ตอนที่ 13 : เหนือปลายเมฆ ☆ XII
เหนือปลายเมฆ ☆ XII
ผมชอบคุณนะ ชอบคุณมากขึ้นเรื่อยๆ ชอบจนอยากเก็บคุณไว้แค่คนเดียว
มันหวานไม่แน่ใจว่าตอนนี้ที่ตัวเองกำลังร้องไห้ไม่หยุดอยู่ในอ้อมกอดของหมอปลายมันเป็นเพราะความรู้สึกไหนกันแน่
ซึ้งใจ
ดีใจ
ตื่นเต้น
หรือตื้นตัน
มันหวานเพียงรู้แค่คำที่บอกว่าฉันชอบเธอยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ระยะเวลาหลายเดือนนับตั้งแต่วันที่เขาทั้งสองได้เจอกันมันอาจจะไม่ได้มากเท่าไร แต่รู้อะไรไหมว่าในวันนี้มันหวานรู้สึกว่าความอบอุ่นในแววตาของหมอปลายมันมีให้มันหวานแต่เพียงผู้เดียวเสียที
ไม่มีเพื่อใครอื่น ไม่มีอีกแล้ว
มันหวานไม่ได้เป็นเพียงเงาของใครบางคนอีกแล้ว
มันหวานเชื่อในทุกคำพูดที่หมอปลายได้เอ่ยออกมา เชื่ออย่างสนิทใจ
“ร้องทำไม หื้ม”
ฝ่ามือของหมอปลายอบอุ่นเสมอสำหรับมันหวาน แต่ในตอนนี้มันช่างอบอุ่นมากกว่าครั้งไหน อ้อมกอดของหมอปลายก็ไม่ต่างกัน ถึงแม้ตอนนี้ฝนจะตก แม้ในตอนนี้อากาศจะหนาวเย็นแต่มันหวานกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบล้อมด้วยเตาผิงที่ให้ความอบอุ่นกับมันหวานด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม
อ้อมกอดของหมอปลายเมฆเป็นแบบนั้น.. อบอุ่นยิ่งกว่าเตาผิงในฤดูหนาว
เป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมกับหัวใจ
“มันหวานแค่..ดีใจ ดีใจมากๆเลย”
ใบหน้ามันหวานยังคงซุกอยู่ที่อกแกร่งของคนโตกว่า คนตัวเล็กได้ยินเสียงคุณหมอหัวเราะออกมาเบาๆก่อนที่ใบหน้าของเขาจะถูกประคองออกมาจากแผ่นอกช้าๆ
“ดีใจมากแค่ไหน”
คุณหมอเอ่ยถามพลางใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้กับเด็กขี้แย ในสายตาของปลายเมฆตอนนี้มันหวานเหมือนกระต่ายหลงป่าที่เพิ่งหาทางออกเจอและแสดงความดีใจนั้นด้วยการร้องไห้ออกมา
“มันหวานไม่รู้เลย คิดไม่ออกว่ามากแค่ไหน”
“...”
“หมอปลาย มันหวานไม่ได้ฝันไปใช่ไหม หมอปลายชอบมันหวานจริงๆใช่ไหมจ๊ะ”
ปลายเมฆยิ้มออกมาเมื่อเด็กน้อยยังคงไม่เชื่อในคำที่เขาเอ่ยออกไป คุณหมอลูบแก้มเนียนใสอย่างนุ่มนวลก่อนจะกดจมูกลงบนก้อนแก้มนุ่ม สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดจนได้ยินเสียงฟอดดังออกมาเต็มสองหู ปลายเมฆมองแววตาที่สั่นระริกทั้งที่หน้าหวานๆนั้นกำลังเห่อแดง
“อธิบายไม่เก่ง ให้การกระทำพูดแทนได้หรือเปล่า”
“…”
“ถ้าไม่ได้ชอบจริงๆก็คงทำแบบนี้ไม่ได้หรอกถูกไหม”
มันหวานก้มหน้าคางแทบชิดอกเพราะความเขินกำลังแตกกระจายไปทั้งตัว การกระทำของหมอปลายบอกได้ดังยิ่งกว่าคำพูดเป็นไหนๆ ตอนนี้มันหวานเหมือนตัวเองกำลังจะลอยให้ได้ ทุกสิ่งรอบข้างตอนนี้ดูเหมือนจะเลือนหายไปเพราะมันหวานรับรู้ได้เพียงแค่ที่ตรงนี้มีเพียงตัวเองและหมอปลายเมฆ
ไม่รู้ว่ามันอาจจะเร็วไปไหมแต่ตอนนี้หัวใจมันหวานมันตะโกนก้องจนดังคับแผ่นอกว่ามันหวานรู้สึกกับหมอปลายมากกว่าคำว่าชอบไปแล้ว
มากขึ้นตั้งแต่ตอนไหนมันหวานเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันขยายความยิ่งใหญ่และสักวันมันคงจะระเบิดออกมา
“มันหวานเหมือนจะไม่ไหวเลย ใจมันหวานตอนนี้..” มือเล็กทาบลงที่ตำแหน่งก้อนเนื้อทางอกด้านซ้ายของตัวเอง “มันเหมือนจะระเบิดออกมา”
มันหวานรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ถ้าหมอปลายเอาเครื่องฟังหัวใจมาฟังก็คงจะรู้ว่าตอนนี้หัวใจของเขามันเต้นอย่างรัวเร็วมากแค่ไหน
มันกำลังร่ำร้องว่าตอนนี้เจ้าของหัวใจของมันแสนจะมีความสุข
มีความสุขมากจนหัวใจอยากจะโบยบิน
“หายใจเข้าลึกๆ ใจเย็นๆมันหวาน” แม้จะรู้สึกขำแต่คุณหมอเองก็เป็นห่วงว่าเด็กแครอทสีแดงตรงหน้าจะเขินจนเป็นลมไปเสียก่อน
มันหวานใช้เวลาปรับอุณหภูมิในร่างกายของตัวเองสักพักเมื่อรู้สึกว่าความเขินนั้นมีน้อยลงจึงกล้าที่จะมองตาคนตรงหน้าได้เต็มตามากกว่าเดิม
“หมอปลายจ๋า”
“หื้ม”
“คืนนี้มันหวานนอนด้วยได้ไหม”
คำขอนั้นทำให้คุณหมอชะงักไปนิดหน่อย เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่ด้วยกันเขาทั้งคู่ก็แยกห้องนอนกันตลอด มันหวานไม่เคยนอนร่วมเตียงกับเขาเลยสักครั้ง และการที่เด็กน้อยเอ่ยขอมานอนด้วยกันทั้งที่เขาเองก็เพิ่งสารภาพความในใจออกไป มันก็รู้สึกเก้อเขินนิดหน่อยหรือเปล่า?
