ตอนที่ 17 : เหนือปลายเมฆ ☆ XVI
เหนือปลายเมฆ ☆ XVI
อาจจะเพราะว่าผมไม่เคยตกหลุมรัก พอเมื่อได้รักผมเลยทิ้งตัวเองลงไปทั้งตัว
มันหวานวิ่งออกมาจากโรงพยาบาลด้วยหัวใจที่บอบช้ำอย่างหนัก พาตัวเองวิ่งออกมาแม้น้ำตามากมายจะบดบังการมองเห็น คำพูดของใครคนนั้นยังดังชัดอยู่ในหู ถ้อยคำใจร้ายที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากผู้ชายอย่างหมอปลายเมฆ
ผู้ชายที่มันหวานเคยคิดว่าแสนดี แต่วันนี้มันหวานรู้แล้วว่าหมอปลายเมฆก็แค่ผู้ชายใจร้ายคนหนึ่งเท่านั้น
ปลายเท้าหยุดนิ่งอยู่ตรงลานจอดรถของโรงพยาบาล มันหวานสะอื้นฮักจนต้องยกสองแขนมากอดตัวเองเอาไว้ ไม่ได้สนว่าใครจะมองยังไง นาทีนี้มันหวานแค่เสียใจจนต้องระบายมันออกมาทางน้ำตา แม้กระบอกตาจะบวมช้ำ แม้จะเหนื่อยจากการร้องไห้ติดกันตั้งแต่เมื่อวาน แต่นาทีนี้มันหวานทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นนอกจากสั่งให้ร่างกายตอบสนองความเสียใจของตัวเองออกมาเป็นหยดน้ำตา
“มันหวาน” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นข้างหลัง มันหวานไม่ได้หันกลับไปมองแต่ก็พอรู้ว่าเป็นเพื่อนตัวสูงของตัวเอง
มันหวานไม่ได้หวังว่าหมอปลายจะวิ่งตามออกมา ที่จริงมันหวานไม่ควรหวังอะไรจากผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว แค่นี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าหมอปลายเลือกม่านฝน
ไม่เคยคิดจะเลือกมันหวาน ..ไม่เคย
ดวงตากลมมองหยดน้ำตาของตัวเองที่ร่วงกระทบลงพื้นปูน มันขยายเป็นวงกว้างเมื่อเจ้าของน้ำตาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้ มันหวานยังคงยกแขนโอบกอดตัวเองอยู่แบบนั้น มันไม่ได้เหน็บหนาวแต่มันรวดร้าวไปทั้งใจคล้ายกับว่าถ้ามันหวานไม่โอบกอดตัวเองเอาไว้เขาคงจะทรุดลงไปเดี๋ยวนั้น
“ฮึก”
“มันหวาน” เสียงทุ้มจากด้านหลังดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะถูกดึงตัวเข้าไปในอ้อมกอดอุ่นของใครบางคน ฝ่ามือเล็กกำเสื้อของอีกคนไว้แน่นขณะที่ใบหน้าก็ฝังไว้ที่อกแกร่งของเตวิณและส่งเสียงร้องไห้ใส่แผ่นอกของเพื่อนตัวเอง
มันหวานไม่ชอบเวลาที่ตัวเองร้องไห้ มันหวานไม่ชอบเวลาที่ตัวเองอ่อนแอและมันหวานไม่เคยอยากใช้น้ำตาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากใคร แต่นาทีนี้เขากลับกำลังทำสิ่งที่ไม่ชอบทั้งหมด แต่มันไม่ได้ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย และอ้อมกอดของเตวิณก็ไม่สามารถบรรเทาความเสียใจของมันหวานลงได้เลย
“เตวิณ..”
“ว่าไง”
ละใบหน้าของตัวเองออกมาจากอกแกร่ง เสื้อตรงหน้าอกของคนตัวสูงแผ่วงกว้างเป็นร่องรองของหยดน้ำตา มันหวานเงยหน้ามองอีกคน ริมฝีปากบางนั้นกำลังสั่นเทาแต่มันหวานคิดว่านาทีนี้เขาควรพูดอะไรออกมาสักอย่าง พูดเพื่อพาตัวเองออกไปจากตรงนี้
“ไปอยู่ด้วยได้ไหม”
“...”
“ไม่อยากอยู่กับเขา ไม่อยากแล้ว..”
มือเล็กกำชายเสื้อของอีกคนแน่น ดวงตาที่เคล้าไปด้วยหยาดน้ำตาช้อนขึ้นมองเพื่ออ้อนวอนคนตรงหน้า มันหวานอยากหนีไปให้ไกลจากที่เคยอยู่ มันหวานไม่อยากเจอหมอปลายอีกแล้ว นาทีนี้ความเสียใจมันผลักดันให้เขาทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องพบเจอคนใจร้ายคนนั้นอีก
ไม่สามารถกลับไปอยู่คอนโดที่เคยอยู่ได้อีกแล้ว ไม่สามารถเข้มแข็งมองภาพคู่ในกรอบรูปบานใหญ่นั้นได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร มันหวานไม่เหลือความเข้มแข็งที่จะอดทนแบกรับความเสียใจเอาไว้ได้อีกแล้ว
มันหวานไม่สามารถมีตัวตนเพื่ออยู่ให้หมอปลายมองข้ามได้อีกแล้ว
พอกันที มันหวานไม่รัก จะไม่รักผู้ชายคนนั้นอีก
“คิดดีแล้วใช่ไหม” เตวิณเอ่ยถาม
“มันหวานต้องไป” ใช่..มันหวานต้องไปไม่ใช่เพราะอยากจะไป รู้แก่ใจว่าตัวเองกำลังเห็นแก่ตัวดึงเตวิณเข้ามาสู่ความรู้สึกน่าอึดอัดแบบนี้ แต่ถ้าไม่ใช่เตวิณมันหวานก็ไม่รู้จะพึ่งพาใครได้อีก
ในที่แห่งนี้ เมืองกรุงที่แสนกว้างใหญ่มันหวานเคยมีแค่หมอปลายเมฆ มีผู้ชายคนนั้นแค่คนเดียวให้เชื่อใจ แต่ตอนนี้มันได้พังลงไปหมดแล้ว พังไปหมดแล้วทุกอย่าง
“อื้ม งั้นไปขึ้นรถ” ฝ่ามือเล็กถูกอีกคนจับไปกอบกุมก่อนจะพาเดินไปยังที่รถของตัวเอง มันหวานแค่เดินตามไปเงียบๆ นาทีนี้เตวิณจะพาไปอยู่ที่ไหนมันหวานก็พร้อมไปทั้งนั้น ขอแค่ได้พาตัวเองออกมาให้ไกลจากหมอปลายเมฆก็พอ
เสื้อแจ็คเก็ตของคนตัวโตกว่าถูกส่งมาให้ มันหวานเงยหน้ามองเตวิณที่กำลังสวมหมวกกันน็อคของตัวเองก่อนร่างสูงจะเพยิดหน้าเชิงบอกว่าเสื้อตัวนี้มันหวานต้องใส่ ก่อนที่หมวกกันน๊อคอีกใบจะถูกสวมลงมาให้พร้อมกันการติดล็อคปลายคางเรียบร้อย
