ตอนที่ 30 : เหนือปลายเมฆ ☆ EPILOGUE
หากการตกหลุมรักคือการทิ้งตัวลงมาจากปลายเมฆ ความรักของผมก็คงอยู่เหนือปลายเมฆ
มันหวานคิดว่าบางทีความรักก็เปรียบเสมือนกับการปิ้งขนมปัง ขนมปังที่ต้องพึ่งพาอุณหภูมิของความร้อนที่เหมาะสม การลองผิดลองถูกจนกว่าจะได้แผ่นขนมปังที่ถูกใจสักหนึ่งแผ่น บางคนอาจจะชอบขนมปังที่กรอบไปสักหน่อยจนได้กลิ่นไหม้จางๆ บางคนอาจจะชอบแบบเหลืองกรอบพอดีแบบที่กัดไปแล้วเศษขนมปังร่วงหล่นลงมา
มันก็อาจจะเหมือนกับความรักที่ต้องอาศัยจังหวะและเวลา ไม่มีใครรู้มาก่อนหรอกว่าความรักที่ดี ที่เหมาะกับเรานั้นจะมาในเวลาที่เหมาะสมในช่วงไหน บางทีก็อาจจะต้องลองเอาหัวใจไปวัดระยะทาง วัดเวลาดู เหมือนกับที่ขนมปังหลายแผ่นที่ต้องลองต่อสู้กับเครื่องปิ้งขนมปังที่บางทีก็เอาใจไม่ถูก
สำหรับมันหวานหมอปลายคงเทียบได้กับขนมปังในอุณหภูมิความร้อนที่พอดี เป็นขนมปังที่กรอบนอกแต่นุ่มใน ระดับความร้อนที่สอง ภายนอกคล้ายแข็งกระด้างแต่ใครจะรู้ว่าภายในกลับอ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นขนมปังปิ้งที่สมบูรณ์แบบสำหรับเขา
ขนมปังปิ้งในระดับความร้อนที่สอง
มันหวานชอบเวลาเหล่านั้น ตอนเช้าที่ตื่นนอนก่อนอีกคน ตอนที่พาตัวเองมาอยู่หน้าเครื่องปิ้งขนมปัง เลื่อนระดับความร้อนไปที่เลขสองและรอเวลาให้ขนมปังนั้นเด้งขึ้นมาตามเวลาที่กำหนด
ตอนที่เอวของเขาถูกรวบไปกอดด้วยท่อนแขนแกร่งของคนที่ตื่นสายกว่ากัน ยามที่ปลายจมูกโด่งนั้นกดลงมาที่พวงแก้มและแทนที่ด้วยเสียงสูดลมหายใจเข้าที่ดังอยู่ข้างหู มันหวานชอบความเขินอายของตัวเองในตอนเช้าที่เกิดขึ้นพร้อมกับตอนที่ขนมปังเด้งขึ้นมา
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
เสียงทุ้มแสนคุ้นหูที่ได้ยินอยู่ในทุกวัน ลมหายใจอุ่นๆที่รินรดอยู่ข้างแก้ม บ่งบอกถึงการมีอยู่ของเจ้าของขนมปังในจานสีขาว
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”
เสียงนมรสหวานที่ถูกรินใส่แก้วทั้งสองใบกับกลิ่นหวานของแยมสัปปะรดที่ถูกทาลงบนขนมปังทั้งสี่แผ่น ตอนเช้ากับพระอาทิตย์ที่ทอแสงอ่อนๆ กลิ่นชื้นๆของน้ำค้างจากอากาศแปรปรวนเมื่อคืน และผู้ชายผมเผ้ายุ่งเหยิงหมดมาดคุณหมอแสนสุขุม
มีการกลั่นกรองความรัก
การตื่นนอนมาพร้อมกับใครบางคนที่โอบกอดกันไว้ทั้งคืนมันคือความรักที่เป็นส่วนประกอบหลักในอรุณสวัสดิ์ ขนมปังปิ้งและนมรสหวานก็เป็นแค่ส่วนประกอบย่อยที่จัดขึ้นมา ซึ่งพ่วงด้วยไออุ่นจากอ้อมกอด ความเขินอายที่พวงแก้ม และถ้อยคำกระซิบข้างใบหูที่ทำให้ทุกเช้าของกันและกันขับเคลื่อนไปได้อย่างน่ายินดี
บางทีก็เคยเกิดความรักที่ยังไม่กลั่นกรอง
ความรักที่ว่านั่นก็คงเหมือนอากาศที่ไม่คงที่ บางคราที่เราเห็นว่าท้องฟ้าแสนจะแจ่มใสแต่ผ่านไปไม่เท่าไรฟ้าฝนก็พากันเทลงมาจนทำให้ร่างกายของเราเปียกปอน
มันหวานก็เคยเป็นเช่นนั้น มันแย่ไปสักหน่อยที่เขาไม่ได้แม้แต่จะพกร่มไปสักคัน ทำได้เพียงแค่หยุดรอเวลาที่ฝนพวกนั้นจะพากันหยุดโหมกระหน่ำและเปิดทางให้เขาได้ก้าวไปข้างหน้า
เคยเปียกปอนไปทั้งตัวและหัวใจ เคยติดอยู่ท่ามกลางสายฝนที่รุนแรง แต่ฝนไม่มีวันที่จะตกไปได้ตลอด ฤดูกาลต้องมีผันเปลี่ยน
ท้ายที่สุดแล้วร่างกายและหัวใจที่เคยเปียกปอนนั้นแห้งสนิท ไม่ใช่จากไอแดด ไม่ใช่จากลมหนาวแต่เป็นเพียงอ้อมกอดที่เกิดจากใครบางคน ใครบางคนที่ครั้งหนึ่งทำให้เขาทั้งรักและเจ็บช้ำไปพร้อมๆกัน เขาคนนั้นที่แสนลังเล ไม่รู้ว่าควรเลือกกางร่มให้แก่กัน หรือปล่อยเขาไว้ให้เปียกฝนอยู่ตามลำพัง แต่แล้วใครคนนั้นก็เลือก
เลือกที่จะตากฝนไปด้วยกัน
เลือกการกลั่นกรองความรักครั้งใหม่
ในวันนั้นไม่มีร่ม ไม่มีใดๆ มีแต่อ้อมกอดที่แนบแน่น มีแต่คำพูดว่าขอโทษ ย้ำอยู่อย่างนั้นจนฝนที่ตกหนักกลายเป็นหยุดลง
ใครคนนั้นที่บอกว่าเป็นเขาเองที่ทำให้ฝนมันตก เป็นเขาเองที่ขอรับผิดชอบกับเม็ดฝนเหล่านั้นที่ร่วงโรยลงสู่ร่างกายและในหัวใจ
