ตอนที่ 18 : เหนือปลายเมฆ ☆ XVII
เหนือปลายเมฆ ☆ XVII
บางทีผมก็คิด ว่าผมเอาหัวใจของตัวเองไปให้คุณเหยียบย่ำขนาดนี้ได้ยังไง
“ให้เข้าไปเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่เป็นไร เราไปไม่นาน”
มือเล็กส่งหมวกกันน็อคให้กับเพื่อนตัวโย่งที่นั่งรออยู่บนมอ’ไซต์คันเดิมที่มันหวานเริ่มคุ้นชินในระยะเวลากว่าสองวันที่ผ่านมา
ตอนนี้มันหวานอยู่หน้าคอนโดที่เคยอาศัยอยู่เพราะคิดว่าควรมาเอาเสื้อผ้าและหนังสือเรียนของตัวเองหลังจากอาศัยใช้ของเตวิณจนเกิดความเกรงใจ แม้เพื่อนตัวสูงจะดูเต็มใจมากๆตอนที่หยิบเสื้อนักศึกษาของตัวเองมาให้เขาใส่เรียนไปก่อน อีกอย่างมันหวานต้องเติมชีวิตให้โทรศัพท์ของตัวเองเพราะที่ชาจแบตของเตวิณมันใช้กับของมันหวานไม่ได้เลยต้องปล่อยให้มือถือตัวเองดับไปแบบนั้นตั้งสองวัน
ลิฟต์เปิดออกที่ชั้นเดิมอีกครั้งก่อนที่มันหวานจะทาบคีย์การ์ดลงไป ในใจหวังไม่ให้เจอใครอีกคน หรืออย่างน้อยถ้าอีกคนอยู่ในห้องมันหวานก็หวังว่าเขาจะยังไม่ตื่นเพราะเขาไม่อยากเจอหน้าคนใจร้ายจริงๆในเวลานี้
เสียงประตูปิดลงเบาๆก่อนจะเตรียมสาวเท้าเดินไปยังห้องตัวเอง แต่บานประตูอีกห้องที่ปิดสนิทกลับเปิดออกมาเสียก่อน มันหวานหยุดฝีเท้าไว้ตรงนั้นเมื่อคนที่ปรากฏสู่สายตาเป็นคนที่มันหวานไม่คิดว่าจะได้เจออีกครั้งที่นี่
“อ้าว น้องมันหวาน”
“คุณม่านฝน” มันหวานไล่สายตามองผู้ชายร่างบางตรงหน้ากับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่สมองของมันหวานจดจำว่ามันคือของหมอปลายเมฆ
ไวกว่าความคิด มันหวานเดินผ่านคนตัวบางไปก่อนจะผลักประตูห้องของหมอปลายเมฆเข้าไปอย่างไม่ขออนุญาต และภาพผู้ชายตัวโตที่นอนอยู่บนเตียงโดยไร้ซึ่งเสื้อผ้าส่วนบนทำให้มันหวานกำลังก้าวขาไม่ออก
มันหวานเหมือนได้ยินเสียงของบางอย่างแตกสลายภายใต้อกด้านซ้ายของตัวเอง
“หมอปลาย..” น้ำเสียงแผ่วเบาถูกเอ่ยออกไป มันหวานรู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ ภาพตรงหน้าไม่ต้องให้ใครมาบอกมันหวานก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อบนแผงอกของหมอปลายเมฆมีทั้งรอยแดงเป็นจ้ำและรอยข่วนเป็นทางยาว
มันหวานก้าวขึ้นเตียงก่อนจะคุกเข่านั่งลงอยู่ข้างกายอีกคนที่ยังคงหลับสนิท กลืนก้อนเหนียวหนืดลงสู่ลำคอ เอื้อมมือที่สั่นเทาของตัวเองแตะท่อนแขนใหญ่ของอีกฝ่ายและเขย่าเบาๆ
มันหวานจะไม่ด่วนตัดสินอะไรจนกว่าจะได้ฟังมันจากปากหมอปลายเมฆเอง
“หมอปลาย..ตื่นมาตอบมันหวาน” คนตัวเล็กเพิ่มแรงเขย่ามากขึ้น ออกแรงตีลงที่อกแกร่งเปลือยเปล่าอยู่หลายทีกว่าคนที่หลับสนิทจะครางต่ำออกมาพร้อมกับการขยับตัว “ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“อืมม” เสียงงัวเงียดังขึ้นก่อนที่เปลือกตาหนักอึ้งจะเปิดขึ้นมา มันหวานมองคนตัวโตที่กำลังปรับสายตากับแสงสว่างของหลอดไฟก่อนที่ดวงตาคู่คมนั้นจะเบนหันมาสบกันเสียที
“...”
“มันหวาน?” มองคนตัวโตที่ดีดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยสายตาตื่นๆ มันหวานมองตาคนตรงหน้าด้วยแววตาสั่นไหว มองร่องรอยบนร่างกายของอีกคนและมันหวานคงไม่กล้าพอที่จะยืนยันความชัดเจนถึงสิ่งที่อยู่ภายใต้ผ้าห่ม เพราะแค่นี้มันก็มากพอที่จะเข้าใจ
หมอปลายเมฆมีอะไรกับม่านฝน
หมอปลายเมฆกำลังเหยียบย่ำหัวใจของเขา
“ต้องทำกันขนาดนี้เลยหรอ”
“...”
“แค่นี้ยังทำร้ายหัวใจมันหวานไม่พอใช่ไหม” มันหวานไม่ได้ร้องไห้ น่าแปลกที่ตอนนี้เขาไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด มีเพียงขอบตาที่ร้อนผ่าวและก้อนสะอื้นที่ทำให้คล้ายจะหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ
บางทีในตอนนี้มันหวานอาจจะกำลังจุกกับสิ่งตรงหน้าจนไม่สามารถระบายน้ำตาออกมาได้
ปลายเมฆมองคนตัวเล็กที่หน้าแดงก่ำรวมไปถึงดวงตาด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่ความปวดหัวจะแล่นเข้ามาจนต้องกุมขมับ เขาก้มหน้าลงและสภาพของตัวเองที่เห็นทำให้เขาต้องเบิกตากว้าง ร่องรอยที่ถูกข่วนตั้งแต่หน้าอกไปถึงหน้าท้องรวมถึงรอยจ้ำที่ขึ้นสีแดงเป็นวงกว้างหรือแม้กระทั่งกลิ่นคาวบนผ้าปูที่นอนนั่นทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนย้อนกลับเข้ามาในม่านตาของเขาอีกครั้ง
ปลายเมฆเป็นคนเมาง่ายและในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากสร่างเมา ภาพเมื่อคืนย้อนเข้ามาเป็นฉากๆจากภาพที่พร่าเบลอในขณะนั้นกลายเป็นชัดเจนในตอนนี้
คนเมื่อคืนที่เขากอดอย่างแนบแน่นไม่ใช่มันหวาน..แต่เป็นม่านฝน
ปลายเมฆเงยหน้าขึ้น เขาปลายตาไปยังประตูห้องนอนที่มีม่านฝนยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองมาที่เขาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าและเสื้อผ้าที่สวมอยู่นั่นเขามั่นใจว่ามันคือของเขาอย่างแน่แท้
คุณหมอผินใบหน้ามามองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงอีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปคว้ามือบางมาจับไว้ มองแววตาหวานที่สั่นไหวแต่ไร้ซึ่งน้ำตาหรือแรงสะอื้นใด
“มันหวานพี่..พี่แค่คิดว่าเมื่อคืนคือมันหวาน”
“นี่มันหวานดูง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?” เขาสวนกลับในทันทีที่ประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากอีกคน ในตอนนี้มันหวานเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าในสายตาของอีกฝ่าย เขาเป็นเด็กยังไงกันแน่ ทำไมถึงได้พูดอะไรแบบนั้นออกมา ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตามที่หมอปลายเมฆพยายามจะแก้ตัว มันไม่ได้ทำให้มันหวานรู้สึกดีขึ้นมาได้เลย
ไม่เลยแม้แต่น้อย กลับกันมันยิ่งแย่ลง
“พี่ขอโทษ” ปลายเมฆยังคงย้ำคำนั้น คำขอโทษที่เขารู้ดีว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด เขาทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำร้ายใจอีกคนซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น
“พอได้หรือยัง”
“...”