มันหวานสวมเสื้อสีดำเข้มของอีกฝ่ายก่อนจะจับไหล่กว้างเพื่อพยุงตัวเองให้ขึ้นซ้อนท้ายรถคันโต ท่อนแขนเล็กทั้งสองข้างโอบรอบเอวหนาของคนขับก่อนจะทิ้งศีรษะลงที่แผ่นหลังแกร่ง
ทันทีที่รถออกตัวและเสียงลมที่โต้แรงดังขึ้นมันหวานถึงได้ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ร้องไห้ใส่หมวกกันน็อคใบหนา ปล่อยให้เสียงสะอื้นดังออกมาอย่างไม่กลัวว่าใครจะได้ยิน ปล่อยให้เสียงมันก้องอยู่ในนั้นเพื่อตอกย้ำว่าในวันนี้มันหวานเสียใจมากแค่ไหน
และใครเป็นต้นเหตุของความเสียใจนี้
เวลาผ่านไปสักพักรถคันโตก็จอดลงหน้าอพาร์ทเม้นท์กลางเก่ากลางใหม่ มันหวานจับไหล่กว้างเพื่อพยุงตัวเองลงจากรถก่อนจะถอดหมวกกันน็อคมาถือไว้ในขณะที่รอเตวิณล็อครถดีๆ
“ป่ะ” คนข้างกายดึงหมวกของเขาไปถือไว้เองก่อนจะเดินนำเข้าไปข้างใน มันหวานกวาดสายตามองทุกสิ่งที่ไม่คุ้นชิน มันไม่ได้กว้างขวางเหมือนคอนโดหมอปลายแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของมันหวานหรอก มันหวานเป็นเด็กบ้านนอกที่อยู่ง่ายกินง่าย อีกอย่างมันหวานมาขอเตวิณอาศัยอยู่คงจะมาเรื่องเยอะไม่ได้
“เตวิณอยู่กับใครหรอ” เอ่ยปากถามพลางสูดน้ำมูกขณะที่กำลังอยู่ในลิฟต์และปลายทางคือชั้นสิบห้าชั้นห้องของเตวิณ
“ติณอยู่คนเดียว” คนตัวสูงหันมาตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมกับมือหนาที่วางไว้บนกลุ่มผมของมันหวานเบาๆ “ไม่ต้องเกรงใจนะ อยู่ได้เท่าที่อยากอยู่”
“ขอบคุณมากๆเลย” คนตัวเล็กพยายามยกยิ้มแม้ว่าดวงตาจะบอบช้ำ
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ดังขึ้นเมื่อมาถึงที่หมาย มือของมันหวานถูกเตวิณกอบกุมก่อนจะพาเดินออกไปด้วยกัน ห้องของเตวิณอยู่ห้องสุดท้ายติดกับบันไดหนีไฟ คนตัวสูงทาบคีย์การ์ดลงไปก่อนที่จะเปิดประตูห้องตาม
“ยินดีต้อนรับครับน้องเต่า” น้ำเสียงทะเล้นที่มาพร้อมกับการผายมือกวนๆของอีกฝ่ายทำให้มันหวานหลุดหัวเราะ คนตัวเล็กผงกหัวลงเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไป
ห้องของเตวิณดูไม่กว้างขวางเท่าไรนักหากเทียบกับคอนโดหมอปลายเมฆ แต่มันก็กว้างมากพอหากใช้ในการอยู่อาศัยคนเดียว
“รกขนาดนี้นี่กวาดห้องล่าสุดเมื่อไรหรอ” คนตัวเล็กเอ่ยแซวเมื่อมองไปทางไหนก็เจอแต่ข้าวของรกเกลื่อนไม่เป็นที่เป็นทางตามประสาผู้ชายที่คงจะไม่ได้รวมมันหวานเข้าไปด้วย
“ไม่แซวดิ” ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงโซฟาตัวเก่าแล้วตบพื้นที่ว่างข้างกายให้คนตัวเล็กนั่งลงบ้าง “ก็เนี่ยแหละ ตามสบายนะ นึกว่าห้องของตัวเองเลย”
“อื้อ ต้องขอรบกวนสักพัก” คนตัวเล็กยิ้มบางให้คนข้างกายพลางถอดแจ็ตเก็ตสีดำพาดไว้ที่โซฟาก่อนที่จะยกมือทาบขมับตัวเองเมื่อความปวดจี๊ดแล่นเข้ามากะทันหัน “เตวิณเราขอน้ำสักแก้วได้ไหม”
“อ้อได้ รอแป๊ปนึง” ว่าจบก็ลุกขึ้นไปยังโซนครัวแคบๆของตัวเองเพื่อรินน้ำให้อีกฝ่าย
ระหว่างนั้นมันหวานก็ค้นหายาในถุงที่ถือติดมือมาด้วยก่อนจะหยิบยาแก้ปวดหัวออกมาสองเม็ด อาจจะเพราะว่าร้องไห้หนักเกินไปถึงได้รู้สึกปวดเหมือนหัวจะระเบิดแบบนี้
“ได้แล้ว น้ำไม่เย็นนะ”
“ขอบคุณจ้ะ” รับแก้วน้ำมาถือไว้ก่อนจะหยิบยาเข้าปากและดื่มน้ำตามจนหมดท่ามกลางสายตาเป็นห่วงของร่างสูงตรงหน้า
เตวิณกวาดสายตามองคนตัวเล็กที่กำลังใช้หลังมือเช็ดปากตัวเอง และพบว่าตอนนี้หน้ามันหวานซีดลงกว่าตอนที่อยู่โรงพยาบาลจนเกรงว่าคนตัวเล็กจะไข้ขึ้นหนักจนต้องไปฉีดยาให้น้ำเกลืออีก
“ติณว่ามันหวานนอนพักเถอะ ดูเหมือนจะไม่ไหวเลย เดี๋ยวไปนอนในห้องนอนติณนะ ติณนอนข้างนอกเอง”
“ไม่เอา มันหวานนอนโซฟานี่ดีกว่า ไม่อยากแย่งที่นอนเตวิณ” คนตัวเล็กโบกไม้โบกมือพลางส่ายหน้ารัวๆเพราะไม่ต้องการรบกวนอีกคนขนาดนั้น แค่ให้มาอยู่ด้วยชั่วคราวก็เกรงใจมากพออยู่แล้ว
“ป่วยอยู่ อย่าดื้อได้ไหม” คนตัวโตกว่าแสร้งทำเป็นไม่รับฟังก่อนจะดึงมือคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นและตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง
มันหวานรู้ว่านาทีนี้คงขัดความหวังดีของอีกฝ่ายไม่ได้จึงได้แต่เดินตามเข้าไปในห้องนอนที่ไม่ได้ดูรกเหมือนข้างนอก มีเตียงขนาดหนึ่งคนนอน โต๊ะคอมฯที่หัวมุมด้านขวา และตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่มุมซ้ายของห้องเพียงเท่านั้น
“นอนได้หรือเปล่า” เอ่ยปากถามเพราะกลัวว่ามันจะไม่ได้สุขสบายกว้างขวางเหมือนที่อีกคนเคยอยู่
“ได้สิ เราเป็นเด็กบ้านนอกนะ ห้องนอนเราที่บ้านนอกเล็กกว่านี้อีก” มันหวานตอบตามความเป็นจริง เพราะห้องนอนของมันหวานเล็กกว่านี้จริงๆแถมยังไม่มีแอร์อีกต่างหาก มันหวานไม่ใช่คนติดหรูอะไรเรื่องนี้เตวิณไม่ควรกังวลด้วยซ้ำ
“งั้นก็พักผ่อน เดี๋ยวตื่นแล้วจะพาไปตลาด”
“ตลาดหรอ?”