เขาขอรับผิดชอบฤดูกาลที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น และขอเพียงแค่บอกกันว่าหลงรักฤดูไหน ขอเพียงแค่เอ่ยออกมา เขาจะทำให้มันกลายเป็นฤดูของเราตลอดกาล
เขาจะกลั่นกรองความรักที่ดีตอบแทน
“หนาวไหมครับ เขยิบเข้ามาใกล้พี่อีกเร็ว”
มันเป็นเวลาหนึ่งบนหน้าปัดนาฬิกาที่ไม่ได้รับความสนใจ มันหวานรู้แค่ว่าร่างกายของเขาอุ่นขึ้นเมื่อเขยิบเข้าสู่อ้อมแขนของคนตัวโตกว่า เขาทั้งสองที่นั่งกองกันอยู่ตรงบีนแบ็กอันใหญ่สีครีม จดจ้องอยู่ที่อนิเมะสักเรื่องที่แชร์บทสนทนาร่วมกัน
มันไม่ใช่แนวที่หมอปลายเมฆชอบเลยสักนิดมันหวานรู้ดี พอๆกับก่อนหน้านี้ที่เขาได้ลองฟังเพลงโปรดของคนแก่กว่า มันต่างจากแนวกามิกาเซ่ที่มันหวานแสนโปรดปรานเป็นไหนๆ แต่มันหวานเคยได้อ่านมาจากนิยายว่าการที่เราอยากรู้จักใครให้มากขึ้น ให้ลองฟังเพลงที่เขาฟัง อ่านหนังสือที่เขาอ่าน หรือแม้กระทั่งดูหนังที่เขาชอบดู
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาทั้งคู่ผลัดกันให้ความสนในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะสนใจ มันหวานลองฟังเพลงคลาสสิคที่ไม่คุ้นหูของหมอปลาย ส่วนหมอปลายก็ลองดูการ์ตูนอนิเมะที่มันหวานแสนหลงใหล
มีบางฤดูกาลที่เวียนมา
ผ่านห้วงเวลาที่ผันเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูใหม่
หยาดฝนที่เหือดแห้ง ความชื้นที่เลือนหาย ทิ้งไว้เพียงไอจางๆให้รู้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้น ครั้งที่มันผ่านไปให้เหลือเพียงไอแดดอุ่นๆที่เล็ดลอดเข้ามาผ่านจากบางมุมของช่องว่าง เพื่อกระทบสู่อากาศที่เย็นเฉียบ
มีหนึ่งเจ้าของร่างกายและหัวใจกำลังถูกโอบกอดด้วยวงแขนอุ่นของใครบางคน
มีฤดูกาลที่หอบนำบางสิ่งที่อุ่นกว่าผ้าห่มผืนใหญ่มาเยือน
มีฤดูกาลที่อุ่นยิ่งกว่านั่งอยู่หน้าเตาผิงไฟ
แม้ว่าฤดูกาลจะต้องวนเวียน และบางคราฤดูฝนก็อาจจะหวนคืนกลับมา แต่ไม่เป็นไร ประสบการณ์จากฤดูฝนที่แล้วมันสั่งสอนให้คนเราต้องรับมือหากไม่อยากเปียกปอนไปทั้งตัวและชื้นไปทั้งใจอีก
อาจจะต้องเช็คพยากรณ์อากาศ อาจจะพกร่ม อาจจะใส่เสื้อกันฝน อาจจะหาที่กำบัง
“ถ้าง่วงก็หลับเลยนะ เดี๋ยวพี่ดูให้จบแล้วเล่าให้มันหวานฟังเอง”
ออกไปเผชิญกับหยาดฝนเหล่านั้นหากไม่สามารถหลีกเลี่ยง
“หรือไม่ เราค่อยมาดูด้วยกันอีกรอบก็ได้เนอะ”
เพราะมันหวานรู้ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ เขาจะไม่ต้องเผชิญกับฤดูฝนคนเดียวอีกแล้ว
บางครั้งเราก็อาจจะอยากเปียกปอนไปพร้อมกับใครสักคนอย่างเต็มใจ
หรือบางครั้ง ต่อให้ไม่มีฤดูกาลใดๆ เราก็ยังอยากรักใครบางคนไปอย่างนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในฤดูหนาวที่ท้องฟ้ามืดสนิทเร็วกว่าที่เคย ดูเหมือนพระอาทิตย์จะแอบน้อยใจไปสักหน่อยที่ต้องลาขอบฟ้าเร็วกว่าทุกวันเพราะดวงตะวันหอบนำก้อนเมฆไปเป็นเพื่อนด้วยตอนที่ตัวเองต้องเหงาสักช่วงเวลาเพื่อให้พระจันทร์ได้มาทำหน้าที่แทน
ท้องฟ้าในกรุงเทพฯนั้นไร้แสงดาว ไม่มีดาวสักดวงให้นั่งนับ มีเพียงดวงจันทร์กลมโตที่แสนสว่างไสวกับคำอธิษฐานขอพรที่หวังฝากไว้กับดวงจันทรามากกว่าดาวตก
มีใครบางคน และใครอีกคนกำลังขอพร
“มันหวานขอให้พรุ่งนี้ข้อสอบไม่ยาก”
“พี่ขอให้พรุ่งนี้ได้กลับบ้านไวๆ”
“ทำไมถึงอยากกลับไวๆล่ะจ๊ะ”
“อยากกลับมากอดมันหวานให้นานขึ้น คำขอนี้คิดว่าพระจันทร์จะเห็นใจกันไหมครับ”
“ถ้าแบบนั้นไม่ต้องขอดวงจันทร์หรอกจ่ะ ขอมันหวานก็พอ”
ค่ำคืนนั้นที่ไม่มีดาวสักดวงแต่น่าแปลกที่รอยยิ้มของคนที่ขอพรจากดวงจันทร์สว่างไสวยิ่งกว่าแสงดาวดวงไหน
อาจจะเป็นดาวดวงเดียวในโลกที่ยอมให้ปลายเมฆได้ครอบครอง อาจจะเป็นดาวดวงเดียวบนฟ้าที่ยอมให้ปลายเมฆได้แตะต้อง
“มันหวาน”
“จ๋า”
“หลับฝันดีนะครับ”
เป็นดาวเพียงดวงเดียวที่ไม่ยอมอยู่บนท้องฟ้าแต่ยอมมาอยู่เคียงข้างกัน
ร่วงหล่นลงมาเพื่อส่งผลกระทบต่อหัวใจของเขาไปตลอดกาล
ปลายเมฆเคยสงสัยว่าพ่อรู้สึกอย่างไรเมื่อเหน็ดเหนื่อยกลับมาจากทำงานแล้วเจอแม่ยืนยิ้มหวานอยู่หน้าประตูบ้านเป็นการต้อนรับการกลับมา
