ตอนที่ 4 : เหนือปลายเมฆ ☆ III
เหนือปลายเมฆ ☆ III
ผมบอกให้คุณลองเสี่ยงกับการตกหลุมรักทั้งที่ผมเองก็หวาดกลัวกับมัน
[ปลายเมฆ Part]
ค่ำคืนนี้ฝนตกและปลายเมฆกำลังเผชิญอยู่กับฝันร้าย
มันช่างเจ็บปวดเมื่อในวันวานเราเคยได้รับอ้อมกอดแสนอุ่นจากใครบางคนเพื่อคลายหนาว แต่วันหนึ่งอ้อมกอดนั้นกลับทำร้ายเราอย่างสาหัส
หลีกหนีฝันหวานและแทรกแซงความทรงจำที่แสนเจ็บปวด
เสียงฟ้าร้องจากนอกริมหน้าต่างไม่ได้ทำให้ปลายเมฆหวาดผวาเท่ากับถ้อยประโยคบอกเลิกของคนที่ใจยังรัก ในวันนั้นฝนตกเฉกเช่นวันนี้ เสียงร้องไห้ของตัวเองที่ดังต่อหน้าใครคนนั้นมันดังกว่าเสียงสายฝนที่ตกกระทบบนพื้นถนน
ร่างกายของคนที่ทิ้งกันสั่นเทาคล้ายเจ็บปวด แต่คนที่บอกเลิกและหมดรักก่อนน่ะปลายเมฆไม่เข้าใจว่ามีสิทธิ์เจ็บปวดได้ยังไง
ในห้วงนาทีนั้นที่อ้อนวอนทำไมถึงไม่เห็นใจ? ทำไมไม่โอบกอดกันไว้ให้คลายหนาวเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา?
ทำไมคนใจร้ายคนนั้นถึงใช้ช่วงเวลาของเม็ดฝนที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้ามาทำร้ายหัวใจกัน?
ทำใมถึงสร้างแผลให้แก่เขา แล้วถ้าหากฝนไม่หยุดตรง เขาจะหยุดความเจ็บปวดนี้ได้อย่างไร
‘ฝน.. ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้ พี่เมฆทำอะไรผิดหรอครับ...คนดีบอกพี่สิพี่จะไม่ทำมันอีก’
อ้อนวอนอีกครั้งด้วยน้ำตาที่ไหลอย่างหนักหน่วง ปลายเมฆแทบจะกอดขาคนตรงหน้า ขอร้องให้อยู่ด้วยกันเหมือนอย่างเคย แต่ใครอีกคนกลับกลายเป็นคนใจร้ายขนาดนี้ได้อย่างไร
‘พี่เมฆ..ฝนขอโทษ ปล่อยฝนไปนะ’
ทุกครั้งที่คนรักต้องการอะไรปลายเมฆสรรหามาให้ได้ทุกอย่าง ยากเย็นแค่ไหนปลายเมฆก็คว้ามาให้ได้
แต่กับครั้งนี้ปลายเมฆไม่สามารถให้ได้จริงๆ
ให้ปล่อยหัวใจของตัวเองไป ไปแบบที่จะไม่มีวันกลับมา
‘เรารักกันไม่ใช่หรอฝน.’
‘ไม่.. ฝนไม่ได้รักพี่แล้ว ฮึก’
ทั้งที่บอกว่าไม่ได้รัก แต่เชื่อไหม? ถ้อยคำที่อีกฝ่ายเคยพร่ำบอกว่ารักกันมากมายมันยังฉายชัดในความรู้สึก ปลายเมฆจำได้ดีในน้ำเสียงแผ่วเบา ลมหายใจอ่อนๆ กระซิบคำว่ารักกันมากมายจากริมฝีปากสีสวย
ปลายเมฆไม่เคยลืม..
มันยังคงตราตรึง สลักลึกอยู่ในหัวใจของเขามานานนับสิบปี
‘ม่านฝน อย่าทำแบบนี้กับพี่ครับ ..อย่าไป’
อีกฝ่ายถอยห่างจากปลายเมฆไปทีละก้าว และปลายเมฆเหมือนร่างกายโดนตอกตะปูเมื่อประตูนั้นถูกเปิดออกโดยคนที่เขารักที่สุด และมีใครอีกคนที่เขาสามารถมอบความเกลียดให้ได้อย่างฉับพลัน มันคนนั้นที่ยืนรออยู่ตรงหน้าห้องของเขาทั้งคู่
‘ฝนขอโทษ..แต่ฝนขอหัวใจของฝนคืนเถอะนะ ’
‘...’