“ทำไมถึงอยากนอนด้วยกัน” คุณหมอเอ่ยถาม
“หมอปลายกำลังเจ็บ มันหวานจะได้อยู่ช่วยหากหมอปลายต้องการอะไรยามดึก”
บอกถึงเหตุผล แม้ที่จริงมันหวานจะคิดแบบนั้นแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าอีกหนึ่งเหตุผลคือคืนนี้มันหวานอยากใช้เวลาอยู่กับหมอปลาย
ความรู้สึกอุ่นๆในหัวใจยังคงอยู่และมันคงดีหากได้เติมเต็มความอบอุ่นอีกสักนิดกับคนที่สร้างความอบอุ่นนี้มาให้
“แน่ใจว่านั่นคือเหตุผลจริงๆของเธอ?” คุณหมอแสร้งกอดอกยิ้มกรุ้มกริ่ม
“หมอปลายอย่าถามจี้ มันหวานจะเขินนะ” เด็กน้อยว่าก่อนจะเอาสองมือน้อยๆทาบแก้มสีอ่อนของตัวเอง
คุณหมอส่ายหน้ายิ้มขำกับความน่ารักตรงหน้าก่อนจะยีผมนุ่มมือนั้นจนฟูฟ่อง เด็กน้อยส่งเสียงงุ๊งงิ๊งแต่ก็ยิ้มหวานยอมให้เล่มผมตัวเองอยู่แบบนั้น
“ถ้าหมอปลายไม่สบายใจมันหวานนอนพื้นก็ได้นะจ๊ะ”
“ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ นอนด้วยกันก็ได้”
“เย้! มันหวานดีใจจังงงง” เด็กน้อยยิ้มตาหยีก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา
มันหวานเห็นว่าตอนนี้ปลายทางของตัวเองและหมอปลายเมฆเริ่มขยับขึ้นมานิดหน่อย มันไม่ได้ไกลริบลิ่วเหมือนเมื่อก่อน และที่มันขยับเข้ามาได้ขนาดนี้ก็เป็นเพราะหมอปลายเองที่ยอมเข้าหากันบ้าง
สี่ทุ่มสี่สิบห้าหลังจากที่มันหวานและหมอปลายทานมื้อเย็นและคนป่วยได้อาบน้ำกินยา ทำแผลแล้วเรียบร้อย ต่อไปก็ได้เวลาที่มันหวานรอคอยนั่นคือการได้นอนข้างๆหมอปลายแบบที่ได้เอ่ยขอไป
คนตัวเล็กปีนขึ้นเตียงนุ่มพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ปัดหมอนปุๆ หยิบผ้าห่มมาสะบัดๆและกางออกห่มท่อนขาถึงช่วงเอวให้คุณหมอที่กำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่กับหมอแทนไท
แก้มทั้งสองข้างของมันหวานเลอะไปด้วยแป้งเด็กเหมือนตอนที่อยู่บ้านนอก มันหวานชอบทาแป้งก่อนนอนเพราะมันหอมและกลิ่นของมันทำให้มันหวานหลับสบายเสมอ
คนตัวเล็กล้มตัวลงนอนเคลื่อนผ้าห่มมาปิดแผ่นอกตะแคงหน้ามองคนข้างกายที่ยังไม่วางสายไปจากเพื่อนของตัวเอง บทสนทนาก็ไม่พ้นสอบถามอาการของหมอปลายเมฆ หมอแทนไทคงจะลืมว่าคนป่วยน่ะก็เป็นหมอเหมือนกัน
“อืม แค่นี้ก่อนจะนอนแล้ว”
มันหวานฟังหมอปลายบอกลาเพื่อนสนิทก่อนจะกดปิดเครื่องและนำโทรศัพท์วางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง คนตัวสูงเอนแผ่นหลังแนบกับผืนเตียงก่อนจะนอนตะแคงมามองหน้ากัน
อยู่ดีๆมันหวานก็เขินแปลกๆ เตียงหมอปลายไม่ได้กว้างแบบสามสี่คนนอนแต่มันพอเหมาะสำหรับคนสองคน ซึ่งถ้าเอาหมอนข้างมาวางเพิ่มเตียงก็คงไม่เหลือพื้นที่ แต่เพราะห้องหมอปลายไม่มีหมอนข้างจึงเหลือพื้นที่ระหว่างพวกเขาไว้ให้ใจวาบหวิวเล่นๆ
“มองตาแป๋วเลย หลับได้แล้ว”
ปลายเมฆรู้สึกแปลกๆ เพราะปกติเขาเองก็นอนคนเดียว แต่ตอนนี้เตียงหลังเดิมถูกเติมเต็มด้วยเด็กหน้ามอมแมมแป้งที่กำลังส่งกลิ่นหอมแป้งเด็กให้ปั่นป่วนหัวใจเล่นๆ แถมมันหวานยังนอนมองกันตาแป๋ว ปลายเมฆไม่รู้เลยว่าคืนนี้เขาจะนอนหลับได้จริงๆกี่โมง
“ดีจังเลยนะจ๊ะ” มันหวานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “เราใกล้กันขนาดนี้แล้ว”
คุณหมอรับฟังคำพูดของเด็กน้อยโดยที่ไม่ได้เอ่ยแย้งอะไร มันก็จริงอย่างที่มันหวานว่า พวกเขาใกล้กันขนาดนี้แล้ว
ขนาดที่นอนเตียงเดียวกันแล้ว ทั้งที่การสารภาพความรู้สึกพึ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง
“มันหวาน”
“จ๋า”
คนตัวเล็กรอฟังว่าคุณหมอจะเอ่ยพูดอะไรออกมา อาจจะนานเป็นนาทีที่หมอปลายยังคงมองตาของมันหวาน หัวใจเจ้ากรรมจึงเริ่มเต้นตึกตักอีกครั้งเมื่อหมอปลายไม่ยอมพูดแต่กลับเคลื่อนใบหน้ามาใกล้และจบลงที่จูบหน้าผากมันหวานอย่างแผ่วเบา
“นอนได้แล้วนะ”
“...”
“ฝันดีครับ”
น้ำเสียงของหมอปลายสำหรับมันหวานตอนนี้ช่างชวนฝัน เด็กน้อยยังคงรับรู้ถึงความอุ่นจางๆจากหน้าผากของตัวเอง ลมหายใจอุ่นๆของหมอปลายยังคงมีสัมผัสบางๆอยู่ที่ปลายจมูกของมันหวาน ทั้งที่คุณหมอได้ละจูบฝันดีไปสักพักแล้ว
“หมอปลายจ๋า” เอ่ยเรียกคุณหมอเสียงแผ่วก่อนที่ความมืดจะเข้าแทนที่ความสว่างของโคมไฟเมื่อหมอปลายปิดมันลง
ความมืดผสานกับความเงียบแต่ไม่ได้สร้างความน่ากลัวให้มันหวานเลยสักนิด มันหวานรู้ว่าต่อให้ตรงนี้จะมืดมากกว่าที่เป็น แต่ตัวเองจะปลอดภัยเพราะมีหมอปลายเมฆอยู่ข้างๆ
“หื้ม” เพราะว่ามันเงียบมันหวานถึงได้ยินเสียงแผ่วเบาของหมอปลายได้อย่างชัดเจน
“มือของหมอปลายอยู่ไหนหรอจ๊ะ มันหวานขอนอนจับมือหมอปลายได้ไหม”
มันหวานไม่ได้หวังขนาดที่จะขอนอนกอดคุณหมอในค่ำคืนนี้ มันหวานรู้ว่าที่มาขอนอนด้วยก็มากพอแล้ว แต่มันหวานก็เหมือนเด็กโลภที่ขอเติมความอบอุ่นให้กับตัวเองอีกสักนิดด้วยการขอนอนจับมือคุณหมอไปตลอดทั้งคืนนี้
หมอปลายเมฆไม่ได้เอ่ยตอบอะไร เขาเพียงแค่ควานหามือเล็กของอีกคนมากุม ความนุ่มของมือเล็กๆคือสัมผัสที่ปลายเมฆกำลังครอบครอง มือเล็กนั้นเย็บเฉียบอาจจะเพราะแอร์ที่เปิดหรืออาจจะเพราะปฏิกิริยาที่เกิดระหว่างเขาทั้งสอง