ทำไมพ่อถึงได้พูดกับเขานักว่าการกลับบ้านมาแล้วไม่เจอแม่ก็เหมือนกับการที่กลับมาไม่ถึงบ้าน จนกระทั่งวันนี้ วันที่ปลายเมฆอ่อนล้าทางร่างกายจนแทบจะพาตัวเองกลับมาไม่ถึงห้อง ตอนที่เขาเปิดประตูห้องเข้าไปและพบกับคนตัวเล็กสวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลลายคุมะกับรอยยิ้มที่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งโถไหน
“กลับมาแล้วหรอจ๊ะ เหนื่อยไหม มันหวานทำอาหารกำลังจะเสร็จเลย”
ตอนที่อีกคนขยับฝีเท้าเข้ามาใกล้กัน รับกระเป๋าเอกสารของเขาไปถือไว้และเอื้อมมากุมมือไว้หนึ่งข้างพาไปนั่งยังโซฟาตัวใหญ่ก่อนจะหายไปในครัวและออกมาพร้อมกับน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว
ปลายเมฆถึงเข้าใจในคำพูดของพ่อ การกลับบ้านที่ถึงบ้านจริงๆนั้นมันเป็นแบบไหน
การกลับบ้านที่ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นบ้านที่เป็นที่พักพิงทางใจ
บ้านของปลายเมฆหลังไม่ใหญ่ ขนาดเล็กพอที่เขาจะโอบกอดได้
“มันหวาน”
“จ๋า”
“ขอบคุณนะครับ”
บ้านที่ไม่มีที่ดิน ไม่มีโฉนด ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยเนื้อปูนหรือตอกด้วยเสาเข็ม
เป็นบ้านที่สร้างโดยตัวตนของคนคนหนึ่ง ใส่ความน่ารัก ความแสนดี ความจริงใจ จนกลายเป็นบ้านที่สมบูรณ์แบบ
บ้านที่ไม่ต้องเซ็นสัญญาซื้อขาย แต่ก็ยอมให้คนอย่างเขาได้ครอบครอง
บ้านที่ชื่อว่ามันหวาน
มีหัวใจเป็นแกนกลางและหยิบยื่นกุญแจที่มีเพียงดอกเดียวให้แก่กัน
และในทุกๆวันปลายเมฆไม่เคยกลับไม่ถึงบ้านเลยสักครั้ง
ปลายเมฆเคยปลูกดอกไม้ เขาเคยดูแลมันอย่างดี เฝ้าถนอม ห่วงหา และเฝ้าหมั่นเติมความรักไม่จางหายแม้เวลาของเขาจะมีไม่มากเท่าคนอื่น แต่น่าเสียดายที่ดอกไม้ดอกนั้นที่เขาเฝ้าดูแลกลับไม่ผลิบานเพื่อเขาได้อีกต่อไป
อาจจะเพราะว่าเขาเป็นคนดูแลที่ไม่ดี อาจจะเพราะว่าการแสดงออกของเขานั้นน้อยเกินไป ดอกไม้ดอกนั้นจึงหาคนดูแลคนใหม่และเลือกจะทิ้งเขาไปเหลือเพียงเศษดินให้ดูต่างหน้า
ปลายเมฆเคยเข็ดหลาบและเขาบอกกับตัวเองว่าจะไม่ปลูกดอกไม้ขึ้นมาอีก แต่ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิม ในวันที่เขาเฝ้าคิดถึงดอกไม้ดอกเก่า กลับมีดอกไม้ดอกใหม่เกิดขึ้นและเติบโตข้างกายเขาอย่างเงียบงัน
ปลายเมฆไม่ได้ลงมือปลูก เขาไม่แม้แต่จะรดน้ำให้ดอกไม้ดอกใหม่ด้วยซ้ำ แต่ดอกไม้ดอกนั้นกลับเติบโตขึ้นได้อย่างสวยงาม จนทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่อยากจะปลูกดอกไม้อีกครั้ง
การห่างหายจากการปลูกดอกไม้ไปนานทำให้ปลายเมฆดูแลรักษาดอกไม้ดอกใหม่ได้อย่างทุลักทุเล มันเหี่ยวเฉา มันขาดน้ำ มันไม่สดใสเหมือนเก่า ปลายเมฆโทษตัวเอง เขาได้แต่นั่งมองดอกไม้ดอกนั้นกับกลีบดอกที่ร่วงโรยช้าๆจนวันหนึ่งมีใครคนใหม่เข้ามาและขอดูแลดอกไม้ดอกนั้นแทน
ในวันนั้นที่ทำให้ปลายเมฆได้รู้ว่าสิ่งที่เขาได้สูญเสียไปอีกครั้งไม่ใช่เพียงแค่ดอกไม้แต่เป็นหัวใจที่เขาฝากไว้ที่ดอกไม้โดยไม่รู้ตัว
เขาเคยคิดว่าดอกไม้คงจะเติบโตได้อย่างสวยงามอีกครั้งหากเปลี่ยนคนดูแลคนใหม่ แต่เปล่าเลย ดอกไม้แสนงดงามดอกนั้นกลับเหี่ยวเฉามากกว่าเดิม ฝนตกหนักจนกลีบดอกแห้งเหี่ยวและร่วงโรย ก้านที่หยัดตรงกลับโงนเงนและพร้อมจะหักทุกเมื่อ
ตอนนั้นเองที่ทำให้ปลายเมฆรู้ว่าไม่ใช่เพียงแค่เขาที่ฝากใจไว้ที่ดอกไม้ เพราะดอกไม้ก็ฝากทั้งหมดของตัวเองไว้ที่เขาเช่นกัน
แล้ววันหนึ่งปลายเมฆก็ได้ดอกไม้นั้นกลับคืนมาอีกครั้ง เขาเฝ้าบอกตัวเองว่าจะทำให้ดอกไม้กลับมาสดใสและสวยงามดั่งเดิม
และในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ
ดอกไม้ที่เติบโตข้างเขามาอย่างเงียบงันได้ผลิบานและแตกกลีบดอกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง บานสะพรั่งและส่งกลิ่นหอมแสนหวานบ่งบอกถึงการเริ่มต้นใหม่
“แฮปปี้เบิดเดย์ทูยู.. สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะหมอปลาย”