‘ฝนไม่สามารถฝากมันไว้ที่พี่ได้อีกแล้ว’
‘แล้วหัวใจของพี่ล่ะฝน’
ปลายเมฆมองตาของอีกฝ่าย แววตาหวานซึ้งที่ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ ครานี้ช่างเต็มไปด้วยความอ้อนวอน ม่านฝนกำลังขอร้องให้ปล่อยกันไป
เป็นการอ้อนวอนที่ปลายเมฆไม่ยินดีจะตามใจ
‘หัวใจพี่เมฆยังอยู่ที่เดิม ฝนไม่เหมาะกับหัวใจที่แสนดีของพี่เมฆอีกแล้ว’
แสนดีหรอ? ถ้าแสนดีแบบนั้นทำไมถึงจะทิ้งกันไปล่ะม่านฝน
‘สักวัน..สักวันนะพี่เมฆ จะมีคนที่เหมาะกับหัวใจของพี่เมฆมากกว่าฝน’
‘ไม่มีหรอก ไม่มี’
ใช่..ไม่มีหรอก
‘ลาก่อนนะครับพี่ปลายเมฆ’
และม่านฝนก็เดินจากไปพร้อมกับใครคนใหม่ ทิ้งปลายเมฆไว้ด้านหลังกับเสียงคำรามของสายฟ้า ทิ้งปลายเมฆไว้และ
ปล่อยให้สายฝนร้องไห้เป็นเพื่อนกัน
ทิ้งปลายเมฆไว้กับหัวใจที่แหลกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าจากบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้คำรามจนปลายเมฆสะดุ้ง เขากวาดสายตามองรอบห้องโดยที่ไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่มานั่งกอดเข่าอยู่ข้างเตียงแบบนี้
ปลายเมฆกำมือแน่นทุบลงที่ตรงตำแหน่งหัวใจของตัวเอง พยายามทำให้ร่างกายเจ็บมากกว่าก้อนเนื้อที่กำลังเต้นอยู่ แต่มันไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด ไม่มีส่วนไหนในร่างกายที่เจ็บไปมากกว่าหัวใจอีกแล้ว
ฝนยังคงตกอย่างหนักและปลายเมฆก็เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเช่นกัน เขาคิดถึงอ้อมกอดจากใครคนนั้น
คิดถึงม่านฝนจนใจจะขาดอยู่แล้ว
เขาต้องการม่านฝน ทำไมอีกคนไม่อยู่กับเขาเหมือนทุกหน้าฝนที่ผ่านมา
ทำไม?
เขาทั้งสองเหมาะสมกับทุกอย่างไม่ใช่หรอกหรือ ใครๆ ก็บอกว่าเขาทั้งคู่นั้นคู่ควรกันที่สุดแล้ว แม้กระทั่งชื่อยังเหมาะสมกันเลย
ปลายเมฆ ม่านฝน
แต่แล้วทำไม?
ทำไมถึงเลือกไปกับไอ้นั่น มันไม่ได้ดีไปมากกว่าปลายเมฆเลยสักอย่าง มันไม่มีทางทำให้ม่านฝนมีความสุข สุขสบายได้อย่างที่เขาทำ
ทำไมม่านฝนถึงเลือกมัน?
คนสารเลวที่หน้าด้านจนกล้ามาพรากคนรักของคนอื่นไป
ทำไมม่านฝนถึงเลือกคนพรรค์นั้น?
เพล้ง!
มือหนาคว้าแก้วน้ำขึ้นมาก่อนจะปามันกับผนัง ถึงจะเป็นบ้านไม้แต่ก็ทำให้เศษแก้วแตกกระจายได้เช่นกัน
“หมอปลาย!”
และทันทีที่สิ้นเสียงแก้วน้ำแตกก็เป็นวินาทีเดียวกันที่ประตูห้องนอนถูกเปิดออกพร้อมกับผู้ชายตัวเล็กคนนั้น
คนที่คล้ายม่านฝนไม่มีผิด
มันหวานกำลังขยับเข้าใกล้ สีหน้านั้นช่างตื่นตระหนก เด็กคนนี้กำลังตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น
“มันหวาน..”
