ตอนที่ 11 : เหนือปลายเมฆ ☆ X
ความชอบของผมมันไม่ได้มีขนาดยิ่งใหญ่ มันมีเพียงเท่าขนาดแค่คุณ
แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามากระทบกับซีกหน้าของคุณหมอตัวสูงที่กำลังหลับตาสนิท ปลายเมฆรู้สึกว่าเวลาพักผ่อนมักจะผ่านไปเร็วเสมอ จำได้เหมือนตัวเองเพิ่งหลับตานอนไปเองแต่รู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาต้องเตรียมตัวไปทำงานเหมือนอย่างเคย
คุณหมอหนุ่มยกมือบังแสงแดดที่เอาแต่รบกวนจนต้องตื่น นี่เขาคงลืมปิดม่านตรงระเบียงห้องนอนอีกแล้ว หน้าตาคุณหมอตอนนี้งัวเงียขั้นสุด ผมเผ้ายุ่งเหยิงหมดมาดคุณหมอแสนเนี้ยบของโรงพยาบาล
ชายหนุ่มสลัดผ้าห่มออกจากตัว บิดตัวซ้ายขวา พลางนั่งตั้งสติอีกเพียงนิด เสียงกุกกักจากด้านนอกคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเด็กแครอทที่กำลังเตรียมตัวไปมหา'ลัยเพราะเป็นการเปิดเรียนวันแรก
ปลายเมฆใช้เวลาในการจัดการตัวเองไม่นานนัก หลังจากสำรวจความเรียบร้อยเสร็จก็ถือกระเป๋าเอกสารติดมือออกมาจากห้อง ก่อนจะเจอเด็กน้อยที่ยืนอยู่ตรงโซฟาตัวยาว ใบหน้าหวานนั้นติดหงุดหงิดและมือขาวๆที่กำลังง่วงอยู่กับการผูกเนคไท
เขายืนมองคนเด็กกว่านิ่งๆและเลือกที่จะไม่เดินไปหาในตอนนี้ คุณหมอมองนักศึกษาปีหนึ่งในชุดสีขาวแสบตาแสนถูกระเบียบ กางเกงขายาวสีดำและถุงเท้าสีขาว ทรงผมสีอ่อนที่ยุ่งเหยิงนิดหน่อยพร้อมกับเสียงงึมงำที่จับใจความไม่ถูก รู้แค่ว่ามันหวานกำลังทะเลาะกับเนคไทตัวเอง
“อรุณสวัสดิ์” คุณหมอยืนมองจนพอใจจึงเดินเข้าไปหาพร้อมคำทักทาย เด็กน้อยละสายตาจากเนคไทของตัวเองมามองหน้ากัน และรอยยิ้มหวานๆคือสิ่งช่วยขับให้เช้างงๆของปลายเมฆในวันนี้สดใส
“มอร์นิ่งจ่ะหมอปลาย หิวไหมมันหวานเตรียมกาแฟกับขนมปังปิ้งไว้ให้ในครัวนะ” เด็กน้อยว่าแต่มือก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับเนคไท
ปลายเมฆพยักหน้ารับกับก่อนจะเดินเข้าหาคนตัวเล็ก จับมือบางนั้นออกเบาๆ ก่อนจะแก้ปมเนคไทเบี้ยวๆนั่นออก
“ดูแล้วจำ”
คุณหมอว่าพลางผูกเนคไทให้กับเด็กหนุ่ม พอยืนใกล้กันขนาดนี้ยิ่งทำให้ปลายเมฆรู้ว่ามันหวานตัวเล็กมากจริงๆ ตัวเล็กจนเหมือนว่าเขากลายเป็นเดอะฮัค
“มันหวานผูกไม่เป็นอ่ะ” มันหวานแสร้งบ่นงุ๊งงิ๊งทั้งที่จริงกำลังพยายามทำให้เสียงของตัวเองกลบความดังของหัวใจที่กำลังเต้นถี่รัว ระยะใกล้ของเขาทั้งสองคนไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มันหวานได้กลิ่นน้ำหอมหมอปลายชัดเจน ไหนจะลมหายใจเบาๆที่กำลังรินรดหน้าผากมันหวานอยู่นี่ก็ด้วย
ใจมันหวานจะแตก
“ทำแบบนี้ไม่ต้องแน่นมาก เดี๋ยวจะหายใจไม่ออก” คุณหมอแนะนำ ก่อนจะขยับปมอีกสองสามทีเมื่อเรียบร้อยจึงผละออกมา