“ฝันดีนะจ๊ะหมอปลายของมันหวาน” เอ่ยท่ามกลางความมืดและความเงียบ สายตามันหวานพอเห็นโครงหน้าลางๆของหมอปลายและเห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังขยับยิ้ม คนตัวโตไม่ได้พูดอะไรแต่กลับบีบมือมันหวานตอบเบาๆและปิดเปลือกตาลง
มันหวานคิดว่าคืนนี้คงเป็นคืนที่มันหวานฝันหวานที่สุดเลยล่ะ
และมันคงจะดีไม่น้อยหากมันหวานได้ฝันหวานแบบนี้ไปทุกๆคืน
เจ็ดโมงครึ่งของวันอาทิตย์ มันหวานเป็นคนที่ตื่นขึ้นมาก่อน และเขานึกขอบคุณความไม่ขี้เซาของตัวเองในวันนี้ เพราะการที่ได้ตื่นนอนก่อนคนข้างกายทำให้มันหวานได้มองหน้าหมอปลายได้อย่างเต็มตาโดยไม่ต้องห่วงว่าจะถูกจับได้
มือของเขาทั้งสองหลุดออกจากกันไปแล้วเพราะมันหวานคงจะเผลอเปลี่ยนท่านอนจึงทำให้ไม่สามารถนอนจับมืออุ่นๆของหมอปลายได้จนถึงเช้า
คนตัวเล็กนอนตะแคงข้างหัวก็หนุนแขนของตัวเอง สายตาเฝ้ามองใบหน้าแสนสมบูรณ์แบบของคนที่กำลังหลับสนิท มันหวานคิดว่าครั้งนี้คงไม่ถูกหมอปลายจับได้ว่าแอบเป็นเด็กชอบถ้ำมอง เพราะแผ่นอกของหมอปลายแสดงจังหวะการหายใจที่สม่ำเสมอ หมอปลายคงจะเหนื่อยสะสมถึงได้นอนตื่นสายแบบนี้แถมยังปิดเครื่องโทรศัพท์ตัดการรบกวนอีกต่างหาก
“น่ารักจัง”
เขาพึมพรำเมื่อได้ยินเสียงกรนเบาๆจากคนตัวโต คงจะหลับลึกจริงๆสินะ คงจะเหนื่อยมากเลยเพราะนั้นมันหวานจะปล่อยให้หมอปลายนอนจนอิ่มไปเลยแล้วกัน
แอบมองคนหลับจนพอใจมันหวานก็ค่อยๆย้ายตัวเองออกจากที่นอนแต่ก่อนจะลุกออกจากเตียงก็ไม่ลืมกระชับผ้าห่มให้คนตัวสูงและปรับแอร์ให้อยู่ในอุณหภูมิพอเหมาะ มันหวานเดินไปเลื่อนผ้าม่านให้ปิดบังแสงแดดมากขึ้นเพื่อไม่ให้แสงของดวงอาทิตย์เล็ดลอดมารบกวนคนที่กำลังเที่ยวอยู่ในโลกของความฝัน
ใช้เวลาอาบน้ำไม่นานจากนั้นก็เตรียมมื้อเช้าให้กับตัวเองและหมอปลาย มันหวานคิดว่าหลังจากออกไปรดน้ำให้ผักนอกระเบียงแล้วจะไปปลุกหมอปลายต่อเพราะคุณหมอยังคงต้องกินยาหลังอาหาร
“ฮืมมมมม”
เด็กน้อยฮัมเพลงไปด้วยรดน้ำยอดอ่อนทานตะวันในกระบะไปด้วย ถั่วงอกพรุ่งนี้ก็เก็บมาผัดกินได้แล้วแต่ยอดอ่อนทานตะวันอาจจะต้องรอสองสามวัน ตอนนี้กำลังขึ้นยอดสวยมันหวานคิดว่ามันคงต้องให้รสอร่อยๆกับหมอปลายแน่ๆ
มันหวานน่ะ เดี๋ยวนี้อะไรๆก็หมอปลายเมฆไปหมดทุกอย่างแล้ว
“มันหวาน”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นแบบไม่ให้สุ่มให้เสียงทำเอาเด็กขวัญอ่อนสะดุ้ง มันหวานหันไปมองข้างหลังก่อนจะพบว่าคนตัวสูงกำลังหนีบไม้ค้ำพยุงและเดินมาหากัน มือเล็กรีบวางขวดน้ำลงและตรงไปประคองคุณหมอทันที
“หมอปลายทำไมไม่เรียกมันหวานล่ะจ๊ะ เดี๋ยวเกิดล้มขึ้นมาทำยังไง”
เด็กตัวจ้อยเอ่ยดุคนแก่กว่าแต่เหมือนหมอปลายจะไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิดเพระคนขี้แกล้งกำลังทิ้งน้ำหนักตัวเองให้มันหวานต้องออกแรงพยุงมากกว่าเดิม
“อยากออกมาสูดอากาศบ้างไม่ได้หรือไง นี่ก็ห้องฉันนะ”
คุณหมอลอยหน้าลอยตาเอ่ยท้วงสิทธิ์ แขนก็ตวัดโอบไหล่ของเด็กตัวหอมที่กำลังพยุงไปยังหน้าระเบียง สายลมยามเช้าโชยมาเบาๆทำให้คนเจ็บรู้สึกดีขึ้นกว่าอุดอู้อยู่แต่ในห้องเป็นไหนๆ
“แต่หมอปลายยังเจ็บเท้าอยู่เลย” บางคนเอ่ยแย้ง
“ไม่ได้มากเท่าตอนแรกแล้ว นี่ก็เดินไปแปรงฟันเองได้แล้วนะ”
คุณหมออธิบายก่อนจะละมือออกจากไหล่แคบของอีกคนมาเป็นจับราวระเบียงพยุงตัวเองไว้ ปลายเมฆมองเด็กหน้าขาวที่กลับมารดน้ำให้ผักของตัวเองต่อก่อนจะยิ้มออกมา
ปลายเมฆชอบที่ได้เห็นมันหวานทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ
“คุณหมอนี่อวดเก่งจริงๆเลยนะจ๊ะคุณถั่วงอก”
เด็กแครอทแสร้งเอ่ยคุยกับกระบะถั่วงอก เสียงใสเจื้อยแจ้วนั้นกำลังทำให้ปลายเมฆรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทั้งที่กำลังถูกเด็กน้อยพูดประชดใส่
“ถ้าล้มไปนะมันหวานจะขำให้ฟันหักเล๊ยย”
“จะขำหรือจะร้องไห้กันแน่”
ปลายเมฆถามเย้า เขารู้ว่าเด็กที่กำลังปากเก่งอยู่เนี่ยแค่แกล้งหกล้มก็คงจะรีบผลิตน้ำตาออกมาไม่ขาดสายเลยล่ะ
“ไม่รู้จ่ะ มันหวานไม่ตอบ”
มันหวานทำเป็นมึนไม่ตอบคำถามที่ทำเป็นรู้ใจของหมอปลายเมฆ แน่ล่ะถ้าหมอปลายเจ็บอีกมันหวานก็คงร้องไห้ก่อนเป็นอย่างแรก
“เด็กอะไรขี้โกง”
ปลายเมฆยีผมเด็กตัวน้อยเบาๆ เขามองเสี้ยวหน้าของเด็กแครอทที่ตอนนี้แก้มกำลังบ่มสีแดงอ่อนๆ ไม่รู้เพราะแสงอาทิตย์ที่กระทบหรือเพราะกำลังเขินที่หาทางเถียงกันไม่ได้กันแน่
คุณหมอทอดสายตามองเด็กข้างกายที่กำลังทำเป็นรดน้ำยอดอ่อนทานตะวันอย่างตั้งใจก่อนที่ปลายเมฆจะค่อยๆขยับกายเลื่อนฝ่ามือข้างที่ไม่ได้พันแผลของตัวเองทาบลงที่มือเล็กข้างขวาที่กำลังจับขวดน้ำอยู่ มันหวานสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ค่อยๆกระเพกขามายืนซ้อนข้างหลังทั้งที่มือก็ยังไม่เลิกจับกัน
“หมอปลายทำอะไรจ๊ะ..”