ปลายเมฆเอ่ยเรียกชื่อเด็กตรงหน้า มันหวานพยายามจะนำผ้าห่มมาห่มให้แต่ปลายเมฆปัดมันทิ้ง และสวมกอดอีกฝ่ายเต็มแรง
ไม่ได้สนใจว่าตัวเล็กขนาดนี้จะรับน้ำหนักจากแรงกอดได้ไหม แต่เมื่อได้กอด.. ขนาดตัวที่จมอกนั้นทำให้ปลายเมฆนึกถึงม่านฝนมากขึ้นไปอีก
“มันหวาน..”
“หมอปลายเป็นอะไร”
น้ำเสียงหวานๆ นั้นแสดงออกมาว่าเป็นห่วงกันอย่างชัดเจน ปลายเมฆกระชับอ้อมกอดคนในอกแน่น ฝังใบหน้าไว้ที่ลาดไหล่แคบ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ยิ่งตอกย้ำว่ามันหวานช่างเหมือนม่านฝนเหลือเกิน
“อย่าทิ้งฉันไปนะ”
“หมอปลายเกิดอะไรขึ้น”
ฝ่ามือเล็กนั้นกำลังลูบหลังเพื่อปลอบประโลม สัมผัสอ่อนโยนแบบนี้ม่านฝนเคยทำให้กัน
“อยู่ด้วยกัน อย่าไปไหน”
“หมอ..”
“อยู่กับพี่นะม่านฝน”
คนในอ้อมกอดชะงักงัน มือบางนั้นหยุดการเคลื่อนไหวก่อนที่ปลายเมฆจะได้ยินน้ำเสียงที่แผ่วลง และมันช่วยดึงสติให้คนขี้เพ้อกลับมาเป็นคนที่อยู่ในปัจจุบัน
“หมอปลาย.. หมอตั้งสตินะ นี่มันหวานเอง”
ปลายเมฆดันตัวเจ้าของประโยคเมื่อครู่ออกจากอ้อมแขน แววตานั้นแสนไร้เดียงสา
และมันต่างจากม่านฝน
“มันหวาน..”
ไม่มีม่านฝนอยู่ตรงนี้ ไม่มีม่านฝนในวินาทีปัจจุบัน.. มีเพียงเด็กมันหวานที่อยู่ตรงหน้า
“ใช่ มันหวานนะ มันหวานเอง”
ปลายเมฆค่อยๆ ละแขนตัวเองออกจากแขนเล็ก เบือนหน้าหนีเพราะเผลอไปมองมันหวานเป็นม่านฝน
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าจะไม่มีใครเหมือนม่านฝนของเขาได้อีกแล้ว
“ขอโทษ”
“...”
“ฉันไม่เป็นอะไร เธอกลับไปเถอะ”
คงไม่มีใครชอบใจที่ถูกมองเป็นใครอีกคน ปลายเมฆรู้สึกขอโทษจากใจต่อมันหวาน และหวั่นเหลือเกินว่าเด็กตรงหน้าจะโกรธกัน แต่คนตัวเล็กกลับคว้าผ้าห่มผืนเดิมเพื่อห่มให้อีกครั้ง
เขาทั้งคู่สบตากัน ดวงตาของมันหวานทอประกายบางอย่างที่ปลายเมฆอ่านไม่ออก และนาทีนี้หมออย่างเขาไม่มีสติมากพอที่จะถอดความหมายจากแววตาใครได้หรอก
“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ไม่เป็นไร.. หมอปลายเก่งแล้ว ”
คำปลอบใจที่มากับการลูบเบาๆที่ท่อนแขน ปลายเมฆรู้สึกเย็นวาบที่หัวใจอย่างแปลกประหลาด คำปลอบใจเด็กๆ นั้นมันทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแต่ลึกๆ แล้วนั้นเขาก็ยังรู้สึกผิดต่อเด็กตรงหน้า
“ฉัน..”