ดอกไม้บางดอกที่จะผลิบานในหัวใจของเขาไปอย่างนั้น ในวันเวลาที่ไม่มีวันรู้จบ
ปลายเมฆมองเค้กหน้าตาแปลกๆในมือเล็กนั่นพร้อมรอยยิ้ม สายตาของมันหวานสะท้อนกับเปลวเทียนที่ปักอยู่ เสียงร้องเพลงวันเกิดที่ดังขึ้นในห้องตรวจแคบๆ
เป็นอีกปีที่ปลายเมฆลืมวันเกิดของตัวเอง เป็นอีกครั้งที่เขาทำงานติดกันเกินสี่สิบชั่วโมงโดยไม่ได้กลับห้อง
“อธิษฐานแล้วเป่าเทียนนะจ๊ะ”
แต่หลังจากนี้เขารู้ว่าเขาจะไม่มีวันลืมวันสำคัญของตัวเอง เพราะความสำคัญของเขาจะถูกย้ำเตือนความจำจากดอกไม้ดอกเดิม
“มันหวานรักหมอปลายนะ”
มีบางสายลมเอื่อยๆที่พัดผ่าน มีผีเสื้อหลายตัวที่รายล้อม
“มันหวานจะฝึกทำเค้กให้พี่หมอทุกๆปีเลยนะ”
องค์ประกอบทุกอย่างที่บ่งบอกว่าดอกไม้ของปลายเมฆเป็นดอกไม้ที่แสนสมบูรณ์แบบมากแค่ไหน
“มันต้องมีสักปีแหละที่ออกมาดี เนอะๆ”
ดอกไม้ดอกนี้
“พี่เมฆจะอยู่ชิมเค้กให้หนูใช่ไหม”
เพียงดอกไม้ดอกเดียวที่ปลายเมฆจะทะนุถนอมสุดหัวใจ
“ครับ พี่จะอยู่ชิมเค้กของหนูทุกปีเลยนะ”
ทุกๆในวันพรุ่งนี้ดอกไม้ของเขา จะยังคงเป็นดอกไม้ของเขา
เข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มฤดูอีกครั้ง อากาศเย็นๆที่พัดผ่านทำให้เส้นผมสีอ่อนปลิวไสว รอยยิ้มเล็กๆที่ส่งมอบให้กับคนที่ไม่รู้จักถือเป็นการผูกมิตรที่ไร้การผูกมัด มันหวานพาตัวเองไปยังชั้นลอยของชั้นที่สิบสองตามคำบอกกล่าวของพยาบาลหน้าห้องพักหมอปลายว่าคุณหมอแสนเก่งไปแอบพักผ่อนอยู่ที่นั่น
แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อกาวน์สีขาวคือสิ่งที่มันหวานเพ่งมองก่อนที่เขาจะพาร่างเล็กๆของตัวเองเดินตรงไปหาแฟนคนเก่ง สองแขนเล็กโอบรอบเอวหนาพลางซบใบหน้าลงไปยังแผ่นหลังที่แสนจะปลอดภัย สูดลมหายใจเข้าหอบนำกลิ่นสะอาดของเสื้อกาวน์เข้าสู่ลมหายใจ
“พี่หมอ มันหวานมาแล้วนะ”
ตอนที่เอ่ยบอกแบบนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับคนที่โตกว่าพลิกตัวกลับมา ใบหน้ามันหวานถูกช้อนให้เงยขึ้นก่อนที่ริมฝีปากอุ่นๆของคุณหมอจะทาบทับลงมาอย่างแผ่วเบาและผละออกไปอย่างนุ่มนวล
“กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลยครับ”
สายลมเย็นหยาบพัดมาอีกครั้ง มันหวานกระชับจับมือคู่ใหญ่ไว้แน่น หวังให้ความอบอุ่นของฝ่ามือกลายเป็นฮีตเตอร์ส่วนตัวเพื่อคลายหนาว ใบหน้าน่ารักประดับไปด้วยรอยยิ้มแสนหวานเพราะประโยคชวนเขินและสายตาลุ่มหลงคู่นั้น
เขาทั้งคู่ยืนพิงราวระเบียงโดยฉากหลังเป็นตึกราที่สูงชันตัดกับสีท้องฟ้าและสีขาวของเมฆก้อนอวบ มันหวานคล้องแขนแกร่งของคนรักเอาไว้ เอียงแก้มแนบกับท่อนแขนแน่น ยิ้มออกมาอย่างง่ายดายเพียงถูกลูบผมไปมา
ผ่านมาสักพักแล้วนะ กลับการเป็นคนรักของกัน มันหวานนึกไม่ออกเลยว่าในสักพักที่ผ่านมานั้น วันไหนกันที่เขามีความสุขน้อยที่สุด เพราะสิ่งที่มันหวานนึกออกคือการมีความสุขที่มากขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
มันเป็นความสุขตั้งแต่เขาทั้งคู่ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ไปพร้อมๆ กัน
“มันหวานครับ”
“จ๋า”
บางความสุขและความรักที่สม่ำเสมอ
เปรียบเสมือนก้อนเมฆก้อนใหญ่ๆ ลอยฟุ้งอยู่บนท้องฟ้า เปลี่ยนลักษณะไปมา แต่ก็ยังคงเป็นเมฆก้อนเดิม
มันหวานชอบอะไรอย่างนั้น ชอบมองการเปลี่ยนแปลงของก้อนเมฆบนฟ้าใหญ่ จดจำว่าก่อนหน้านี้ที่จะเปลี่ยนรูปร่างก้อนเมฆก้อนนั้นเคยเป็นรูปอะไรมาก่อน
และถึงแม้จะเปลี่ยนไปกี่รูปร่าง
“สุดสัปดาห์นี้ไปหาพ่อกับแม่พี่ด้วยกันไหม”
ก้อนเมฆนั้นก็ยังเป็นก้อนเมฆก้อนเดิมที่มันหวานหลงรัก
เหมือนกับหมอปลายเมฆ ที่ไม่ว่าจะเคยเป็นแบบไหนมาก่อน กำลังเป็นแบบไหนในตอนนี้ หรือจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหนในวันข้างหน้ามันหวานก็จะยังคงรัก
มันหวานจะรักในสิ่งที่ผู้ชายคนนี้เคยเป็น กำลังเป็นอยู่และกำลังจะเป็นในวันข้างหน้า
เพราะสำหรับมันหวาน ก้อนเมฆก้อนนั้นเป็นก้อนเมฆก้อนเดียวที่อยากจะหวงแหนเอาไว้แบบที่ไม่อนุญาตให้สายลมที่ไหนพัดพาไปได้