“อืม จะพาไปซื้อข้าวของส่วนตัว”
“อ้อ โอเคจ้า” มันหวานรับคำอย่างว่าง่าย เขาก็ลืมไปเหมือนกันว่าไม่ได้นำอะไรติดตัวมาเลยนอกจากกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ และถุงยาเพียงเท่านั้น จะให้กลับไปที่คอนโดของใครคนนั้นตอนนี้มันหวานก็เลือกที่จะซื้อของใหม่เลยดีกว่า
“เค งั้นนอนซะ” ดันคนตัวเล็กให้ไปใกล้เตียงก่อนจะรอให้คนตัวบางขึ้นเตียงเรียบร้อยถึงดึงผ้าห่มมาห่มให้พร้อมกับปรับอุณหภูมิแอร์ให้เสร็จสรรพ
มันหวานมองเตวิณที่เดินไปเลื่อนผ้าม่านปิดบังความสว่างให้ก่อนจะยิ้มบางออกมา อย่างน้อยในนาทีนี้มันหวานก็ยังคงมีเตวิณที่แสดงความเป็นห่วงออกมาด้วยความจริงใจ
“ขอบคุณนะเตวิณ” เอ่ยบอกเบาๆเมื่อคนตัวสูงเดินมาหาอีกครั้งพร้อมกับฝ่ามือที่ทาบลงบนหน้าผากของตัวเอง
“เต็มใจ นอนซะ ฝันดีมันหวาน” เอ่ยทิ้งไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะเดินออกจากห้องพร้อมกับบานประตูที่ปิดสนิท เหลือไว้เพียงคนตัวเล็กบนเตียงที่ถอนหายใจออกมาเบาๆเพราะความเหนื่อยล้าของร่างกายและอาการการปวดหัวอย่างหนักที่ไม่รู้ยาจะออกฤทธิ์ให้หลับไปในตอนไหน
พอได้อยู่คนเดียวกับรอบข้างที่เงียบสนิทก็ทำให้มันหวานอดคิดถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงไม่ได้ สายตาใจร้ายและคำพูดของหมอปลายยังคงฉายชัดอยู่ในความรู้สึกของมันหวานจนยากที่จะลืม ขนาดหลับตาลงมันก็ยังคงชัดเจนในความมืด ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่วันความเสียใจถึงจะบรรเทาลง
มันหวานรู้สึกกับหมอปลายมากๆ แต่ตอนนี้มันหวานกลับเสียใจจนไม่กล้าจะรู้สึกมากกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว มันหวานอยากให้หัวใจของตัวเองว่างเปล่าสักพัก อยากให้ความเจ็บปวดนี้มันหายไปเพียงชั่วขณะก็ยังดี
มันหวานไม่เคยรักใครนอกจากความรักในแบบครอบครัว และเพราะมันคือครั้งแรกที่ได้ลองรักในอีกรูปแบบมันหวานถึงพาหัวใจของตัวเองไปเสี่ยงทั้งดวง เขาไม่รู้จักการเผื่อใจเพราะมั่นใจว่าหมอปลายจะไม่มีวันใจร้ายกับเขา แต่ทุกอย่างกลับผิดคาด มันหวานหลงลืมไปชั่วขณะว่าหมอปลายเมฆมีคนในใจ ความรักที่ตีตราในหัวใจของใครคนนั้นมาเนิ่นนานหลายปี
มันหวานหลงลืมและไม่ได้เผื่อใจไว้ให้กับสถานการณ์นี้เหมือนกับคนโง่ที่ปิดหูปิดตาและเลือกที่จะเดินหน้าอย่างเดียว มันหวานไม่ได้คาดคิดว่าม่านฝนจะกลับมา และที่ไม่ได้นึกหวั่นใจไว้มากกว่านั้นคือการที่ไม่คิดว่าหมอปลายจะยังคงหวั่นไหวให้กับแฟนเก่าของตัวเอง
มันหวานไม่ทันได้คิดว่าถ่านไฟเก่ามันพร้อมจะลุกโชนเพียงสัมผัสแค่นิดเดียว
และมันหวานไม่ได้คาดคิดว่าความพยายามของตัวเองจะส่งไปไม่ถึงหัวใจของหมอปลายเมฆเลย
สายตาความห่วงหาที่เขาทั้งสองมีให้กันมันทำให้มันหวานเจ็บเหมือนโดนเข็มนับพันทิ่มแทงลงมาที่หัวใจ เป็นเข็มล่องหนที่ไร้การมองเห็น รู้ตัวอีกทีหัวใจของมันหวานก็เกิดแผลขนาดใหญ่
มันหวานไม่เคยรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงคนนอกมาตลอดในหัวใจของหมอปลาย มันหวานเชื่อใจทั้งหมดในคำที่อีกคนเคยเอ่ยบอกว่าชอบพร้อมรสจูบ มันหวานไม่รู้เลยว่าในวันนั้นมันไม่ได้มั่นคงมากพอให้มันหวานสำคัญที่สุดในหัวใจของหมอปลายเมฆ
การตกหลุมรักใครสักคนที่มันหวานเคยอ่านมาจากนิยายมันช่างสวยงามจนน่าลิ้มลอง มันหวานถึงได้ตัดสินใจตกหลุมรักหมอปลายเมฆโดยไม่ได้หวาดระแวงอะไรเลยสักอย่าง คิดว่าตัวเองเก่งพอที่จะเอาชนะใจอีกคนได้ แต่ไม่เลย ..มันหวานตกไปในหลุมรักนั้นโดยที่ไม่ได้ระวังเลยว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
อาจจะเพราะว่าเป็นการตกหลุมรักในครั้งแรกมันหวานถึงได้ทิ้งตัวเองลงไปในนั้นทั้งตัว โดยไร้ซึ่งความลังเลหรือการเผื่อใจ
และผลตอบรับที่ได้ คือความจริงที่หลุมรักแสนลึกนั้นมอบให้ ไม่ได้เป็นการเจ็บที่ร่างกายเมื่อตกลงไป แต่เป็นหัวใจของมันหวานที่สาหัสเพราะแรงกระทำจากผู้ที่เป็นเจ้าของหลุมรักแห่งนี้
บางทีสิ่งที่หมอปลายเคยพูดไว้มันก็อาจจะถูก
‘อย่ามีความรักเลยนะมันหวาน’
แต่มันหวานมีความรักไปแล้ว และความรักนั้นมันหวานเลือกที่จะใช้มันไปพร้อมกับหมอปลายทั้งหัวใจ
ทั้งหัวใจจริงๆ
เสียงสายฝนที่ตกหนักด้านนอกทำให้คนที่นอนหลับไปพร้อมฤทธิ์ยาต้องฝืนลืมตาตื่นขึ้นมา มันหวานมองไปรอบห้องที่ยังคงเงียบและมืดสนิทเหมือนอย่างเคย เขาค่อยๆหยัดตัวลุกขึ้นนั่งพิงที่หัวเตียงก่อนจะหยิบมือถือมากดดูเวลาและพบว่าตัวเองหลับไปเกือบสามชั่วโมง
มันหวานสะบัดผ้าห่มออกจากตัวก่อนจะก้าวเท้าลงจากเตียงและตรงไปยังประตูห้องนอนก่อนจะหมุนลูกบิดและดึงมันเข้าหาตัว นอกห้องนอนนั้นเปิดไฟสว่างโล่พร้อมกับเสียงกุกกักที่ดังมาจากโซนครัวแคบๆไม่ไกลจากส่วนที่ไว้ใช้นั่งดูทีวี
มันหวานเดินไปยังตามเสียงก่อนจะพบแผ่นหลังกว้างที่เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปหมด ดูเหมือนเตวิณจะวุ่นวายอยู่กับการเอาอาหารออกจากถุงและเทใส่ชามโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามันหวานมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังแล้วในตอนนี้
“เตวิณ”
“อ่ะ! ตกใจหมด” คนตัวสูงสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับฝ่ามือหนาที่ลูบแผ่นอกของตัวเอง ก่อนที่เตวิณจะหันมายิ้มให้กัน “ตื่นแล้วหรอ หิวไหม นี่เพิ่งกลับมาจากตลาดเลยนะ”
“ที่เปียกแบบนี้เพราะไปตลาดมาหรอ?”