“ช่วยรดน้ำยอดอ่อนทานตะวันไง”
คุณหมอว่าพลางยืนแนบแผ่นหลังแคบของคนตัวบาง แขนข้างซ้ายกำลังโอบกอดเอวมันหวานจากด้านหลังก่อนจะแกล้งเนียนเอาคางแหลมๆของตัวเองเกยไว้ที่ไหล่ของคนตัวหอม มือข้างที่จับขวดน้ำด้วยกันก็ทำเป็นรดน้ำไปด้วยทั้งที่สายตาปลายเมฆตอนนี้จดจ้องอยู่ที่แค่ที่เดียว ..นั่นคือแก้มนุ่มนิ่มที่เคยพิสูจน์มาแล้วว่ามันหอมจริงๆ
“มะ..หมอปลายจะฆ่ามันหวานหรอจ๊ะ”
เสียงใสนั้นกระท่อนกระแท่น มันหวานรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังกระเด้งกระดอนไปทั่วแผ่นอก
“ทำไมถึงเรียกแทนไทว่าพี่ได้” อยู่ดีๆคุณหมอก็เอ่ยเรื่องที่ไม่สัมพันธ์กับสถานการณ์ตอนนี้เลยสักนิด
“หมอปลายว่าอะไรนะจ๊ะ?”
“กับแทนไทเรียกพี่แทน แต่กลับฉันไม่เห็นเรียกพี่”
มันหวานแอบเกร็งเมื่อคุณหมอกระชับเอวตัวเองมั่นขึ้น แถมใบหน้าของเขาทั้งคู่ก็เริ่มใกล้กันมากขึ้นเช่นกัน
มือเล็กสั่นจนรดน้ำต่อไม่ถูก เด็กน้อยจึงปล่อยให้คนตัวสูงหยิบขวดน้ำออกจากมือและวางมันไว้ จึงกลายเป็นว่ามือทั้งสองข้างของหมอปลายกำลังผสานกันอยู่ที่หน้าท้องของมันหวาน
มันหวานเพิ่งรู้ว่ามีหัวใจเต้นที่พุงของตัวเองด้วย
“มะ..มันหวานเคยเรียกหมอปลายว่าพี่ไปครั้งหนึ่งไงจ๊ะตอนอยู่บ้านนอก”
“มันนานแล้ว ใครจะจำได้”
ปลายเมฆโกหก ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่ามันหวานเคยเรียกเขาว่าพี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่นั่นมันก็แค่ครั้งเดียวที่ผ่านมานานแล้วไม่ใช่หรอกหรือ
“แล้วหมอปลายจะให้มันหวานทำยังไงล่ะจ๊ะ”
มันหวานเริ่มรู้สึกว่ามือของตัวเองกำลังเกะกะ เด็กน้อยไม่รู้จะเอามือของตัวเองไว้ตรงไหนแต่ในจังหวะที่กำลังจะหาที่พักมือ ฝ่ามือหนาข้างขวาของคนด้านหลังก็จับมือมันหวานไปกุมและรวบเข้าไปผสานไว้ที่หน้าท้องของมันหวาน
กลายเป็นว่าหมอปลายกอดทั้งเอวมันหวานและกอดทั้งมือของมันหวานในตอนนี้
“เรียกใหม่” คุณหมอเอ่ยพูดทั้งที่ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเด็กในอ้อมกอดจะละลายกองไปกับพื้นอยู่แล้ว
“เรียกว่าอะไรจ๊ะหมอปลาย” เด็กชายเอ่ยถามอย่างใสซื่อ เพราะไม่รู้จริงๆว่าต้องเรียกแบบไหนถึงจะถูกใจคุณหมอเขา
“ลองเรียกดูก่อน” ปลายเมฆขยับใบหน้าเข้าใกล้เด็กตัวหอมมากขึ้นจนรับรู้ได้ถึงความเกร็งของอีกฝ่าย
แต่ช่วยไม่ได้เช้านี้ไม่มีอะไรหอมเท่าแก้มของมันหวานอีกแล้วล่ะ
“พี่ปลายเมฆหรอจ๊ะ?”
“ยาวไป”
“พี่ปลาย?”
“เหมือนผู้หญิง”
“พี่เมฆ?”
“คนอื่นเรียกเยอะแยะ”
คุณหมอยังคงเอ่ยขัดและเด็กน้อยเริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อปลายจมูกของคนแก่กว่ากำลังสัมผัสอยู่ที่แก้มกลมๆของตัวเอง
“หมอเมฆ?”
“คนไข้จองแล้ว”
“หมอปลาย?”
“อันนี้มีแต่เธอที่เรียก แต่อยากได้ยินอย่างอื่นบ้าง”
คุณหมอกำลังเอาแต่ใจแล้วอย่างนี้
มันหวานครุ่นคิดแม้ระบบความคิดกำลังจะเออเร่อเพราะลมหายใจแสนอุ่นของหมอปลายกำลังปั่นป่วนเหลือเกิน
“พี่..”
“หื้ม?”
“พี่หมอ..”
มันหวานนิ่งรอฟังความเห็นจากอีกคน แต่หมอปลายกลับเงียบไปเป็นนาทีจนมันหวานต้องค่อยๆเอี้ยวหน้าไปมอง และนั่นเหมือนกับเป็นการฆ่าตัวตายเพราะทันทีที่หันไปปลายจมูกของมันหวานก็กระทบลงที่แก้มกร้านของหมอปลายทันที
“พี่หมอหรอ”
คุณหมอค่อยๆเอียงหน้ามองเด็กน้อยที่ดูจะค้างตะลึงไปแล้ว ไม่เข้าใจจริงๆจูบก็จูบมาแล้วทำไมกับแค่จมูกโดนแก้มของเขามันหวานจะต้องเขินจนตัวแดงขนาดนี้ก็ไม่รู้
“ไหนลองเรียกอีกที”
“...”
“เมื่อกี้มันหวานเรียกพี่ว่าอะไรนะครับ”
คุณหมอกระชับกอดเด็กน้อยมากขึ้น แกล้งมันหวานโดยการปล่อยให้ลมหายใจรินรดแก้มเนียนใส มองเด็กน้อยที่หลับตาปี๋ทันทีที่ตนแกล้งกดจมูกลงที่ก้อนแก้มนุ่มและสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
ทายสิใครกำลังจะระเบิดตัวเอง
“พะ..พี่หมอ” เสียงหวานๆนั้นช่างแสนสั่น มันหวานจะเป็นลมอยู่รอมร่อ
“ครับ พี่คือพี่หมอ”
“...”
