ตอนที่ 20 : เหนือปลายเมฆ ☆ XIX
เหนือปลายเมฆ ☆ XIX
ผมอาจจะต้องสูญเสียหนังสือทั้งหมดที่มี หากต้องการครอบครองคุณที่เปรียบเสมือนหนังสือที่มีเล่มเดียวในโลก
สี่ทุ่มสี่สิบห้านาที เวลาเลิกงานในวันนี้ น่าแปลกที่ปลายเมฆไม่ได้กระตือรือร้นที่อยากจะรีบกลับห้องเหมือนคราวก่อนๆ ทั้งที่ได้เลิกงานไวขนาดนี้แท้ๆ เขาใช้เวลาในการเอื่อยเฉื่อยกับการขับรถและรู้สึกว่าไฟแดงมันน่ารอคอยมากกว่าไฟเขียว
การขับรถกลับคอนโดมากสุดก็แค่สามสิบนาทีแต่น่าแปลกที่ปลายเมฆใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าในการขับรถกลับคอนโดแม้ว่ารถจะไม่ได้ติดเลยสักนิด
เขากับม่านฝนกลับมาเป็นแฟนกันสามอาทิตย์ได้แล้ว และเป็นเวลาหนึ่งเดือนเช่นกันที่เขาไม่มีมันหวานอยู่ในชีวิตเหมือนเก่า
มันเป็นหนึ่งเดือนที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ปลายเมฆรู้สึกเหงาทั้งที่เขามีแฟนเป็นตัวเป็นตน เหมือนกับเขารู้สึกว่าเขาได้ขาดอะไรไปสักอย่าง
บางอย่างที่ม่านฝนเติมเต็มให้ไม่ได้
วันนี้ฝนตกและมันตกอย่างหนัก เขาได้ยินเสียงของหยดน้ำตกกระทบกับพื้นปูนจนดังก้องอยู่ในหู
ปกติเวลาฝนตกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก นอกจากรำคาญความเฉอะแฉะและไม่ชอบกลิ่นไอของดินชื้นๆ
แต่ตอนนี้เขากำลังรู้สึกถึงบางอย่าง
มันมีรูปร่างคล้ายกับความเหงา
เป็นความรู้สึกแปล่งๆที่หาทางออกไม่ได้
บุหรี่มวนที่สองของวันถูกปล่อยทิ้งไว้ตรงระเบียงห้องให้สายฝนชำระล้าง ปลายเมฆเดินเข้าห้องนอนของตัวเองที่ม่านฝนหลับไปแล้ว ก่อนที่เขาจะเดินไปยังห้องน้ำและอาบน้ำเตรียมเข้านอนเหมือนกับทุกๆวัน
สอดกายตัวเองเข้ากับผ้าห่มผืนหนาก่อนจะเอื้อมแขนไปปิดไฟตรงหัวเตียง ไม่มีเสียงกระซิบคำว่าฝันดีเหมือนในอดีต ปลายเมฆแค่ปิดเปลือกตาลงและภาวนาให้คืนนี้เขานอนหลับสนิทไม่ต้องตื่นมากลางดึกเพื่อพึ่งเบียร์สักกระป๋องหรือบุหรี่อีกสักมวน
“กลับมาแล้วหรอครับ” เสียงงัวเงียจากคนข้างกายทำให้ปลายเมฆต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาปล่อยให้ม่านฝนกอดเหมือนกับทุกๆวันโดยไร้ซึ่งความโต้แย้งใดๆ
“ครับ นอนเถอะ” เขาว่าและกำลังจะหลับตาลงอีกครั้งแต่สัมผัสเบาๆจากฝ่ามือบางที่กำลังลูบแผงอกของเขาผ่านเสื้อผ้าทำให้ปลายเมฆต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“ตั้งแต่คืนนั้นเรายังไม่ได้กอดกันเลยนะครับ”
“...” ปลายเมฆเงียบเขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงฟังความต้องการของอีกคนผ่านความมืดเท่านั้น
และปลายเมฆรู้ว่าคำว่ากอดของม่านฝนหมายถึงอะไร
“ฝนอยากกอดพี่เมฆนะครับ” มือบางนั้นสอดเข้ามาภายในเสื้อผ้าของเขาก่อนที่ม่านฝนจะลูบวนมันเบาๆที่หน้าท้องแต่ปลายเมฆกลับจับมือนั้นไว้และดึงมือของอีกคนออกจากเสื้อ
“พี่เหนื่อย”
“พี่เมฆไม่คิดถึงฝนหรอ คืนนั้น..”
“คืนที่พี่เมาแล้วไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นน่ะหรอ” ปลายเมฆเอ่ยดักและมันมากพอที่จะทำให้อีกคนเงียบได้
“…”
“นอนซะฝน” ร่างสูงเอ่ยก่อนจะนอนตะแคงหันหลังให้อีกคน ปลายเมฆไม่รู้ว่าม่านฝนกำลังทำสีหน้าแบบไหนในความมืดแต่ความต้องการของม่านฝนเขาไม่สามารถสนองได้ในวันนี้
อันที่จริงเรื่องกอดอีกคนมันไม่ได้อยู่ในหัวสมองปลายเมฆเลยตั้งแต่กลับมาคบกัน เขารู้ว่าม่านฝนต้องการทำให้เขาทั้งคู่กลับมาเป็นเหมือนเดิมรวมถึงเรื่องบนเตียง แต่เป็นปลายเมฆเองที่ปฏิเสธทุกครั้งที่ม่านฝนต้องการจะเริ่ม
เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่ทุกครั้งที่คิดถึงคืนนั้น คืนที่เขาเมาจนไม่รู้ตัวเองว่ากำลังกอดใครอยู่ เขามักจะเห็นหน้าของมันหวานแทรกแซงเข้ามาในความคิดและความรู้สึกเสมอ
นั่นจึงอาจจะเป็นสาเหตุที่เขาไม่สามารถกอดม่านฝนได้เลยในระยะเวลาที่กลับมาคบกัน
แม้แต่จูบเขาก็ไม่สามารถทำได้
ทำไม่ได้จริงๆ
ตีสองกว่าห้องนอนถูกเปิดออกก่อนที่ร่างสูงจะเดินไปยังห้องนอนที่อยู่ข้างกัน มือหนาจับลูกบิดประตูก่อนจะเปิดมันเข้าไป กลิ่นหอมของห้องนั้นจางไปมากแล้วจึงทำให้ปลายเมฆไม่กล้าสูดเอาอากาศเข้าเต็มปอดนักเพราะเขากลัวว่ากลิ่นมันจะหายไป
เขาเดินไปยังเตียงก่อนจะล้มตัวนอนลง คว้าผ้าห่มมาห่มกายและคว้านิยายปกสีหวานที่มีผู้ชายสองคนบนหน้าปกขึ้นมาอ่าน
มันหวานไม่ได้เอานิยายที่เขาซื้อให้ติดตัวไปด้วยแม้แต่เล่มเดียว มันถูกทิ้งไว้อยู่แบบนั้นในห้องที่เขาไม่อนุญาตให้ม่านฝนเข้ามาแม้แต่ครั้งเดียวต่อให้อีกคนบอกว่าจะเข้ามาทำความสะอาดก็ตามที
ปลายเมฆไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่วันไหนที่เขาจะรอให้ม่านฝนหลับให้สนิท ก่อนที่เขาจะเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเองอย่างเงียบเชียบและใช้ห้องที่เคยเป็นของมันหวานในการหลับนอน
อย่างน้อยมันก็ทำเขาหลับลงได้บ้างแม้ว่าจะได้นอนไม่กี่ชั่วโมงก็ตามที