“สงสารมันหวานได้หรือยัง” ถ้อยคำในน้ำเสียงที่เจ็บปวดของคนตัวเล็กกว่าทำให้ปลายเมฆกลืนถ้อยคำที่อยากพูดลงไปหมด ลำคอของเขาเกิดการตีบตัน ริมฝีปากเกิดการแห้งผากเมื่อได้ยินถ้อยประโยคของคนตรงหน้า
เขาทำร้ายมันหวานอีกครั้งในนาทีนี้ และปลายเมฆเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในเข็มวินาทีที่กำลังเดินไปนั้น กำลังจะทำให้มันหวานไกลออกไปมากกว่าสองวันที่ผ่านมา
“พี่ขอโทษ”
“พอสักทีหมอปลายเมฆ” มือเล็กนั้นบิดออกจากการกอบกุมก่อนที่มันหวานจะหยัดตัวลุกออกจากเตียง คนตัวเล็กมองหน้ากันไม่ละไปไหนทั้งที่แววตานั้นสั่นระริกอย่างหนักหน่วง
“…”
“เข้าใจแล้วว่าไม่ต้องการ เข้าใจทุกอย่างแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้นมันหวาน พี่ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้น” ปลายเมฆจับผ้าห่มห่อท่อนร่างของตัวเองก่อนจะลุกออกจากเตียง
เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้ามันหวานแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขากลับรู้สึกห่างไกลจากคนตรงหน้า
ไกล เหมือนกับว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาจะสูญเสียอีกคนไป
“ไม่ได้ตั้งใจ? แสดงว่าถ้าเมื่อคืนเป็นมันหวานจริงๆ หมอปลายก็ไม่ได้ตั้งใจใช่ไหม?”
ปลายเมฆสะอึกกับคำพูดนั้น เหมือนกับในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปมันก็ดีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม
“อะไรๆก็ไม่ได้ตั้งใจ.. ไม่ตั้งใจอีกแล้ว” คำพูดนั้นคล้ายจะบางเบาแต่เพราะความเงียบที่โรยตัวอยู่ในห้องทำให้ปลายเมฆได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
ชัดเจนจนไม่กล้ารับฟัง
“ขอโทษ..” ปลายเมฆเอ่ยย้ำคำขอโทษอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กกว่า แตะปลายนิ้วลงที่แก้มใสแต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนีเหมือนรังเกียจสัมผัสจากกัน
และนั่นทำให้ปลายเมฆรู้สึกถึงความชาหนึบที่หัวใจ
“คำขอโทษของหมอมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ไม่เคยดีขึ้น” มันหวานปิดเปลือกตาลงให้มันกลืนกินน้ำตาที่กำลังจะร่วงหล่นลงมา คนตัวเล็กหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมามองคนตรงหน้า “ทำไมมันหวานต้องรู้สึกกับหมอปลายขนาดนี้”
“…”
“ทำไมรักแรกของมันหวานต้องเป็นหมอปลาย”
“…”
“หมอปลายมีอะไรให้มันหวานผิดหวังได้มากกว่านี้อีกไหม”
“...”
“ทำไมถึงทำกับมันหวานแบบนี้หรอ”
“...”
“มันหวานผิดอะไร มันหวานก็แค่รักหมอปลาย”
คำบอกรักนั่นมันหวานได้พูดมันออกไปแล้ว แต่มันหวานไม่เคยรู้เลยว่าการบอกรักใครสักคนมันจะทรมานกับหัวใจของตัวเองขนาดนี้
มันเหมือนคำว่ารักของมันหวานถูกเคลือบด้วยยาพิษ ไม่ใช่คนรับฟังที่จะตายลง แต่เป็นคนที่เอ่ยออกมาต่างหากที่กำลังจะตาย
“ช่วยบอกมันหวานทีว่าที่ผ่านมามันหวานพยายามน้อยไปหรอ”
“มันหวานไม่ได้ผิด ไม่เลย” ปลายเมฆส่ายหน้าเบาๆ เขากำมือเข้าหากันแน่น อยากเอ่ยอธิบายแต่นาทีนี้คล้ายกับคนจนคำพูด ทำได้แต่ยืนฟังถ้อยคำเสียดใจจากคนตรงหน้า
คำว่ารักคำนั้นที่เหมือนกับเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะพังทุกอย่าง
เหมือนเป็นคำว่ารักที่ปลายเมฆจะไม่มีทางได้ยินมันอีกแล้วจากมันหวาน
เป็นคำว่ารักที่เสมือนว่ามาพร้อมกับคำว่าหมดความอดทน
“ถ้ามันหวานไม่ผิด มันหวานไปได้แล้วใช่ไหม” ปลายเท้าเล็กค่อยๆถอยออกไปเรื่อยๆ และปลายเมฆที่กำลังก้าวเท้าออกไปหาคนตรงหน้า
แต่ยิ่งก้าวเข้าไปหาเหมือนอีกคนยิ่งถอยห่าง คล้ายมีแรงผลักของอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถทำให้เข้าใกล้กันได้อีก
“มันหวานจะไปไหนครับ พี่ไม่ให้ไป” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมา ปลายเมฆพยายามจะคว้าท่อนแขนของคนตัวเล็ก แต่มันหวานกลับเบี่ยงหลบไม่ให้เขาแตะต้อง
“มันหวานไม่ไหวแล้วหมอปลาย อดทนไม่เก่งอีกต่อไปแล้ว”
“…”
“ความพยายามของมันหวานคงไร้ค่ามากจริงๆ”
“…”
“ความพยายามของเด็กโง่ๆ”
“มันหวานไม่ได้โง่ พี่..”
“มันหวานจะไม่อยู่ให้หมอปลายเหยียบย่ำหัวใจมันหวานอีก”
“มันหวาน” เขาเอ่ยอ้อนวอน พยายามจะสวมกอดคนตรงหน้าแต่มันหวานกลับดันอกเขาออกอย่างไม่สนใจ
“...”
“มันหวานอย่าไป มันหวานรักพี่ไม่ใช่หรอครับ” ปลายเมฆคือผู้ชายโง่ๆที่ใช้คำพูดดีๆรั้งอีกฝ่ายไว้ไม่เป็น นอกจากใช้คำพูดที่ดีแต่ทำให้คนตรงหน้าเจ็บปวดมากกว่าเคย
เขามองคนตัวเล็กที่ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มที่เคลือบความฝืนทน มองดวงตากลมที่คลอเคล้าไปด้วยหยาดน้ำตา
“ถ้ารักแล้วมันเจ็บขนาดนี้ก็ไม่อยากรักแล้ว”
“...”
“มันหวานจะรักคนอื่น จะไปรักคนอื่นให้หมอปลายดู เหมือนที่หมอปลายทำกับมันหวาน”
ปลายเมฆเหมือนโดนตะปูขนาดใหญ่ตอกร่างกายตัวเองไว้ให้อยู่ที่เดิม ทั้งร่างกายของเขาชาหนึบเพียงเพราะประโยคนั้นของคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องไป
มันหวานจะไปรักคนอื่นอย่างนั้นน่ะหรือ จะไม่รักเขาอีกต่อไปแล้วใช่ไหม
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ปลายเมฆรู้สึกกลัวการไม่ถูกรักขนาดนี้
และเป็นอีกครั้งที่เขากลัวการจากลาของใครบางคน
ปลายเมฆเรียกสติของตัวเอง เขาคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำหน้าตู้เสื้อผ้ามาสวมก่อนจะเดินออกจากห้องโดยไม่สนใจม่านฝนที่ยืนอยู่ ปลายเท้าหยุดอยู่ตรงห้องของตัวเล็กที่กำลังรูดซิปกระเป๋าใบใหญ่นั่นพร้อมกับหิ้วมันมาและเตรียมตัวจะออกไปจากห้องของเขา
“พี่ไม่ให้เราไป” ปลายเมฆใช้ความตัวใหญ่ของตัวเองบังทางออกของห้องนอนไว้
“...” มันหวานนิ่งเงียบมองอีกคนในชุดคลุมอาบน้ำที่ยืนขวางอยู่หน้าประตู คนตัวเล็กถอนหายใจเหมือนกับรำคาญใส่หน้าของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินกลับไปยังเตียงของตัวเองและเปิดลิ้กชักออกหยิบซองสีอ่อนที่มีเงินจำนวนหนึ่งอยู่ในนั้นติดมือมาและยัดใส่มือคนตัวโตกว่า
“เงินที่ให้ มันหวานไม่เคยใช้” มันเป็นเงินจำนวนนั้นที่หมอปลายเมฆเคยให้ตอนที่ก้าวมาเหยียบที่นี่ในครั้งแรก และมันหวานเก็บมันไว้อย่างดีไม่เคยหยิบมาใช้แม้แต่บาทเดียว
“พี่ไม่เอา มันหวานฟังพี่ก่อนได้ไหม อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมเถอะนะ” ปลายเมฆปาเงินกลับเข้าไปในห้องก่อนจะคว้ากระเป๋าใบโตของคนตัวเล็กไปถือไว้เองซึ่งแรงที่มีมากกว่านั้นทำให้มันหวานต้องปล่อยกระเป๋าของตัวเองในที่สุด
“หมอปลายเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้เองหรอ?” คนตัวเล็กยืนกอดอก ยกรอยยิ้มเย้ยหยันคนตรงหน้าแม้ว่าดวงตากำลังจะประท้วงให้น้ำตาไหลออกมาอยู่รอมร่อ
แต่มันหวานจะอดทน อดทนเหมือนที่ทำมาตลอด
“งั้นลองบอกมันหวานหน่อยว่าจะให้มันหวานอยู่ในฐานะอะไร?”