“อืม ก็กลัวตื่นมาแล้วจะหิว ซื้อเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวมาให้แล้วนะ ไม่อยากให้โดนละอองฝนเดี๋ยวไม่หายป่วยก็เลยไปตลาดก่อน” คนตัวสูงเอ่ยอธิบายยาวเหยียดก่อนจะยกจานอาหารมาถือไว้ “ไปกินข้าวกัน”
มันหวานเพียงพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะยกจานอาหารที่เหลือเดินตามไป พวกเขาใช้พื้นที่หน้าโซฟาในการกินมื้อเย็น แต่สภาพที่เปียกไปทั้งตัวของเตวิณทำให้มันหวานขัดใจจนต้องลุกไปในห้องนอนท่ามกลางสายตางุนงงของอีกฝ่ายก่อนจะออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่มันหวานเห็นมันแขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า
“ไปเปลี่ยนเสื้อก่อน เดี๋ยวเป็นปอดบวมนะ” มือเล็กยื่นผ้าในมือให้อีกฝ่ายก่อนที่คนตัวโตกว่าจะรับมันเอาไว้ด้วยรอยยิ้มกว้างและลุกไปทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย
มันหวานนั่งลงที่โซฟา เขารินน้ำใส่แก้วทั้งสองใบในขณะที่รออีกคนไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะกวาดสายตามองรอบกายอีกครั้งและพบว่าห้องมันเป็นระเบียบมากกว่าตอนแรก เตวิณคงทำความสะอาดมันในตอนที่เขาหลับ
มือเล็กคว้าถุงขนาดใหญ่ที่อยู่ปลายโซฟามาดูก่อนจะพบว่ามันเป็นเสื้อผ้าที่เป็นไซส์ของเขา มีทั้งเสื้อ กางเกงแม้กระทั่งชั้นใน ฉับพลันแก้มกลมๆก็ขึ้นสีเฉดเข้มเพราะไม่คิดว่าเตวิณจะซื้อให้กันแม้กระทั่งกางเกงในแบบนี้
“มาแล้วๆ” เสียงทุ้มดังขึ้นมันหวานจึงรีบยัดของใส่ถุงเหมือนเดิมและทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คนตัวเล็กมองคนตรงหน้าในชุดสบายๆเสื้อคอกลมกับกางเกงขายาวย้วยๆ เตวิณเลือกที่จะนั่งบนพื้นแทนที่จะนั่งบนโซฟาเหมือนกัน นั่นจึงทำให้มันหวานต้องลงไปนั่งกับพื้นเหมือนกับอีกคน
“นั่งข้างบนก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรจ่ะ กินข้าวเถอะ” ว่าจบก็ตักอาหารใส่จานให้อีกคนก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเตวิณยิ้มกว้างส่งมาให้และตักกับข้าวที่มันหวานเป็นคนตักให้เข้าปากในทันที
เขาทั้งสองกินข้าวกันไปเงียบๆพร้อมกับเสียงสายฝนที่ตกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มันหวานกินไปได้เพียงไม่กี่คำก็ต้องวางช้อนลงเพราะไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิดแต่ที่ฝืนกินเข้าไปก็เพราะว่าต้องกินยา และอีกอย่างคือไม่อยากทำให้เตวิณเสียความรู้สึกที่อุส่าห์ตากฝนออกไปซื้อมาให้
“อิ่มแล้วหรอ” ชายหนุ่มถามเมื่อคนตัวเล็กยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“จ้ะ ไม่ค่อยหิวน่ะ เดี๋ยวเราขอไปเอายาก่อนนะ”
“โอเค” เตวิณไม่อยากขัดใจอีกฝ่ายแม้ว่ามันหวานจะกินไปแค่นิดเดียวจนน่าเป็นห่วงก็ตาม แต่เตวิณก็พอเข้าใจได้ ในสถานการณ์แบบนี้คงไม่มีใครมีอารมณ์มานั่งกินข้าวหรอก
มันหวานเดินออกมาพร้อมกับยาในมือก่อนที่คนตัวเล็กจะรินน้ำใส่แก้วเพื่อกินยาอีกครั้ง มือเล็กวางแก้วน้ำลงเมื่อกินยาเรียบร้อยก่อนจะนั่งพับเพียบลงที่เดิมเพื่อมองอีกคนกินข้าวที่เหมือนจะอร่อยจนหยุดกินไม่ได้
“มองไร เขินนะเว้ย” ชายหนุ่มเกาหลังหูตัวเองเมื่อคนตรงหน้าจ้องมองกันอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของคนตัวเล็กที่มีสีหน้าดีขึ้นกว่าตอนจะหลับไป “ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
มันหวานไม่ได้ตอบคนตัวเล็กเพียงแค่พยักหน้าเบาๆก่อนจะหันไปมองด้านหลังที่เป็นริมระเบียง คนป่วยหยัดตัวลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปทางนั้นทันที ฝ่ามือเล็กทาบลงที่กระจกใสมองเม็ดฝนนับล้านที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า
“เตวิณ ที่นี่ไม่มีดาวหรอ” คำถามที่ไม่มีที่มาที่ไปจากคนตัวเล็กกว่าทำให้ช้อนที่จับไว้อยู่หยุดชะงัก เตวิณวางช้อนลงก่อนจะขยับกายลุกขึ้นและเดินตรงไปหาคนตัวเล็กกว่าที่ดูจะเลื่อนลอยอีกครั้ง
“กรุงเทพฯไม่มีดาวหรอกมันหวาน” เขาเอ่ยบอกขณะที่ยืนอยู่ข้างกายอีกคน เตวิณมองออกไปยังวิวด้านนอกที่มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดและสายฝนที่กำลังตกอย่างหนักหน่วง
“อย่างงี้นี่เอง”
“…” น้ำเสียงที่แผ่วเบาทำให้เตวิณต้องหันไปหาคนข้างกาย และดวงตาที่แดงก่ำคือสิ่งที่เตวิณเห็นอีกครั้ง ฝ่ามือเล็กที่กำลังทาบอยู่ที่บานกระจกใสนั้นก็กำลังสั่นเทา
“ที่กรุงเทพฯไม่มีดาวเหมือนที่หมอปลายเคยบอกไว้จริงๆ”
“...”
“มิน่าล่ะเตวิณ” เตวิณมองคนข้างกายที่ค่อยๆหันหน้ามามองกัน พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มอีกครั้งในวันนี้
“...”
“มันหวานพยายามส่องแสงเท่าไร หมอปลายเมฆถึงไม่เคยเห็นเลย”
มันหวานฝืนยิ้มออกมาแม้น้ำตาจะไหลลงมาเป็นสาย ไม่รู้ว่าเตวิณจะรำคาญกันไหมที่ต้องมาทนเห็นมันหวานร้องไห้อีกแล้ว แต่มันหวานไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรหรือคิดอะไรผู้ชายคนนั้นก็เข้ามามีบทบาทในทุกเรื่อง
ถ้อยคำที่เคยได้ยิน ประโยคที่เคยบอกกัน มันหวนกลับมาเล่นงานมันหวานจนต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
มันหวานยังจำได้ดีในวันนั้นที่ขอเป็นดวงดาวของหมอปลาย แต่หมอปลายกลับบอกว่าที่กรุงเทพฯมองไม่เห็นแสงดาวเพราะถูกสิ่งอื่นบดบัง
ในวันนี้คำเฉลยของเตวิณบ่งบอกออกมาทั้งหมดแล้วว่าหมอปลายเมฆโกหก ไม่ใช่เพราะถูกบังจนมองไม่เห็นแต่เพราะมันไม่เคยมีเลยต่างหาก
‘ถ้าเธออยากเป็นดวงดาวของฉัน เธอต้องเปล่งแสงมากกว่าดาวดวงไหน’
‘ทำให้ฉันสังเกตเห็นเธอได้จนต้องหยุดมอง’
‘ทำให้ฉันรู้สึกอยากครอบครองดาวดวงนี้แต่เพียงผู้เดียว’
ในวันนั้นมันหวานเคยคิดว่ามันเป็นถ้อยประโยคที่ให้กำลังใจและเติมพลังในความพยายามให้กัน
แต่ในวันนี้มันหวานรู้แล้วว่ามันก็แค่ประโยคเลื่อนลอยที่คล้ายสายลมที่พัดผ่านมาและจางหายไป
ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีตัวตน จนไม่ถูกให้ความสำคัญ
มันหวานไม่เคยได้เป็นดวงดาวของหมอปลายเมฆแม้จะพยายามเปล่งแสงมากแค่ไหน
มันหวานไม่เคยเป็นดวงดาวที่ถูกมองหาเพราะหมอปลายเอาแต่เฝ้ารอดาวดวงเก่าที่ควรจะหลุดวงโคจรไปได้แล้ว
มันหวานไม่เคยได้ถูกครอบครองโดยเขาคนนั้นเพราะมันหวานไม่ใช่ ‘ดาวดวงนี้’ ของหมอปลายเมฆ
ไม่เลย...มันหวานไม่เคยได้เป็นดาวดวงนั้นเลยสักเศษเสี้ยววินาที
ปลายเมฆหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องตัวเองในเวลาประมาณตีสองเศษ คีย์การ์ดในมือของเขาอยู่นิ่งเฉยแบบนั้นมาเป็นเวลาเกือบนาที เป็นอีกครั้งที่เขากลัวการเจอใครบางคนที่เพิ่งทำร้ายจิตใจไปเมื่อตอนกลางวัน
ลมหายใจร้อนๆถูกผ่อนออกมาอย่างหนักหน่วงก่อนจะตัดสินใจทาบคีย์การ์ดและเปิดประตูห้องเข้าไป แต่ภายในห้องที่เงียบสงัดและมืดสนิทนั้นทำให้เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ปกติมันหวานจะเปิดไฟที่ห้องครัวทิ้งไว้เผื่อว่าเขากลับมาห้องจะได้ไม่มืดจนเกินไป แต่วันนี้ทุกส่วนในห้องกลับไม่มีตรงไหนเลยที่มีดวงไฟเปิดอยู่
ปลายเมฆกดเปิดไฟจนทั่วห้องนั่งเล่น เขาขว้างกระเป๋าเอกสารของตัวเองไปที่โซฟาตัวยาวแบบที่ไม่ได้ใยดีอะไรเลยสักนิด ก่อนจะรีบสาวเท้าไปยังห้องนอนของคนตัวเล็กและกระชากเปิดไปเต็มแรงแบบที่ไม่มีการเคาะขออนุญาตล่วงหน้า นิ้วเรียวกดเปิดสวิตซ์ไฟข้างประตูก่อนที่ความว่างเปล่าบนผืนเตียงจะปรากฏสู่สายตา
“มันหวาน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นภายในห้องที่เงียบสนิทก่อนจะก้าวเท้าไปยังห้องน้ำเพื่อตามหาคนตัวเล็กที่ควรจะนอนหลับอยู่บนเตียง แต่ห้องน้ำก็ยังไร้ซึ่งคนที่ตามหา พื้นห้องน้ำที่แห้งสนิทบ่งบอกว่าไม่มีใครใช้งานมันมาหลายชั่วโมง คนตัวสูงเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าหลังโตและพบว่าเสื้อผ้ายังอยู่ในนั้นไม่ได้มีการหายไปไหนแบบที่กลัว
ปลายเมฆรีบออกจากห้องของอีกคนก่อนจะไปยังห้องตัวเอง ภาวนาให้คนตัวเล็กนอนหลับอยู่ในห้องของเขา แต่เมื่อประตูถูกเปิดออกและเปิดไฟให้สว่าง ความว่างเปล่าครั้งที่สองก็ปรากฏสู่สายตาอีกครั้ง
คนตัวสูงทิ้งตัวนั่งลงปลายเตียงของตัวเอง ก่อนจะหยิบมือถือออกมาจากกกระเป๋ากางเกงและต่อสายโทรหาคนตัวเล็กทันที
‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้..’