นิยายที่กำลังบรรยายความหวานของตัวละครและเรื่องราวนั้น ไม่ได้ทำให้ปลายเมฆเข้าใจความชอบของมันหวานมากนัก แต่เขาก็อ่านมันไปอยู่แบบนั้นจนกว่าเปลือกตาตัวเองจะปิดลงและตื่นขึ้นมาพร้อมกับหน้านิยายที่ถูกกางอยู่บนหน้าอก
อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่ามันหวานได้อยู่ตรงนี้ แค่เพียงเสี้ยวนาทีก็ยังดี
มันเหมือนกับกำลังมีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังรอให้ปลายเมฆยอมรับ
บางสิ่งนั้นที่อาจจะเป็นทางออกที่เขาตามหา
ตีสี่ครึ่งนั่นคือเวลาที่ปลายเมฆสะดุ้งตื่น ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องนอนนี้เพื่อกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง ม่านฝนยังคงหลับสนิทเพราะตลอดเวลาสิบปีที่คบกันมาปลายเมฆรู้ดีว่าม่านฝนจะไม่ตื่นมากลางดึกหากไม่ถึงเวลาตื่นจริงๆ แต่ถึงม่านฝนจะตื่นมาและไม่พบเขา เขาก็ไม่มีเหตุผลดีๆให้เช่นกันว่าทำไมถึงไปนอนห้องของมันหวานแบบนั้น
ฟ้าหลังฝนไม่ได้สวยงามทุกครั้งไป เพราะในเช้านี้ที่เขาตื่นนอนมาไม่ได้มีเส้นสายรุ้งพาดผ่านบนท้องฟ้ามีแต่เพียงเมฆครึ้มๆที่ยังไม่กลับมาสดใส มีเพียงหยาดน้ำฝนที่เกาะอยู่ตามใบไม้ยอดหญ้าและนั่นมันไม่ได้เกิดความสวยงามในสายตาของปลายเมฆเลยสักนิด
“กาแฟครับพี่เมฆ”
กาแฟดำกับขนมปังปิ้งหนึ่งแผ่นคืออาหารเช้าในทุกๆวันที่ปลายเมฆได้รับจากม่านฝน มันเป็นความจำเจที่ปลายเมฆไม่ได้รู้สึกอะไร เขากินได้แม้จะคิดถึงโจ๊กหมูร้อนๆใส่ไข่ไม่สุขหนึ่งฟองและโรยขิงเยอะๆของมันหวานมากๆก็ตามที
“แล้วจะได้งานทำตอนไหน” เขาถามหลังจากอาหารเช้าหมดลง
ม่านฝนไม่ได้ไปทำงานตั้งแต่เจอกันอีกครั้งในวันนั้นพร้อมกับประโยคที่บอกว่าตัวเองออกจากงานไปแล้ว ปลายเมฆไม่ได้ว่าอะไรกับการที่เขาต้องให้เงินม่านฝนใช้ อย่างน้อยเงินนั้นก็ซื้ออาหารเข้าห้องเพื่อทำให้เขากิน
มันก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติเพราะตอนที่คบกันเหมือนเมื่อก่อน ปลายเมฆก็เต็มใจให้เงินม่านฝนใช้แม้ว่าอีกคนจะมีงานทำ แต่เพราะงานของม่านฝนได้เงินไม่เยอะเหมือนของเขาไหนจะต้องแบ่งให้ครอบครัว นั่นเป็นสาเหตุที่เขาเต็มใจให้กับอีกคนในเรื่องของเงินทอง
“ฝนรอเขาเรียกไปสัมภาษณ์อยู่ครับ”
“ดีแล้ว” เขาบอกแค่นั้นก่อนจะหยิบแบงค์พันออกมาจากกระเป๋าสตางค์ห้าใบและส่งให้กับร่างบางตรงหน้า ก่อนที่ม่านฝนจะพนมมือไหว้ตรงกลางอกเขาพร้อมกับฝากรอยจูบไว้ที่แก้มขวาเหมือนอย่างทุกๆวัน
“ขอบคุณนะครับ”
“ครับ ต้องไปทำงานแล้ว” ปลายเมฆมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเดินไปยังโซฟาและคว้ากระเป๋าเอกสารมาถือไว้เหมือนอย่างเคย
เขาเดินไปยังประตูและปล่อยให้ม่านฝนจัดเนคไทและคอเสื้อให้เหมือนเดิมแม้ว่าเขาจะจัดมันดีอยู่แล้วก็ตาม สัมผัสจูบที่ปลายคางยังคงเหมือนกับทุกๆวันและปลายเมฆทำเพียงลูบผมร่างบางเบาๆแค่นั้นเป็นการตอบแทนก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
ตอนนี้เวลาแปดโมงกว่าและเขาพอมีเวลาอยู่นิดหน่อยในการไปที่อื่นก่อนจะเข้าโรงพยาบาล รถคันสีดำถูกจอดอยู่ที่เดิมเยื้องๆกับคณะศึกษาศาสตร์
ไม่บ่อยนักหรอกที่ปลายเมฆมาแอบมองมันหวานจากที่ตรงนี้แม้ว่าบางครั้งจะไม่ได้เจอคนตัวเล็กเลยก็ตาม เขาไม่รู้ว่ามันหวานเข้าเรียนตอนไหนเพราะงั้นการเสี่ยงเพื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายภายในเวลาไม่กี่นาทีคือสิ่งที่เขากำลังจะทำ
เขารอคนตัวเล็กมาเกือบครึ่งชั่วโมงและยังไม่มีทีท่าว่าจะเจอ ไม่รู้ว่ามันหวานยังมาไม่ถึงหรือว่าเข้าคณะไปแล้วก็ไม่รู้ ปลายเมฆจึงตัดสินใจลงจากรถก่อนจะเดินไปยังร้านค้าขนาดย่อมข้างๆคณะ
เขายิ้มรับคำทักทายจากคุณป้าคนขายก่อนจะหยิบขนมหลายห่อหลายยี่ห้อใส่ตะกร้ารวมถึงนมและน้ำหวานก่อนจะส่งทั้งหมดให้กับคุณป้าคิดเงิน หลังจากนั้นเขาจึงเดินเข้าไปยังคณะ ไม่ได้หวังว่าจะรอยื่นมันให้กับเจ้าตัว ปลายเมฆแค่ต้องการขอความช่วยเหลือจากใครสักคน
“ขอโทษนะครับ”
“ครับ?” นักศึกษาชายที่กำลังจะเดินผ่านไปถูกเขาเรียกเอาไว้ เด็กหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจแต่ปลายเมฆไม่มีเวลาอธิบายขนาดนั้น เขาทำเพียงยิ้มบางให้ก่อนจะเอ่ยถามอะไรสักอย่างออกไป
“พอจะรู้จักมันหวานไหมครับ อยู่ปีหนึ่งตัวเล็กๆขาวๆหน้าหวานๆ”
“มันหวาน? ที่เป็นแฟนเตวิณป่ะพี่”
“แฟนเตวิณหรอครับ?” คำพูดนั้นทำให้ลมหายใจของปลายเมฆเกิดการกระตุกไปห้วงจังหวะหนึ่ง ทั้งที่เขาก็พอเดาได้ว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั้นคงจะคืบหน้าไปบ้างแล้วจากสิ่งที่ได้เห็นเมื่อหลายวันก่อน แต่พอได้รับการยืนยันแบบนี้มันกลับทำให้ใจของเขารู้สึกเจ็บแปลกๆ
“ครับพี่ ถ้าไม่ผิดก็น่าจะมันหวานนี้ ชื่อน่ารักแบบนี้มีคนเดียวในคณะ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสริม
“ครับ คนนั้นแหละ”
“แล้วพี่มีอะไรหรือเปล่าครับ?"