“…” เป็นนาทีที่ไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่ายนอกจากความนิ่งงันที่ไร้ซึ่งคำตอบดีๆที่แอบหวัง หมอปลายเมฆก็ยังคงเป็นผู้ชายใจร้ายคนเดิม ที่รู้จักวิธีการทำร้ายจิตใจของมันหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไร้ซึ่งอาวุธในมือ
หมอปลายคงไม่รู้ว่าความเงียบที่ไร้คำตอบใดในคำถามนั่น ก็สามารถเป็นอาวุธร้ายแรงที่กรีดแทงหัวใจคนรอได้เหมือนกัน
และมันหวานไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว
“เงียบ? ที่ตอบไม่ได้เพราะเราไม่เคยเป็นอะไรกันไงหมอปลาย”
“...”
“เพราะงั้น หมอปลายก็ไม่มีสิทธิ์มารั้งมันหวานไว้” มันหวานขยับเข้าหาคนตรงหน้า นิ้วเรียวเล็กจิ้มย้ำอยู่ตรงอกด้ายซ้ายในตำแหน่งหัวใจของคนตัวสูง ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้ม และเอ่ยคำพูดที่เป็นการปกป้องความเข้มแข็งของตัวเองออกมา
“...”
“คุณไม่ได้ดีพอที่จะอ้อนวอนขอให้ผมอยู่ต่อได้หรอกครับ”
ปลายเมฆนิ่งงันกับคำพูดและสรรพนามที่แสนห่างเหินของคนตรงหน้า เขาปล่อยให้กระเป๋าในมือร่วงสู่พื้น มองคนตัวเล็กที่คล้ายจะเปลี่ยนไปภายในพริบตา
มันหวานแสร้งหัวเราะเบาๆ และก้มเก็บกระเป๋าของตัวเองก่อนจะเดินชนไหล่คนตัวสูงออกจากห้องไปอย่างไม่ลังเล เดินผ่านม่านฝนที่นั่งไขว่ห้างมองอยู่ตรงโซฟา และรีบเดินออกจากห้องนี้ที่มันหวานจะไม่มาให้เจ้าของห้องเห็นหน้าอีก
พอกันที ความรัก ความอดทน ความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขาต้องแบกรับมันไว้คนเดียว
บานประตูถูกปิดลง คนตัวเล็กเดินเข้าไปยังในตัวลิฟต์และเมื่อลิฟต์ปิดลงกระเป๋าแสนหนักที่ถือมาด้วยก็ร่วงลงสู่พื้น ร่างเล็กทิ้งตัวทรุดลงพร้อมกับน้ำตามากมายที่กลั้นเก็บไว้ แรงสะอื้นที่ถาโถมจนตัวสั่นพ้องกับเสียงร้องไห้ที่ดังไปทั่วกล่องโดยสารแคบ
มันหวานกำมือทุบลงที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเองเพื่อหวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่มันไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยสักนิด ความอดทนที่กลั้นมาไว้ตั้งแต่ในห้องนั้นพังทลายลงมาอย่างไม่มีชิ้นดี
มันหวานไม่ได้เข้มแข็ง กลับกันนั้นเขาเสียใจมากกว่าคำว่าใจสลายเมื่อถูกคนที่รักเหยียบย่ำหัวใจอย่างไม่ใยดี มันหวานไม่รู้ว่าตอนที่อยู่ในห้องนั้นตัวเองอดทนปากเก่งไปได้ยังไงทั้งที่ในหัวใจกำลังหลั่งเลือดสีสด
มันหวานแค่ไม่อยากอ่อนแอต่อหน้าหมอปลายเมฆอีกแล้ว ไม่อยากเป็นคนขี้แพ้ต่อหน้าม่านฝน มันหวานแค่ไม่อยากเป็นคนที่ดูน่าสมเพช ที่ถูกหักหลังกับความรักและความพยายามที่มอบให้กับผู้ชายคนนั้น
มันหวานรู้ดีว่าเขาและผู้ชายใจร้ายคนนั้นไม่เคยได้เป็นอะไรกัน หมอปลายเมฆสามารถไปมีความสัมพันธ์กับใครก็ได้โดยที่ไม่ต้องสนใจความรู้สึกของเขา หมอปลายเมฆมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองปรารถนา มันหวานรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในจุดที่จะเรียกร้องอะไรได้เลย แต่อย่างน้อยที่สุด สิทธิ์ที่มันหวานสามารถทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือแสดงออกมาว่าเสียใจ
และมันหวานกำลังใช้สิทธิ์นั้นกับตัวเอง
เขารักผู้ชายคนนั้น รักไปแล้วเต็มหัวใจ แต่เขาไม่สามารถทนอยู่ให้อีกคนซ้ำเติมตอกย้ำความเสียใจให้กันได้อีกแล้ว นาทีนั้นมันพังไปหมดทุกอย่าง ทั้งความรู้สึกและความอดทนที่เคยมีมา
หมอปลายเมฆสอนให้มันหวานรู้ว่าความพยายามไม่สามารถแลกมาด้วยความชนะใจของอีกฝ่ายได้ สิ่งที่ได้มานั้นกลับเป็นหัวใจช้ำๆที่ต้องประคองมารักษาด้วยตัวเองเพราะใครบางคนไม่ต้องการ
หมอปลายสอนให้มันหวานรู้ว่ารักแรกที่ไม่สมหวังมันไม่ได้มีแค่ในนิยายชวนฝัน
สอนให้ได้รู้ว่าหัวใจของมนุษย์มันรวนเรและไขว้เขวได้อย่างง่ายดายเพียงถูกสายลมที่บางเบาแตะต้อง
มันหวานได้เรียนรู้ถึงความรู้สึกสาหัสในความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก เพราะเป็นความรู้สึกที่ไร้สถานะจึงไม่มีอะไรรองรับหัวใจที่ตกแตกเลยสักนิดเดียว
มันอาจจะรวดร้าวจนแหลกละเอียดแต่มันทำให้มันหวานรู้หนึ่งข้อที่สำคัญ
หากเขาไม่รัก.. มันหวานก็ควรรักตัวเอง
มันหวานไม่อยากเอาตัวเองไปเป็นความน่าสมเพชของใคร
พอกันทีกับรักครั้งแรก
พอกันทีกับผู้ชายที่ชื่อปลายเมฆ
เมฆก้อนที่เลือกปีนป่ายมันไม่ได้มีอะไรสวยงามรออยู่เลย มันหวานไม่ควรขึ้นมาเสี่ยงกับความสูงขนาดนี้ตั้งแต่แรก เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่พบเจอในระหว่างทางหรือแม้ประทั่งตกลงมาถึงปลายทางก็มีแต่ความเจ็บปวดจนร่างกายและหัวใจแตกสลาย
ปลายเมฆไม่ใช่คำนิยามของการตกหลุมรัก
มันเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเอาไว้หลอกคนที่ไม่เคยมีความรักต่างหาก
ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกเมื่อมาถึงที่ชั้นหนึ่ง คนตัวเล็กหอบกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเองมาถึงที่นั่งพักหน้าล็อบบี้ก่อนจะใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาและน้ำมูกของตัวเอง ตบแก้มเบาๆสองสามทีก่อนจะหยิบมือถือมาส่องหน้าและปั้นรอยยิ้มออกมา เช็คใบหน้าของตัวเองเรียบร้อยถึงได้พาตัวเองออกมาจากคอนโด และเดินตรงไปหาคนตัวโย่งที่ยืนพิงรถตัวเองอยู่ด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“รอนานไหม” ร่างเล็กแสร้งเอ่ยน้ำเสียงสดใสก่อนจะปล่อยให้เตวิณนำกระเป๋าไปไว้ตรงหน้ารถและรับหมวกกันน็อตมาใส่