“คำเรียกนี้พี่อนุญาตให้มันหวานเรียกคนเดียวนะ”
มันหวานว่าไม่ต้องโดดระเบียงมันหวานก็ตายได้เหมือนกัน
ตายในอ้อมกอดของพี่หมอเนี่ยแหละ…
ผ่านไปสองอาทิตย์แผลที่ข้อศอกและมือข้างซ้ายของหมอปลายเมฆเริ่มแห้งและตกสะเก็ด ส่วนข้อเท้านั้นเกือบจะหายสนิทแต่มีบ้างที่เดินแล้วยังคงเสียวแปลบๆอยู่ซึ่งหมอแทนไทแนะนำให้เพื่อนตัวเองหยุดพักต่อไปอีกสักหนึ่งอาทิตย์เพื่อความสบายใจของตน
อันที่จริงความดีความชอบนี้คงต้องยกให้มันหวานเพราะที่คุณหมอเกือบหายได้อย่างรวดเร็วแบบนี้เพราะมันหวานนั้นคอยดูแลไม่ห่าง ถึงแม้ว่าจะต้องเรียนก็ยังคงเตรียมอาหาร หยูกยาไว้ให้พร้อม คุณหมอแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากนั่งมองนาฬิกาว่าเมื่อไรหนูน้อยจะเลิกเรียนและนั่งคอยว่าเมื่อไรประตูห้องจะถูกเปิดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสเหมือนดวงตะวันนั่น
ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองเริ่มเขยิบเข้าหากันทีละนิด ระยะห่างที่เคยมีเริ่มถดถอยและเปลี่ยนเป็นความใกล้ชิดแทน ปลายเมฆไม่เคยเกียจคร้านที่ต้องตื่นไปทำงานแต่ตอนนี้เขากลับคิดว่าถ้าได้หยุดอีกสักเดือนสองเดือนก็คงจะดี อย่างน้อยเขาก็ได้มีเวลาอยู่กับมันหวานมากขึ้น
วงล้อแห่งการตกหลุมรักของปลายเมฆกำลังทำงานอีกครั้ง
ความใจอ่อนของปลายเมฆนั้นมีมากขึ้นเพราะมันหวานช่างน่ารักและแสนเอาใจ เขารู้สึกเหมือนหัวใจที่เคยบอบช้ำเริ่มจะชุ่มฉ่ำขึ้นมา เมื่อตื่นนอนก็ได้เห็นหน้าหวานๆของเด็กแครอทเป็นคนแรก ได้มีมื้ออาหารร่วมกันหรือแม้แต่คำว่าฝันดีธรรมดาๆ แต่ปลายเมฆรู้ว่าในน้ำเสียงหวานใสของมันหวานนั้นเต็มไปด้วยความพิเศษ
ปลายเมฆมีความสุขที่มีมันหวานอยู่ด้วยกันในตอนนี้
เขามีความสุข มีความสุขมากจริงๆ
วันนี้มันหวานมีเรียนแต่เช้าเด็กหนุ่มจึงออกจากคอนโดไปก่อนที่เขาจะตื่นแต่มันหวานก็เขียนโพสอิทไว้ให้รู้ว่าจะโทรมาหาตอนพักเที่ยง ปลายเมฆเองก็จะไม่อะไรถ้าหากวันนี้ไม่ใช่วันที่มันหวานต้องไปกินเลี้ยงสายพี่รหัสน้องรหัสและคงกลับมามืดด่ำ นั่นหมายความว่าคุณหมอจะได้เจอหน้าหวานๆนั้นอีกทีก็คงต้องรอไปอีกหลายชั่วโมง
ก็คงจะคิดถึงมากๆเลยล่ะคนทางนี้น่ะ
พอรู้ว่าใจตัวเองเริ่มคิดอย่างไรกับมันหวาน ปลายเมฆก็เริ่มรู้สึกว่าไม่อยากห่าง ไม่อยากให้ไปอยู่ไกลหูไกลตา เขาเป็นห่วงเพราะมันหวานยังคงเป็นเด็กในสายตาเขา กลัวว่าจะดูแลตัวเองได้ไม่ดี กลัวว่าจะถูกเอาเปรียบและกลัวว่ารุ่นพี่พวกนั้นจะดูแลคนของเขาได้ไม่ดี
แต่จะให้ไปบอกว่าห้ามไป ไม่อนุญาต ก็คงจะเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีเหตุผลไปนิด สิ่งที่ทำได้ก็คือรอจนกว่าเด็กน้อยของเขาจะกลับมา
คุณหมอเปิดประตูห้องนอนก่อนจะสาวเท้าเดินอย่างระแวดระวัง ถึงจะเกือบหายสนิทก็คงต้องค่อยๆเดินอยู่ดี ปลายเมฆตรงมายังห้องครัวที่มีอาหารเรียงรายรออยู่แล้ว คุณหมอแกะแผ่นซีนอาหารออก กับข้าวเช้านี้เป็นถั่วงอกที่มันหวานเป็นคนปลูกผัดกับเต้าหู้และแกงจืดใส่หมูสับ กาแฟดำที่อยู่ข้างกันโดยบรรจุอยู่ในขวดเก็บความร้อน ทุกความใส่ใจของมันหวานต่อให้ได้รับทุกวันก็คงไม่ชิน ปลายเมฆเพียงยิ้มให้กับอาหารตรงหน้าก่อนจะนั่งลงและจัดการมื้อเช้าในวันนี้เพียงคนเดียว
อีกสิบสองนาทีเที่ยง คุณหมอที่เอนกายนั่งดูหนังอยู่บนโซฟาเริ่มเหลือบมองหน้าจอมือถือเป็นระยะๆ พอเที่ยงมันหวานจะโทรมาและแน่นอนว่าปลายเมฆรออย่างใจจดใจจ่อ
เขาอยากได้ยินเสียงหวานๆของใครอีกคน อยากได้ยินเสียงหัวเราะแสนจะสดใสนั้นเพื่อให้วันที่อากาศร้อนอบอ้าวในวันนี้ชุ่มชื้นขึ้นมาหน่อย
Rrrrrrr
ทันทีที่เสียงเรียกเข้าดังขึ้นปลายเมฆรีบเด้งตัวคว้ามือถือมากดรับทันทีก่อนจะกรอกเสียงลงไป พยายามไม่ให้ปลายสายจับได้ว่าตัวเองน่ะรอขนาดไหน
“ครับ” เสียงนิ่งทั้งที่ปากกำลังฉีกยิ้ม
[พี่หมอ ทำอะไรอยู่เอ่ย กินข้าวหรือยังจ๊ะ]
“ดูหนัง กินแล้ว เราล่ะ” คำว่าเธอนั้นค่อยๆหายไปเหมือนกับมันหวานที่เริ่มหัดเรียกเขาว่าพี่หมอนั่นแหละ
ทั้งที่คำว่าพี่หมอมันก็แสนจะดูธรรมาดา แต่พอเป็นมันหวานเรียกใจปลายเมฆกลับรู้สึกว่ามันพิเศษ
ใครบางคนก็เป็นข้อยกเว้นจนต้องยอมรับ
[มันหวานกินแล้วจ้า กินข้าวหมูกรอบพิเศษกุนเชียงเลยน้า เพราะคิดถึงพี่หมอมากๆก็เลยกินอาหารที่พี่หมอชอบ]
ให้ตายเถอะปลายเมฆอยากจะยื่นมือเข้าไปในโทรศัพท์แล้วบีบแก้มเด็กช่างพูดจริงๆ
ไม่อยากให้ไปแล้วเลี้ยงสายอะไรนั่นน่ะ
“คิดถึงแล้วทำไมก่อนไปเรียนไม่ปลุกพี่”
[มันหวานแค่ไม่อยากกวนไงจ๊ะ แต่ว่า..]
“ว่า?”
[ก่อนมันหวานจะไปเรียนมันหวานแอบจุ๊บหน้าผากพี่หมอไปหนึ่งทีถ้วน! งึยยย เขินจัง!]
ปลายเมฆอมยิ้มเมื่อจินตนาการว่าเด็กแครอทคงกำลังบิดตัวเขินหน้าแดงปลั่งอยู่แน่ๆ มีอย่างที่ไหนมาแอบลักหลับคนอื่นแล้วก็มาสารภาพด้วยน้ำเสียงขวยเขินแบบนี้
“โดนตีดีไหม เด็กฉวยโอกาส”
[พี่หมอไม่ทำหรอกก]
“รู้ได้ไง?”