“มีครับ อยากฝากขนมไปให้เขาหน่อย” ปากว่าพร้อมกับยื่นขนมถุงใหญ่ไปให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้าที่มีสีหน้างงงวยแต่ก็ยอมรับไป
“ให้บอกว่าใครฝากมาดีครับ”
ปลายเมฆนิ่งคิด ถ้าให้บอกว่าเขาฝากมาให้ไม่แน่ขนมพวกนั้นอาจจะไปอยู่ในถังขยะก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องกลายเป็นคนโกหกเพื่อให้อีกคนรับถุงขนมที่เขาตั้งใจซื้อให้
“พี่รหัส บอกว่าพี่รหัสฝากมาให้”
“อ้อ ได้ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า
“ขอบคุณมากครับ”
“ครับ งั้นผมเอาไปให้เลยละกัน”
“ครับ รบกวนด้วย” ปลายเมฆยกยิ้มบางให้อีกฝ่ายก่อนจะหันหลังกลับไปยังรถของตัวเองเมื่อเด็กหนุ่มที่เขาไหว้วานนั้นเดินเข้าลิฟต์ไป
ปลายเมฆไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันแปลว่าอะไร รู้แค่ว่าเขาอยากทำ อยากทำในสิ่งที่ไม่เคยได้ทำให้ แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ใช่สิทธิ์ของเขาเลยที่จะทำสิ่งนั้นได้ ในเมื่อมันหวานมีแฟนแล้วทั้งคน
เป็นแฟนคนที่เขาไม่ควรมานั่งกังวลว่าจะดูแลมันหวานได้ดีไหม เพราะเตวิณคงดูแลและใส่ใจมันหวานได้ดีกว่าที่เขาเคยทำ
เขาควรจะดีใจที่มันหวานมีคนคอยดูแล แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้หัวใจของเขาถึงเกิดอาการเจ็บแปล๊บจนต้องยกมือขึ้นมากดมันก็ไม่รู้
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเขากำลังเหนื่อยมากเกินไป
เหนื่อยกับการเฝ้าคิดถึงคนที่เอากลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว
ปลายเมฆกลับมาทำงานในเวลาปกติที่เฉียวเฉียดจนแทบต้องวิ่งไปใส่เสื้อกาวน์ไป ในวันนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกวัน เขายังคงมีงานรัดตัวอยู่เสมอ อาจจะต่างไปนิดตรงที่เดี๋ยวนี้เขาพึ่งยาแก้ปวดหัวและบุหรี่บ่อยกว่าที่เคย
ปลายเมฆเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยในเวลาสี่โมงเย็นและวันนี้เข้าต้องอยู่เวรถึงเที่ยงคืน แต่เขาก็ทำหน้าที่แฟนโดยการโทร.ไปบอกม่านฝนเรียบร้อยและเอ่ยย้ำให้อีกคนกินข้าวให้ตรงเวลาและกำชับว่าไม่ต้องมาหาเขาที่โรงพยาบาลเหมือนวันก่อนเพราะเขาคงไม่ว่างมาเจอเหตุเพราะมีผ่าตัดยาวติดกันหลายชั่วโมง
ปลายเมฆทิ้งตัวนั่งเก้าอี้ในห้องพักส่วนตัว เขาคว้าน้ำเปล่ามากระดกดื่มจนหมดก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้คนจากข้างนอกเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงจากหน้าประตู
“มีผ่าตัดด่วนหรอครับ” ร่างสูงเอ่ยถามพยาบาลคนสนิทก่อนจะก้มดูตารางผ่าตัดในแผ่นกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ เพราะนี่เป็นเวลาพักอันน้อยนิดของเขา พยาบาลมักจะรู้ดีว่าไม่ควรมารบกวนเวลาอันมีค่าน้อยนิดของคุณหมอหากไม่มีเรื่องด่วนมากจริงๆ
“เปล่าค่ะคุณหมอ คือผู้อำนวยการเรียกพบค่ะ”
“อ่อครับ เดี๋ยวผมไป ขอบคุณมาก”
“ค่ะ” เธอรับคำก่อนจะเดินออกจากห้องและปิดประตูเงียบเชียบ ปลายเมฆถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่รู้ว่าเผลอทำอะไรผิดไปหรือเปล่าถึงโดนเรียกพบแบบนี้แม้ว่าผู้อำนวยการที่ว่าจะไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิดสำหรับเขา
ลิฟต์โดยสารหลังโตพาปลายเมฆมายังชั้นบนสุดของโรงพยาบาล อันเป็นที่ตั้งห้องพักของผู้อำนวยการ หรือจะเรียกให้ง่ายขึ้นก็คือพ่อของเขานั่นแหละ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากพาตัวเองมายังหน้าประตูไม้ที่ฉลุลวดลายสวยงาม ก่อนที่มือหนาจะเปิดประตูเข้าไปเมื่อได้รับอนุญาต
ปลายเมฆยกมือไหว้พ่อของตัวเองที่มองมาก่อนอยู่แล้วก่อนจะเลื่อนเก้าอี้และนั่งลงไป ชายหนุ่มยิ้มบางเมื่อพ่อส่งยิ้มมาให้เป็นอันโล่งใจเปราะหนึ่งว่าที่โดนเรียกมาไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนัก
“สบายดีนะครับพ่อ” คำทักทายแรกถูกส่งออกไป มันเป็นคำถามที่ไม่น่าจะแปลกเท่าไรกับการที่สองพ่อลูกไม่ค่อยเจอกันนักแม้ว่าจะทำงานอยู่ที่เดียวกันก็ตามที
“ก็ดี จนกระทั่งได้ข่าวว่าลูกชายตัวเองไม่ค่อยมีสมาธิทำงานเท่าไร”
“โดนฟ้องจนได้” ปลายเมฆยิ้มขำ ก็คงเป็นมนุษย์สักคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทคาบความประพฤติของเขามาฟ้องพ่อนั่นแหละ และปลายเมฆก็ไม่คิดจะเถียงเพราะพักหลังมานี้เขาไม่ค่อยมีสมาธิมากจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ขนาดที่ลืมกรรไกรหรือผ้าก็อตไว้ในท้องคนไข้
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