ปลายเมฆกลัวว่ามันหวานจะเกร็งจนเป็นตะคริวไปซะก่อนก็เล่นตัวแข็งทื่อซะขนาดนั้น
“ขอบคุณนะจ๊ะหมอปลาย” เด็กน้อยยิ้มแก้มปริก่อนจะหมุนตัวเป็นวงกลมหนึ่งรอบ "มันหวานน่ารักหรือยังจ๊ะ"
ปลายเมฆหลุดยิ้มเขาพยักหน้าเบาๆตอบรับ ไม่ได้เอ่ยออกไปว่าเด็กปีหนึ่งวันนี้น่ารักมากๆ คุณหมอจะไม่เอ่ยชมพร่ำเพรื่อให้มันหวานได้ใจหรอกนะ
“เลิกกี่โมง”
“ตามตารางที่ได้มาน่าจะประมาณสี่โมงเย็นจ่ะ” มันหวานเอ่ยตอบพลางเดินตามหลังคนตัวสูงไปในครัว มองคุณหมอที่เลื่อนเก้าอี้นั่งลงและกำลังจัดการกับอาหารเช้าที่มันหวานทำไว้ให้
“ข้าวเช้าเธอล่ะ” คุณหมอเงยหน้าถามเด็กที่กำลังยืนอยู่ไม่ยอมนั่งเสียที ปลายเมฆไม่เห็นว่ามันหวานจะมีมื้อเช้าเหมือนที่เตรียมไว้ให้เขาเลยสักนิด
“เช้านี้มันหวานไม่ค่อยหิวเลยจ่ะ” อาจจะเพราะตื่นเต้นกับการเปิดเรียนวันแรกหรือเปล่าก็ไม่รู้มันหวานถึงรู้สึกว่าไม่อยากอาหารในเช้านี้
คุณหมอฟังคำตอบของเด็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆกับความไม่สนใจหามื้อสำคัญใส่ท้อง ปลายเมฆหยัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบนมจืดและซีเรียลรสน้ำผึ้งมาจัดการเทใส่ถ้วย วางไว้บนโต๊ะแล้วผละตัวไปเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออก
“กินให้หมด” คุณหมอเอ่ยสั่งเสียงเข้ม
“แต่ว่า”
“ฉันตั้งใจทำให้ เธอจะละเลยมันหรอมันหวาน?”
โอเค มันหวานแพ้แล้ว
จบประโยคนั้นมันหวานก็หย่อนก้นนั่งลงทันที คว้าถ้วยอาหารเช้าฝีมือหมอปลายเมฆตักเข้าปากคำโต ก็ใครมันจะกล้าทำลายน้ำใจของคนที่ตัวเองชอบล่ะ พูดมาซะขนาดนั้นต่อให้ไม่หิวแค่ไหนมันหวานก็จะยัดซีเรียลกับนมในถ้วยใบโตนี่ให้หมดเลย
ปลายเมฆแอบขำเบาๆเมื่อเด็กน้อยที่ดื้อรั้นเมื่อครู่กลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย คนตัวสูงนั่งลงกินมื้อเช้าอีกครั้งพลางมองเด็กตัวจ้อยที่ตักซีเรียลเข้าปากคำโต เคี้ยวตุ้ยๆพอเคี้ยวหมดก็เงยหน้ามายิ้มแฉ่งให้แก่กัน
ดูก็รู้ว่าการกระทำของมันหวานตอนนี้กำลังพยายามเอาใจเขา
และปลายเมฆขอยอมรับด้วยความสัจจริงว่าเขาชอบมัน
ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีมื้อเช้าของเขาทั้งคู่ก็หมดลง ปลายเมฆเดินไปหยิบกระเป๋าเอกสารของตัวเองที่ทิ้งไว้ที่โซฟาโดยมีเด็กน้อยเดินตามหลังมาไม่ห่าง มันหวานสะพายย่ามหรืออาจจะเรียกว่ากระเป๋าผ้าสีเหลืองสดใสที่ดูเข้ากับตัวเองได้เป็นอย่างดี
“ถ้ามันหวานเลิกเรียนแล้วมันหวานไปหาหมอปลายได้ไหม”
“แล้วแต่” ปลายเมฆเอ่ยตอบพลางใส่รองเท้าไปด้วย เขาเช็คความเรียบร้อยของตัวเองก่อนจะหันไปมองเด็กตัวเล็ก มันหวานนั่งสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวที่ดูไซส์รองเท้าแล้วคงต่างจากเขาหลายเบอร์