“ชู่วว ไม่เป็นไรนะจ๊ะ” มันหวานส่งเสียงชู่วพร้อมกับปลายนิ้วที่จรดริมฝีปากของตัวเอง
“มันหวานจะอยู่ตรงนี้ ถ้าหมอปลายกำลังเหนื่อย ก็ไม่จำเป็นเลยที่ต้องพูดอะไรออกมาให้มันหวานเข้าใจ” มันหวานกำลังปลอบประโลมดั่งเขาเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ปลายเมฆพยักหน้าและพยายามฝืนยิ้มให้เด็กตัวเล็กสบายใจ
เวลานี้มันหวานควรจะไปพักผ่อน ไม่ควรมานั่งปลอบคนอกหักเลยสักนิด มาอยู่ไม่กี่วันเขาก็สร้างปัญหาให้เจ้าบ้านเสียแล้ว
ทั้งที่เจ้าของบ้านใจดีตั้งขนาดนี้
“ไปนอนเถอะฉันอยู่ได้ แค่ฝันร้าย” เขาบอกให้อีกฝ่ายไปนอน เพราะแค่นี้ก็รบกวนเวลามากพอแล้ว แต่มันหวานยังคงเป็นห่วงและจะอยู่เป็นเพื่อน จึงต้องเอ่ยย้ำอีกครั้งเพื่อให้อีกฝ่ายข้าใจและยอมไปหลับนอนเสียที ปลายเมฆมองเด็กตัวขาวพยักหน้าเบาๆเหมือนไม่อยากกลับห้องของตัวเองแต่ก็ยอมลุกขึ้นยืน
พวกเขามองตากันท่ามกลางเสียงของสายฝน ปลายเมฆเห็นว่าแววตาใสซื่อของมันหวานยังคงปรากฏความเป็นห่วงที่มีต่อกัน เด็กคนนั้นเอ่ยประโยคบอกฝันดีด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
อีกคืนที่ปลายเมฆได้รับคำฝันดีจากเด็กที่แสนใจดี แต่มันหวานคงไม่รู้ว่าเขาไม่เคยนอนหลับแล้วพบกับฝันดีอีกเลย
ตั้งแต่กลายเป็นคนถูกทิ้งแบบนี้
ปลายเมฆไม่สามารถข่มตานอนหลับได้เลยตลอดทั้งคืน ทำได้เพียงนอนฟังเสียงของฟ้าร้องไปอย่างนั้นจนกระทั่งถึงเวลาเช้ามืด เขาจึงคว้าเสื้อผ้าของตัวเองและไปอาบน้ำก่อนจะพาตัวเองลงมายังชั้นหนึ่ง
ทั้งบ้านยังคงเงียบสนิท มันหวานยังไม่ตื่นและลุงกำนันอาจจะยังไม่กลับมา คนตัวสูงคว้ากุญแจรถและเดินออกจากบ้านท่ามกลางความเงียบในเวลาเกือบตีห้าครึ่ง
ปลายเมฆขับรถออกไปเรื่อยๆ ตามป้ายบอกทางที่บ่งบอกเส้นทางการเข้าเมือง มาถึงก็เกือบเจ็ดโมงเช้า พอเห็นแสงตะวันปลายเมฆถึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยอย่างน้อยมันก็เตือนให้รู้ว่าเขาสามารถผ่านค่ำคืนแสนทรมานนั้นมาได้โดยที่ไม่มีม่านฝน
ร่างสูงเดินเข้าร้านสะดวกซื้อเล็กๆ ซื้อข้าวของส่วนตัวก่อนจะไปที่ตลาดใหญ่แห่งหนึ่งซื้อผลไม้และขนมติดมือมาหลายอย่าง เดินเล่นไปสักพักก็เจอร้านขายของของพวกผู้หญิง มีทั้งกิ๊บติดผม โบว์ ที่คาดผม และหนังยางหลากขนาดหลายสี
ปลายเมฆหยุดยืนอยู่หน้าร้าน ช่างใจเพียงนิดก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปและหยิบหนังยางรัดผมหลายสีสันมาสองสามห่อและจัดการจ่ายเงิน
อันนี้ตั้งใจซื้อให้มันหวาน คงไม่ดีถ้าเด็กคนนั้นเอาแต่ใช้ยางรัดแกงจนกินผมหมดหัว
หลังจากนั้นปลายเมฆก็กลับมาที่รถแต่โชคร้ายบ้าบออะไรสักอย่าง ยางรถแตกสองล้อหน้าจึงต้องรบกวนถามชาวบ้านที่พอจะรู้เบอร์อู่ซ่อมรถ หลังจากได้เบอร์มาก็ติดต่อให้มาลากรถไปซ่อมทันที หลังจากนั้นก็ขอติดรถกระบะชาวบ้านมาลงหน้าหมู่บ้านของลุงกำนัน
แต่ที่ทำปลายเมฆแปลกใจคือเด็กมันหวานที่ยืนเหมือนกระวนกระวายใจอะไรสักอย่างอยู่กับจักรยานของตัวเองตรงหน้าซอย
“มันหวาน?”