[เพราะถ้าพี่หมอตีมันหวาน มันหวานจะเจ็บ พี่หมอไม่อยากเห็นมันหวานเจ็บหรอก]
จะรู้ดีเกินไปแล้วมันหวาน
“กับข้าวอร่อยมาก”
[แหนๆ เปลี่ยนเรื่องเลยยยย ฮ่าๆๆ]
เสียงหัวเราะชอบใจของมันหวานทำให้ปลายเมฆลืมอากาศภายนอกไปหมด ลืมว่าวันนี้มันร้อนแค่ไหน ลืมไปแล้วเพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงหวานหูของอีกคน
“คืนนี้ให้ไม่เกินสองทุ่มได้ไหม”
[มันหวานไม่แน่ใจเลยพี่หมอ มันหวานก็ไม่ได้อยากไป พี่ก็รู้ว่ามันหวานอยากอยู่กับพี่นะ]
คิดว่าอยากอยู่ด้วยกันแค่ฝ่ายเดียวหรือไงล่ะ
[แต่พี่หมอไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ เตวิณก็ไปด้วย]
นั่นล่ะที่โคตรน่าหวงเลย
“ห้ามดื่มเหล้า ถ้าไปเข้าห้องน้ำกลับมาที่โต๊ะต้องเทสิ่งที่อยู่ในแก้วทิ้งแล้วขอเปลี่ยนแก้วใหม่”
[หมอปลายยยยยย]
“เพื่อความสบายใจของพี่ไงมันหวาน เราไม่รู้หรอกว่าใครแต่ละคนเป็นยังไง ยิ่งสถานที่แบบนั้น มันไม่น่าไว้ใจตั้งแต่เด็กอายุไม่ถึง20ก็เข้าได้แล้ว มีอย่างที่ไหนรับสายรหัสที่ร้านเหล้า”
[มันหวานจะดูแลตัวเองนะ]
“อย่าทำให้พี่เป็นห่วงมันหวาน”
[มันหวานรู้..]
“สามทุ่มพี่จะไปรับส่งโลเคชั่นมาให้พี่อีกที”
[แต่พี่หมอยังไม่หายดีเลยนะจ๊ะ]
“ทำตามที่พี่บอก อย่าดื้อ”
[งึยยยย ก็ได้จ้ะ พี่หมอๆ มันหวานต้องเข้าห้องเรียนแล้ว]
“ครับ ตั้งใจเรียน”
[มันหวานคิดถึงพี่หมอนะ]
“…”
[พี่หมอออ]
“พี่ก็คิดถึงมันหวานครับ”
หลังจากได้คุยกับคนเป็นน้องก็ไม่ได้ทำให้คุณหมอรู้สึกว่าความคิดถึงมันทุเลาลง มากไปกว่านั้นที่อีกฝ่ายจะต้องเข้าร้านเหล้ายิ่งทำให้เป็นห่วงมากขึ้นไปอีก
ตอนนี้เวลาเที่ยงกว่าๆ กว่ามันหวานจะเลิกเรียนก็คงจะสี่โมงเย็นและคงจะตรงไปที่ร้านเหล้านั้นทันที ซึ่งร้านเหล้าใกล้มหา’ลัยมันหวานก็มีอยู่ไม่กี่ที่ และแต่ละที่ก็มีแต่เด็กวัยรุ่นมั่วสุม ปลายเมฆไม่คิดว่าเขาจะหัวโบราณเกินไปเพราะเขาก็เคยอยู่ในช่วงเข้าร้านเหล้า เข้าผับ แต่เพราะว่าในวันนี้เป็นมันหวานที่ต้องไปที่ๆแบบนั้นมันยิ่งทำให้เขาเป็นห่วง
และยิ่งไปกับเตวิณ เด็กคนนั้นที่เขาไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น นั่นยิ่งทำให้ความเป็นห่วงพุ่งสูงขึ้นไปหลายเท่า
บางทีการรออยู่ที่ห้องอย่างเดียวคงจะไม่ช่วยอะไร หากเขาไปแอบไปดูเด็กปีหนึ่งแสนดื้อรั้นสักหน่อยคงไม่มีใครเดือดร้อนหรอกมั้ง
สี่โมงเย็นเศษ ปลายเมฆกับชุดเตรียมออกไปข้างนอก วันนี้เขาคิดว่าการพลางตัวที่ดีต้องใส่เสื้อสีทึบ เพราะแบบนั้นแล้วเชิ้ตคอปกพับแขนถึงข้อศอกกับกางเกงยีนส์สีเดียวกันเสริมความขาดเข่าก็ดูดีไม่หยอก รองเท้าผ้าใบสีดำสนิทคู่โปรดโดยที่ข้อเท้าก็พันผ้ายึดไว้อีกที
ปลายเมฆหยิบนาฬิกา rolex gmt master ii มาสวมใส่ข้อมือซ้ายก่อนจะคว้าหมวก MLB สีเดียวกับโทนเสื้อมาใส่ บางทีเขาก็รู้สึกว่าตัวเองคลุมโทนมืดมนเกินไปหรือเปล่า แต่เนี่ยแหละเพื่อความกลมกลืนกับแสงสีในผับ
คุณหมอคว้ากระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์และกุญแจรถ(ที่แทนไทเอามาจอดไว้ให้ที่คอนโด)ออกจากห้องและเดินตรงดิ่งไปยังลิฟต์เพื่อไปยังลานจอดรถทันที มือก็กดโทรศัพท์พิมพ์ข้อความเตือนคนตัวเล็กให้ส่งโลเคชั่นมาให้อีกที
คุณหมอสอดตัวเข้าไปในรถก่อนจะคว้าเข็มขัดมาคาดเพื่อความปลอดภัย รอไม่นานเด็กน้อยก็ส่งโลเคชันมาให้พร้อมกับข้อความย้ำเตือนว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่มันหวานคงจะไม่รู้ว่าตอนนี้คุณหมอออกรถและเตรียมไปยังร้านเหล้าแล้วในตอนนี้
ใช้เวลาไม่นานรถของคุณหมอตัวสูงก็จอดสนิทที่ลานจอดรถหน้าร้านเหล้า ตอนนี้ท้องฟ้ายังสว่างปลายเมฆคิดว่าเขาคงต้องรอสักหกโมงครึ่งค่อยเข้าไปข้างในจะดีกว่า
แต่เขาก็แอบไม่เข้าใจว่าสมัยนี้ร้านเหล้าเปิดกันตั้งแต่หัววันเลยหรือไง
คุณหมอเปิดกระจกรถก่อนจะดับเครื่องยนต์นั่งมองคนเดินเข้าร้านเหล้าตรงหน้า ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเพราะมีแต่พวกนักศึกษาทั้งนั้น
ต่อให้คิดอีกเป็นร้อยรอบมันหวานก็ไม่เหมาะกับสถานที่แบบนี้ แต่คนตัวเล็กก็คงจะเอ่ยขัดอะไรไม่ได้หากมันเป็นความต้องการของสายรหัส
สิ่งที่เขาอาจจะทำได้ตอนนี้คือเข้าไปในนั้น หามันหวานให้เจอและคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่อย่างห่างๆ
หกโมงสี่สิบ ปลายเมฆถึงได้ลงจากรถก่อนจะเดินเข้าไปยังร้านเหล้านั่น ทันทีที่เข้าไปสายตาหลายคู่ก็จดจ้องมาที่เขาจนต้องเอามือดึงปีกหมวกให้บังใบหน้า มันคงจะไม่ดีถ้าตกเป็นเป้าสายตาจนโดนมันหวานจับได้ว่าแอบมาเฝ้าแบบนี้
คุณหมอเดินแหวกผู้คนทั้งชายและหญิงสอดส่องสายตาฝ่าแสงสีมากมายหาเด็กตัวหอมของเขาก่อนจะเจอว่านั่งอยู่ตรงมุมร้านกับกลุ่มคนขนาดใหญ่ที่มีทั้งชายหญิงไม่ต่ำกว่าสิบคน และนั่นมันหวานนั่งอยู่ตรงนั้นข้างๆกับเด็กที่ชื่อเตวิณ
ปลายเมฆเลือกนั่งที่ที่จะสามารถมองเห็นมันหวานได้อย่างถนัดสายตา เขาสั่งเครื่องดื่มอ่อนๆมาดื่มคั่นเวลาและรอจนกว่าจะถึงสามทุ่มเพื่อจะได้ไปรับลูกกระต่ายบ้านออกมาจากกลุ่มหมาป่าที่ไม่น่าไว้ใจพวกนั้น โดยเฉพาะหมาป่าตัวใหญ่ผิวสีแทนที่นั่งเบียดมันหวานเหมือนพื้นที่มันเหลือให้นั่งแค่นั้น
หงุดหงิด ปลายเมฆหงุดหงิด