“เดี๋ยวมันหวานหิ้วมื้อเย็นไปฝาก” มือก็ง่วนกับการผูกเชือกรองเท้า ปากก็ขยับเอ่ยบอก ริมฝีปากก็คลี่ยิ้มเพราะมันหวานมีเมนูในหัวแล้วว่าจะซื้ออะไรไปให้หมอปลายเมฆกินดี
“ถ้าลำบากก็ไม่ต้องหรอกนะ” ถึงแม้จะพูดไปแบบนั้นแต่ปลายเมฆก็รู้ว่ามันหวานไม่เคยฟัง
เด็กตัวน้อยหยัดตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะแต้มรอยยิ้มหวานบนริมฝีปาก และนั่นคือคำตอบของมันหวานว่าไม่ได้ลำบากอะไรเลยสักนิด
พวกเขาเดินออกมาจากห้องด้วยกันแต่คงต้องแยกกันหน้าคอนโดเพราะปลายเมฆไม่ได้มีเวลามากพอจะไปส่งอีกคนได้ อีกอย่างมันหวานรับปากไว้แล้วว่าหากถึงมหา'ลัยจะส่งข้อความมาบอกไม่ต้องเกรงว่าตัวเองจะหลงในเมืองกรุง
“ดูแลตัวเองด้วย” คุณหมอว่า
“จ้าๆ มันหวานจะไม่ซนนะ”
“อืม ไปก่อนสิ” ปลายเมฆเพยิดหน้าไปยังทางตรงหน้าที่มันหวานต้องใช้ในการเดินทาง
“งั้นมันหวานไปนะ สวัสดีจ้ะหมอปลาย” มันหวานพนมมือไหว้คนโตกว่า ทิ้งรอยยิ้มหวานไว้ให้อีกครั้งก่อนจะหันหลังให้คุณหมอและเดินไปยังทิศทางของตัวเอง
ปลายเมฆมองแผ่นหลังแคบของอีกฝ่าย เขามองจนมันหวานเดินเลี้ยวไปยังอีกทางจนลับสายตาก่อนจะเดินไปยังที่จอดรถของตัวองบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้ไปส่งถึงมหา'ลัยแต่มองเด็กแครอทเดินไปจนลับสายตาก็คงพอแทนกันได้ล่ะมั้ง
มันหวานกำลังยืนงงในดงของนักศึกษามากหน้าหลายตา ที่มหา'ลัยวันนี้ดูคึกครื้นจนมันหวานเวียนหัว คนตัวเล็กเกาหัวตัวเองแกรกๆเพราะไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน ถึงแม้จะยืนอยู่ที่หน้าคณะศึกษาศาสตร์แล้วก็ตาม
พ่อเคยบอกมันหวานว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามมันหวานเลยเลือกจะเดินตามคนอื่นเขาไป ใครไปไหนมันหวานไปด้วย มือก็กำสายกระเป๋าย่ามแน่น ได้ยินเสียงโหวกเหวกตรงหน้ามันหวานพอจับใจความได้ว่าเป็นจุดลงทะเบียนของเด็กปีหนึ่ง
คนตัวเล็กจึงรีบเดินตรงไปทันที ตรงหน้าเต็มไปด้วยรุ่นพี่ที่ห้อยป้ายว่าสต๊าฟมันหวานจึงเดินงงๆเข้าไปหาและยืนต่อแถวเซ็นชื่อรายงานตัว
มันหวานเดินเลี่ยงคนออกมาเมื่อรุ่นพี่บอกว่าในอีกหนึ่งชั่วโมงจะเรียกรวมหากยังไม่กินข้าวก็ไปหาอะไรยัดใส่ท้องซะ มันหวานเลือกที่จะนั่งลงที่ใกล้ๆที่จะเรียกรวมเพราะกลัวตัวเองจะไม่ได้ยิน ต้นไม้ต้นใหญ่ที่ไม่มีใครจับจองเลยถูกมันหวานเลือกเป็นที่นั่งชั่วคราว
คนตัวเล็กค้นหามือถือตัวเองออกมาจากกระเป๋าผ้าก่อนจะทำภารกิจรายงานตัวให้หมอปลายรู้ว่ามันหวานยังคงปลอดภัยดีแม้จะงงหนักมากๆว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่