“ไม่นาน กลับกันเถอะ” เอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเคาะหลังมือลงกับหมวกกันน็อคคนตัวเล็กเบาๆ เขาไม่ได้ถามคำถามหนักใจจากมันหวานอย่างเช่น เจอเขาคนนั้นมาหรอ ทำไมตาบวมขนาดนั้น เพราะแพรขนตายาวที่ชื้นแฉะนั่นก็เป็นคำตอบได้อย่างดีโดยที่ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว
เตวิณไม่รู้ว่าบนห้องนั้นในเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงมันเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจมันหวานบ้าง แต่ในนาทีที่คนตัวเล็กเดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่นั่นเท่ากับว่ามันหวานเลือกแล้วว่าจะเดินออกมาจากที่ที่เคยอยู่
และนาทีนับจากนี้ไป ไม่ว่ามันหวานจะต้องการหรือไม่ แต่เตวิณจะเป็นคนที่ดูแลคนตัวเล็กเองนับจากวินาทีนี้
ไม่ว่าจะในสถานะอะไรก็ตาม
ห้องนอนของเตวิณถูกเปิดออก มันหวานวางกระเป๋าใบโตไว้ข้างเตียงก่อนจะนำมือถือของตัวเองไปชาจแบต รอเครื่องรันข้อมูลไม่กี่นาทีข้อความมากมายก็เข้ามาให้ต้องเปิดดู เป็นการแจ้งเตือนจากเบอร์ที่คุ้นเคยบ่งบอกว่าเขาไม่ได้รับสายใครคนนั้นเกือบร้อยสาย
มันหวานเพียงแค่มองมันก่อนจะลบข้อความทั้งหมด เข้าโปรแกรมรายชื่อในโทรศัพท์และกดลบเบอร์นั้นทิ้ง ลบทุกช่องทางติดต่อ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาทั้งสองจะต้องติดต่อหากันอีก มันจบลงตั้งแต่มันหวานก้าวเท้าออกมาจากห้องนั้น
ความโง่ของมันหวานก็ควรจะจบลงเพียงเท่านั้น พอกันทีกับผู้ชายที่ชื่อปลายเมฆ
มันหวานจะเข้มแข็งเพื่อตัวเองไม่ว่าจะยากแค่ไหน ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยน้ำตาอีกกี่หยดเพื่อระบายความบอบช้ำที่ไม่รู้จะบรรเทาลงไปเมื่อไร
แต่มันหวานจะพยายาม จะพยายามกลับมาเป็นมันหวานที่แสนสดใสเหมือนอย่างเคย
พอแล้ว ..พอกันทีกับความรักหลอกฝัน
หนึ่งอาทิตย์เต็มๆที่เตวิณและมันหวานอาศัยอยู่ด้วยกันโดยไร้ซึ่งปัญหาใดๆ จะมีก็แต่คนตัวเล็กที่ดูเงียบเวลาอยู่ด้วยกันเหมือนกับมันหวานคิดอะไรอยู่ในใจตลอดเวลา เตวิณไม่เห็นมันหวานร้องไห้ต่อหน้าเขาอีกเลยตั้งแต่วันนั้นที่คนตัวเล็กย้ายของมาอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อตกดึกทีไรเขามักจะได้ยินเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากในห้องนอนเสมอ
มันหวานยังคงเสียใจและเขากำลังทำแกล้งเป็นไม่รู้
ในตอนนี้ก็เช่นกัน
“พาย มีทิชชูไหมวะ” เตวิณหันไปถามเพื่อนผู้หญิงข้างหลังก่อนที่เธอจะส่งซองทิชชูมาให้และหันกลับไปตั้งใจเรียนต่อ
มือหนาวางทิชชูให้กับคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาร้องไห้เงียบๆก่อนจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เตวิณทำเป็นหยิบปากกาขึ้นมาจดเนื้อหาในสไลด์ทั้งที่หางตาจับภาพคนตัวเล็กที่หยิบทิชชูออกจากซองและซับน้ำตาของตัวเองเงียบๆ
มันเป็นการร้องไห้ไร้ซึ่งเสียงที่เตวิณคิดว่านั่นเป็นการหลั่งความเจ็บปวดที่ทรมานไม่ต่างจากการส่งเสียงร้องไห้ออกมาดังๆเลยสักนิด
บางอย่างมันคงต้องใช้เวลา และเขาหวังว่าแผลในใจของมันหวานจะไม่ใหญ่เกินไป หวังเพียงให้คนตัวเล็กกลับมาสดใสอีกครั้ง
อย่างน้อยการที่เขาได้เห็นหน้าตาตื่นๆแฝงความระแวงต่อกันเหมือนในวันแรกที่เจอกันตอนปฐมนิเทศก็ยังดีกว่าการได้เห็นใบหน้าที่ชโลมไปด้วยน้ำตาแบบนี้
เขาเชื่ออย่างนั้น คนแบบมันหวานไม่เหมาะกับน้ำตาเลยสักนิด
วิชาแรกหมดตอนบ่ายโมงครึ่ง เตวิณเก็บของใส่กระเป๋าและนั่งรอคนตัวเล็กที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าของตัวเองบ้าง ดวงตาแดงๆที่แอบบวมนิดหน่อยหันมาสบกันก่อนรอยยิ้มที่ปั้นแต่งของมันหวานจะถูกฉาบบนใบหน้า
“ไปกินข้าวกัน อยากกินไร” เขาเอ่ยถามพลางกอดคอคนตัวเล็กเดินไปตามทางโรงอาหาร
“อืมมม” คนตัวเล็กทำเสียงครุ่นคิดก่อนจะลากเขาไปยังร้านข้าวราดแกงที่มีคนต่อแถวไม่เยอะ “อยากกินพะแนงไก่กับไข่ต้ม”
“งั้นจัดมาสอง” คนตัวโย่งเอ่ยปากบอกก่อนจะยัดเงินใส่ในมือของคนตัวเล็กกว่า “เอาน้ำอะไร เดี๋ยวไปซื้อให้”
“น้ำเปล่าก็พอจ้า”
“โอเค”
พวกเขาแยกย้ายกันซื้อของก่อนจะมาเจอกันที่โต๊ะริมสุดติดหน้าต่าง เตวิณวางน้ำเปล่าให้คนตัวบางและรับจานข้าวที่เหมือนกันมาไว้ตรงหน้าของตัวเอง
ระหว่างนั้นมีเพียงเสียงกระทบของช้อนและจานพลาสติค เตวิณไม่ได้ชวนมันหวานคุย เขาทำเพียงกินข้าวและมองคนตัวเล็กที่ตักข้าวเข้าปากช้าๆ อย่างน้อยมันหวานก็ยังคงกินข้าวได้ ไม่ได้มานั่งเขี่ยเล่นและเอาแต่เหม่อลอยแบบที่เขาเป็นกังวล
ซึ่งนั่นก็ถือว่าดีมากแล้ว
คนอกหักไม่สามารถเข้มแข็งได้อย่างกล้าแกร่งภายในหนึ่งอาทิตย์หรอก
“เลิกเรียนแล้วไปดูหนังกันไหม” คนตัวเล็กเป็นคนเปิดบทสนทนาเมื่อข้าวในจานของพวกเขาหมดลง เตวิณยกน้ำโค้กมาดูดก่อนจะวางที่เดิม เขาเท้าคางมองคนตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่มันหวานชวนเขาไปที่อื่นต่อเพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะชวนไปไหนมันหวานก็เอ่ยปฏิเสธตลอด
“เอาดิ ไม่ได้ดูหนังในโรงนานละ” เขาโกหกทั้งที่ความจริงเขาเข้าโรงหนังทุกเดือน
“มันหวานขอเลี้ยงนะ ล่วงหน้าค่าห้อง”
“ไม่ขัดครับ” เตวิณยกยิ้ม นาทีนี้มันหวานต้องการอะไรเขาก็จะยอมตามใจ อะไรก็ได้ที่ทำให้คนตัวเล็กดีขึ้นเขายอมทำหมดทุกอย่าง
ทุกอย่างจริงๆ
หนึ่งทุ่มกว่ากับโรงหนังที่คนเยอะเป็นพิเศษเพราะหนังใหม่ที่เข้าโรง เตวิณถือน้ำอัดลมสองแก้วและคนตัวเล็กที่กอดกล่องป๊อปคอนไว้ในอ้อมแขน โรงหนังโรงที่หนึ่งแถวเอฟที่นั่งสองและสาม เตวิณรอให้คนตัวเล็กนั่งก่อน ก่อนจะนั่งตามลงไปในที่ข้างๆ และวางแก้วน้ำของตัวเองกับมันหวานไว้ที่ช่องวางแก้วน้ำ