ทันทีเมื่อเสียงส่งไปถึงอีกคน เด็กหน้าขาวนั้นก็รีบหันมาด้วยความตกใจ ดวงตากลมนั้นเบิกกว้าง ก่อนจะรีบวิ่งมาหากัน
“หมอปลาย! หายไปไหนมา”
ปลายเมฆสะดุ้งเล็กน้อยที่เด็กตรงหน้าเสียงดังใส่ มันหวานที่กำลังหน้าแดงเหมือนโกรธอะไรสักอย่าง
“เฮ้ ทำไมทำหน้าเหมือนโกรธกันขนาดนั้น?”
“จะไปไหนทำไมไม่บอก!” เด็กตรงหน้าขึ้นเสียงใส่กัน และนั่นกำลังทำให้ปลายเมฆไม่ชอบใจ
“นี่เธอขึ้นเสียงกับฉันหรอ? ฉันแก่กว่าเธอสิบกว่าปีนะมันหวาน” คนตัวโตกว่าเอ่ยดุเสียงเข้ม เขามองมันหวานที่หน้าจ๋อยสนิท ร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ ที่จริงปลายเมฆเองก็มีส่วนผิดที่ไปไหนไม่บอกเจ้าของบ้านไว้ก่อน
เด็กแครอทคนนี้ก็คงจะเป็นห่วงกันเป็นธรรมดา
ปลายเมฆจึงอธิบายให้มันหวานฟังว่าไปไหนมา ทั้งยังตอบคำถามเรื่องรถ แล้วมันหวานยังถามแปลกๆ อีกต่างหากว่าจะกลับบ้านเจ้าตัวไหม กลับสิ ไม่กลับแล้วเขาจะไปนอนที่ไหนล่ะ บื้อจริงๆ เลยเด็กคนนี้
หลังจากนั้นปลายเมฆก็หยิบถุงหนังยางรัดผมยื่นไปตรงหน้า มันหวานดูงงๆและไม่ยอมรับไป จนเขาต้องอธิบายอีกครั้งและยัดถุงยางรัดผมใส่ในมือของเด็กหน้าขาว หลังจากนั้นคนตัวเล็กกว่าก็ยิ้มแก้มอูมไปหมด
นี่แหละนะเด็ก
พอเคลียร์กันเรียบร้อยเขาทั้งคู่ก็พากันกลับบ้าน มันหวานค่อยๆ ปั่นจักรยานช้าๆ ในขณะที่ปลายเมฆก็เดินไปเรื่อยๆ ครั้งนี้ไม่ได้มีเสียงเจื้อยแจ้วให้ได้ฟัง มีเพียงความเงียบแต่ไม่ได้น่าอึดอัด พอถึงบ้านก็เจออาหารที่อีกฝ่ายคงทำรอไว้
ที่จริงไม่ได้หิวและไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด แต่ก็กลัวว่าจะเสียน้ำใจเลยนั่งกินเป็นเพื่อนเด็กตัวเล็กจนหมด
และปลายเมฆนึกขอบคุณที่มันหวานไม่เอ่ยเรื่องเมื่อคืนขึ้นออกมาอีกเพราะเขาก็ไม่พร้อมจะเล่าอะไรในเวลาแบบนี้
คืนนี้ฝนคงจะตกอีกวัน และปลายเมฆกำลังทำลายสุขภาพของตัวเองทั้งที่เป็นหมอ สารนิโคตินถูกอัดเข้าปอดของเขามวนแล้วมวนเล่าทั้งที่ห่างหายจากมันมาถึงสิบปี วันนี้อากาศช่างหม่นหมองจนต้องพึ่งพวกมันเผื่อบรรยากาศในใจจะดีขึ้นบ้าง
แต่เหมือนเป็นการหลอกตัวเอง เพราะยิ่งสูบเขาก็ยิ่งคิดถึงม่านฝน
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากมายแค่ไหนกับการทำใจในครั้งนี้ ระยะเวลาที่ได้รักกันถึงสิบปีไม่ใช่น้อยๆ และปลายเมฆไม่เคยจินตนาการในช่วงเวลาที่ไม่มีม่านฝนเคียงข้าง
แต่ในขณะเดียวกันใครคนนั้นกลับจินตนาการถึงใครคนอื่นเพื่อจะมายืนแทนที่ปลายเมฆคนนี้มานานมากแล้ว
“น้ำดื่มเย็นๆ จ้ะหมอปลาย”
ร่างสูงสะดุ้งกับเสียงหวานใสของใครอีกคน มันหวานในเสื้อสีชมพูและกางเกงเลยเข่าเพียงนิดสีดำ มันดูสดใสเข้ากับเด็กคนนี้ คงจะดีกว่านี้ถ้าแบล็คกาวน์เป็นพระอาทิตย์กลมโตไม่ใช่เมฆเทาทึบแบบที่เป็นอยู่