จะหวงแหนแม้ว่าเมฆกลุ่มนั้นจะเป็นเพียงไอน้ำที่กลั่นตัวขึ้นก็ตาม
ช่วงสายของวันอาทิตย์กับวันหยุดเต็มวันที่คนเป็นหมอได้รับ ปกติคงอยู่ที่คอนโดและนอนกอดมันหวานเอาไว้จนกว่าจะพอใจ แต่เพราะวันนี้แพลนที่เปลี่ยนไปจึงทำให้ปลายเมฆยืนอยู่ที่บ้านของตัวเอง
ปลายเมฆกุมมือคนรักไว้ไม่ห่างยามที่ก้าวเข้ามาในบ้านที่นานๆมาที เขารับรู้ได้ว่าคนตัวเล็กข้างกายมีความประหม่าเพราะมันหวานบอกกับเขาว่าอ่านในนิยายมาเยอะว่าพ่อแม่ของแฟนจะไม่ชอบหน้านายเอกอะไรแบบนั้น ปลายเมฆเอ็นดูที่น้องอินนิยายมากมายขนาดนั้นจนเอามาปะปนกับเรื่องจริง แต่วันนี้มันหวานก็คงรับรู้ได้ว่าพ่อแม่ของเขาไม่ใจร้ายเหมือนในนิยายอย่างแน่นอน
“พ่อครับ แม่ครับ นี่มันหวานคนรักของผม”
“สะ..สวัสดีนะจ๊ะ” มันหวานพุ่มมือไหว้อย่างเงอะงะและเอ่ยสวัสดีเสียงสั่นเครืออย่างที่กำลังเป็น
“น่ารักจังเลยค่ะลูก”
ตอนที่แม่เดินเข้ามาใกล้ ปลายเมฆเห็นว่าน้องแอบสะดุ้งจนต้องบีบมือเล็กให้ผ่อนคลายลงมากกว่าเก่า แฟนของเขาในตอนนี้กำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของแม่ คำพูดของมารดาทำให้ปลายเมฆและพ่อลอบยิ้มให้กันเพราะคำเหล่านั้นบ่งบอกว่าแม่เอ็นดูแฟนคนนี้ของเขามากแค่ไหน
“ลูกกำนันเพื่อนพ่อใช่ไหมเนี่ยเมฆ น้องน่ารักมากๆเลยค่ะ”
“ครับแม่”
ไม่แปลกที่แม่จะรู้เพราะก่อนหน้านี้ปลายเมฆได้โทรฯมาเล่าเรื่องของน้องให้ฟังบ้างนิดหน่อย ก็คิดไว้แล้วว่าถ้าได้เจอหน้าแม่จะตกหลุมรักมันหวานแบบที่เขากำลังเป็น
“ไม่ต้องเกร็งนะคะตัวเล็ก เรียกแม่เรียกพ่อได้ตามสบายเลยนะ”
ในตอนนั้นแหละที่แก้มของมันหวานขึ้นสีแดงจัดจนพ่อต้องประคองแม่ออกมาให้ห่างตัวน้องสักหน่อยเพราะกลัวว่าน้องจะเขินอายจนเป็นลม
แต่มันหวานเป็นเด็กน่ารัก ไม่นานคนตัวเล็กก็เข้ากับผู้ใหญ่ได้อย่างรวดเร็วจนถูกแม่เขาพาเข้าไปเล่นทำกับข้าวกันในครัว
เขาและน้องรวมถึงพ่อแม่มีมื้อเย็นที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะร่วมกัน ผ่านมาสักพักแล้วที่ปลายเมฆไม่ได้กลับมากินข้าวที่บ้าน จนพ่อชมมันหวานยกใหญ่ว่าการที่เขากลับมากินข้าวที่บ้านในรอบหลายเดือนที่ผ่านนั้นควรยกความดีความชอบให้กับมันหวานแต่เพียงผู้เดียว
ซึ่งพ่อก็พูดไม่ผิด เขาไม่ได้มีปัญหากับครอบครัวก็แค่ไม่มีเวลากลับบ้านก็เท่านั้น แต่พอมีมันหวานกลับทำให้อะไรที่เคยยากนั้นมันง่ายดายขึ้น
“เดี๋ยวมันหวานนอนห้องนี้นะคะ แม่ให้แม่บ้านทำความสะอาดไว้แล้วนะ”
“แม่ครับน้องนอนกับผมได้”
แล้วเรื่องก็เกิดขึ้นตอนช่วงสามทุ่มครึ่งที่แม่พยายามจะแยกเขากับมันหวานให้นอนคนละห้อง ซึ่งแน่นอนว่าปลายเมฆจะไม่ยอมเด็ดขาด ก็นอนกอดแทบทุกคืนอยู่ๆจะกันน้องให้ห่างจากเขาแบบนั้นได้อย่างไร
“เมฆ ให้เกียรติน้องหน่อยสิคะ”
“แต่แม่ครับ ผมไม่เคยล่วงเกินน้อง”
“แม่ไม่รู้ล่ะ คืนนี้ต้องแยกห้อง”
เสียงดุๆของแม่ไม่ได้ทำให้ปลายเมฆรู้สึกหงอยเท่าเสียงหัวเราะคิกคักของคนเด็กกว่า มันหวานดูไม่อะไรเลยสักนิดที่เขาทั้งสองจะไม่ได้นอนกอดกันในคืนนี้
มันน่าน้อยใจไหมล่ะเนี่ย
“ฝันดีนะจ๊ะพี่หมอ” แล้วความนุ่มนิ่มของปลายเมฆก็เดินเข้าห้องไปแถมยังปิดประตูใส่หน้ากันอีกต่างหาก
คุณหมอเดินคอตกกลับห้องนอนของตัวเอง อยู่ดีๆห้องที่เคยนอนก็ดูกว้างกว่าปกติ แอร์ก็เย็นเกินความจำเป็นไปหมด หมอนสองใบก็ดูเยอะแยะจนน่ารำคาญไหนจะหมอนข้างที่ไม่จำเป็นนั่นก็อีก
ปลายเมฆเริ่มนอนนับแกะเพราะเขารู้สึกว่านอนไม่หลับเลยสักนิด จนกระทั่งเวลาเดินมาถึงห้าทุ่มที่ตาของคุณหมอก็ยังคงสว่างอยู่แบบนั้น
ปลายเมฆตัดสินใจเขาควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อการนอนหลับของตัวเอง มือหนาคว้าหมอนติดมือมาหนึ่งใบพลางย่องเท้าออกจากห้องนอนของตัวเอง มองซ้ายมองขวาอย่างแวดระวังแม้ว่าบ้านทั้งหลังจะปิดไฟหมดแล้วก็ตาม
หลังมือเคาะลงประตูบานสีขาวสามทีแบบเบาๆเพราะกลัวแม่จะจับได้ รอเพียงไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกโดนต้นเหตุที่ทำให้เขานอนไม่หลับ