หนังที่เลือกมาดูเริ่มฉายขึ้นเมื่อจบโฆษณา มันเป็นหนังรักที่มันหวานเป็นคนเลือก เตวิณเหลือบมองคนข้างกายที่สายตาจดจ้องอยู่ที่จอหนังยักษ์และมืออีกข้างที่หยิบป๊อปคอนเข้าปากเป็นระยะ
จนกระทั่งหนังฉายไปชั่วโมงกว่าป๊อปคอนนั้นก็หมดลง กล่องป๊อปคอนที่ว่างเปล่าถูกมือหนาฉวยมาถือไว้เอง มันหวานเพียงแค่หันหน้ามายิ้มให้แค่นั้นก่อนจะหันกลับไปสนใจหนังต่อ
มันมีฉากหนึ่งในหนังที่เป็นซีนอารมณ์จนเรียกน้ำตา เตวิณได้ยินเสียงร้องไห้มาจากข้างหลังและเสียงสูดน้ำมูกจากผู้หญิงแถวหน้า และมากกว่านั้นคนข้างกายเขา ที่นั่งหมายเลขสามกับน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างเงียบเชียบ
เขามองมือเล็กที่กำเข้าหากันก่อนจะตัดสินใจทาบมือของตัวเองลงไป คว้ามือนุ่มของอีกคนมาสอดประสานนิ้วและวางมันไว้ที่หน้าตักของตัวเอง
บอกให้รู้ว่ามันหวานไม่ได้อยู่คนเดียว
มันหวานไม่ได้ขืนมันออกคนตัวเล็กเลือกที่จะเขยิบเข้ามาใกล้ก่อนจะทิ้งศีรษะของตัวเองลงที่ลาดไหล่ของเขา
ตัวละครร้องไห้จนหยุดไปแล้วแต่คนข้างกายกลับร้องไห้ออกมาไม่หยุด ไม่มีเสียงสะอื้น เป็นการร้องไห้ที่เงียบงัน
เตวิณช่างใจ เขาแตะปลายนิ้วลงที่ใบหน้าของอีกคนละเลียดเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา จนหยาดน้ำตานั้นเหือดแห้ง
มันหวานเงยหน้ามองเขาในวินาทีที่หนังกำลังขึ้นเอ็นด์เครดิตและผู้คนที่ทยอยออกจากโรงหนังไปจนหมด ไฟถูกเปิดให้สว่าง เหลือเพียงแค่ที่นั่งหมายเลขสองและสามในแถวเอฟที่ยังมีลูกค้าจับจอง
“ติณ”
“..ครับ” เป็นครั้งแรกที่ชื่อเล่นของเขาออกมาจากปากของอีกฝ่าย เตวิณมองใบหน้าหวานที่หลงชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ มองดวงตาหวานที่หลุบต่ำคล้ายคนไม่มั่นใจก่อนที่มือเล็กนั้นจะบีบมือที่กอบกุมกันไว้เบาๆ
เตวิณรอให้มันหวานพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา รอฟังอยู่อย่างนั้นค่อนนาที
“ติณยังชอบเราอยู่ไหม”
คำถามนั้นเหมือนกระตุ้นให้หัวใจของเขาทำงานหนักขึ้น เป็นคำถามที่ตอบไม่ยากเพราะเขามีคำตอบนั้นอยู่ในความรู้สึกมาตลอดตั้งแต่ทำใจกล้าเข้าหาอีกคนก่อน
“ชอบสิ ติณชอบมันหวานตั้งแต่วันแรก” เขายิ้ม ยกฝ่ามือบางมาทาบไว้ที่หัวใจของตัวเอง “ชอบมาก ..มากจริงๆ”
ในวินาทีนี้เขาเห็นความสั่นไหวบางเบาในแววตาฉ่ำน้ำของคนตรงหน้า
วินาทีนี้ที่บอกว่าบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
เตวิณเหมือนเห็นบางอย่างที่ขยับเข้ามาใกล้จนเงาพาดทับบนใบหน้า ก่อนที่ความอุ่นร้อนจากความนุ่มหยุ่นของริมฝีปากจะแตะลงที่แก้มขวาของเขาและผละออกไปอย่างเชื่องช้า
“ถ้างั้น..ติณช่วยอะไรมันหวานหน่อยได้ไหม”
เตวิณไม่ได้เอ่ยคำพูด นาทีนี้เขารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังจะเด้งออกมาข้างนอก เขาเพียงแค่พยักหน้าตอบรับคนตัวเล็กเบาๆ
“เป็นแฟนกันไหมติณ”
เตวิณเห็น ..ในนั้น ในแววตาคล้ายกับคนไม่มั่นใจ ในแววตากลมโตที่กำลังสับสนอย่างหนักหน่วง เตวิณเห็นมันทั้งหมดและรู้ดีว่าอีกคนกำลังอ่อนแอจนยืนอยู่เดียวดายคนเดียวไม่ไหวจนต้องการคนช่วยพยุง
เตวิณรู้ทุกอย่างแม้คำขอนั้นจะทำให้ใจเขาเต้นแรงจนรู้สึกหนึบชาที่หัวใจ
แต่เขาบอกแล้วไง ว่าเขายอมทำทุกอย่างเพื่ออยู่ข้างกายมันหวาน
มันเป็นวินาทีของเขา ตั้งแต่ผู้ชายคนนั้นเลือกจะทิ้งคนตัวเล็กไว้ลำพังพร้อมกับหยดน้ำตา
“ครับ เป็นแฟนกับติณนะ”
เป็นสิทธิ์ที่เขาจะใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าไปในหัวใจรวดร้าวของอีกฝ่าย
ไม่เป็นไรหรอก ถึงแม้จะรู้ว่ากำลังพาตัวเองไปทดแทนที่ของใคร
ความรักก็แบบนี้ มันไร้ซึ่งเหตุผลที่ควรมีไปเสียหมด
ก็บอกแล้วไง ว่าเตวิณยอมทุกอย่าง ..ทุกอย่างจริงๆ
ภายในห้องที่เงียบสงัดมีเพียงแสงแดดที่ถูกสาดส่องมาจากนอกระเบียงที่พอทำให้ทั้งห้องไม่มืดจนเกินไป ขวดเบียร์มากมายและขี้เถ้าของบุหรี่ถูกกองไว้อยู่ไม่ไกลจากร่างสูงที่ทิ้งตัวนั่งอยู่หน้าโซฟา
ระหว่างนิ้วมือของปลายเมฆมีมวนบุหรี่ที่ถูกเผาไหม้เป็นมวนที่เท่าไรแล้วเขาเองก็จำไม่ได้ รู้เพียงว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ที่ใครอีกคนออกไปจากห้องพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่
อาจจะหนึ่งอาทิตย์ที่ปลายเมฆเอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่ไปทำงาน ไม่เปิดโทรศัพท์ ไม่เปิดประตูรับม่านฝนที่มาเคาะเรียกเขาทุกวันตั้งแต่เขาไล่อีกคนกลับไปโดยไม่ได้เสวนาถามถึงเหตุผลอะไรที่ทำให้เรื่องพวกนั้นมันเกิดขึ้น
ความว่างเปล่าคือสิ่งที่วนเวียนอยู่ในระบบความคิดของเขา ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นคล้ายกับคนสมองกลวงกะทันหัน เกียรตินิยมอันดับหนึ่งไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยในสถานการณ์แบบนี้
ขายาวถูกเหยียดไปข้างหน้า มือหนาคว้าขวดเบียร์มาเปิดดื่ม กรอกน้ำเมาเข้าสู่ร่างกายแทนน้ำเปล่า ทำตัวโง่ๆโดยการมอมให้ตัวเองเมา หลับไปเพื่อตื่นขึ้นมาและมอมเมาตัวเองอยู่แบบนั้นซ้ำๆ
ปลายเมฆจำได้ว่าเขาเคยตกอยู่ในสภาพนี้เมื่อหลายเดือนก่อน เป็นตอนที่เลิกกับม่านฝนใหม่ๆ ขังตัวเองอยู่ในห้องให้ขวดเหล้าและควันบุหรี่เป็นเพื่อนในยามนั้น ไม่ไปทำงานละทิ้งหน้าที่ และทำตัวหน้าสมเพชร้องไห้กับตัวเองกับหัวใจที่เกิดแผลสด
แต่แตกต่างกันที่ตอนนี้เขาไม่ได้ร้องไห้ ไม่มีน้ำตาที่ไหลออกมา และปลายเมฆไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น มีคนบอกว่ามนุษย์จะหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อเกิดความเสียใจ แต่น้ำตาของเขาตอนนี้ไม่มีไหลออกมาแม้แต่หยดเดียวนั่นหมายความว่าเขาไม่ได้เสียใจอย่างนั้นใช่ไหม?