คนแก่กว่าเอ่ยขอบคุณเบาๆ และบอกให้คนตัวขาวถอยห่างออกไปจากระยะของควันบุหรี่แต่มันหวานกลับเอ่ยประโยคที่ทำให้ปลายเมฆหยุดชะงัก
“หมอรู้ว่ามันไม่ดีแต่หมอก็สูบนี่จ๊ะ”
‘พี่รู้ว่ามันไม่ดีแต่พี่ก็สูบเนอะ’
ประโยคคล้ายกันและต่างที่คำใช้เรียก ปลายเมฆทิ้งบุหรี่นั้นทันทีและดับมันด้วยปลายรองเท้า ยกน้ำขึ้นมาดื่มล้างปากและเริ่มระบายความในใจที่แสนอัดอั้นนั้นออกไปทีละประโยค
มันหวานนั้นเพียงแค่ฟังเงียบๆ ไม่ได้แย้งอะไรออกมา ยิ่งเขาเล่าเรื่องของตัวเองมันยิ่งทำให้เขาคิดถึงม่านฝน มีหลายอย่างมากมายเหลือเกินที่เขาทั้งคู่ทำร่วมกัน
ม่านฝนกลายมาเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขา ปลายเมฆเลิกบุหรี่ได้อย่างตัดขาดก็เพราะม่านฝน และก็กลับมาสูบมันอีกเพราะม่านฝน แต่เหมือนมันหวานจะไม่เห็นด้วย เด็กข้างๆ แย้งและเริ่มเอ่ยสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา
“เธอจะรู้อะไร เธอยังเด็ก” ปลายเมฆบอกออกไปเช่นนั้น แต่มันหวานก็เถียงว่าตัวเองก็เคยลองสูบเช่นกัน เขาจึงฟังมันหวานเล่ามุมความคิดของตัวเองแม้จะไม่ได้เห็นด้วยแต่ก็เริ่มคล้อยตาม
ถูกที่มันหวานบอกว่าม่านฝนไม่ได้บังคับให้กลับมาสูบ แต่ปลายเมฆเลือกที่จะทำร้ายตัวเองอีกครั้งโดยยึดว่าม่านฝนคือสาเหตุ
“อย่ามีความรักเลยนะมันหวาน”
เขาเริ่มพูดมันออกไปกับสิ่งที่กำลังคิดอยู่ตอนนี้ เด็กอย่างมันหวานไม่ควรจะมาพบกับความรักที่อาจจะทำให้สูญเสียความสดใสอย่างที่เป็นอยู่
ปลายเมฆมองแววตาของเด็กข้างกาย มันยังคงเต็มไปด้วยความใสซื่อไม่เปลี่ยนไปเลยจากวันแรกที่ได้เจอกัน มันหวานมีแต่ความสดใส และนั่นกำลังทำให้ปลายเมฆรู้สึกผิดที่มาเล่าเรื่องทุกข์ทมของตัวเองให้เด็กคนนี้ฟัง
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะจ๊ะหมอปลาย”
“...”
“แต่ถ้าสักวันมันหวานต้องเจอกับมัน กับความรักที่หมอปลายว่า”
“...”
“มันหวานขอเลือกเองว่าจะวิ่งหนี หรือเผชิญกับมัน”
น้ำเสียงในประโยคที่แสนหนักแน่นของเด็กตรงหน้าบ่งบอกได้อย่างดีว่ามันหวานก็มีมุมดื้อรั้น แต่ปลายเมฆไม่เห็นด้วยนักหากจะดื้อรั้นในเรื่องแบบนี้
หากเด็กคนนี้เจ็บ เขาไม่มั่นใจว่าเด็กคนนี้จะแบกรับมันไหวไหม เพราะขนาดคนที่แก่กว่าเช่นเขายังแทบจะผ่านมันไปไม่ได้
“แต่ถ้าเธอต้องเจ็บปวดเพราะมันล่ะ”
ปลายเมฆเอ่ยถาม มองคนตรงหน้าที่ไม่หลบสายตาก่อนที่คำพูดจะหลุดออกมาจากริมฝีปากสีชมพูนั่น
“แล้วถ้าวันนั้นมันหวานเจ็บ”
“...”
“หมอปลายจะอยู่ข้างๆ มันหวานเหมือนในวันนี้ที่มันหวานอยู่ข้างๆ หมอปลายไหม?”