“สมกับที่เป็นพ่อเลยนะครับ” ปลายเมฆยิ้ม พ่อเขาก็เป็นแบบนี้เสมอเพียงแค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าลูกชายคนเดียวของตัวเองกำลังมีเรื่องทุกข์ใจ ซึ่งต่างจากปลายเมฆพอสมควรที่ไม่เคยรู้อะไรเลยจากการเพียงแค่มองตาหรือสีหน้าของคนอื่น
“ว่ามาสิ”
“ผมกลับมาคบกับม่านฝนแล้วนะครับ” ปลายเมฆเอ่ยบอกและดูท่าทีของคนเป็นพ่อ และท่าทีนิ่งเฉยนั้นบ่งบอกได้ว่าพ่ออาจจะรู้มาก่อนหน้านี้แล้วโดยคำบอกเล่าของแทนไทที่ปากสว่างเหมือนโทรโข่ง
“อืม พ่อฟังอยู่”
“ผมทำถูกแล้วใช่ไหมครับพ่อ”
“ทำไมถามอย่างนั้น” จากการที่นั่งพิงเก้าอี้กลับกลายเป็นการยืดหลังตรงและมองหน้าลูกชายคนเดียวด้วยความจริงจัง
“ฝนนอกใจผมไปมีคนอื่น เขาหักหลังความรักสิบปีของผม แต่ผมกลับให้อภัยเขาและกลับมาเริ่มต้นใหม่ ผมตัดสินใจถูกหรือเปล่าครับพ่อ”
“อะไรที่ทำให้เมฆคิดว่าตัวเองกำลังลังเลกับการตัดสินใจ”
“ผมไม่รู้ครับ” ปลายเมฆก้มหน้าลง ไหล่ที่ยืดตรงกลับเป็นห่อลงเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อของตัวเอง ปลายเมฆกำลังกลับมาเป็นเด็กชายปลายเมฆที่นำปัญหาของตัวเองมาให้พ่อช่วยแก้ไขอีกครั้ง
“มีตัวแปรบางอย่างที่เข้ามาแทรกแซงระหว่างเมฆและม่านฝนหรือเปล่า”
“พ่อเหมือนมานั่งอยู่ในใจผม” ปลายเมฆยกยิ้มมุมปากเมื่อพ่อหัวเราะออกมาเบาๆเหมือนชอบใจนักกับสิ่งที่เขาได้พูดออกไป
“ลองบอกพ่อสิ ว่าตัวแปรนั้นเขาทำอะไรกับลูกบ้าง”
ปลายเมฆกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ เขาเงยหน้าจากการมองหน้าตักของตัวเองเพื่อสบตาพ่อตรงๆและเริ่มเล่าเรื่องราวเหล่านั้นออกมา
“เขาอยู่กับผมในวันที่ผมมีฝนขนาดใหญ่ตกอยู่ในหัวใจ เขาเหมือนพระอาทิตย์ในการ์ตูนที่แม่เคยเปิดให้ผมดูตอนเด็กเลยครับพ่อ”
“...”
“ตอนแรกผมไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเขามากเท่าไรนัก จนกระทั่งเราได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม”
“...”
“เขาตัวเล็กนิดเดียวเวลาโดนผมกอด และเขามักจะกอดผมแน่นเสมอเหมือนกลัวว่าผมจะหายไปไหน แล้วพ่อรู้ไหมครับว่าถึงเขาจะตัวแค่นั้นแต่อ้อมกอดเขาอบอุ่นเป็นบ้า” ชายหนุ่มยกยิ้ม
“…”
“ที่สำคัญ เขาเหมือนคนที่ดึงผมขึ้นมาจากสระน้ำขนาดใหญ่เพื่อให้เห็นว่าตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้วและผมไม่ควรจมน้ำอีกต่อไป”
“เขาเหมือนออกซิเจนของเมฆไหม” พ่อเอ่ยถาม
“ผมไม่แน่ใจ แต่ตอนที่เขาหายไปเหมือนผมเป็นคนที่หายใจไม่เป็น” ปลายเมฆยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใครคนนั้นที่เขากำลังเล่าเรื่องราวให้พ่อฟัง มันน่าแปลกที่ปลายเมฆสามารถตอบคำถามของพ่อออกมาได้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้มากเลยสักนิด
“แล้วทำไมเขาถึงหายไป” พ่อยังคงถามต่อ
“เพราะผมทำเขาเสียใจครับ”
“ตามเขากลับคืนมาได้ไหม”
“แต่ผมมีม่านฝน” คุณหมอสบตาคนเป็นพ่อและปลายเมฆเห็นว่ายังคงมีรอยยิ้มบางๆประดับอยู่บนใบหน้าเหมือนกับว่าเรื่องที่เขากำลังปรึกษาไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากอะไรเลยสักนิด
“เมฆลองเล่าถึงม่านฝนให้พ่อฟังหน่อยได้ไหมหลังจากกลับมาคบกัน”
“ครับ ..ผมกับฝนย้ายมาอยู่ด้วยกันที่คอนโดของผม ฝนดูแลผมเหมือนเดิมทุกอย่าง เหมือนที่เคยทำ เขาพยายามรื้อฟื้นอดีตที่ได้จบไปแล้วให้กลับคืนมาอีก”
“...”
“พ่อคงไม่รู้ว่าที่ผมกลับไปคบกับฝนก็เพราะแทนไทบอกให้ลองกลับไปเดินทางเก่าดู”
“แล้วเมฆก็เชื่อ”
“ครับ ผมคิดว่ามันคงไม่เสียหายมากนักหรอกมั้ง ก็ผมเคยรักเขานี่”
“เมฆ”
“ครับ?” ปลายเมฆชะงักเมื่อเสียงทุ้มใหญ่ของพ่อดังขึ้นขัดกับเรื่องที่เขากำลังเล่า ก่อนที่พ่อจะเคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะ เป็นการกระทำที่พ่อจะทำก็ต่อเมื่อได้คำตอบของอะไรบางอย่าง
“เมื่อกี้เมฆรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”
“อะไรหรอครับ?”
“ก็ผมเคยรักเขา เมฆใช้คำว่า‘เคยรัก’กับม่านฝน เมฆรู้ตัวไหม”
“...” ปลายเมฆเงียบไปเพราะเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาได้เอ่ยคำว่าเคยรักออกไปจริงๆ
“เคยรักนั่นแปลว่าไม่ได้รักแล้วหรือเปล่าเมฆ”
“แล้วทำไมผมถึงกลับมาคบกับฝน ถ้าผมไม่ได้รักเขาอีกแล้ว” ปลายเมฆรีบถามกลับ
“เมฆ กลับมาเพราะความรักกับกลับมาเพราะความผูกพันมันต่างกันนะ”
“ผมไม่เข้าใจ” ปลายเมฆส่ายหน้าเบาๆ เพราะเขาไม่เข้าใจจริงๆว่าสองคำนี้มันต่างกันที่ตรงไหน
“ความผูกพันสามารถเกิดได้โดยไร้ซึ่งความรัก” พ่อเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น
“...”