แล้วความเสียดชาที่หัวใจของเขามันเกิดขึ้นจากอะไรกัน
ปลายเมฆหลับตา เขาแหงนหน้าพักต้นคอไว้ที่ขอบโซฟา ปล่อยให้บุหรี่เผาไหม้ไปเรื่อยๆจนกระทบกับข้อนิ้วให้เกิดความแสบก่อนจะปล่อยมันลงที่พื้นและดับด้วยก้นขวดเบียร์
เรียวนิ้วของเขาเกิดความเจ็บแสบเพราะความร้อน แต่แปลกดีที่มีบางอย่างเจ็บมากกว่านั้น อาจจะเป็นคำพูดของใครบางคนที่ก้องอยู่ในหูเหมือนเทปที่ถูกกรอซ้ำ อาจจะเป็นสายตาเย็นชาที่ถูกทิ้งไว้ให้เป็นสายตาสุดท้าย
อาจจะเป็นใครคนนั้นที่เดินกระแทกไหล่ออกไปจากห้องจนเขาเกิดความเซของร่างกายและลุกขึ้นไม่ไหวจนถึงตอนนี้
ติ๊ดดด
เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้น ปลายเมฆผงกหัวขึ้นจากโซฟา เขามองเพื่อนตัวสูงของตัวเองที่เดินเข้ามาหาพร้อมกับเรียวคิ้วที่ขมวดกันแน่น ไม่แปลกใจที่แทนไทเข้าห้องได้เพราะเพื่อนสนิทมีคีย์การ์ดสำรองของเขา
“นั่นเพื่อนกูป่ะ” คำทักทายกวนๆไม่ได้ทำให้ปลายเมฆอยากขำออกมาสักนิด เขาขยับตัว เตะขวดเหล้าออกไปไกลๆเพื่อแบ่งพื้นที่ให้เพื่อนตัวเองนั่ง
เสียงถอนลมหายใจแรงๆใส่กันคือสิ่งที่แทนไทเอามาฝาก ปลายเมฆยกยิ้ม เขาคว้าขวดเบียร์มากระดกดื่มก่อนจะชูใส่หน้าเพื่อนตัวเองประมาณว่า สักหน่อยไหม แต่หมอตัวโย่งกลับส่ายหน้าคล้ายคนระอาแล้วคว้ามันไปไว้ไกลๆ
“เกิดอะไรขึ้น” แทนไทนั่งลงข้างๆ พร้อมกับกอดเข่ามองมาที่เขา ปลายเมฆรู้สึกว่าคำถามนั้นของเพื่อนสนิทยากเป็นบ้า
เกิดอะไรขึ้น? นั่นสิมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“น้องไปแล้ว ไม่กลับมาแล้ว”
“...”
“มันหวานเกลียดกูแล้วแทนไท” เขาบอกพร้อมพยายามยกยิ้ม ไม่รู้ว่ายิ้มทำไม อาจจะเป็นยิ้มที่ใช้ในการเย้ยหยันตัวเอง
“มึงหลงทางหนักกว่าเดิมหรอเมฆ”
“...” ไม่มีคำตอบกับคำถามนั้น ยากอีกแล้ว..ปลายเมฆคิดว่าเพื่อนของเขาถามอะไรที่ยากขึ้นอีกแล้ว ไม่มีคำถามไหนของแทนไทที่ง่ายสำหรับเขาเลยหรือ
หรือบางทีมันอาจจะมีมาตั้งนานแล้ว แต่เป็นเขาที่โง่เองจนตอบมันไม่เคยได้
“บอกกูได้ไหม ว่าตอนนี้มึงคิดอะไรอยู่”
“ไม่คิด ไม่กล้าคิด”
“...”
“กลัวคิดแล้วมันผิด”
“เมฆ” แทนไทมองเพื่อนข้างกายที่กำลังก้มหน้าลง เขามองแผงอกไร้เสื้อผ้าปกปิดของเพื่อนตัวเองก่อนจะแตะปลายนิ้วลงไปเบาๆ แม้ห้องจะมีเพียงแสงสว่างที่ลอดผ่านระเบียงแต่แทนไทที่โชกโชนชีวิตมาขนาดนี้ย่อมมองออก “มึงไปเอากับใครมา?”
“ฝน”
“ไอ้เหี้ยเมฆ!” ชายหนุ่มตะโกนใส่หน้าเพื่อนตัวเอง แต่คนที่ถูกตะหวาดใส่นั้นกลับเงียบ แทนไทหายใจฮึดฮัด ตอนนี้รู้สึกว่าไฟกำลังสุมอยู่ในอก อยากจะกระชากคอเพื่อนตัวเองมาปล่อยหมัดระบายอารมณ์ใส่แต่เห็นสภาพก็กลับทำไม่ลง
“เมา.. ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้”
“...”
“มันหวานมาเห็น น้องก็เลยไป” มือใหญ่เสยผมตัวเองขึ้น ปลายเมฆเงยหน้ามองเพดาน เขากลืนน้ำลายฝาดเฝืองลงสู่ลำคอเมื่อรู้สึกคล้ายจะมีอะไรที่ขัดขวางทำให้การหายใจเป็นเรื่องยาก
“…”
“ถูกเกลียดแล้วจริงๆ”
“ได้อธิบายให้น้องฟังไหม” แทนไทมองเสี้ยวหน้าเพื่อนตัวเอง ดวงตาที่คล้ายว่างเปล่ากำลังทำให้แทนไทเป็นห่วงคนที่อยู่ข้างกาย เขารู้ดีว่าปลายเมฆเป็นคนไม่ค่อยพูดหากไม่เค้นถาม
“กูบอกว่าคิดว่านั่นเป็นมันหวาน”
“ไอสัสเอ๊ย”
นี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกัน แทนไทคิด
“กูแม่งโคตรน่าสมเพชเลยว่าไหม พูดเหี้ยๆแบบนั้นให้มันหวานฟังได้ยังไง”
“...”
