ำในโอ่ง ถือจอบถือพลั่วทำสวนเป็นลูกมือเด็กอายุสิบแปด ปลายเมฆจำไม่ได้แล้วว่าสมองของตัวเองเต็มไปด้วยเรื่องเล่าจากเด็กหน้าหวานไปมากเท่าไร รู้แค่ว่าเมื่อตื่นมาต้องมีอย่างน้อยหนึ่งเรื่องในมื้ออาหารของพวกเขาทั้งคู่
อากาศที่ต่างจังหวัดแปรปรวนไม่ต่างจากที่กรุงเทพฯสักนิด และตอนนี้ฝนกำลังตกหนัก สายฟ้าเส้นคมนอกบานหน้าต่างดูน่าหวั่นเกรงจนต้องปิดลง
แต่เพราะอากาศแปรปรวนแบบนี้จึงทำให้เด็กช่างจ้อที่แอบดื้อกำลังไม่สบายเหตุเพราะไม่ยอมปิดหน้าต่างนอนทั้งที่รู้ว่าฝนมันสาดเข้ามา แล้วเป็นยังไงล่ะปลายเมฆก็ต้องสวมบทบาทเป็นคุณหมออาสาไง
“มากินยาก่อน”
ปลายเมฆประคองคนตัวบางที่นอนซมให้ลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้มันหวานตัวร้อน หน้าแดง ปากก็แดงไปหมด แต่โดยรวมแล้วไม่ได้แย่หนักขนาดต้องไปโรงพยาบาลเพราะปลายเมฆเองก็พอมียาติดกระเป๋ามาอยู่บ้าง อย่างน้อยมันก็ช่วยรักษาเด็กดื้อได้
“มันหวานขมปากจังเลยจ่ะหมอปลาย”
น้ำเสียงแหบพร่านั้นช่างไม่คุ้นหูเพราะปลายเมฆคุ้นกับน้ำเสียงหวานจ๋ามากกว่า คุณหมออังมือที่หน้าผากของอีกคนที่ถือว่าความร้อนลดลงจากตอนแรกไปบ้างแล้ว
“อดทนหน่อยเดี๋ยวก็หายแล้ว” ถ้าไม่ดื้อน่ะนะ..ปลายเมฆคิดต่อในใจ
คุณหมอส่งยาลดไข้และแก้เจ็บคอให้แก่คนป่วย มันหวานก็รับมันมากินอย่างว่าง่ายรับน้ำมาดื่มตามจนหมดแก้วและปล่อยให้คุณหมอตัวสูงแกะแผ่นเจลลดไข้แปะหน้าผากให้
หมอปลายเมฆน่ะดูอบอุ่นมากๆเลยในสายตามันหวานตอนนี้
“อยากเช็ดตัวไหม”
“จ่ะ”
มันหวานเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพราะรู้สึกว่าเรี่ยวแรงหดหาย อยากอาบน้ำก็อยากเพราะเหนียวตัวจากเหงื่อไข้ แต่ถ้าอาบตอนนี้ไข้ต้องขึ้นแน่ๆ เพราะแบบนั้นแล้วจึงเลือกให้คุณหมอเช็ดตัวให้ดีกว่าแม้อาจจะต้องเขินมากๆจนตัวอาจจะแตก
“หลับไปเลยก็ได้เดี๋ยวเช็ดตัวให้”
หมอปลายพูดจบก็ลุกไปยังห้องน้ำเตรียมน้ำและผ้าผืนเล็กก่อนจะเดินออกมาและนั่งลงข้างๆเตียงของคนป่วยที่พยายามปรือตามองทั้งที่ตาตัวเองกำลังจะลืมไม่ขึ้น
ท่ามกลางเสียงสายฝนและเสียงลมหายใจฝืดฝาดของมันหวาน และหมอปลายเมฆที่กำลังเช็ดตัวให้คนป่วยอย่างเบามือ เช็ดตั้งแต่เรียวแขนเล็กๆรวมถึงท่อนขาที่พ้นออกมาจากกางเกงขาสั้น
คุณหมอหลุดยิ้มเมื่อมันหวานตัวเริ่มแดงขึ้นและนี่อาจจะเป็นเพราะพิษความเขินมากกว่าอาการป่วย ปลายเมฆส่ายหัวเบาๆเพราะรู้สึกเอ็นดูคนป่วยมากกว่ารู้สึกสงสารซะได้
“เช็ดหน้าหน่อยนะ” เอ่ยบอกเบาๆก่อนจะใช้ผ้าอีกผืนเช็ดใบหน้าของคนป่วย พยายามยั้งมือไม่ให้ลงแรงมากนักเพราะเกรงว่าอีกคนจะเจ็บ
“หมอปลายจ๋า”
“ว่าไง”
“มันหวานทำให้ลำบากไหม”
ปลายเมฆยิ้มส่ายหน้าตอบเบาๆ เขาไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอกถือว่าตอบแทนที่อีกคนดูแลกันตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมาเพราะปลายเมฆรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ
“นอนซะ ตื่นมาก็หายแล้ว”
“นอนเยอะแล้ว” เด็กน้อยเถียง
“เถียงหมอหรอ?”