“เหมือนกับเรามีหนังสือสองเล่ม เล่มแรกถูกเก็บไว้หลายปี และเราไม่เคยหยิบมันมาอ่านเลยหลังจากหน้ากระดาษมันบาดนิ้วมือของเรา หนำซ้ำยังไม่กล้าทิ้งอีกเพียงเพราะมันอยู่กับเรามานาน จนมีคนมาบอกว่าหยิบมันมาอ่านสิ เราถึงได้หยิบมันมาอ่านและพบว่าปลายนิ้วของเราเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่นพร้อมกับภาพรอยแผลที่ถูกบาดในวันนั้น”
“…”
“อีกเล่ม เป็นเล่มที่เราเพิ่งเคยเจอ เป็นเล่มที่ไม่ได้อยู่กับเรามานานเหมือนเล่มแรก เราหยิบมันมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับครั้งแรกที่เคยได้อ่าน เพียงเพราะแผ่นกระดาษของมันไม่เคยบาดมือเรา มากไปกว่านั้นยังเป็นเล่มที่ทำให้เราไม่ต้องไปนึกถึงความเจ็บเพราะถูกบาดเหมือนเล่มแรก เป็นหนังสือเล่มที่ทำให้เราอ่านได้อย่างสบายใจมาโดยตลอด”
“…”
“เมฆรู้อะไรไหม บางครั้งความผูกพันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่กล้าเปลี่ยนแปลง เป็นความเคยชินที่สั่งให้เราต้องทำ”
“พ่อหมายถึงว่าการที่ผมกลับมาคบกับฝนเพราะว่าผูกพันอย่างนั้นหรอครับ”
“แล้วเมฆบอกพ่อได้ไหมว่าเมฆรักม่านฝนถึงได้กลับไป”
“…” คำถามของพ่อมันเหมือนจะง่าย แต่ไม่รู้ทำไมคำว่า‘รักม่านฝน’ที่ควรจะเอ่ยออกไปถึงทำให้ริมฝีปากของเขาหนักขนาดนี้
“เมฆ ความผูกพันมันตัดยาก แต่มันตัดได้ อย่าอยู่กับเขาเพียงแค่ถูกความผูกพันรัดไว้โดยปราศจากความรักในหัวใจ การที่เมฆเอ่ยคำว่ารักออกมาจากปากไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ชัดเจนแล้วหรอว่าเมฆรักม่านฝนไม่ได้อีกแล้ว”
“ผมสับสน.. ม่านฝนกับผมคบกันมานาน นานมากจริงๆ”
“นั่นแหละ สิ่งที่ทำให้เกิดความผูกพัน”
"..."
"อย่าเสียดายวันเวลาที่เคยผ่านไปแล้ว ให้กลัววันเวลาข้างหน้าที่จะเอากลับคืนมาไม่ได้อีก"
“แล้วผมควรทำยังไงครับพ่อ” แววตาของปลายเมฆสั่นไหว คล้ายกับคนกำลังอ่อนแรงเมื่อบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายจะขุ่นมัวเริ่มชัดเจนมากขึ้น
เหมือนกับคำพูดของพ่อได้ปลดล็อคบางสิ่งบางอย่างให้แก่เขา
“แล้วเมฆอยากทำอะไร”
“ผมอยากทำตามหัวใจของตัวเอง”
“เมฆก็แค่ทำมัน อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นใหม่เมฆ หากเรื่องที่ผิดพลาดมันเกิดจากคนสองคนก็อย่าแบกความผิดไว้แค่คนเดียวอย่ากลัวว่าถ้าตัวเองเป็นคนเริ่มตัดความสัมพันธ์เมฆจะกลายเป็นคนผิด ในเมื่อวันนั้นม่านฝนก็ทำกับเมฆอย่างนี้”
“...”
“ถ้าถามใจพ่อ คงไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากให้ลูกกลับไปคบกับคนที่ทำให้ลูกตัวเองเจ็บเจียนตายแบบนั้นหรอก”
“...”
“ม่านฝน ควรจะเรียนรู้คำว่าสายเกินไปได้แล้ว”
เสียงเก้าอี้ถูกเลื่อนออกก่อนที่คนเป็นพ่อจะเดินมาหาและคว้าศีรษะของเขาไปแนบไว้ที่หน้าท้องของตัวเองก่อนจะลูบผมเบาๆ
“ผมเหมือนคนที่ผิดไปหมดทุกอย่าง” ท่อนแขนยาวยกกอดเอวคนเป็นพ่อไว้หลวมๆ “กลายเป็นคนขี้ขลาดจนไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลยสักนิด”
“เพราะว่าเมฆโดยทำร้ายมาเยอะ ไม่ผิดที่ลูกจะเปราะบางและสับสน”
“...”
“ครั้งนึงเมฆเคยให้ใจกับม่านฝนไปทั้งดวงเป็นเวลานานกว่าสิบปี แต่วันนั้นวันเดียวที่ม่านฝนปักมีดล่องหนมายังที่ใจของลูก พ่อรู้ว่าเมฆเจ็บแค่ไหน เจ็บจนอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้”
“...”
“พอในวันที่ม่านฝนขอกลับมา เมฆก็คงคิดว่ามันจะกลับไปดีอย่างเดิมได้ โดยที่เมฆคงลืมไปว่าแก้วที่แตกไปแล้วไม่มีวันเหมือนเดิม พ่อรู้ว่าเมฆพยายามแล้วที่จะประกอบเศษแก้วนั้นให้มันกลับมาเป็นแก้วใบเดิม”
“...”
“แต่เมฆได้ดูไหมว่าตอนนี้มือของตัวเองชุ่มเลือดไปมากแค่ไหน”
“พ่อครับ..”
ปลายเมฆได้แต่คิดตามกับสิ่งที่พ่อได้เอ่ยบอก และเขาไม่เคยรู้เลยว่าที่ผ่านมาเขาสะบักสมอมมามากแค่ไหน เขาหลงลืมไปได้อย่างไรว่าทางเก่าที่เลือกเดินกลับไปมันมีแต่ซากปรักหักพังทั้งนั้น
“คนที่ลูกทำหายไป ลูกคิดว่าจะตามเขากลับคืนมาได้ไหม”
“ผมไม่รู้ ผมทำผิดกับเขา ทำให้เขาเสียใจและไม่เคยปลอบโยนเขาเลยสักครั้ง” ปลายเมฆหลับตาลง เขารู้สึกว่าความร้อนกำลังสุมอยู่ที่ดวงตาของตัวเอง
“ลองดูไหมเมฆ ลองตามเขากลับมา”
“ผมทำได้หรอครับ”
นั่นสิ เขาทำได้อย่างนั้นหรอ
“ลูกอยู่ได้หรอถ้าไม่มีออกซิเจน”
ไม่ได้หรอก คนเราขาดออกซิเจนได้ที่ไหนกัน
“พยายามให้ถึงที่สุด ให้มากกว่าที่เขาพยายามเปลี่ยนปรอยฝนในใจของลูกให้กลายเป็นพระอาทิตย์เหมือนในการ์ตูนที่ลูกชอบดูตอนเด็กๆ”
ปลายเมฆละอ้อมกอดออกจากคนเป็นพ่อ เขามองรอยยิ้มที่แสดงออกถึงกำลังใจมากมายนั่น สุดท้ายปลายเมฆก็ยังคงเป็นคนอายุสามสิบกว่าที่ยังเป็นลูกแหง่ในสายตาของพ่อจนต้องโอบกอดเพื่อปลอบประโลมเสมอสินะ
“แล้วถ้าเขาไม่ยอมกลับมาล่ะครับ”
“ก็แค่วิ่งมาในอ้อมกอดพ่อ”
“ผมเหมือนลูกแหง่เลย” ปลายเมฆยิ้มบางเมื่อเส้นผมของเขาถูกพ่อขยี้จนฟูไปหมด “พ่อครับ”
“ว่าไง”
“ถ้าเป็นพ่อ พ่อจะเลือกหนังสือเล่มไหนระหว่างเล่มที่ผูกพันหรือเล่มที่รัก”
พ่อยิ้มก่อนจะเดินกลับไปยังเก้าอี้ตัวเดิม คว้ากรอบรูปบานสีขาวที่ปรากฏภาพผู้หญิงคนเดียวในนั้นและปลายเมฆรู้ดีว่าใครคือคนในรูป
เธอคนนั้นคือแม่ของเขา
“ถ้าให้พ่อเลือก”
“...”