ในนาทีนี้ที่สายลมเย็นๆ กำลังพัดผ่านเขาทั้งคู่ ปลายเมฆเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของเด็กตรงหน้า มันหวานไม่เลี่ยงสายตากันเหมือนในวันนั้นที่ต้นพริก สายตาที่แสนใสซื่อนั้นบ่งบอกว่าคำถามก่อนหน้านี้ต้องการคำตอบอย่างแน่ชัด
มือหนาเลื่อนมือไปวางไว้บนกลุ่มผมของอีกฝ่าย ลูบมันอย่างแผ่วเบาในขณะที่สายตายังคงผสานกัน
ปลายเมฆไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเองที่กำลังมี เพราะในอนาคตอาจจะไม่ได้เจอกัน มานั่งคุยกันในแบบตอนนี้อีก หากหลุดพ้นจากสถานที่ตรงนี้ไปพวกเขาอาจจะกลับไปเป็นเพียงคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน
แต่ถึงแบบนั้นปลายเมฆก็ต้องมีคำตอบให้แก่มันหวาน แม้มันจะไม่ตรงกับคำถามเท่าไรก็ตาม
“ก่อนที่เธอจะเจ็บจากความรัก เธอต้องได้รักก่อน” มือหนาลูบผมนุ่มของเด็กข้างกาย บรรจงเกี่ยวปอยผมสีอ่อนเพื่อทัดหูเมื่อวันนี้ไม่มีจุกแอปเปิ้ลให้เห็น
“แล้วความรักมันเป็นยังไงหรอจ๊ะ” เสียงหวานใสนั่นช่างเหมาะกับคำถามไร้เดียงสาจากเด็กอายุสิบแปด
ปลายเมฆลดมือลง มองความวูบไหวบางเบาในดวงตาคนตัวเล็กตรงหน้า
“ความรักจะเกิดขึ้นเมื่อเราได้ตกหลุมรัก”
“แล้วการตกหลุมรักมันเป็นยังไงหรอจ๊ะ”
มันหวานกลายเป็นเจ้าหนูจำไม เด็กน้อยป้อนคำถามที่อาจจะเกินตัวไปหน่อยที่จะเรียนรู้ตอนนี้ แต่ถึงแบบนั้นปลายเมฆก็มีคำตอบให้
เขาพยายามจะมีคำตอบให้
“การตกหลุมรักก็เหมือนกับการทิ้งตัวลงมาจากปลายเมฆ”
“มัน..จะเจ็บไหม” ปลายเมฆหัวเราะอย่างแผ่วเบา มันค่อนข้างเงียบเชียบแบบที่คนข้างกายก็อาจจะไม่ได้ยิน
ปลายเมฆรู้ว่ามันหวานเองก็กลัว เด็กคนนี้คงไม่เคยมีความรักนอกจากรักในแบบครอบครัว
“ลองดู”
“...”
“ลองรักใครสักคนดูนะ”
และนั่นคือคำตอบ
ปลายเมฆเห็นว่ามันหวานขมวดคิ้ว ริมฝีปากบางนั้นเม้มกันแน่นก่อนที่จะช้อนตามองเขา
ร่างสูงเห็นความลังเลในแววตาใสคู่นั้น และปลายเมฆเข้าใจมันอย่างดีเพราะเขาก็เคยตกอยู่ในอารมณ์สับสนเช่นเด็กตรงหน้า
สับสน หวั่นไหว ลังเล
“มันหวานจะลอง..”