คุณหมอแกล้งเอ่ยเสียงเข้มก่อนจะได้รับริมฝีปากยู่ๆของคนป่วยกลับมา ปลายเมฆเคลื่อนกะละมังใส่น้ำใบเล็กและผ้าผืนบางนั้นออกห่างจากตัวก่อนจะจัดผ้าห่มให้อยู่บนกายคนป่วย ลูบหน้าผากมนผ่านเจลลดไข้เบาๆพลางยิ้มบางออกมา
“นอนซะ ถ้าหายแล้วหมอจะให้วิตามินซี”
“มันหวานโตแล้ว”
“ไม่เอา?”
“สองถุง” นิ้วเรียวนั้นพยายามยกประกอบคำพูดทั้งที่ก็ไม่ค่อยจะมีแรง มันหวานยิ้มแม้จะถูกไข้รุมแต่มันหวานไม่มีทางลืมส่งรอยยิ้มให้หมอปลายเมฆในแต่ละวันหรอกนะ
“โอเคสองถุง แต่ตอนนี้หลับได้แล้ว”
“หมอปลายอยู่ด้วยกันได้ไหม ฟ้าร้องแบบนี้มันหวานนอนไม่หลับเลย”
“เชื่อมากครับ” ปลายนิ้วชี้เคาะลงที่แก้มสีจัดของอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน เดี่ยวนี้มันหวานชักจะเล่ห์เหลี่ยมเยอะจนแทบจะตามไม่ค่อยทัน
“น้าา นะจ๊ะๆ นะๆ” นั่น..มีเสียงสอง
เสียงแหบแห้งนั้นก็พยายามอ้อนสุดๆจนคุณหมอต้องยกธงขาว ปลายเมฆพยักหน้ารับเบาๆกระชับผ้าห่มให้ปิดแผ่นอกของคนป่วยก่อนจะขยับตัวนั่งพิงหัวเตียงเฝ้าอีกคนตามคำขอ
มันหวานยิ้มจนแก้มอูมเมื่อหมอปลายเมฆตามใจ หากรู้ว่าป่วยแบบนี้แล้วเอาแต่ใจได้ก็อยากจะลองแกล้งป่วยไปนานๆ ตอนนี้หัวใจมันหวานเต้นรำยิ่งกว่าผีเสื้อเริงระบำเสียอีก ที่จริงมันหวานน่ะไม่เคยกลัวฟ้าฝนเลยสักนิดที่โกหกไปนั่นก็เพราะอยากอยู่กับคนที่ตัวเองชอบเพียงเท่านั้น
เวลาผ่านไปสักพักลมหายใจของคนป่วยก็ผ่อนเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ปลายเมฆจึงได้ลุกออกจากเตียงนำน้ำไปทิ้งและนำผ้าไปตากก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง เขาไม่ลืมที่จะส่งข้อความไปบอกลุงกำนันว่ามันหวานป่วยทั้งบอกว่าจะดูแลให้แทน เพราะงานของลุงกำนันมีปัญหาที่ต้องไปจัดการ
คุณหมอมองใบหน้าติดหวานของเด็กอายุสิบแปด เกลี่ยปอยผมให้ออกจากใบหน้าเพื่อไม่ให้มันสร้างความรำคาญก่อนจะทาบมือลงที่แก้มกลมๆเพื่อวัดระดับความร้อน
ปลายเมฆยอมรับว่ามันหวานเป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักมากทั้งหน้าตาและนิสัย ยอมรับว่าความพยายามที่อีกฝ่ายพยายามจะส่งให้นั้นไม่ได้ถึงกับคำว่าสูญเปล่า ความจริงใจของมันหวานกำลังเผยให้เห็นในทุกๆวัน ในทุกๆการกระทำ แต่กระนั้นใจของปลายเมฆก็ไม่ได้อ่อนยวบเหมือนขี้ผึ้งลนไฟ
มันหวานคงต้องพยายามมากกว่านี้หากต้องการหัวใจของเขา ต้องพังกำแพงเหล็กที่เขาสร้างเพื่อปกป้องหัวใจบอบช้ำของตัวเอง แต่ปลายเมฆก็หวังว่าสักวันมันหวานจะทำสำเร็จ พังประตูเหล็กนั้นเข้ามาโดยที่เขาทั้งคู่จะไม่พบเจอกับความเจ็บปวด
ปลายเมฆหวังว่าความพยายายามของมันหวานจะไม่สูญเปล่า
และหวังว่าตัวเองจะเริ่มรับความรู้สึกของมันหวานได้ในเร็ววัน
Rrrrrr
เสียงมือถือดังขึ้น ก่อนหน้าจอจะแสดงให้เห็นว่าเป็นสายจากคนเป็นพ่อ
“ครับพ่อ”
[...]