“คนที่แสนดีกับกูตั้งขนาดนั้น กูทำกับเขาแบบนั้นได้ยังไงวะแทนไท”
เกิดความเงียบชั่วขณะ แทนไทไม่รู้ว่าจะช่วยเพื่อนของตัวเองได้ยังไง มันเป็นอีกครั้งที่ต้องมาทนเห็นเพื่อนสูญเสียความเป็นตัวเองขนาดทิ้งการงานแบบนี้ ในวันนั้นเมื่อหลายเดือนก่อนปลายเมฆก็เคยตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ในเรื่องของม่านฝน
แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป ในวันนั้นเขาได้นั่งฟังเสียงร้องไห้และระบายความเจ็บปวดของปลายเมฆออกมาเป็นคำพูดมากมาย แต่ในนาทีนี้เขาไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ ไม่มีการระบายความอัดอั้นในใจอย่างที่ควรจะเป็น มีเพียงคำตอบที่ต้องเอ่ยเพราะถูกตั้งคำถาม
มีเพียงความคิดเงียบงันที่ปลายเมฆอาจจะกำลังทำความเข้าใจและเขาไม่ได้เก่งพอที่จะไปฟังเสียงความคิดของใครได้
“เมฆ มึงยังรักม่านฝนไหม”
“..ไม่รู้สิ”
เป็นคำตอบที่เกือบทำให้คนฟังอยากกัดลิ้นตาย แต่แทนไทกำลังพยายามทำความเข้าใจ บางทีเพื่อนของเขาอาจจะไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ
บอกแล้วว่าปลายเมฆกำลังหลงทาง ทางที่ทั้งไกล ทั้งลึกและลาดชัน
“ในเมื่อมึงสับสนกับตัวเองขนาดนี้ ในเมื่อมึงหลงทางขนาดนี้กูจะบอกทางออกหนึ่งทางให้มึงก็ได้เมฆ”
“อะไร” เป็นครั้งแรกที่หันมามองหน้าเพื่อนของตัวเองเต็มตา ปลายเมฆกำลังสนใจ เขาอยากรู้จักทางออกที่เพื่อนเป็นคนหาให้
เพราะเขาอยากเลิกหลงทางสักที
“กลับไปคบกับม่านฝน”
“...” ทางออกจากปากแทนไททำให้ปลายเมฆนิ่งเงียบ เขากำลังเกิดความไม่เข้าใจ ในเมื่อเพื่อนสนิทตรงหน้าไม่เคยเห็นด้วยที่เขาจะกลับไปหาแฟนเก่าของตัวเอง แล้วทำไมแทนไทถึงเสนอทางออกนี้ให้
“ในเมื่อหาทางออกทางใหม่ไม่เจอก็ลองกลับไปทางเก่า”
“...”
“มีทางใหม่ให้มึงไปแต่มึงกลับลังเล กูไม่รู้หรอกเมฆว่ามึงกลัวอะไร” แทนไทส่ายหน้าเบาๆ เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองก่อนจะมองแววตาเพื่อนสนิทด้วยความจริงจัง
“...”
“ลองกลับไปทางเดิมเผื่อมึงจะเข้าใจตัวเองสักทีว่าทางนั้นใช้ปลายทางที่มึงต้องการจริงๆหรือเปล่า”
แทนไทหยัดตัวลุกขึ้นยืน เขามองเวลาบนนาฬิกาข้อมือที่บ่งบอกว่าหมดเวลาของเขาแล้วในตอนนี้ มือหนาเอื้อมมาบีบไหล่เพื่อนของตัวเองก่อนจะตบลงเบาๆ
“กูช่วยมึงได้แค่นี้ แล้วก็กลับไปทำงานเมฆ”
“...”
“มึงเป็นหมอรู้ใช่ไหม”
“อืม” ปลายเมฆรับคำ เขาพยักหน้าเบาๆมองแทนไทที่พยักหน้าส่งกลับมาก่อนที่เพื่อนตัวโย่งจะเดินออกไปจากห้องพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง
ทางออกที่เพื่อนทิ้งไว้ให้ ปลายเมฆไม่แน่ใจว่ามันใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วหรือไม่ แต่ในห้วงเวลานี้ที่เขายังไม่เจอทางออกด้วยตัวเอง บางทีการเดินไปยังเส้นทางเก่ามันอาจจะทำให้สิ่งที่เคยผ่านมาตอบคำถามในใจเขาได้มากขึ้น
ปลายเมฆแค่หวัง หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น
วันรุ่งขึ้นปลายเมฆพาตัวเองออกจากห้องแม้อาการปวดหัวจะรุมเร้าจนอยากนอนพักต่อ แต่การที่ขาดงานไปแบบไม่บอกกล่าวใครมันทำให้เขาทำตามใจอยากไม่ได้แม้จะเป็นลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลก็ตาม
ตอนนี้เวลาบ่ายสามโมงสี่สิบนาที ปลายเมฆมีเวลานิดหน่อยก่อนที่จะเข้าเวรรอบเย็นและลากยาวไปถึงอีกวัน เขาจึงพาตัวเองขับรถมายังมหาวิทยาลัยก่อนจะไปโรงพยาบาล
รถสีดำสนิทจอดเยื้องกับคณะศึกษาศาสตร์ ปลายเมฆดับเครื่องยนต์ เขาเปิดหน้าต่างเพียงนิดเพื่อระบายอากาศและใช้เวลาที่มีน้อยนิดมองไปยังหน้าคณะเพื่อหวังจะเจอใครอีกคนที่ไม่เจอกันเลยในหลายวันที่ผ่านมา
ไม่มีสายเรียกเข้าจากเบอร์ของมันหวานสักสาย และเขาไม่กล้าเป็นฝ่ายโทรไปหามันหวานก่อน อย่างที่คนตัวเล็กบอกไว้เขาไม่มีสิทธิ์อะไรอีกแล้ว
ขนมปังที่ซื้อติดมาถูกแกะซองออกก่อนจะถูกกินจนหมด ปลายเมฆคว้าซองยาแก้ปวดหัวมาเทใส่มือสองเม็ดก่อนจะดื่มน้ำตามจนหมด เขาใช้หลังมือเช็ดปากของตัวเองก่อนจะใช้สายตามองไปยังหน้าคณะเหมือนอย่างเคย
ไม่รู้ว่ามันหวานจะเลิกเรียนไปแล้วหรือยังเพราะเขาไม่เคยจำได้เลยสักครั้งว่าในแต่ละวันคนตัวเล็กเข้าหรือเลิกเรียนเวลาไหน ถ้าเขาใส่ใจมันหวานมากกว่านี้บางทีเขาอาจจะไม่ต้องรอเก้อ
เวลาบ่งบอกสี่โมงครึ่ง ปลายเมฆยังจอดรถอยู่ที่เดิม มีสายเข้าจากแทนไทถามย้ำว่าวันนี้เขาจะเข้าไปทำงานแน่ใช่ไหม เขาตอบยืนยันว่ายังไงก็ไปทำงานแต่ไม่ได้บอกว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไร
เพราะถ้าบอก แทนไทอาจจะคิดว่ามันน่าตลก เพราะในตอนนี้เขาก็ตลกตัวเองเหมือนกัน
น่าตลกจนขำไม่ออก
รอไปอีกสักพักภาพคนตัวเล็กที่แสนคุ้นตาก็เดินออกมาจากคณะพร้อมกับเด็กที่ชื่อเตวิณ ปลายเมฆมองสองคนนั้นที่ยืนคุยกันอยู่กับกลุ่มเพื่อนของตัวเองโดยที่มือของมันหวานถูกเตวิณกุมไว้ไม่ห่าง
ปลายเมฆมองรอยยิ้มสดใสนั้นที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของเขา แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นของเตวิณคนที่ได้อยู่ข้างมันหวานในเวลานี้ เขาคงไม่บ้าบิ่นขนาดที่จะเดินไปถามถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ให้แน่ใจ เพราะแค่ตาเห็นมันก็บอกได้แล้วว่ามันหวานกำลังตัดใจจากเขาจริงๆ
เป็นเรื่องที่ควรยินดีแต่กลับปั้นรอยยิ้มออกมาไม่ได้เลย