ปลายเมฆยืนอยู่แบบนั้นมองใบหน้าของมันหวาน ผมสีอ่อนที่ฟูฟ่อง ดวงตากลมที่ใสแจ๋วและริมฝีปากสีสวยที่คลี่ยิ้ม
“มันหวานนึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”
ตอนนั้นเองที่ปลายเมฆได้รับรู้ว่ามันหวานก็ขาดเขาไม่ได้เช่นกัน
ปลายเมฆขยับฝีเท้าไปข้างหน้าเมื่อน้องเปิดประตูกว้างขึ้นเพื่อให้เขาเดินเข้าไป ก่อนที่บานประตูจะปิดลงอย่างเงียบงัน เขาก้าวขึ้นบนเตียงโดยมีคนตัวเล็กตามหลังมา
และทันทีที่มันหวานเอนแผ่นหลังกับที่นอน ร่างของเด็กน้อยก็ถูกคว้าเข้ามาในอ้อมกอด เขากดจมูกหอมกลุ่มผมนิ่มไปหนึ่งฟอดใหญ่จนฉ่ำปอดทดแทนความคิดถึงที่ถูกแม่พรากไปหลายชั่วโมง
“ไม่มีมันหวานพี่นอนไม่หลับเลย”
“มันหวานก็เหมือนกัน”
“จริงไหมเนี่ย”
“จริงๆนะจ๊ะ!”
ปลายเมฆหลุดขำตอนที่น้องเอ่ยเสียงดังเหมือนลืมตัวก่อนจะใช้มือเล็กนั้นปิดปากตัวเองฉับเพราะกลัวว่าแม่จะได้ยินเข้า
ปลายเมฆลูบแก้มน้องเบาๆด้วยปลายนิ้วโป้ง ประทับรอยจูบที่หน้าผากมนหนึ่งทีถ้วนก่อนจะกระชับพาน้องเข้าสู่อ้อมกอดเหมือนกับทุกคืน
“ครับ พี่เชื่อแล้ว”
ที่จริงแล้วการพามันหวานมาหาพ่อและแม่หนึ่งในเหตุผลนั้นคือการบอกอย่างเป็นทางการว่าคนรักของเขาเป็นใคร ใครที่เป็นอีกเสี้ยวของหัวใจ แต่อีกหนึ่งเหตุผลที่มันหวานคงไม่รู้ คือการที่เขาพามันหวานมาให้พ่อได้เห็น ให้พ่อได้รับรู้ ว่าในคำถามตอนนั้น
‘ถ้าเป็นพ่อ พ่อจะเลือกหนังสือเล่นไหน ระหว่างเล่มที่ผูกพันหรือเล่มที่รัก’
ในคำตอบของพ่อตอนนั้น ที่ปลายเมฆยังคงจำได้ขึ้นใจ
‘ถ้าให้พ่อเลือก พ่อก็ต้องเลือกหนังสือที่มีเล่มเดียวในโลกสิ’
ปลายเมฆมาเพื่อบอกพ่อ ว่าหนังสือที่มีเล่มเดียวในโลกนั้นเขาได้หาเจอแล้ว
หนังสือเล่มนี้ที่เขาเป็นเจ้าของในทุกหน้ากระดาษ ในทุกตัวอักษร ในทุกเรื่องราวที่ถูกบันทึกลงไป
“มันหวานก็เชื่อ”
“เชื่อว่าอะไรครับ?”
“เชื่อว่าพี่หมอหลับไม่ลงหรอกถ้าไม่ได้กอดมันหวานแบบนี้”
และปลายเมฆก็เชื่อ
“เพราะมันหวานก็คงหลับฝันดีไม่ได้ถ้าพี่หมอไม่อยู่ตรงนี้”
ว่าจะเป็นเพียงหนังสือเล่มเดียวที่เขาจะหยิบมาอ่านซ้ำๆ ไม่ว่าตัวอักษรสุดท้ายในหน้ากระดาษจะถูกเขียนตอนจบไว้ว่าอะไร
เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนมันหวานเรียนจบปีหนึ่งมาได้อย่างปลอดภัย พอถึงช่วงเวลาปิดเทอมที่ไม่ถึงเดือนแต่มันหวานก็เลือกจะกลับมาหาพ่อที่บ้านเกิด นี่ก็มาได้อาทิตย์กว่าแล้วโดยที่มันหวานกลับมาคนเดียวเพราะหมอปลายยังคงไม่สามารถลางานได้
อากาศที่บ้านนอกต่างจากกรุงเทพฯและถ้าจะให้มันหวานเลือกว่าชื่นชอบที่ไหนมากที่สุดมันหวานก็ตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าชอบอากาศที่บ้านของตัวเองมากกว่า
เช้านี้หลังจากใส่บาตรและกินมื้อเช้ากับพ่อเรียบร้อยมันหวานก็พาตัวเองไปยังสวนผักหลังบ้าน เขาเก็บแครอทอวบอ้วนมาเต็มตะกร้าใหญ่ แก้มใสเลอะด้วยดินจางๆเพิ่มความมอมแมมเข้าไปอีก แต่มันหวานไม่สนใจเพราะเดี๋ยวเขาก็ต้องไปอาบน้ำอยู่แล้ว
คนตัวเล็กเดินย่ำเท้าออกมาจากสวนหลังบ้าน ก่อนที่ฝีเท้าจะหยุดลงอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเองเมื่อเจอคนตัวโย่งยืนยิ้มกว้างให้อยู่ตรงนั้น
ดูเหมือนว่าหนึ่งอาทิตย์กว่าที่ไม่ได้เจอกันจะจางหายไปได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่ได้เห็นหมอปลายเมฆอยู่ตรงหน้า
มันหวานยิ้มตาหยี เขากอดตะกร้าแครอทไว้อยู่อย่างนั้น ทอดสายตามองผู้ชายตัวโตที่ทำให้นึกหวนถึงครั้งแรกที่เจอกัน หมอปลายเมฆเปลี่ยนไปจากตอนนั้น ครานั้นเป็นใบหน้าเรียบเฉยและสายตาแห้งผากที่ใช้มองกัน แต่ตอนนี้ดวงตาคมคู่นั้นทอไปด้วยความอบอุ่นไม่ต่างจากรอยยิ้มที่ชวนให้ตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หากถามว่าที่ผ่านมามันหวานตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ไปมากเท่าไร เขาก็คงตอบไม่ได้เพราะมันมากมายเกินไป
“มาหาพ่อกำนันหรอจ๊ะ”
ประโยคแรกระหว่างกันที่เกิดขึ้น ยังจำได้ไหม