ข้อความถูกส่งไปเกือบห้านาทีได้แล้วแต่ไม่มีการตอบกลับมันหวานคิดว่าหมอปลายคงกำลังวุ่นอยู่เหมือนเคยจึงหย่อนมือถือลงกระเป๋าเหมือนอย่างเดิม
ดวงตากลมกวาดมองไปข้างหน้า ผู้คนยังคงพลุ่กพล่านและมันหวานยังคงนั่งเหงาไร้เพื่อนคนใหม่เคียงข้าง มันหวานไม่รู้ว่าคนกรุงเขามีวิธีการเข้าหาคนไม่รู้จักยังไงบ้าง ปกติมันหวานจะเก่งในการหยิบยื่นความอัธยาศัยดีให้คนอื่น แต่ที่นั่นต้องเป็นที่ของมันหวานไม่เหมือนกับที่นี่ที่มันหวานยังคงไม่คุ้นชิน
“เฮ้ หวัดดี” คนตัวเล็กสะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นข้างหูก่อนพื้นที่ว่างข้างกายจะถูกแทนที่ด้วยเจ้าของเสียงเมื่อครู่
มันหวานกระพริบตามองคนข้างกาย ชายเสื้อหลุดออกจากกางเกง เนคไทไม่ผูกและดูเหมือนผมจะไม่หวี ผมสีดำสนิทนั้นยุ่งเหยิงจนมองแทบไม่ออกว่ามันเคยเป็นทรงอะไรมาก่อน ผิวสีแทนเหมือนคนสุขภาพดีแต่เสียตรงหนวดไม่ยอมโกน มันหวานเห็นความเขียวอ่อนตรงบริเวณขอบปากนั่น
แค่เห็นก็รู้สึกจั๊กเดียมแล้วอ่ะ
คนอะไรแค่เห็นก็รู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว
คนตัวเล็กกว่ากวาดสายตามองผู้มาใหม่ที่กำลังยิ้มแฉ่งส่งให้กัน มันหวานจึงต้องยิ้มแหยๆตอบกลับไปแม้จะไม่เข้าใจคนข้างกายมากนักว่ามานั่งข้างกันทำไมที่อื่นก็มีเยอะแยะ
“เห็นนั่งเหงาๆคนเดียวเลยสงเคราะห์มานั่งด้วย” เขาคนนั้นว่าขึ้น มันหวานเลยพยักหน้าเบาๆตอบ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรตอบกลับเพราะมัวแต่กำลังงงน้ำเสียงใหญ่ๆของคนที่เจาะหูสามรูต่อหูหนึ่งข้าง
ดูไม่เรียบร้อยเลยอ่ะ เป็นนักศึกษาชายที่นี่เจาะหูได้ด้วยหรอ มันหวานงงแล้วนะ
“ชื่อไร?” เขายังคงป้อนคำถาม มันหวานชี้นิ้วเข้าหาตัวเองประมาณว่าถามเขาหรอ "เออ มึงอ่ะแหละ"
มึงด้วย...คนไม่สนิทกันเรียกกันแบบนี้ได้ด้วยหรือไง
“เราชื่อมันหวาน เอ่อ..สวัสดี” ตอบเสียงเบาพลางเขยิบถอยห่างคนแปลกหน้าออกมานิดหน่อย มันหวานย้ายกระเป๋าย่ามของตัวเองมากั้นระหว่างเขาทั้งคู่ไว้
ปลอดภัยไว้ก่อนแหละนาทีนี้อ่ะ
“กูเตวิณ เรียกติณก็ดี” เขาว่าพลางยืดขาออกไปข้างหน้า มือค้ำไว้ข้างหลัง แต่สายตายังคงจ้องมาที่มันหวาน
มันหวานเกร็งแล้วนะเอาไงดี ลุกหนีแล้วโทรไปฟ้องหมอปลายเลยดีไหม
“อื้ม สวัสดีนะ”
“สวัสดีไรเยอะแยะวะ เปลือง” อีกคนว่าคล้ายหัวเสีย
มันหวานไม่ได้พูดอะไรต่อ พยายามขยับหนีทีละนิดๆ แต่เหมือนคนที่ชื่อเตวิณจะไม่เข้าใจกับเซฟโซนของมันหวานเพราะเขาค่อยๆขยับตามมา
“จะหนีไปไหนวะ ไม่กัดหรอกป่ะ อยากเป็นเพื่อนด้วยหรอกถึงมาทักเนี่ยไอ้แคระเอ๊ย” ผู้ชายเจาะหูหกรูพูดรัวๆจนมันหวานแทบจับใจความไม่ถูก
แต่อะไรนะ? อยากเป็นเพื่อนกับมันหวานหรอ
เอาจริงดิ เขาสองคนอะนะ?