ผ่านขั้นตอนเหล่านั้น ก่อนที่จะได้เรียนรู้การรักอย่างมั่นใจและกล้าหาญ
“การตกหลุมรักที่เหมือนกับการทิ้งตัวลงมาจากปลายเมฆแบบที่หมอบอก”
เขาเคยกล้าหาญกับความรัก ปลายเมฆน่ะ
“มันหวานจะลองดู”
ก่อนที่มันจะพังทลายลงมา จนเศษเสี้ยวของมันทำให้ใครบางคนเช่นเขาไม่อยากเรียนรู้จะรักใครอีกแล้ว
ปลายเมฆเพียงแค่ยิ้มกับคำตอบของคนข้างกาย เขาแตะกลุ่มผมหน้าม้าของมันหวานก่อนจะขยี้มันเล่น
มันหวานหัวเราะก่อนจะจัดผมหน้าม้าของตัวเองดีๆ เมื่อมือของเขาละออก
แต่ปลายเมฆกำลังคิด เขากำลังภาวนาให้การลองรักของมันหวานมันเป็นไปด้วยดี
และปลายเมฆได้แต่หวังว่าเมื่อมันหวานตกลงมาจากปลายเมฆก้อนนั้นมันจะไม่เจ็บ
ปลายเมฆแค่หวังว่าเมื่อมันหวานทิ้งตัวลงมาจากปลายเมฆที่สูงลิ่บลิ่วนั้น จะมีความรักที่ดี ที่เหมาะสมกับเด็กคนนี้รออยู่เบื้องล่าง
อย่าได้เหมือนกับเขาที่เมื่อตกลงมาแล้วไม่ได้เจอกับความสุขที่ยั่งยืน ไม่ได้เจอกับฝันหวานที่จะมีให้กันตลอดกาล
แต่เป็นการบรรดาลความสาหัสจากการทิ้งตัวลงมาเพื่อพบกับความรักที่ผิดคน
#มันหวานปลายเมฆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

1,138 ความคิดเห็น
-
#1085 +++DOUBLE B++++ (จากตอนที่ 4)วันที่ 25 ธันวาคม 2562 / 10:39ฮืออออ สงสารหมออ่ะ สู้ๆนะหมอ#1,0850
-
#1068 loveseriesY (จากตอนที่ 4)วันที่ 6 ธันวาคม 2562 / 11:04แต่งยังไงถึงอ่านแล้วเศร้าาแบบนี้อ่ะ งื้อๆๆเจ็บหัวใจ :(#1,0680
-
#1029 Phakchira_Ice (จากตอนที่ 4)วันที่ 28 ตุลาคม 2562 / 21:38น้องงงงง#1,0290
-
#1010 mojifeafea (จากตอนที่ 4)วันที่ 27 สิงหาคม 2562 / 18:34ใจเราตอนนี้ไม่อยากให้น้องรักหมอปลายเมฆอะ เรากลัวน้องเจ็บTT#1,0100
-
#966 รัก3ลี(เอสเจ) (จากตอนที่ 4)วันที่ 4 มิถุนายน 2562 / 15:18ถ้าน้องตกหลุมรักก่อน น้องจะเจ็บไหมงะ แงงงง น้องไม่ค่อยเจอใคร เจอแต่หมอ งี้ก็ง่ายต่อการตกหลุมรักไปอีก ;3;#9660
-
#941 pcy921 (จากตอนที่ 4)วันที่ 3 มิถุนายน 2562 / 10:05น้องงง อย่าลองรูกวิ่งหนีปายยย#9410
-
#892 Miiwxx (จากตอนที่ 4)วันที่ 26 เมษายน 2562 / 21:24หมอออ หม่นได้อีก#8920
-
#818 Jibangrin (จากตอนที่ 4)วันที่ 26 มีนาคม 2562 / 16:31งือออ หมออออออ#8180
-
#716 PINKLAND (จากตอนที่ 4)วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2562 / 18:32หมอปลายย#7160
-
#600 ppvs_ (จากตอนที่ 4)วันที่ 5 มกราคม 2562 / 17:27เง้อออออ#6000
-
#437 JongjitSriyan (จากตอนที่ 4)วันที่ 23 ตุลาคม 2561 / 10:33ปลายเมฆมันหวานวู้ๆ#4370
-
#329 Miki_milky (จากตอนที่ 4)วันที่ 23 กันยายน 2561 / 22:20เศร้าจัง#3290
-
#21 chimpleesky (จากตอนที่ 4)วันที่ 1 มิถุนายน 2561 / 01:07คือพาร์ทมันหวานจะออกแนวใสๆร่าเริงอะค่ะ มาพาร์ทหมอปลายเข้าไปแทบจุก มันหน่วงๆอะค่ะบั่บบบ ไม่อยากให้ดราม่าเลยค่ะ ไม่อยากร้องไห้ กลัวเจ็บตาม 😂#210
-
#17 Aunchiree (จากตอนที่ 4)วันที่ 30 พฤษภาคม 2561 / 04:02มันละมุนนะ เเต่ก็หน่วง#170
-
#13 oshbbh (จากตอนที่ 4)วันที่ 27 พฤษภาคม 2561 / 10:21แงงงง ชอบบบ#130
-
#12 jmzz (จากตอนที่ 4)วันที่ 27 พฤษภาคม 2561 / 09:33หมอน่าสงสาร;-; /แต่มันหวานน่าเอ็นดูมากเลย ฮือ#120