ปลายเมฆพยักหน้ารับ รอยยิ้มยังคงประดับอยู่ที่ริมฝีปากไม่จางหาย มองคนตัวน้อยที่วางตะกร้าแครอทลงที่แคร่หน้าบ้านก่อนจะสาวเท้ามาใกล้กันมากกว่าเดิม
“ตัวสูงชื่ออะไรหรอจ๊ะ”
ประโยคนี้ก็เช่นกันที่จำได้เสมอ รอยยิ้มสดใสที่ทำให้ปลายเมฆตาพร่าและโทษว่าแดดของที่นี่แรงเกินจำเป็น
แต่ที่จริงมันไม่ใช่แดด ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งกลมๆบนท้องฟ้าเลยสักนิด
มันเป็นเพียงรอยยิ้มของมันหวานที่ทำให้ใจของเขาเกิดอาการจนโทษนั่นนี่มั่วซั่วไปหมด
“ปลายเมฆ”
เขาเอ่ยตอบเช่นนั้นและสิ่งที่ได้รับคือรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิมของเด็กตรงหน้า
รอยยิ้มที่ปลายเมฆให้คำนิยามว่ามันเหมือนพระอาทิตย์ในการ์ตูนเทเลทับบี้ที่เขาชอบดูเมื่อวัยเด็ก
“สวัสดีจ้าหมอปลายเมฆ ทางนี้ชื่อมันหวานนะจ๊ะ”
วันนี้ความคิดของเขาก็ยังคงย้ำเตือนว่ารอยยิ้มของคนตรงหน้าไม่ได้ต่างไปเลยสักนิดกับพระอาทิตย์ในการ์ตูนเรื่องนั้น มันสดใส มันส่องสว่าง เจิดจ้าและน่ามองเกินคำนิยามใด
ปลายเมฆไม่เคยมีพระอาทิตย์เป็นของตัวเอง เขาใช้พระอาทิตย์ร่วมกับมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้
แต่เมื่อได้มาเจอกับมันหวาน
“ชื่อเหมือนแฟนพี่เลยนะครับ”
“พี่ก็หน้าเหมือนแฟนหนูเหมือนกัน”
ปลายเมฆถึงได้รู้ว่าเขามีพระอาทิตย์เป็นของตัวเองมานานมากแล้ว
มันหวานขยับตัว เขาเดินไปหาอ้อมกอดของผู้ชายตรงหน้า อ้าแขนออกกว้างและโอบกระชับร่างกายที่ให้ความอบอุ่นอยู่เสมอ
มันหวานได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของหมอปลายเมฆ และเขาก็ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นดังจนคับแผ่นอกเช่นกัน
ที่ตรงนี้ที่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวระหว่างกัน
กว่าจะมาถึงวันที่รักกันได้ตั้งขนาดนี้มันหวานไม่เคยลืมว่าเขาทั้งสองผ่านความเจ็บช้ำอะไรกันมาบ้าง มันหวานไม่เคยลืมในวันที่ตัวเองเอ่ยบอกความรู้สึกกับคนตรงหน้าเป็นครั้งแรกในวันนั้น
ถ้อยประโยคที่เคยได้เอ่ยถามว่าการตกหลุมรักคืออะไรก็ยังคงเด่นชัดในความทรงจำ ความเดียงสาที่ไม่เคยตกหลุมรักใครมาก่อนทำให้มันหวานเลือกที่จะเชื่อในคำพูดของคนที่ไม่ได้รู้จักดีเลยสักนิด
‘การตกหลุมรักก็เหมือนกับการทิ้งตัวลงมาจากปลายเมฆ’
แล้วในวันนั้นมันหวานก็เลือกที่จะลองเสี่ยงดู เขาพาตัวเองดิ่งจากความสูงของปลายเมฆลงมาทั้งตัวโดยที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าจะตกลงมาเจอกับอะไรบ้าง
เป็นการลองเสี่ยงโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะรับกับผลที่ตามมาได้มากน้อยแค่ไหน และพอถึงวันที่ตกลงมาทั้งตัว มันหวานถึงได้รู้ว่าการตกลงมาจากที่สูงไม่มีทางที่จะไม่เจ็บ
มันหวานมอมแมม มันหวานเปียกปอน โซซัดโซเซจากแรงกระแทกเหล่านั้น มันหวานเคยสาหัส
แต่รู้อะไรไหม ถ้ามันหวานเลือกได้อีกครั้ง มันหวานก็จะยอมตกลงมาจากปลายเมฆซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ขอบคุณที่อยู่กับพี่ตรงนี้”
ไม่ใช่เพราะอยากลองดีกับความเจ็บปวด ไม่ใช่เพราะไม่หลาบจำ
แต่เป็นเพราะ
“ขอบคุณที่เลือกจะโดดลงมาจากปลายเมฆด้วยกัน”
ไม่ใช่มันหวานที่โดดลงมาจากปลายเมฆก้อนนั้นเพียงคนเดียว ในวันที่ไม่แน่ใจ มันหวานไม่เคยรู้เลยว่ามีใครบางคนพยายามพาตัวเองโดดลงมาจากความสูงของก้อนเมฆเหล่านั้น พาตัวเองลงมาแม้ว่าหัวใจของคนที่ลองเสี้ยงยังมีบาดแผล
ใครบางคนที่เสี่ยงไม่แพ้กัน
มันหวานไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่กลัว เพราะใครบางคนก็เลือกที่จะตกหลุมรักใหม่อีกครั้ง
ตกหลุมรักเด๋กที่ไม่ประสีประสากับความรัก
“หมอปลายจำได้ไหม ว่าเคยถามมันหวานว่าความรักสำหรับมันหวานคืออะไร”
“จำได้ครับ”
“วันนี้มันหวานจะให้คำตอบนะ”
มันหวานผละออกจากอ้อมกอดของคนตัวโต เขาคล้องแขนไว้ที่ต้นคอของคนตรงหน้า เขย่งปลายเท้าและจุมพิตบางเบาที่ริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่าย
“ความรักของมันหวานคือหมอปลาย”
“พี่หรอครับ?”