เสียงเพลงจังหวะหนักๆไม่ได้ทำให้ปลายเมฆรู้สึกสนุกไปด้วย อาจจะเพราะเขาห่างหายจากวงการนี้มาหลายปีแล้วถึงไม่รู้สึกอินกับมันเสียเท่าไรแต่คงไม่ใช่กับแทนไท ถ้าโทรไปบอกว่าอยู่ที่ร้านเหล้าเพื่อนบ้านั่นคงจะขอแลกเวรกับหมอสักคนและตรงดิ่งมาที่นี่ทันที
ยิ่งค่ำคนยิ่งเยอะ คนเดินผ่านไปมายิ่งทำให้เวียนหัวแต่คุณหมอก็ยังคงปล่อยเรื่องน่ารำคาญนั้นผ่านไปและมองเด็กน้อยที่นั่งยิ้มร่าอยู่กับคนในกลุ่ม มันหวานยังคงไม่ดื่มเหล้าตามที่เขาสั่งไว้ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจ
มันหวานเป็นเด็กดีของเขาเสมอนั่นแหละ
น่ารักน้อยซะที่ไหนล่ะเด็กคนนั้นน่ะ
“มาคนเดียวหรอคะ”
น้ำเสียงแหลมบาดหูของเจ้าของประโยคเมื่อครู่ทำให้ปลายเมฆต้องละสายตาจากมันหวานไปมอง เธอผู้ซึ่งสวมเสื้อเกาะอกสีน้ำเงินกำมะหยี่ที่ดูรัดแน่นจนเห็นทรวดทรงทั้งหลาย ความยาวของชุดก็แทบจะปิดเนื้อหนังแทบไม่หมด ในมือของเธอมีแก้วเหล้าที่ดูไม่เหมาะสมกับผู้หญิงที่อายุคงไม่บรรลุ20เลยสักนิด
ปลายเมฆไม่ได้ตอบเขาเพียงพยักหน้าอย่างขอไปที ปกติเขาไม่ใช่ผู้ชายไร้มารยาทแต่ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องให้ความสนใจมีเพียงแค่มันหวานเท่านั้น
จะคลาดสายตาไม่ได้เด็ดขาด
“ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ”
“ครับ” ปลายเมฆตอบรับก่อนจะหยิบเครื่องดื่มขึ้นมาจิบและไม่ได้สนใจเธออีก
“ข้าวหอมนะคะ พี่..” เธอเอ่ยแนะนำตัวก่อนจะเว้นช่วง “ชื่ออะไรหรอคะ”
“เมฆครับ” ถึงจะไม่อยากมีบทสนทนากับคนแปลกหน้านักแต่เขาก็ควรจะตอบตามมารยาทอยู่ดี
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่เมฆ”
“ครับ” คุณหมอตอบรับก่อนจะถอดหมวกออกจากศีรษะตัวเองและวางไว้บนโต๊ะ ฝ่ามือหนาเสยผมสีเข้มของตัวเองลวกๆ และปลายเมฆคงจะไม่รู้ว่าการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจนั้นกำลังทำให้หญิงสาวที่กำลังนั่งร่วมโต๊ะรวมถึงสาวๆทั้งหลายที่แอบมองกำลังใจสั่น
หญิงสาวชุดสีน้ำเงินนั่งไขว่ห้างเท้าคางมองผู้ชายตรงหน้าที่ดูมีเสน่ห์เหลือร้ายจนเธอต้องย่างกายเข้าหา ดูเขาจะเป็นผู้ชายลุคเย็นชาแบบนิยายชวนฝันและนั่นทำให้เธอรู้สึกสนใจเขาเป็นพิเศษในค่ำคืนนี้ แต่สายตาแสนคมกริบนั้นกลับมองไปยังทิศทางเดียวที่มีกลุ่มนักศึกษานั่งอยู่และเธอเดาไม่ถูกหรอกว่าคนไหนกันแน่ที่ผู้ชายคนนี้เอาแต่จ้องมอง
“เหล้าพี่หมดแล้ว ข้าวหอมเติมให้นะคะ” เธอเสนอก่อนจะหยิบขวดเหล้าที่ตั้งไว้ข้างๆรินใส่แก้วให้ชายหนุ่มแต่เขากลับไม่เอ่ยพูดหรือปลายตามองเธอเลยสักนิด “นี่ค่ะพี่เมฆ”
“ขอบคุณครับ” ปลายเมฆยอมละสายตาจากมันหวานมามองเธอก่อนจะรับแก้วเครื่องดื่มมา แต่เขาไม่ได้ดื่มมัน เพียงแค่รับมาและวางมันไว้ที่โต๊ะเช่นเดิม
ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาต้องสนใจมากไปกว่าการที่มันหวานกำลังขัดคำสั่งเขาและกำลังยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
“เด็กดื้อ” คุณหมอพูดออกมาเบาๆ และคงไม่มีใครได้ยินนอกจากตัวเขาเอง
ปลายเมฆไม่ได้ฟังว่าหญิงสาวหุ่นดีข้างๆกำลังพร่ำอะไร เพราะสายตาเขาถูกล็อคไปยังเด็กน้อยที่กำลังดื่มเหล้าแก้วที่สองและแขนของเตวิณที่กำลังพาดอยู่ที่ไหล่ของมันหวาน
ปลายเมฆไม่แน่ใจว่าความอดทนของเขามันจะมีขีดจำกัดที่เท่าไร เขาเพียงแค่รอเวลาสามทุ่มและสาบานได้เลยว่าเขาจะสั่งสอนเด็กดื้อที่ชอบขัดคำสั่งและคนที่ฉวยโอกาสอย่างเตวิณแน่นอน
“พี่คะ พี่เมฆ”
ท่อนแขนขวาของคุณหมอถูกสะกิดด้วยเรียวนิ้วที่เล็บแต่งแต้มสีแดงสด ปลายเมฆหันไปหาพร้อมกับคิ้วที่ขมวดกันแน่น ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดีและคงจะไร้มารยาทแน่ๆหากเขาสาดอารมณ์กรุ่นๆนี้ใส่ผู้หญิง แต่ขอล่ะเลิกวอแวกับเขาเสียที
“ขอโทษนะครับ แต่อย่าเสียเวลากับผมเลย”
เขาบอกแค่นั้นและหวังว่าเธอจะเข้าใจ ปลายเมฆไม่รอมองว่าเธอจะแสดงสีหน้ายังไงกลับมา เขาทำเพียงแค่คว้าขวดเหล้าขึ้นมากระดกดื่มและปล่อยให้หางตาจับภาพว่าสาวชุดน้ำเงินลุกออกไปจากโต๊ะเขาเรียบร้อยแล้ว
สองทุ่มสี่สิบสาม และอีกไม่กี่นาทีปลายเมฆจะไปพาตัวเด็กน้อยที่กำลังหน้าแดงปลั่งเพราะกำลังเมาออกมา มันหวานผิดคำพูดและตอนนี้เด็กน้อยไม่น่ารักเอาเสียเลย ปล่อยให้พวกผู้ชายคนอื่นรินเหล้าให้และกระดกดื่มอย่างไม่ยั้ง ปล่อยให้เตวิณย่ามใจจนโอบเข้าที่เอวและไม่คิดจะปัดแขนนั้นออก
คุณหมอไม่รอช้า เขาตามเข้าไปก่อนจะดึงคนตัวเล็กเข้าหาตัวโดยที่คนทั้งสองไม่ได้ทันตั้งตัวเลยสักนิด คนอื่นที่อยู่ในห้องน้ำก็ต่างพากันเดินออกไปเพราะคิดว่าคงจะมีเรื่อง
“เห้ย ! ทำไรของแกว--” ประโยคท้ายแผ่วลงเมื่อเตวิณเห็นว่าเป็นใครที่เข้ามาดึงมันหวานออกไปจากการประคองของตน
“แล้วคุณคิดจะทำอะไร?” คุณหมอเอ่ยถามเสียงเย็น แขนก็ประคองเด็กตัวน้อยที่กลิ่นตัวหอมๆเปลี่ยนเป็นกลิ่นเหล้า มันหวานแทบจะไม่มีสติ งึมงำอะไรที่เขาจับใจความไม่ถูก แรงจะยืนเองยังแทบจะไม่มี
มันน่าหยิกแก้มให้เขียวชะมัด
“ผมพามันหวานมาล้างหน้า คุณมาได้ไง” เตวิณเอ่ยอธิบายเมื่อตั้งสติได้ และถ้าเดาไม่ผิดคุณหมอเชิ้ตดำนี่คงจะคิดว่าเขาพามันหวานมาทำอะไรไม่ดีแหงๆ
ให้ตายดิวะหน้าเตวิณคนนี้เหมือนคนชั่วนักหรือไง?