“ผมขอลาหนึ่งเดือนไงครับ”
[...]
“พ่อครับผมกำลังดีขึ้น ขออยู่อีกสักพักไม่ได้หรอครับ”
[...]
“เข้าใจแล้วครับ สวัสดีครับ”
ปลายเมฆวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ เปลือกตาสีอ่อนปิดลงก่อนจะผ่อนลมหายใจหนักๆออกมา ทั้งที่คิดไว้แล้วว่าจะพักใจที่นี่จนครบหนึ่งเดือนแต่พ่อกลับโทรตามให้กลับไปที่โรงพยาบาลเพราะตอนนี้ที่นั่นกำลังวุ่น ปลายเมฆก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหากขาดเขาไปหนึ่งคนโรงพยาบาลพ่อจะเจ๊งเลยหรือไง แต่ไม่พอใจไปก็เท่านั้นเพราะอีกสามวันเขาก็ต้องแพ็คกระเป๋ากลับบ้านของตัวเองอยู่ดี
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องคนป่วย สายฝนข้างนอกเริ่มซาลงบ้างแล้วแต่ก็หวังว่าคืนนี้จะไม่ตกหนักไม่งั้นน้ำอาจจะท่วมได้ ปลายเมฆเดินไปยังครัวหยิบส้มมาสามลูกแกะเปลือกเรียบร้อยและวางชิ้นเนื้อไว้ในจาน มันหวานต้องได้รับวิตามินซีเสียหน่อยภูมิคุ้มกันจะได้ดีๆ
คุณหมอเดินกลับมายังห้องเดิมก่อนจะวางจานส้มลงที่โต๊ะข้างเตียง ละตัวมากระชับผ้าห่มที่ล่นลงให้คนป่วยอีกครั้งแต่เหมือนจะเป็นการรบกวนเพราะเด็กที่ป่วยกำลังลืมตามองกันตาใสแจ๋ว
“ตื่นแล้วหรอ”
“หมอปลาย”
เสียงแหบแห้งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเหมือนจะเริ่มดีขึ้น ปลายเมฆจับข้อมือเล็กที่กำลังจะขยี้ตาตัวองออกก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“เดี๋ยวเจ็บตา ลุกขึ้นมาดื่มน้ำหน่อย”
มันหวานทำตามอย่างว่าง่ายดื่มน้ำจนหมดแก้วพลางมองคุณหมอที่คว้าจานส้มขึ้นมาและหยิบมันเพื่อจะป้อนกัน มันหวานยิ้มเขินแต่ก็ยอมเปิดปากรับชิ้นเนื้อผลไม้ ความเปรี้ยวของมันทำเอามันหวานตาหยีแต่ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้ ไม่รู้เพราะวิตามินซีที่ได้รับหรือเพราะคนป้อนหน้าหล่อกันแน่
สงสัยจะเป็นอย่างหลัง
“ปวดหัวไหม” คุณหมอป้อนไปพลางถามอาการคนตัวเล็กไป
“แค่หนักๆหัวนิดหน่อยจ่ะ”
“เจ็บคอไหม”
“ลดลงบ้างแล้วจ่ะ”
คุณหมอพยักหน้ารับรู้ อย่างน้อยมันหวานก็คงจะหายก่อนที่เขาจะกลับกรุงเทพฯ ส้มชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกเด็กมันหวานกินจนหมดเกลี้ยง พออิ่มคนตัวเล็กก็ขยับตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางยื่นมือออกมาข้างหน้า
“จับมือมันหวานหน่อยได้ไหม”
ปลายเมฆไม่ได้ว่าอะไรเขาเพียงแค่จับมือเล็กหลวมๆเพราะหลายวันที่ผ่านมามือของเขาก็มักจะไม่ว่างเพราะมันหวานชอบนำไปจับเล่นเสมอ ให้เหตุผลว่ามือเขาใหญ่แถมยังอบอุ่นจับแล้วรู้สึกดีจนไม่อยากปล่อย
“อีกสามวันฉันต้องกลับกรุงเทพฯนะ”
มือมันหวานที่กำลังสนุกกับการเล่นมือหนาของอีกฝ่ายหยุดชะงัก มันหวานช้อนตามองคนตรงหน้าก่อนจะเริ่มเบะออกมาเหมือนเด็กโดนขัดใจ