“ใช่ เพราะหมอปลายทั้งนั้นถึงทำให้มันหวานรู้ว่าความรักคืออะไร”
“....”
“ถ้าหากการตกหลุมรักของหมอปลายหมายถึงการทิ้งตัวลงมาจากปลายเมฆ”
“....”
“ความรักของมันหวานก็คงอยู่เหนือปลายเมฆ”
เพราะว่ามันอยู่เหนือการคาดหวังใดๆ มันหวานถึงได้เรียนรู้กับการตกหลุมรัก และในวันนี้เขากำลังได้เผชิญกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก
เคยนึกคิดว่ารักแรกไม่มีทางได้สมหวัง แต่มันหวานกลับทำลายกฎพวกนั้นโดยการได้รักกับรักแรกของตัวเอง แม้ว่ามันจะทุลักทุเลแต่อย่างน้อยมันหวานก็ได้รักแรกมาครอบครอง
“พี่รักมันหวานที่สุดเลย”
“มันหวานก็รักพี่ปลายเมฆที่สุดเหมือนกัน”
ตอนที่ฤดูกาลผันเปลี่ยน แสงดาวพากันส่องสว่าง
ตอนที่ดวงจันทร์หอบนำคำอธิษฐานและโปรยปราย
ตอนที่เวลาเคลื่อนที่ พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนไหว ก้อนเมฆที่กำลังเปลี่ยนรูปร่าง
ในตอนนั้นที่พวกเขาพากันทิ้งตัวลงมาจากปลายเมฆอีกครั้งและกลับหอบนำความรักขึ้นไปยังเหนือปลายเมฆก้อนเดิม
พวกเขาตกหลุมรักกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วันนี้อาจจะจบลงแล้ว และพวกเขาจะเริ่มต้นรักกันใหม่อีกครั้ง
ทุกพรุ่งนี้
ending - beginning
#มันหวานปลายเมฆ
MOODTOSLEEP : ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่านิยายเรื่องนี้ดำเนินมาถึงตอนจบแล้วนะคะ เป็นนิยายที่กินเวลานานเกือบแปดเดือนเลยทีเดียว เราไม่แน่ใจเลยว่างานเขียนของเราถูกใจคนอ่านมากน้อยแค่ไหนแต่เราก็อยากขอบคุณคนอ่านทุกคนที่อยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้ เราสารภาพเลยว่าเราหวั่นกลัวตลอดว่าจะทำออกมาได้ไม่ดีและทำให้หลายคนผิดหวังจนถึงตอนจบก็ไม่มั่นใจเลยว่ามันดีพอแล้วหรือยัง มีหลายครั้งเลยที่เราท้อมากๆจนไม่รู้ว่าควรแต่งต่อไปดีไหม แต่สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจสู้ต่อไม่ใช่เพียงแค่เพราะว่านิยายถูกเซ็นสัญญาแต่เป็นเพราะว่าเราไม่สามารถมองข้ามกำลังใจจากหลายๆคนได้ นั่นเป็นแรงกำลังใจที่ดีเลยที่ทำให้นิยายเรื่องนี้ดำเนินมาถึงตอนจบ เราขอขอบคุณมากๆ เราไม่รู้ว่ามีคำไหนที่ให้ความหมายได้มากกว่าคำว่าขอบคุณอีกไหม ถ้ามีเราจะไม่รีรอเลยค่ะที่จะนำมามอบให้กับทุกคน
ตอนนี้เรามีแต่คำว่าขอบคุณที่ทำให้เรามาถึงตรงจุดนี้ได้ ขอบคุณหลายๆคนที่ตามอ่านนิยายเราทุกเรื่อง ขอบคุณคนที่เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ของเราเรื่องแรกและยอมเปิดใจให้กันนะคะ ขอบคุณสำหรับคำติชมเราจะนำมันไปปรับปรุงให้ดีขึ้นในเรื่องต่อๆไป ขอโทษที่เคยทำให้มีน้ำตาเพราะเนื้อเรื่องหนักหน่วงนะคะ แต่ทุกคนเก่งมากๆเลยนะที่ผ่านมาได้ เรารู้สึกใจหายเลยค่ะที่จะไม่ได้อัพตอนต่อไปอีกแล้ว แต่ว่าๆ นิยายเหนือปลายเมฆได้ตีพิมพ์กับสนพ.เฮอร์มิทนะคะ มีตอนพิเศษที่เราจะมาแจ้งให้ทราบที่หลังเนอะว่ามีกี่ตอนตอนอะไรบ้าง แต่แอบกระซิบก็ได้ว่ามีตอนของเตวิณด้วยน้าาาา แล้วก็ๆๆ หน้าปกน่ารักมากๆเลยค่ะ ไว้เดี๋ยวเราจะมาอวดเนาะ สุดท้ายนี้หวังว่าจะมีคนอยากรับน้องมันหวานและหมอปลายไปดูแลนะคะ นิยายเล่มแรกของเราเลยยังไงก็ฝากด้วยน้าาา แล้วจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบนะคะ
ด้วยรักและขอบคุณ : MOODTOSLEEP
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อีกอย่างหนึ่ง ที่ชอบและชื่นชมไรท์มากเลยคือภาษาที่ใช้เขียน การเขียนบรรยายตั่งต่างนานา เปรียบเทียบเอยอะไรเอยคือดี แบบดีมากกกอะะ สุดท้ายนีก็ รักนะคะ <3
เราชอบมากเลยนะคะ
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่านกันฟรีๆ
ติดตามอ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ไม่ได้มาเม้นท์เลย ขอโทษไรท์นะคะ (เค้าผิดไปแล้วววว) ไรท์เขียนดีมากมันน่ารักละมุน มันหน่วงมันเจ็บมันจุกช่วงดราม่านี่เสียน้ำตาไปหลายปี๊บเลย
เป็นกำลังใจให้ไรท์นะคะ...จะติดตามงานเขียนเรื่องต่อไปเรื่อยๆเลยจ้า
ปล. ไม่อยากมีความรักเลย ถ้ามีก็ต้องให้ได้ครึ่งค่อนของหมอปลายเมฆ❤😭😭😭