เสียงปลายสายจากข้อความอัตโนมัติดังขึ้นแทนเสียงหวานๆที่หวังว่าจะได้ยิน มือหนาปาเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงบนเตียงก่อนจะกุมขมับทั้งสองข้าง สมองเอาแต่คิดว่าคนตัวเล็กไปไหนทำไมถึงไม่กลับห้อง
เข้าใจว่าอีกคนเสียใจแต่การที่หนีหายไปแบบนี้ไม่คิดว่าเขาจะเป็นห่วงบ้างหรือไง รู้แล้วว่าตัวเองผิดมากแค่ไหนเมื่อตอนกลางวัน เข้าใจและทบทวนกับตัวเองไว้แล้วว่าจะมาขอโทษคนตัวเล็กที่ทำให้เสียน้ำตา แต่การที่อีกคนหายไปและติดต่อไม่ได้แบบนี้มันทำให้เขาเป็นกังวล
“เธออยู่ไหนมันหวาน” หยัดตัวจากปลายเตียงก่อนจะเดินวนรอบห้องเหมือนหนูติดจั่น ตอนนี้ปลายเมฆคิดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้ว่าอีกคนจะหายไปอยู่ที่ไหนได้เพราะที่ผ่านมามันหวานไม่เคยไปไหนนอกจากไปเรียน ไปหาเขาที่โรงพยาบาลและก็กลับมาที่ห้องเพียงเท่านั้น
ปลายเมฆเดินไปคว้ามือถือของตัวเองก่อนจะกดโทรออกอีกครั้งและก็ยังคงติดต่อไม่ได้เหมือนเคย เขาตัดสินใจออกจากห้องคว้ากุญแจรถและออกจากคอนโดทันที มือก็กดเบอร์โทรหาคนตัวเล็กที่ไม่มีท่าทีว่าจะได้รับการตอบกลับเลยสักนิด
รถคันสีดำสนิทของตัวเองพุ่งทะยานไปยังท้องถนนในเวลาเกือบตีสาม สถานที่แรกที่พอจะนึกออกเป็นมหาวิทยาลัยของมันหวาน แม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่โง่เพราะคงไม่มีใครอยู่ที่มหาวิทยาลัยตอนเวลาตีสามก็ตาม แต่เขาก็หวังว่ามันหวานจะนั่งรอเขาอยู่ตรงไหนสักที่เพื่อรอเขาไปง้อ
ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็มาถึงหน้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง เขาจอดรถเทียบกับหน้าป้อมยามและถามหานักศึกษาที่อาจจะมีหลงเหลืออยู่ที่นี่ แต่ถ้อยคำที่ยามบอกกลับกลายเป็นว่าไม่มีใครอื่นอีกแล้ว ซึ่งปลายเมฆก็เดาไม่ผิด คงไม่มีใครอยู่ที่นี่หรอกในเวลาแบบนี้
ปลายเมฆตามหาแม้กระทั่งร้านหนังสือที่มันหวานชอบ ร้านกาแฟที่เป็นร้านโปรดขอเขา แต่สถานที่พวกนั้นกลับปิดไปแล้ว
ปลายเมฆตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลของตัวเองอีกครั้ง เขาคิดว่าบางทีมันหวานอาจจะอยู่ที่นั่น ความเร็วของตัวรถเร่งขึ้นเมื่อถนนโล่ง เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเขาจอดรถไว้ลวกๆก่อนจะวิ่งเข้าไปตามหาคนตัวเล็ก ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟที่มันหวานมักมานั่งรอ โรงอาหาร ร้านสะดวกซื้อต่างๆ สวนของโรงพยาบาลหรือแม้กระทั่งวกกลับไปที่ห้องพักส่วนตัวของตัวเองแต่ทุกที่กลับไม่มีมันหวาน
ปลายเมฆยกโทรศัพท์แนบหูอีกครั้งและมันก็ยังคงเหมือนเดิม มันหวานไม่เปิดเครื่องเลยสักนิด ฉับพลันภาพของเตวิณที่วิ่งตามมันหวานออกไปก็ฉายชัดขึ้นมาในม่านตา ปลายเมฆเสยผมตัวเองลวกๆเมื่อคิดว่าบางทีมันหวานอาจจะอยู่กับเด็กหนุ่มคนนั้น แต่มันติดตรงที่ว่าเขาไม่เคยมีเบอร์ของเตวิณ
“เมฆ? กลับมาไมวะ” ปลายเมฆหันหลังไปเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากเพื่อนตัวเอง แทนไทในชุดผ่าตัดที่คาดว่าเพิ่งจะทำหน้าที่เสร็จ ปลายเมฆสาวเท้าไปหาเพื่อนและสีหน้าเคร่งเครียดนั่นทำให้แทนไทถึงกลับตีหน้าเครียดตามไปด้วย
“แทนไท”
“ใจเย็นๆ เป็นอะไร” ฝ่ามือหนาวางไว้ที่ไหล่ซ้ายของเพื่อนตัวเอง มองแววตาคมเข้มของเพื่อนตัวสูงที่คล้ายจะสั่นไหวเล็กน้อย
“มันหวาน”
“ทำไม?”
“น้องหายไป น้องไม่อยู่ที่ห้อง กูคิดว่าน้องอยู่กับเตวิณ แต่กูไม่มีเบอร์ ไม่มีที่อยู่เด็กคนนั้น ทำยังไงดีวะ มึงคือกู..”
“เดี๋ยวเมฆ มึงใจเย็นก่อน” แทนไทดึงแขนเพื่อนของตัวเองไปนั่งยังเก้าอี้แถวยาวหน้าห้องพักเมื่อเห็นว่าอีกคนดูลลนลานจนคล้ายจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง “มึงเล่าให้กูฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องต้องหายไป”
คำถามของเพื่อนสนิททำให้ปลายเมฆต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาผสานมือไว้ตรงหัวเข่า จ้องมองมันแทนจะมองหน้าของเพื่อนตัวเองและค่อยๆเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แก่แทนไทฟัง และยิ่งเล่ามันยิ่งตอกย้ำว่าในนาทีนั้นปลายเมฆปล่อยให้ความโมโหครอบงำเหตุผลที่ควรมีไปมากแค่ไหน
เขาต่อว่ามันหวานทั้งที่รู้ว่าคนตัวเล็กไม่ได้ตั้งใจ เขาใช้คำพูดที่รุนแรงทั้งที่ไม่เคยใช้คำแบบนั้นกับน้องเลยสักครั้ง เขาต่อว่าและเอ่ยปากให้อีกคนกลับไปไม่ต่างอะไรจากคำไล่ที่เอ่ยต่อหน้าม่านฝน
ในวินาที่นั้นที่มันหวานบอกว่าอย่าต่อว่ากัน อย่าไล่กันต่อหน้าม่านฝนมันทำให้เขาได้สติ แต่คล้ายจะสายไป เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าคำพูดของตัวเองเหมือนเจาะจงให้มันหวานผิดคนเดียวในเหตุการณ์นั้น ทั้งที่จริงเขาก็มีส่วนผิด ม่านฝนก็มีส่วนผิด แต่เขากลับต่อว่าเหมือนมันหวานคนเดียวที่สมควรเป็นคนผิด
‘แต่วันนี้มันหวานรู้แล้ว’
‘หมอปลายไม่เคยอยู่ในตอนที่มันหวานเจ็บ’
‘ไม่เคยเลยสักวินาที’
ถ้อยประโยคที่ฝังไว้ในความรู้สึกนั้นไม่ได้จางหายแม้ว่าคนตัวเล็กจะวิ่งหายออกไปจากกรอบสายตา ปลายเมฆรู้สึกเหมือนมีมีดเล่มใหญ่กรีดที่หัวใจของเขา ถ้อยประโยคนั้นที่สัมผัสได้ถึงความเสียใจของมันหวานอย่างชัดเจน มันยิ่งตอกย้ำว่าที่ผ่านมาเวลาที่คนตัวเล็กเสียใจเขาไม่เคยอยู่ตรงนั้น ไม่เคยอยู่ข้างกายอีกคน ไม่เหมือนที่มันหวานเคยอยู่กับเขาในวันที่เขาเสียใจกับเรื่องราวราวในอดีต
ทั้งที่ในวันนั้นคนที่อยู่ข้างกายเขาเพียงคนเดียวคือมันหวาน แต่แล้วทำไมในวันนี้เขาถึงอยู่ข้างกายของมันหวานไม่ได้
เพราะม่านฝน
หรือเพราะตัวเขาเอง
“กูบอกมึงแล้วใช่ไหมเมฆว่าอย่ากลับไปยุ่งกับผู้ชายคนนั้น” แทนไทพูดขึ้นหลังจากฟังเรื่องจากปากเพื่อนของตัวเอง และยอมรับเลยว่าตอนนี้เขากำลังโมโหปลายเมฆหน่อยๆ
“กูไม่ได้กลับไปยุ่งกับฝน”
“แค่เข้าใกล้ แค่เป็นห่วง ก็เท่ากับว่ามึงพาตัวเองกลับไปแล้วเมฆ”
“...”