ในเวลานี้เขาควรจะดีใจหรือเปล่า เขาควรจะยิ้มใช่ไหมที่ใบหน้ามันหวานเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มไม่ใช่คราบน้ำตา แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งมันหวานยิ้มกว้างให้เตวิณมากเท่าไรเขาถึงเกิดความรู้สึกชาไปทั้งหัวใจมากเท่านั้น
ปลายเมฆมองคนสองคนที่เดินออกจากกลุ่มเพื่อน มองคนทั้งคู่ที่กำลังเดินไปตามเส้นทางที่ทอดยาว ไม่รู้ว่าปลายทางของสองคนนั้นคือที่ไหน ปลายเมฆรู้เพียงแค่ว่าเส้นทางนั้นเขาไม่สามารถไปร่วมได้
เหมือนกับที่มันหวานบอกไว้ ถ้อยประโยคที่ดังซ้ำๆอยู่ในหู
เขาไม่มีสิทธิ์
และมันหวานคงกำลังรักใครอื่นให้เขาดูแบบที่เจ้าตัวได้บอกไว้
“Retractorsครับ” เครื่องมือผ่าตัดถูกส่งมาให้ ปลายเมฆรับเครื่องถ่างแผลมาไว้ในมือก่อนที่จะใช้ถ่างแผลคนไข้และทำการผ่าตัดในขั้นตอนต่อไป เสียงของเครื่องวัดชีพจรทำให้เขาไม่สามารถใจลอยได้เหมือนก่อนหน้านี้ที่จะได้เข้าห้องผ่าตัด
เพราะตอนนี้เขาคือหมอ หมอที่ต้องโฟกัสอยู่กับชีวิตคนไข้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของตัวเอง
นาฬิกาบนฝาพนังบ่งบอกว่าปลายเมฆอยู่ในห้องผ่าตัดมาเกินสามชั่วโมงแล้วในเคสที่สองของวันนี้ เขาบิดคอไล่ความเมื่อยล้าปล่อยให้ผู้ช่วยเช็ดเหงื่อตามกรอบใบหน้า และฟังเสียงผู้ช่วยอีกคนบอกค่าความดันและชีพจร
ประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออกมาตอนตีหนึ่งเศษพร้อมกับถ้อยคำปลดล็อคความกังวลต่อญาติคนไข้
ปลายเมฆเข้าห้องน้ำเพื่อไปทำความสะอาดตัวเองก่อนจะคว้าเสื้อกาวน์มาสวมทับเสื้อผ่าตัดไว้เพราะยังไงคืนนี้ก็เป็นคืนที่ยาวนานของเขา
คุณหมอหนุ่มเดินเข้าห้องพักคนไข้ เขาตรวจสอบสายน้ำเกลือและม่านตาของคนป่วยก่อนจะจดข้อมูลลงในแผ่นชาร์จเวียนจนครบคนไข้ในความดูแลของตัวเองก่อนจะออกมาจากชั้นพักของผู้ป่วย ปลายเมฆสะบัดหัวเบาๆเมื่อขณะที่เดินอยู่ตาเขาเริ่มพร่าเบลอเพราะได้ใช้สายตาอย่างหนักเกินไป
“อ่า" ร่างสูงเซเล็กน้อยจนต้องใช้มือค้ำกำแพงไว้ เขากระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับโฟกัสของภาพ แต่ในขณะที่กำลังจะก้าวเท้าไปยังห้องพักของตัวเองปีกแขนซ้ายของเขาก็ถูกใครบางคนประคองไว้เสียก่อน
“ให้ฝนช่วยนะ”
ปลายเมฆหลุบตามองคนที่กำลังพยายามพยุงเขาเดิน เขาไม่ได้เอ่ยปฏิเสธเพียงแค่ให้ร่างบางประคองเดินไปยังห้องพักตัวเอง
ปลายเมฆนั่งลงที่เก้าอี้ตัวประจำ เขายกนิ้วนวดคลึงขมับเบาๆก่อนจะหันมาสนใจคนที่ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆพร้อมกับยาดมที่จ่ออยู่ตรงปลายจมูกของเขา
“ดีขึ้นไหมครับ” ร่างบายเอ่ยถามก่อนจะวางยาดมลงและคว้ามือหนาไปนวดคลึงทั้งฝ่ามือและปลายนิ้ว
“มาทำอะไร” ปลายเมฆค่อยๆดึงมือออกและมองไปยังคนตรงหน้าที่มาหากันในเวลาดึกดื่นขนาดนี้
“ฝนปวดท้องก็เลยมาหาหมอ แล้วก็เจอพี่เมฆดูท่าไม่ดีเลยเดินเข้ามาหาครับ” ม่านฝนอธิบายพร้อมรอยยิ้มบางแม้ว่าผู้ชายตรงหน้าจะยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งก็ตาม
“อืม”
“พี่เมฆโกรธฝนหรอ เรื่องที่ฝนทำ” เรื่องในวันนั้นถูกเอ่ยถามขึ้น ม่านฝนมองดวงตาสีเข้มที่มองเลยผ่านเขาออกไปก่อนลมหายใจหนักๆจากอีกคนจะถูกผ่อนออกมา
“ฝนตั้งใจให้มันเกิดขึ้นใช่ไหม” ปลายเมฆเอ่ยถาม
“ครับ ฝนตั้งใจ”
“เพื่ออะไร” ตวัดสายตามองหน้าคนที่ตอบคำถามนั้นทันทีแบบที่ไม่ได้ใช้เวลาไตร่ตรองก่อนเลยสักนิด
“เพราะฝนอยากได้พี่เมฆกลับคืนมา”
“...”
“ฝนไม่อยากเสียพี่เมฆไป”
“...”
“พี่เมฆครับ”
ปลายเมฆมองร่างบางตรงหน้าที่ลุกออกจากเก้าอี้ก่อนจะคุกเข่านั่งลงต่อหน้าของเขาพร้อมกับจับมือไปกุมไว้แน่น
มันเป็นท่าทีที่ม่านฝนไว้ใช้เวลาที่ต้องการอ้อนวอนขออะไรสักอย่าง และทุกครั้งที่ม่านฝนทำแบบนี้ไม่มีครั้งไหนที่ไม่สำเร็จ
“ฝนรู้ว่าฝนไม่มีสิทธิ์มายืนอยู่ตรงนี้อีกแล้วตั้งแต่วันที่ฝนเลือกจะจบความสัมพันธ์ของเรา”
“...”
“แต่ฝนอยากได้โอกาส โอกาสสุดท้าย”
“...” ปลายเมฆเพียงนิ่งมอง เขามองดวงตาสวยที่กำลังหลั่งไหลไปด้วยน้ำตา และมันไร้ซึ่งการเสแสร้งในแววตาหยาดน้ำ แม้ว่าเรื่องร้ายๆที่ม่านฝนเพิ่งได้ทำไปจะทำให้เขาโกรธคนตรงหน้า แต่ปรบมือข้างเดียวมันไม่เคยดัง เขามีส่วนผิดที่ทำให้ความตั้งใจของม่านฝนสำเร็จ
“ลองดูอีกสักครั้งได้ไหมครับ ถ้าสุดท้ายแล้วเป็นฝนไม่ได้จริงๆ”
“…”
“ฝนจะเดินออกไปจากชีวิตพี่เมฆเอง”
มือใหญ่ถูกนำไปแนบไว้ที่แก้มเนียน ม่านฝนปล่อยให้น้ำตาของตัวเองกระทบลงมือหนาที่ยังคงไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว มองดวงตาคมเข้มที่เหมือนมีอะไรมากมายอยู่ในนั้น
ปลายเมฆดึงมือของตัวเองออก เขายกมือทั้งสองข้างลูบใบหน้าดั่งคนคิดไม่ตก ภาพวันเก่าๆที่เคยมีร่วมกับคนตรงหน้าหลั่งไหลเข้ามาเป็นฉากๆและมันกำลังซ้อนทับกับภาพของมันหวาน
ทุกเส้นทางตรงหน้ารวนเรจนพันกันยุ่งเหยิงไปหมดในสายตา ปลายเมฆมองไม่เห็นความสว่างใดที่ปลายทาง นั่นมันอาจจะเพราะว่าเขายังไม่เข้าใกล้ทางออกแม้แต่น้อย
ถ้าอยากจะเจอทางออกเขาอาจจะต้องขยับเท้าเพื่อเดินต่อ
และบางทีคำพูดของแทนไทอาจจะช่วยเขาได้
‘ในเมื่อหาทางออกทางใหม่ไม่เจอก็ลองกลับไปทางเก่า’
บางที..
“อืม ลองดู”
นี่อาจจะเป็นการทอยลูกเต๋าเพื่อลองเสี่ยงเส้นทางครั้งสุดท้ายของเขา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หมอ-สับสนอะไรนักหนา เปลี่ยนพระเอกเถอะขอร้อง
พออ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าหมอกับฝนเหมาะกันจริง คนนึงโลเลคนนึงก็นอกใจ ปล่อยให้น้องไปกับคนที่ชัดเจนเถอะ
พี่หมอควรคิดมั่งดิว่ามันทำให้พี่แตกแยกกับมันหวานนะเว้ยยยย