“แน่ใจ?” ปลายเมฆถามกลับ
“นี่คุณหมอครับ ผมไม่ได้เลวแบบที่คุณคิด มันหวานเป็นเพื่อนผม”
“เพื่อนเขาไม่โอบไหล่โอบเอวกันหรอกครับ”
ปลายเมฆสวนกลับกับสิ่งที่ได้เห็นมาและนั่นทำเอาเตวิณถึงกับเงียบ เพราะตนได้ทำให้สิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาจริงๆ แต่แล้วยังไงล่ะ ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรไม่ใช่หรอ มันหวานก็ดูไม่ได้ว่าอะไรด้วยซ้ำ
หรือบางทีมันหวานก็แค่ไม่รู้ตัว
“ผมจะพาคนของผมกลับ”
คุณหมอจ้องตากับเด็กหนุ่มตรงหน้า ปลายเมฆไม่ใช่คนชอบหาเรื่องใครแต่ถ้าเตวิณยังคงจะตีมึนดึงรั้นให้มันหวานอยู่ทั้งที่ก็เห็นว่าเด็กหน้าหวานเมาจนไม่มีสติหลงเหลือแล้วแบบนี้ ถ้ายังคงวอแวดึงดัน ปลายเมฆคิดว่าต่อให้ข้อเท้าเขายังไม่หายดีแต่ถ้าต้องใช้วิธีลูกผู้ชายคุยกันเขาก็จะทำ
หมายถึงต่อยกันนั่นแหละ
“แต่มันหวานมากับผม ผมรับปากไปแล้วว่าจะไปส่งเขาคืนนี้”
เตวิณยังคงไม่ยอมแพ้ เขามองคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของคนอายุมากกว่า เสียงหวานใสนั้นงึมงำจับใจความไม่รู้เรื่องแต่เตวิณกลับอ่านปากมันหวานออกหมอปลายนั่นคือสิ่งที่คนตัวเล็กพึมพรำตั้งแต่เริ่มเมา
“งั้นมันหวานคงไม่ได้บอกคุณว่าผมจะมารับเขากลับคืนนี้เช่นกัน”
อย่าคิดว่าปลายเมฆจะยอมแพ้ มันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอกในค่ำคืนนี้
“หมอปลายหรอ..”
ท่ามกลางสงครามเย็นของผู้ชายตัวโตสองคน เสียงหวานๆที่งอแงนั้นก็ดังขึ้นมา ปลายเมฆหลุบตามองเด็กในอ้อมแขน เขากระชับกอดประคองมันหวานมั่นขึ้นก่อนจะส่งฝ่ามือเสยผมหน้าม้าชื้นเหงื่อของเด็กน้อย มันหวานคงจะร้อนมากและเขาไม่ควรจะปล่อยให้เด็กดื้ออุดอู้อยู่ในห้องน้ำแบบนี้
“พี่จะพาเรากลับห้องนะ”
เอ่ยบอกเสียงอ่อน ลูบแก้มแดงแจ๋ของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลก่อนจะตวัดสายตามองเด็กหนุ่มอีกคนที่มองการกระทำของพวกเขาอยู่แทบไม่ละสายตา
“คุณเป็นอะไรกับมันหวาน มีสิทธิ์อะไรมาพาเขาไป”
เตวิณไม่รู้ว่าที่ได้พร่ำออกไปนั่นเพราะกำลังเมาด้วยส่วนหนึ่งหรือเพราะอาการหึงที่กำลังก่อตัวขึ้นกันแน่ เขาเพียงรู้แค่ว่าตัวเองไม่อยากเป็นฝ่ายแพ้ในคืนนี้ มันหวานมากับเขาเพราะนั้นคนตัวเล็กก็ต้องกลับกับเขาไม่ใช่หรอกหรือ
ถึงแม้ในใจเตวิณจะรู้ดีว่าถ้ามันหวานมีสติคนที่มันหวานเลือกจะไปด้วยก็คงเป็นคุณหมอตรงหน้า คงเป็นคนที่มันหวานเลิกเรียนและไปหาทุกเย็น
คนที่ยังไงก็ไม่ใช่เขา
ปลายเมฆแค่นยิ้มเมื่อเจอคำถามของคนเด็กกว่า คุณหมอมองแววตาแข็งกร้าวของเตวิณ แววตาที่ประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาทั้งคู่กำลังเป็นศัตรูต่อกัน
ศัตรูหัวใจเสียด้วยสิ
“แน่ใจหรอครับ? กับคำถามที่ถามออกมา”
“...”
เตวิณไม่ได้ตอบเขาเพียงนิ่งรอ รอว่าอีกคนจะใช้คำพูดใดเพื่อเอาชนะเขาในคืนนี้
“ผมเป็นอะไรกับมันหวาน ผมมีสิทธิ์อะไรในตัวเขา”
“…”
“ผมว่าคุณคงไม่อยากได้ยินมันหรอก เตวิณ”
หรือไม่บางทีเตวิณอาจจะรู้ดีอยู่แล้ว เพียงแค่เขายังไม่อยากยอมรับก็เท่านั้น
ความพ่ายแพ้ของเตวิณในครั้งแรกคือที่โรงพยาบาล วันที่มันหวานร้องไห้ต่อหน้าเขาเพราะผู้ชายตรงหน้าบาดเจ็บ
และครั้งที่สองคืนตอนนี้ ครั้งนี้ที่เขาก็ยังคงพ่ายแพ้ให้กับหมอปลายเมฆเหมือนอย่างเคย
ประโยคเน่าๆที่ใครบางคนเคยบอกว่า เราไม่อาจจะเอาชนะหัวใจของคนที่มีใครในใจอยู่แล้วได้หรอก นั่นมันคงจะเป็นเรื่องจริงที่เตวิณอาจจะต้องยอมรับ
#มันหวานปลายเมฆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

งือออออเขินอ่ะทำไมน่ารักแล้วก็อบอุ่นแบบนี้อุ้ยยยชอบหมอปลายกำลังแสดงความเป็นเจ้าของมันหวานจังแงงงชอบๆๆๆๆๆรอนะคะสู้ๆน๊าาา
เขิลแบบกรุบๆๆ ขอมาม่านิดเดียวน้าา