“ขนาดกูเป็นแค่เพื่อนยังผิดหวังในตัวมึงเลย แล้วมันหวานล่ะวะ มันหวานเป็นคนที่ชอบมึง น้องจะเสียใจแค่ไหน”
“กูไม่ได้ตั้งใจ” ปลายเมฆส่ายหน้าเบาๆ เขาหลับตาลงก่อนจะพิงหลังที่พนักพิงและฟังเพื่อนสนิทของตัวเอง
“กี่ครั้งแล้ววะที่ความไม่ตั้งใจของมึงทำให้ใครบางคนเสียใจ”
“...”
“กับม่านฝนมันจบไปแล้วมึงเข้าใจไหมเมฆ”
“กูรู้” ปลายเมฆเปิดเปลือกตาขึ้น เขาไม่ได้หันไปมองเพื่อนข้างกายแต่เลือกจะมองหลอดไฟบนเพดานแทน
ที่แทนไทพูดมาทั้งหมดมันถูกต้องทุกอย่างจนไม่มีตรงไหนที่เขาอยากจะเอ่ยเถียง แต่ปลายเมฆเพียงไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่ตัวเองก็รู้ทุกอย่างอยู่แก่ใจ ทำไมการกระทำของเขายังคงสวนทาง
“กูรู้ว่ามึงสับสนเมฆ แต่ก็อยากให้มึงคิดดีๆ ว่ามันคุ้มไหมที่จะอยากกลับไป”
“กูอยากกลับไปหรอวะ” ปลายเมฆหันไปสบตากับเพื่อนตัวเอง แววตาของเขาแสดงความสับสนออกมาได้อย่างชัดเจนจนแทนไทยังรู้สึกได้
“อันนี้กูไม่รู้หรอก รู้แค่ว่าตอนนี้มึงสับสนมากเลยเมฆ”
“...”
“คิดดีๆนะเมฆ กูไม่อยากให้มึงพลาดอีก” แทนไทบีบไหล่เพื่อนของตัวเองเบาๆก่อนจะลุกขึ้นยืน “มันหวานน่าจะอยู่กับเด็กที่ชื่อเตวิณ”
“น้องจะกลับมาไหม” ปลายเมฆเอ่ยถามเสียงเบาอย่างคนที่ไม่มั่นใจอะไรเลยสักอย่างในวินาทีนี้
แทนไทเงียบ เขาไม่ได้ตอบคำถามเพื่อนตัวเองในทันที ทำเพียงแค่มองแววตาที่สับสนเหมือนคนหลงทางในเขาวงกต และนาทีนี้แทนไทรู้แล้วว่าไม่มีใครช่วยปลายเมฆได้เลย
ไม่มี
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมึงแค่คนเดียวแล้วเมฆ”
และแค่หวังว่าเพื่อนของเขาจะไม่หลงทางจนนานเกินไป
เพราะกับบางอย่างก็ไม่รอเวลาเพื่อให้เราไปตามกลับมา
ปลายเมฆตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่อยู่ในห้อง ไร้วี่แววของคนตัวเล็กที่รอมาทั้งคืน สายสนทนาที่โทรออกหลายสิบครั้งยังคงได้รับเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่ได้ยิน มันหวานยังคงไม่กลับมา ไม่แม้แต่จะเปิดเครื่องและเขายังคงเป็นเพียงหมอโง่ๆคนนึงที่ไม่รู้จะไปตามหาอีกคนได้จากที่ไหน
หากมีเวลามากกว่านี้เขาคงจะไปดักเจอคนตัวเล็กที่มหาวิทยาลัยแต่เพราะการงานที่เขาเลี่ยงไม่ได้เพราะลาหยุดมาหลายอาทิตย์ทำให้ปลายเมฆต้องฝืนใจไปแม้จะรู้ดีว่าคงทำให้ตัวเองมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานที่ทำไม่ได้
เขาก้าวเท้าเดินออกมาจากห้องนอน ตรงไปยังห้องครัวที่ไม่มีแผ่นหลังเล็กที่ง่วนอยู่กับอาหารเช้าเหมือนอย่างเคย ไม่มีกาแฟดำใส่น้ำตาลหนึ่งก้อนวางไว้ให้ที่โต๊ะเหมือนกับทุกวัน ไม่มีเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเหมือนกับทุกๆเช้าที่เขากลับมาค้างที่ห้องและตื่นขึ้นมาเพื่อร่วมอาหารเช้ากับอีกคนในเวลาที่จำกัด
ปลายเมฆเปิดตู้เย็นเขาทำเพียงแค่คว้าน้ำมาดื่มเป็นมื้อเช้าเพียงเท่านั้น ก้าวเท้าตรงไปยังระเบียงห้องพร้อมกับบุหรี่และไฟแช็คในมือ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่เช้านี้อากาศเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไรแม้ดวงตะวันจะเฉิดฉายอยู่บนท้องฟ้าก็ตาม
บุหรี่มวนขาวถูกจุดสูบก่อนที่รสชาติขมๆจะแผ่ซ่านไปทั้งปลายลิ้น เขาพ่นควันสีหม่นออกมาและปล่อยให้ลมพัดมันเข้ามากระทบใบหน้าของตัวเอง มือหนาเสยผมสีเข้มของตัวเองลวกๆและเริ่มจุดบุหรี่มวนที่สองสูบเมื่อมวนแรกถูกเผาไหม้จนหมด
ปลายเมฆใช้เวลาอยู่ตรงนั้นร่วมครึ่งชั่วโมง เป็นวันหนึ่งที่เขาไม่อยากจะทำอะไร อยากจะใช้เวลาเพื่อทบทวนสิ่งที่ตัวเองแก้ไข้ไม่ได้และหาทางออกไม่เจอ
คนบางคนอาจจะเก่งในเรื่องของความรัก แต่สำหรับเขามันไม่ใช่ ปลายเมฆไม่ได้ช่ำชองเรื่องความรักนักและไม่ได้เก่งในเรื่องทำความเข้าใจในความรู้สึกของตัวเอง หลายครั้งหลายคราที่เขาต้องพึ่งคำแนะนำจากคนอื่นแม้อายุจะสามสิบกว่าแล้วก็ตาม
แต่อายุไม่มีผลต่อเรื่องความรัก บางครั้งมันก็ทำให้เราดูเป็นคนฉลาดและหลายครั้งที่มันทำให้เราเป็นคนโง่เหมือนที่เขากำลังเป็น
ปลายเมฆไม่รู้ว่าทางออกมันอยู่ตรงไหน ตรงไหนกันที่แทนไทบอกว่ามีเพียงเขาที่ทำได้เพียงคนเดียว เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ตอนนี้เขาสับสนไปหมดทุกสิ่ง ปลายเมฆกำลังหลงเขาวงกตอยู่ภายในหัวใจของตัวเอง
คนเรามีหัวใจเพียงดวงเดียวตรงอกด้านซ้ายแต่แล้วทำไมมันถึงได้มีความรู้สึกมากมายที่วิ่งวนและก่อสุมกันอยู่ในนั้นจนทำให้อึดอัด เขาไม่รู้วิธีจะจัดการกับมัน เหมือนมีเชือกเส้นหนาที่ผูกกันแน่นและถูกโยนทิ้งไว้ในหัวใจของเขา ไม่มีผู้ใดที่สามารถแก้มันออกได้นอกจากตัวเขาเอง
ตัวเขาเองที่ก็ไม่รู้จักวิธีการแก้ปมเชือกนั้นแม้แต่นิดเดียว
อะไรกันที่ทำให้มันยาก อะไรกันที่ทำให้เขาไม่กล้าตัดสินใจ
อะไรกันแน่ที่ทำให้เขาย่ำอยู่กับที่แบบนี้
ประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออกในเวลาเกือบสี่ทุ่ม ปลายเมฆจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องพักของตัวเอง เขาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้าก่อนจะคว้ามือถือที่เปิดเครื่องทิ้งไว้กดโทรออกหาเบอร์เดิมอีกครั้งและก็เหมือนอย่างเดิมคือมันหวานยังไม่เปิดเครื่อง