“ก็ต้องเลือกหนังสือที่มีเล่มเดียวในโลกสิ”
คำพูดของพ่อทำให้ปลายเมฆต้องกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง เขารู้สึกว่าที่ผ่านมาตัวเองได้ทำผิดพลาดไปตั้งหลายอย่างทั้งที่มีสติดีหรือทั้งที่ไร้สติก็ตาม คำบอกเล่าของพ่อเหมือนเป็นกุญแจดอกใหญ่ที่ช่วยปลดล็อคทางตันให้แก่กัน
ปลายเมฆเหมือนเห็นแสงสว่างรำไรจากที่มันเคยมืดสนิท เหมือนปัญหากำลังจะคลี่คลายออกทีละปมๆ เขาคิดว่าอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเขาคิดน้อยไป หรือไม่เคยคิดอะไรเลย ถึงปล่อยให้จากจุดเล็กๆกลายเป็นจุดด่างดำขนาดใหญ่จนเปรอะเปื้อนไปหมด แต่เขาก็หวังว่านับจากนี้เขาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมากกว่าเดิมโดยไม่เหลือร่องรอยด่างดำอะไรทิ้งไว้อีก
แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่ผ่านมามันก็ยังทำให้ปลายเมฆลังเลที่จะตัดสินใจอะไรคนเดียว เขาจึงพาตัวเองมาขอคำปรึกษาจากเพื่อนสนิทคนเดิมเพราะแทนไทพึ่งพาได้เสมอแม้ลุคภายนอกจะไม่ให้ก็ตาม
ที่จริงเลิกงานแล้วเขาควรจะกลับห้องทันทีแต่เพราะเรื่องที่กระจุกกันอยู่ในหัวตั้งแต่คุยกับพ่อทำให้เขาต้องตามเพื่อนสนิทมายังคอนโดเพื่อหารือเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง
“มีแต่เบียร์นะ” แทนไทว่าก่อนจะวางกระป๋องเบียร์ลงตรงหน้า “แล้วนี่บอกแฟนมึงยังว่ากลับช้า”
“ส่งข้อความบอกแล้ว” ตอนนี้เวลาเกือบตีสองเขาจึงเลือกจะส่งข้อความไปบอกม่านฝนแทนที่จะโทรไปรบกวนเวลานอน
“ไหนว่ามา” แทนไทหันหน้าเข้าหาเพื่อนสนิทก่อนจะยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม ทั้งที่เลิกงานมาควรจะได้พักผ่อนแต่กลับต้องมารับฟังปัญหาชีวิตของเพื่อนตัวโตๆที่ดันฉลาดแค่เรื่องงาน
“พ่อบอกว่าที่กูคบกับม่านฝนเพราะแค่ผูกพัน” ปลายเมฆเริ่มเอ่ย “กูไม่ได้รักเขาแล้ว”
“แล้วมันใช่แบบที่คุณอาบอกไหม”
“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า “คงไม่ได้รักแล้วจริงๆ”
ปลายเมฆเริ่มคิดหลังจากได้พูดคุยกับพ่อ เขาไม่ได้รู้สึกอยากกอดอยากจูบม่านฝนเหมือนเก่า เวลาเลิกงานไม่ได้อยากรีบไปหา และยิ่งกว่านั้นทั้งที่นอนอยู่ด้วยกันแต่เขากลับคิดถึงคนอื่นมากกว่าคนที่นอนกอดกัน เขาไม่ได้คิดถึงม่านฝนตลอดเวลาเหมือนที่เคยเป็น
เพราะเขาเอาคิดถึงใครบางคน
“ที่จริงกูรู้ตั้งนานแล้วเมฆว่ามึงไม่ได้รักม่านฝนแล้ว”
“รู้ได้ยังไง”
“ถามมึงดีกว่า ว่าหัวใจมึงเองมึงไม่รู้ได้ไง” แทนไทกระตุกยิ้มเมื่อมองสีหน้าเพื่อนตัวเองแล้วรู้สึกขบขันในใจแปลกๆ ปลายเมฆเหมือนกับเด็กชายที่เริ่มหัดทำความคุ้นเคยกับหัวใจตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“กูควรบอกเลิกม่านฝนใช่ไหม”
“นั่นคือสิ่งที่มึงควรทำ ถ้าแน่ใจแล้วว่ารักเขาต่อไปไม่ได้อีก”
“ฝนจะเจ็บมากไหม” ปลายเมฆมองหน้าเพื่อนตัวเอง และสีหน้าแทนไทนั้นไม่ได้บ่งบอกอะไรเลยนอกจากขบขันกับคำถามของเขา
“เมฆ มึงไม่ใช่พระเอกของม่านฝน” แทนไทปากระป๋องเบียร์ลงถังขยะก่อนจะมองหน้าเพื่อนตัวเองด้วยความจริงจัง เขาเห็น ในแววตาปลายเมฆมันมีความลังเลตามแบบของคนที่ตัดสินใจอะไรไม่เคยเด็ดขาดหากเป็นเรื่องของความรู้สึก
และนั่นแหละข้อเสียชิ้นโตของหมอปลายเมฆ
เขาเข้าใจดีว่าปลายเมฆเป็นห่วงความรู้สึกของม่านฝนตามประสาคนที่เคยรักกันมานานแต่ถ้าเพื่อนของเขายังคงทำเป็นคนแสนดีห่วงหาคนที่ควรจะตัดขาดตั้งนานแล้ว ปมที่เคยผูกไว้ก็จะไม่คลายสักที
“คนเรามีรักก็ต้องมีหมดรักนะเมฆ”
“…”
“เหมือนที่ครั้งหนึ่งม่านฝนหมดรักมึงและเลือกเดินไปกับคนอื่นไง แล้วทำไมมึงจะหมดรักเขาบ้างไม่ได้”
ปลายเมฆนิ่งเงียบฟังในสิ่งที่เพื่อนสนิทเอ่ยบอก และไม่มีเรื่องไหนที่ไม่จริงเลยสักนิด ม่านฝนเคยหมดรักเขาไปก่อน แล้วทำไมเขาจะหมดรักอีกคนบ้างไม่ได้ ในเมื่อคนที่ทำร้ายหัวใจกันตั้งแต่แรกเป็นม่านฝนทั้งนั้น แล้วทำไมเขาต้องกังวลกับการที่จะตัดความสัมพันธ์กับม่านฝนขนาดนี้
หรือเพราะความสงสาร เพราะม่านฝนเคยบอกว่าไม่เหลือใครอีกแล้ว
“แทน กูจะไม่ผิดใช่ไหมถ้าเดินไปบอกเขาว่ากูหมดรักเขาแล้ว”
“ถ้ามันเป็นสิ่งที่ควรทำมันจะไม่ผิดเมฆ กูรู้ว่ามึงลำบากใจ แต่มันเป็นเรื่องที่ควรทำ อย่าปล่อยให้มันยืดเยื้อไปมากกว่านี้เลย”
“…”
“มันหวานรอมึงอยู่นะเมฆ”
ชื่อที่ออกจากปากเพื่อนสนิททำให้ปลายเมฆชะงักมือที่กำลังจะยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม เขาหลุบตามองหน้าตักของตัวเองก่อนจะเอ่ยปากบอกความจริงหนึ่งข้อให้เพื่อนสนิทรับรู้
“มันหวานคบกับเตวิณ”
“ว่าไงนะ?”