“ไม่อยากให้กลับเลย”
“ที่โรงพยาบาลต้องการฉัน”
“มันหวานก็ต้องการหมอปลาย”
คนตัวเล็กก้มหน้าคางชิดอก ในใจรู้สึกโหวงแปลกๆ สามอาทิตย์ที่ได้อยู่ด้วยกันมันทำให้มันหวานกลายเป็นคนติดหมอปลายเมฆ ไม่อยากให้ห่างไปไหนไกล อยากให้อยู่ใส่บาตรด้วยกัน อยากนั่งกินข้าวด้วยกัน นั่งดูละครน้ำเน่าด้วยกัน อยากให้บอกฝันดีต่อกันเหมือนอย่างเคย ถ้าหมอปลายกลับกรุงเทพฯไปความพยายามของมันหวานที่ได้ทำไว้ที่นี่จะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ
“เบอร์ฉันเธอก็มีแล้วโทรมาก็ได้นี่”
มันหวานส่ายหน้า น้ำเสียงผ่านโทรศัพท์มันจะดีเท่าน้ำเสียงจากตัวจริงได้ยังไงกัน
“มันหวานไม่ดื้อ”
ปลายเมฆประคองแก้มกลมของคนขี้ดื้อเบาๆก่อนจะเห็นว่าดวงตากลมนั้นกำลังฉ่ำน้ำ ไม่รู้เพราะป่วยด้วยหรือเปล่ามันหวานถึงได้ดูอ่อนไหวง่ายดายขนาดนี้
“หมอปลายจะลืมมันหวานไหม”
ปลายเมฆไม่ได้ตอบในทันทีแต่เขากลับรวบตัวเด็กน้อยมาไว้ในอ้อมกอดพลางลูบแผ่นหลังแคบเบาๆ
มันหวานกระชับกอดคนแก่กว่าแน่น ฝังใบหน้าไว้ที่แผ่นอก เป็นอีกครั้งที่มันหวานได้กอดหมอปลาย และมันยิ่งตอกย้ำว่าความรู้สึกที่ชอบอีกฝ่ายนั้นเป็นเรื่องจริง
“สอบเข้าในที่ที่ต้องการให้ได้แล้วเราจะได้เจอกัน”
“มันหวานทำไม่ได้”
“เธอทำได้ เรื่องไปอยู่กรุงเทพฯเดี๋ยวฉันคุยกับกำนันให้เอง”
อ้อมกอดถูกละออก มันหวานสบตาผู้ชายตรงหน้าด้วยแววตาสั่นไหว มันหวานไม่แน่ใจว่าพ่อจะเห็นด้วยกับหมอปลายเมฆไหม แล้วถ้าไม่ล่ะ?เขาทั้งสองก็จะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นหรอ
มันหวานไม่ยอมหรอก
“ฉันมั่นใจในตัวเธอ ทำไมเธอไม่มั่นใจในตัวเองล่ะ”
“หมอปลาย..”
ปลายเมฆยิ้ม เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆให้กับเด็กขี้แย มองมันหวานที่เบะปากพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
“รอมันหวานนะ”
“...”
“อย่าเปิดใจให้ใครยกเว้นมันหวานนะหมอปลาย”
แววตาฉ่ำน้ำแสดงถึงการขอร้องจนปลายเมฆไม่กล้าปฏิเสธ คนแก่กว่าจึงพยักหน้ารับและลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถ้อยประโยคออกมาเพื่อหวังว่ามันจะเป็นกำลังใจให้แก่คนตัวเล็กได้
“หมอจะรออยู่ที่กรุงเทพฯ”
“..."
“รอให้มันหวานมาจีบหมอต่อ”
“...”
“อย่าให้หมอรอเก้อนะครับ”
หมอปลายคงไม่รู้ว่าประโยคนี้มันเป็นได้มากกว่ากำลังใจเสียอีก
กับคนที่ชอบอ่ะ มันหวานสู้ยิบตาเลยนะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เนี่ยเนี่ย! ชอบให้ความหวังงงง ทำให้พี่เค้าขาดเราไม่ได้ไปเลยมันหวานนนน!!
มันหวามสู้ๆเอาชนะใจหมอปลายให้ได้นะ/รอค่ะสู้ๆ
พี่หมอมีหวั่นอ่ะงานนี้55เด็กเค้าเอาจิงเค้าจิงจังน้องสู้เข้าไว้//รออน๊าาา