ปลายเมฆหยัดตัวลุกขึ้นยืน เขาปิดไฟห้องพักของตัวเองก่อนจะรีบเปิดประตูและก้าวเท้าออกจากห้อง โชคดีที่ไม่มีตารางผ่าตัดหลังจากนี้และนาทีนี้หมดหน้าที่ของเขาแล้ว
คนตัวสูงเดินตรงไปยังรถของตัวเองก่อนจะสอดตัวเข้าไป คว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดก่อนจะขับรถออกไปด้วยความเร่งรีบ เขาหวังว่าถ้ากลับไปจะเจอมันหวานอยู่ที่ห้อง
หวังให้เวลาที่ผ่านไปหลายชั่วโมงพาคนตัวเล็กที่เขาเฝ้าเป็นห่วงและคิดถึงกลับมาสักที
รถสีดำเข้มจอดที่ลานจอดรถด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะรีบก้าวเท้าเข้าไปในตัวคอนโดและกดลิฟต์ไปยังชั้นของตัวเอง ปลายเมฆรีบทาบคียการ์ดและเปิดประตูห้องเข้าไป แต่เหมือนเดจาวูที่ภายในห้องนั้นกลับเงียบและมืดสนิทเหมือนอย่างเคย
เขาเปิดไฟจนทั่วห้อง จับที่ลูกบิดประตูห้องนอนของคนเด็กกว่า สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อหวังเรียกกำลังใจก่อนจะเปิดเข้าไป แต่ความมืดกลับเป็นสิ่งที่ได้เจอ ปลายเมฆกดเปิดไฟข้างประตูและพบกับผืนเตียงที่ไร้รอยยับย่นใดๆ
มันหวานยังคงไม่กลับมา
เขาปิดบานประตูลงก่อนจะเปิดไปยังห้องของตัวเองเพื่อหวังลึกๆว่าคนตัวเล็กอาจจะมานั่งรอในห้องของเขา แต่สิ่งที่พบกลับเป็นเพียงความว่างเปล่าและที่นอนรกๆที่เขาไม่ได้เก็บเมื่อเช้า
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังออกมาก่อนจะสาวเท้าไปยังประตูอีกครั้ง กระชากมันออกและปิดลงอย่างแรง
สามสิบนาทีหลังจากนั้นเขาพาตัวเองมายังผับแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากคอนโดเสียเท่าไร ที่นั่งหน้าบาร์เทนเดอร์คือที่ที่เขาจับจองพร้อมกับแก้วเหล้าในมือ
ไม่คิดว่าตัวเองจะหาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยเหล้าเพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นหมอและมีหน้าที่ในวันพรุ่งนี้ แต่ในนาทีนี้ปลายเมฆอยากทิ้งหน้าที่ออกไปให้หมด
เสียงเพลงจังหวะหนักที่บาดหูไม่ได้ทำให้รำคาญเสียเท่าไร เขาเพียงโฟกัสอยู่ที่แก้วเหล้าในมือและกระดกมันรวดเดียวจนหมด คว้าขวดน้ำเมามาเติมเต็มและยกขึ้นกระดกดื่มแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โทรศัพท์มือถือไม่เคยถูกใช้งานหนักขนาดนี้มาก่อน เขาใช้มันต่อสายหามันหวานเกือบร้อยครั้ง และทุกครั้งก็ยังคงเหมือนเดิม
เหล้าขวดที่สองถูกเอ่ยสั่งก่อนจะถูกรินใส่แก้วและกระดกขึ้นดื่มไม่หยุด ปลายเมฆไม่ใช่คนคอแข็งเขารู้ตัวเองดีและตอนนี้ขมับเขากำลังเต้นตุบๆจนน่ารำคาญแต่ถึงแบบนั้นเหล้าในแก้วก็ยังคงถูกเติมเต็มร่างกายเรื่อยๆ
“พอแล้วครับ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหูก่อนที่มือบางจะจับแก้วเหล้าของเขาวางลงที่เดิม ปลายเมฆหันไปมองผู้มาใหม่ก่อนที่เรียวคิ้วจะขมวดเข้าหากันแน่น
“ฝน?”
“ครับ ฝนเอง” มองคนตรงหน้าที่กำลังวาดรอยยิ้มสวยบนใบหน้า ปลายเมฆไม่รู้ว่าทำไมอีกคนถึงอยู่ที่นี่และเขาไม่รู้ว่าม่านฝนออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร เพราะตั้งแต่บอกให้อีกคนอย่ามาเจอกันอีกในวันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอม่านฝนอีก
“มาทำไม” เขาเอ่ยถามก่อนจะคว้าแก้วเหล้ามาดื่มต่อ
“ฝนมาก่อนอยู่แล้ว แล้วก็เห็นพี่เมฆดื่มอยู่คนเดียว”
“...”
“ให้ฝนนั่งด้วยนะ”
ปลายเมฆไม่ได้ตอบ เขายกมือกุมขมับของตัวเองและได้ยินเสียงคนตัวบางข้างตัวเอ่ยสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์
“พี่เมฆบอกฝนว่าอย่ามาเจอกันอีก ขอโทษนะครับแต่ฝนทำให้พี่เมฆไม่ได้หรอก” น้ำเสียงนั้นไม่ได้เบาจนไม่ได้ยินแม้จะมีเพลงจังหวะหนักๆเปิดอยู่ก็ตาม ปลายเมฆหลุบตามองมือบางที่วางอยู่หน้าขาของเขาก่อนม่านฝนจะลูบไปมา
“ต้องการอะไร” เขาเอ่ยถามก่อนจะจับมือนั้นออกจากหน้าขาของตัวเอง มองม่านฝนที่ขยับเข้ามาใกล้และรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆรินรดที่ต้นคอ
“ฝนต้องการพี่เมฆ”
“...”
“พี่เมฆต้องการฝนไหม”
ปลายเมฆสะดุ้งเมื่อสัมผัสชื้นๆแตะหลังใบหูของเขา ตวัดสายตามองอีกคนที่ค่อยๆละใบหน้าออกไปพร้อมรอยยิ้มกว้างภายใต้แสงสีของผับ
ปลายเมฆมองม่านฝนที่ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม มองเรียวลิ้นเล็กที่เลียรอบปากของตัวเองก่อนจะวางแก้วเหล้าลงและท้าวคางมองหน้าเขา
“พี่เมฆรู้อะไรไหม”
“...”
“ไม่มีใครเหมาะกับพี่เมฆเท่าฝนอีกแล้ว ไม่มี” คนตัวบางยังคงยกยิ้มหวานเลี่ยนก่อนจะคว้าขวดเหล้ามารินใส่แก้วที่ว่างเปล่าให้แก่เขา
“...”
“เรารักกันมาเกือบสิบปีพี่เมฆจำได้ไหม”
“แล้วจำได้ไหมว่าใครทำให้มันพังลง” ปลายเมฆเอ่ยถามกลับหลังจากที่เขานั่งฟังอีกคนมาสักพัก แววตาคมสบกับเรียวตาสวยของคนตรงหน้าแม้แอลกอฮอล์ในร่างกายจะทำให้สติของเขาเริ่มรวนเรและสายตาเริ่มพร่าเบลอก็ตาม
“พี่เมฆเลยจะเอาคืนฝนด้วยการไปรักกับเด็กคนนั้น?”