“มันหวานเป็นแฟนกับเตวิณไปแล้วมึงได้ยินไหมแทน”
ปลายเมฆเงยหน้ามองสีหน้าตกใจของเพื่อนตัวโย่ง เขาแค่นยิ้มให้กับตัวเอง มันหวานรออยู่อย่างนั้นหรอ? ไม่จริงเลยสักนิดมันหวานไม่ได้รอเขาอีกแล้ว
และเหมือนกับประโยคนั้นที่พ่อบอกควรจะรู้จักคำว่าสายเกินไปได้แล้ว
“มึงรู้ได้ยังไง”
“กูแวะไปที่ม.เขามา แล้วก็มีเด็กคนหนึ่งบอกว่าเขาเป็นแฟนกับเตวิณ”
“แม่ง งานยากไปอีก” เสียงถอนหายใจหนักๆของแทนไทบ่งบอกได้อย่างดีว่างานนี้มันหนักมากกว่าเดิม
เพราะแม้ว่าปลายเมฆจะไปบอกเลิกม่านฝนได้และม่านฝนยอมเดินจากไปง่ายๆ แต่ปลายเมฆก็ไม่สามารถเดินกลับไปหามันหวานได้อย่างง่ายดายเพราะมันหวานกลับมีแฟนเป็นตัวเป็นตน และแทนไทไม่แนะนำให้เพื่อนไปแย่งแฟนของใครแน่นอน
“กูผิดเอง มัวแต่โง่จนปล่อยให้ทุกอย่างสายเกินแก้ไปหมด”
“ไม่หรอกเมฆ” แทนไทเอื้อมมือมาบีบไหล่เพื่อนตัวเองเบาๆคล้ายปลอบโยนเพราะสีหน้าปลายเมฆตอนนี้บ่งบอกได้อย่างดีว่ากำลังเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น
พอรู้ตัวว่ารักเขาก็เป็นวินาทีเดียวกันกับการที่ต้องรู้ว่ากำลังจะเสียเขาไป
ความรักแม่งยุ่งยากไปหมด
“กูคิดว่าน้องอาจจะคบกับเตวิณเพราะเหตุผลอะไรสักอย่าง”
“อะไร?”
“อะไรสักอย่างที่ไม่ใช่รักแน่นอน”
แทนไทค่อนข้างมั่นใจเพราะเด็กคนนั้นดูรักเพื่อนเขาไม่น้อยไปกว่าใคร แล้วการที่ไปตกลงคบกับเด็กที่ชื่อเตวิณทั้งที่เพิ่งผ่านมาได้เพียงแค่เดือนเดียวมันต้องมีอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่แทนไทบอกได้เลยว่ามันหวานไม่ได้คบกับเตวิณเพราะความรักแน่นอน
“หมายความว่ามันหวานคบกับเด็กคนนั้นเพราะประชดหรอ” ปลายเมฆเอ่ยถาม ในใจเขาเต้นถี่รัวเมื่อเพื่อนบอกว่ามันหวานอาจจะไม่ได้รักเด็กคนนั้น
นั่นหมายความว่าเขากำลังมีโอกาสที่จะได้มันหวานกลับคืนมาใช่ไหม
“อาจจะไม่ใช่ประชด” แทนไททำหน้าครุ่นคิด นิ้วมือลูบคางตัวเองไปมา “ภาษาวัยรุ่นเรียกดามใจ”
“ดามใจ?”
“เออ มันหวานคงจะคบกับเด็กคนนั้นเพื่อดามใจที่อกหักจากมึง”
“แล้วเขาจะรักกันไหม”
“มีสิทธิ์จะเป็นไปได้”
“...” คำพูดจากเพื่อนสนิททำให้ใจที่เต้นถี่รัวในคราแรกผ่อนลงจนเหมือนจะหยุดเต้น
ปลายเมฆไม่ชอบเลยที่ได้ยินแบบนั้น เขาไม่อยากได้ยินว่ามันหวานจะรักคนอื่น
ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลยสักนิด
“กูไม่แนะนำให้มึงไปแย่งเขามาหรอกนะเมฆ นั่นเป็นวิธีที่ค่อนข้างเหี้ยนิดหน่อย”
“หมายความว่ากูต้องปล่อยเขาไปทั้งที่รู้หัวใจตัวเองแล้วอย่างนั้นหรอ”
นี่มันไม่ดีเอาซะเลย
ปลายเมฆไม่อยากสูญเสียดวงอาทิตย์ดวงนี้ให้กับใคร
“มึงแน่ใจในความรู้สึกของตัวเองแล้วใช่ไหม รู้แล้วใช่ไหมว่าตอนนี้ตัวเองรักใคร”
“รู้แล้ว” ปลายเมฆพยักหน้าประกอบคำพูด เขามองแววตาเพื่อนของตัวเองให้แทนไทรู้ว่าเขาจริงจังมากแค่ไหนกับความแน่ใจของตัวเองในครั้งนี้
“ถ้างั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือการจัดการกับเรื่องของม่านฝนให้เรียบร้อย ตัดให้ขาด จบคือต้องจบจริงๆ”
“อืม”
“มึงต้องห้ามใจอ่อนไม่ว่าม่านฝนจะพูดรั้งมึงแค่ไหน แม้จะก้มกราบตีนรั้งมึงไว้ด้วยคำว่ารักหรือขอโอกาสอีกครั้งมึงก็ต้องหนักแน่น จำไว้ว่าความรักไม่ใช่ความสงสารที่ควรจะฝืนใจให้กลับไป”
“รู้แล้ว จะจบกับเขาให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็เคยรักกัน”
“อืม”
“แล้วมันหวานล่ะ”
“มึงเชื่อกูไหมเมฆว่าน้องยังรักมึง น้องไม่ได้รักเตวิณ”
“ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้น” นั่นสิทำไมแทนไทถึงมั่นใจขนาดนั้น เพราะเขาไม่มั่นใจเลยสักนิด จากการได้แอบมองเขาเห็นมันหวานก็มีความสุขดีเวลาที่อยู่กับเตวิณ
มีความสุขด้วยกันจนใจเขาชาหนึบไปหมด
“แล้วทำไมมึงไม่มั่นใจกับรักครั้งแรกของมันหวาน”
“...”
“มึงเคยบอกกูนี่เมฆ ว่ามึงเป็นคนแรกที่มันหวานชอบ นั่นไม่ได้แปลว่ามึงคือรักแรกของน้องหรอ”
“…”
“แล้วรักแรกมันลืมกันง่ายๆที่ไหนกัน”
“ถ้าไม่ให้แย่งมา แล้วต้องทำยังไง”
“รอ มึงทำได้แค่รอ เพราะกูรู้ว่าคนเราถ้าไม่รักยังไงก็ต้องพาตัวเองออกมาจากจุดๆนั้น มันหวานไม่ใช่เด็กใจร้ายที่จะให้ความหวังเล่นงานเด็กที่ชื่อเตวิณนานนักหรอก”
“แทนไท กูจะได้น้องกลับมาใช่ไหม”
ปวดใจ..พอรู้ว่าที่จริงหัวใจของเรารักใครแต่ต้องมารับรู้ว่าเรากำลังเสียเขาไปมันทำให้ปวดใจมากเหลือเกิน ปลายเมฆไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่าถ้าเขาเฝ้ารอแล้วเขาจะได้มันหวานคืนมาจริงหรือเปล่า
เขากลัวว่าจะถูกมันหวานเกลียดกันจนไม่ให้อภัยกันอีกแล้ว
กลัวว่าความรู้สึกที่ตัวเองมีมันจะสายไปสำหรับอีกคน
กลัวว่าจะไม่เป็นที่ต้องการอีกแล้วนับจากวันนั้นและตลอดไป
กลัวความคาดหวังของตัวเองที่อาจจะล้มเหลว
“อยู่ที่ความพยายามของมึงหลังจากนั้น น้องเสียใจเพราะมึงมาเยอะนะเมฆ”
“...”