“...”
“ปลายเมฆคุณยังรักผม คุณไม่รู้ตัวเลยหรือไง?” คนตัวบางลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะยืนอยู่ตรงหน้าคนตัวสูง ท่อนเขนขาวนั้นโอบรอบลำคอหนาหนึ่งข้างส่วนมือข้างที่ว่างก็จับปลายคางคนตรงหน้าให้เงยขึ้น
ม่านฝนโน้มใบหน้าลงไปแตะจมูกลงที่แก้มกร้านของอีกฝ่าย ลากไล้สัมผัสไปเรื่อยๆเมื่ออีกคนไม่มีท่าทีต่อต้าน ก่อนที่ริมฝีปากจะโฉบลงที่ริมฝีปากหนาและดูดกลืนความนุ่มหยุ่นอย่างลองดี
รสนุ่มหวานที่คุ้นเคยทำให้ปลายเมฆจูบโต้ตอบอีกคน เขาทาบมือไว้ที่เอวคอดก่อนจะบีบมันเบาๆ ฟังเสียงอื้ออึงในลำคอและการขยุ้มลงที่กลุ่มเส้นผม รสจูบที่ผสมไปกับกลิ่นเหล้าทำให้ปลายเมฆคล้ายคนไม่มีสติ เขาเมาไปหมดทั้งฤทธิ์แอลกอฮอล์ แสงสีในที่แห่งนี้หรือแม้กระทั่งรสจูบจากอีกฝ่าย
"หมอปลายรู้ไหมว่ามันเป็นจูบแรกของมันหวานเลยนะ"
“หมอปลาย”
“พี่หมอจ๋า”
“!!” ฉับพลันที่ภาพและเสียงของใครบางคนฉายชัดเข้ามาสู่เปลือกตาที่ปิดสนิทอย่างกะทันหัน ทำให้ปลายเมฆผลักอีกคนออกห่างจากริมฝีปากของตัวเองเหมือนโดนของร้อน
เขามองม่านฝนที่ฉายความไม่เข้าใจในแววตาก่อนจะนั่งลงที่เดิมพร้อมรอยยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังมือหนาของปลายเมฆปาดลงที่ริมฝีปากของตัวเองลวกๆเพื่อแสดงให้อีกคนรู้ว่าจูบเมื่อกี้เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น
ปลายเมฆคว้าขวดเหล้าที่มีถึงครึ่งมากระดกดื่มจนหมดขวดก่อนจะวางเงินไว้ที่หน้าบาร์และคว้ามือถือกับกระเป๋าตังค์ของตัวเองออกไปจากที่แห่งนี้ทันทีโดยที่ไม่ได้หันไปสนใจคนด้านหลังเลยแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าเพราะความเมาหรือสัมผัสที่คุ้นเคยถึงทำให้เขาตอบรับสัมผัสจากม่านฝนเหมือนคนไม่มีสติ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ภาพของมันหวานฉายชัดเข้ามาถึงทำให้หยุดการกระทำที่เผลอไผลนั้นไปได้
ปลายเมฆเดินเซออกมาจากผับ ยกมือถือมาต่อสายหามันหวานอีกครั้งและค้นพบแต่ความผิดหวังเหมือนอย่างเดิม
เขาพาตัวเองเข้ามานั่งในรถได้สำเร็จแม้จะเริ่มมึนอย่างหนักจนมือที่ประคองพวงมาลัยนั่นสั่นเทาแต่สุดท้ายก็พาตัวเองมาถึงห้องได้โดยที่ไม่แหกโค้งตายไปเสียก่อน
ปลายเมฆทิ้งตัวลงบนเตียง เขายกมือกุมขมับเพราะความมึนอย่างหนักก่อนจะคว้าโทรศัพท์มากดโทรออกเบอร์เดิมและแนบหูอีกครั้ง ทำอยู่แบบนั้นหลาบสิบรอบจนเปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง
ติ๊งหน่อง!
“!!” เสียงกริ่งหน้าประตูที่ดังขึ้นหลายครั้งติดกันทำให้ปลายเมฆสะดุ้ง เขาหยัดตัวลุกขึ้นจากผืนเตียงด้วยความรู้สึกว่าห้องโคลงเคลง แต่เสียงที่ดังขึ้นติดต่อกันทำให้เขาต้องลากตัวเองไปยังหน้าประตู ฉับพลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อคิดว่าคนที่มากดกริ่งเรียกดึกดื่นแบบนี้คงเป็นมันหวานที่เขารอมาถึงสองวัน
“มัน-- !!”
เสียงเรียกชื่อที่ไม่ครบพยางค์นั้นขาดหายก่อนจะถูกแทนที่ด้วยริมฝีปาก ปลายเมฆถูกดันเข้าห้องก่อนที่จะได้ยินเสียงประตูปิดอย่างแรง เขาถูกจูบอย่างดุเดือดแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว และรสจูบนี้ช่างคุ้นชินจนทำให้เขาเคลิ้มไปกับมัน จนกระทั่งแผ่นหลังแนบกับผืนเตียงพร้อมกับเสียงลมหายใจหอบของตัวเอง
ปลายเมฆกำลังจะเปิดเปลือกตามองแต่กลับถูกฝ่ามือนุ่มนั้นทาบทับเอาไว้พร้อมกับลมหายใจที่รวยรินอยู่ตามแก้ม ลากไล้ไปตามลำคอก่อนที่ร่างกายของเขาจะกระทบเข้ากับความเย็นของเครื่องปรับอากาศ
ปลายเมฆครางฮึ่มในลำคอเมื่อริมฝีปากของคนบนร่างแตะต้องที่เนื้อผิวของเขา ก่อนที่มือนุ่มๆนั้นจะล้วงเข้าไปในกางเกงและบีบส่วนกลางลำตัวเบาๆ
ปลายเมฆหลับตาครางต่ำปล่อยให้คนด้านบนเล่นกับร่างกายของตัวเองก่อนที่ปากจะโดนปิดด้วยรสจูบอีกครั้ง เขาพลิกตัวให้อีกคนอยู่ใต้ร่าง เปิดเปลือกตามองคนตรงหน้าที่สายตาไม่โฟกัสให้เพราะฤทธิ์ของเหล้า แต่สัมผัสที่เขาคุ้นเคยนั้นกลับทำให้เขาทำตามใจอยากด้วยการปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนใต้ร่างจนหมดและจูบไปตามผิวเนื้อที่ลื่นมือ
กางเกงของปลายเมฆถูกถอดออกด้วยความช่วยเหลือของคนที่ดูตัวเล็กกว่า ขาเรียวทั้งสองข้างนั้นถูกอ้าออกก่อนที่เขาจะส่งสิ่งกำหนัดของความเป็นชายเข้าไป
เสียงครางต่ำดังขึ้นข้างหู ปลายเมฆปิดเปลือกตาและโถมตัวใส่คนใต้ร่าง สัมผัสถึงความแสบเมื่อเล็บยาวนั้นข่วนตามหลังของตัวเอง เขารับฟังเสียงครางกระเส่าที่คุ้นหู ก้มรับจูบหวานที่คุ้นปาก และการเคลื่อนไหวที่คุ้นชิน
น้ำคาวข้นคลั่กถูกปลดปล่อยออกมาพอๆกับหน้าท้องที่รับรู้ได้ถึงความเหนียวหนืด ปลายเมฆทิ้งตัวลงทับอีกฝ่าย เขาหอบใจถี่รัว ฝังใบหน้าไว้ที่ซอกคอกลิ่นหอม
ได้ยินเสียงหัวเราะหวานเบาๆที่ข้างใบหูพร้อมกับการลูบเรือนกลุ่มผมเขาไปมา
เสียงสุดท้ายที่ปลายเมฆได้ยินเป็นเสียงเรียกชื่อของเขา
พยายามจะยกศีรษะของตัวเองเพื่อมองหน้าอีกคน แต่เพราะอาการหนักอึ้งนั่นทำให้เขาต้องทิ้งศีรษะตัวเองไว้ที่เดิม พร้อมกับสายตาที่พร่าเลือนตั้งแต่แรกเริ่มนั้นแปรเปลี่ยนเป็นดับวูบไป
#มันหวานปลายเมฆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โอ้ย-หมอ กลับไปเอากับแฟนเก่า-เถอะไป
......เจ็บ.คำเดียววอีเ_ี้ยยยย