“นอกจากความรักก็มีความเชื่อใจนี่แหละที่เปราะบาง มึงทำลายความเชื่อใจมันหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า มึงก็ต้องทนรับให้ได้กับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ต่อให้น้องจะด่าจะทุบมึงมากแค่ไหน แต่หากมั่นใจว่าน้องยังรักมึง มึงต้องทนให้เขาทำร้ายคืนบ้าง”
“...”
“มึงต้องพาน้องกลับมาอย่างปลอดภัย ทั้งความรักและความเชื่อใจ”
ปลาเมฆเข้าใจแล้วว่านอกจากความรักที่เขามีมันยังไม่พอหากจะพามันหวานกลับมา เขาทำลายความเชื่อใจของมันหวานไปหลายครั้ง การเติมความมั่นใจให้กันเพื่อบอกให้มันหวานรู้ว่าเขาจะไม่กลับไปเป็นคนแบบนั้นอีกคือสิ่งที่เขาต้องทำ
เขาจะไม่กลับไปเป็นคนที่ดีแต่ทำให้อีกคนเสียใจ
เขาจะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองมากกว่านี้
“จำไว้นะเมฆ ว่าโอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ หัวใจของเรามีขนาดเท่ากำปั้นมือและมันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดที่จะรับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้”
“รู้แล้ว ขอบใจมาก” ปลายเมฆยิ้มบาง เขารู้สึกขอบคุณที่แทนไทอยู่ตรงนี้ คอยชี้ทางให้เขา บอกว่าแสงสว่างที่จะนำไปสู่ทางออกมันอยู่ตรงไหน ถ้าไม่มีแทนไทเขาก็ไม่รู้จะพาความรู้สึกที่รวนเรของตัวเองไปอยู่ตรงไหนเหมือนกัน
“เออ นี่ก็เริ่มคิดแล้วว่าเป็นเพื่อนหรือเป็นลูกให้กูสอนตลอดเลย”
“เดี๋ยวเลี้ยงเหล้า” ปลายเมฆหลุดขำเมื่อเพื่อนตัวโย่งทำสีหน้าปุเลี่ยนๆ เพราะต่างรู้กันดีว่างานของเขาทั้งคู่มันรัดแน่นเกินกว่าจะพาตัวเองออกไปสังสรรค์ได้เหมือนสมัยเรียน
“จะนอนนี่ไหม หรือจะกลับห้อง”
“เดี๋ยวกลับ ต้องคุยกับฝน”
“เออ งั้นไปนอนละพรุ่งนี้เวรเที่ยง” แทนไทลุกจากโซฟาก่อนจะอ้าปากหาววอดๆ จะตีสามแล้วยังไม่ได้นอนสักนิดมัวแต่มาเป็นคิวปิดให้ไอ้เพื่อนหมอสมองช้าอยู่เนี่ย
“แทน ขอใช้โทรศัพท์บ้านได้ไหม”
“ตามสบาย” ว่าแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนปล่อยเพื่อนสนิทให้อยู่คนเดียว นาทีนี้เขาง่วงนอนเกินกว่าจะทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีแล้วล่ะ
ปลายเมฆมองตามแผ่นหลังเพื่อนตัวโย่งที่หายเข้าไปในห้องนอนก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นไปคว้าโทรศัพท์บ้านไร้สายมา ดวงตาคมจดจ้องอยู่กับมันสักพักก่อนจะตัดสินใจกดโทรออกไปยังเบอร์ที่สมองจำจดมันได้อย่างดี แม้จะรู้ว่าเวลานี้จะเป็นการรบกวนอีกคนมากแค่ไหน
แต่ปลายเมฆอดทนรอไม่ไหวแล้ว แค่เดือนเดียวมันก็มากพอที่จะหงุดหงิดตัวเองได้แล้วที่ปล่อยให้อะไรๆมันเชื่องช้าได้ขนาดนี้
ขอแค่ได้ยินเสียงก็ยังดี
เสียงสัญญาณโทรออกกำลังดังขึ้นอยู่ในหูบ่งบอกว่าเจ้าของเครื่องไม่ได้ปิดเครื่องแต่อย่างใด
[สวัสดีจ้า]
น้ำเสียงงัวเงียที่ไม่ได้ยินมาเป็นเดือนทำให้ใจของปลายเมฆกระตุก เขากำโทรศัพท์บ้านของแทนไทแน่น ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆทั้งที่ยังคงปิดปากเงียบอยู่แบบนั้น
[ฮัลโหล]
สบายดีไหม
นั่นคือสิ่งที่เขาอยากถาม ปลายเมฆเลียริมฝีปากเมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนปลายสายกำลังขยับตัว
[นี่ใครจ๊ะ]
พี่หมอเอง หมอปลายของมันหวานไงครับ
[…]
ปลายสายเงียบไปเมื่อเขายังไม่เอ่ยอะไรออกไปสักอย่าง ทำได้แค่เงียบปากและปล่อยให้ลมหายใจเล็ดลอดเข้าไปในโทรศัพท์ ปลายเมฆกำมือของตัวเองแน่น เขาอยากบอกอีกคนว่าคิดถึงมากเหลือเกิน แต่ปากก็หนักเกินกว่าจะพูดออกไป
แทนไทบอกว่าให้เขารอ และเขาไม่รู้เลยว่ามีสิทธิ์มากแค่ไหนที่จะบอกคิดถึงแฟนของคนอื่น
แค่นี้เขาก็ยังไม่กล้า แล้วจะมีหน้ากลับไปเจอมันหวานอีกครั้งได้ยังไง
ทำไมเขายังคงเป็นคนขี้ขลาดเหมือนเดิมทั้งที่พ่อและเพื่อนสนิทก็บอกอะไรหลายๆอย่างกับเขาแล้วแท้ๆ
หรืออาจจะเป็นเพราะประโยคนั้นที่ดังก้องอยู่ในหูของเขาเสมอ
ไม่มีสิทธิ์
ปลายเมฆหลับตาลง เขาฟังความเงียบที่ยังไม่ถูกตัดสายทิ้งไป ฟังเสียงลมหายใจอ่อนๆของมันหวานที่เล็ดลอดออกมา
เขาคิดว่าไม่ควรจะรบกวนอีกคนไปมากกว่านี้ ควรจะปล่อยให้มันหวานได้นอนหากเขายังขี้คลาดเกินกว่าจะเอ่ยอะไรออกไป แต่ในขณะที่จะวางสายเสียงสะอื้นเล็กๆก็เล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
และมันทำให้หัวใจของเขาบีบอัดกันแน่นเหลือเกิน
[ฮึก..]
“...”
[หมอปลายใช่ไหม..]
#มันหวานปลายเมฆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

-ปลายนี่มันเป็นหมอจริงเรอะ
อยากบอกหมอแทนว่า ด่ามันตรงๆเลยค่ะ5555 โง่มาก นี่ถ้ามันหวานไม่คู่กับหมอปลายก็คงต้องเ็นหมอแทนเนี่ยแหละ เอาอยู่
อยู่คะไรท์...อยู่