“อ๋อ เอ้อ จ้ะ” เนี่ย มันหวานพูดได้แค่นี้แหละตอนนี้ กำลังตกใจไม่คิดว่าจะมีเพื่อนเป็นยักษ์
“จ้ะ? โอโห..เล่นเอากูดูถ่อยเลยอ่ะ” เตวิณหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะพูดต่อ “โอเคดูท่าจะไม่หยาบคายงั้นต่อไปนี้เรียกเรากับนายโอเคป่ะ”
“ก็ดีจ้ะ” อย่างน้อยก็ดีกว่ามึงกูที่มันหวานไม่ชินแหละนะ
“เป็นเพื่อนกันนะ” ว่าพลางยื่นมือมาข้างหน้าคล้ายจะอยากเช็คแฮนด์กับคนที่ตัวเล็กกว่าตั้งเยอะ “จับได้ ไม่สกปรกเว้ย”
“เอ่อ ...จ่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” มันหวานส่งมือตัวเองไปจับกับมืออีกคน สัมผัสหยาบกร้านไม่อบอุ่นเหมือนหมอปลายเลยสักนิด เขาละมือตัวเองออกมามองเพื่อนใหม่ที่ยิ้มจนเห็นฟันสีขาวสะอาดตา
มันหวานไม่รู้ว่าจะคบกันรอดไหม แต่ยังดีกว่าไม่มีเพื่อนคบใช่หรือเปล่า?
เอาเถอะอย่างน้อยก็มีเรื่องเล่าให้พ่อกับหมอปลายฟังอีกเรื่อง
“ใกล้เรียกรวมแล้วไปกันเถอะ” เตวิณลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งมือมาให้มันหวานที่กำลังนั่งงงงวยไม่เลิก
“ไม่เป็นไร เราลุกได้” คนตัวเล็กเอ่ยปฏิเสธก่อนจะค่อยๆหยัดตัวลุกขึ้น มันหวานคว้าย่ามของตัวเองมาสะพาย พอยืนเทียบกันแบบนี้มันหวานเหมือนตัวยิ่งหดลง ไม่รู้ว่าเพื่อนใหม่ของเขากินอะไรเป็นอาหารถึงได้ดูใหญ่โตไปหมด
“กู-- ไม่ดิ เราไม่กัดหรอก นายไม่ต้องกลัวขนาดนี้ก็ได้ป่ะ”
“รู้ด้วยหรอ... มันหวานว่ามันหวานก็กลัวแบบเนียนๆแล้วนะ..
“โหยยยย ไม่รู้เลยมั้งแซมมี่เอ๊ยย”
“แซมมี่?”
“เออ นายไงแซมมี่เต่าตัวเขียวๆอ่ะ เนี่ยเหมือนเลยนะเว้ย ตาโตๆหน้าผากกว้างๆ” เตวิณหัวเราะลั่นจนมันหวานต้องเอามือปิดเหม่งของตัวเอง
แล้วให้มันหวานเป็นเต่าเนี่ยนะ?? เต่าตัวสีเขียวตะไคร้น้ำเนี่ยนะ!
“เราไม่ใช่เต่านะ” มันหวานเถียง
“ทำไมอ่ะ น่ารักดี น่ารักเหมือนนายอ่ะ”
“...” มันหวานเงียบ ไม่ได้เขินนะที่ถูกชมเพราะคนนี้ไม่ใช่หมอปลาย แต่มันหวานแค่รู้สึกแปลกๆ เป็นเพื่อนกันยังไม่ถึงสิบห้านาทีเลยชมว่าน่ารักได้แล้วหรอ
“มีแฟนป่ะ" เตวิณยังคงมีสีหน้าระรื่นต่างจากมันหวานที่คิ้วเริ่มชนกันแล้ว
“ถามทำไมอ่ะ”
“ถามก็ตอบดิ" เอาแต่ใจจัง
“มะ..ไม่มี” มันหวานอ้อมแอ้มตอบ ไม่รู้ว่าถามทำไมแต่คำถามนี้มันใช่คำถามปกติที่เพื่อนหมาดๆเลือกใช้ถามกันหรอ "แต่มีคนที่ชอบแล้ว" มันหวานเอ่ยเสริม
“อืม ชอบไปดิ” มันหวานมองเตวิณที่ยังคงยิ้ม คนตัวใหญ่ยีผมมันหวานจนฟูฟ่องไปหมด มันหวานมองตาเขียวปั้ดเป็นใครกันมาเล่นหัวมันหวานแบบนี้เนี่ย!
“ห้ามเล่นหัวเรานะ”
“แค่นี้ก็หวง” เตวิณยิ้มขำ
“ต้องเป็นเพื่อนกันจริงๆหรอ”
คำถามพาซื่อนั่นทำเอาคนตัวใหญ่กว่าหัวเราะจนตัวงอ เตวิณตบเข่าตัวเองป้าปๆเหมือนถูกจี้เส้นอย่างหนัก เสียงขำนั่นใหญ่เว่อๆจนคนอื่นยังหันมามอง
มันหวานเริ่มอายแล้วนะ
“ถ้าไม่อยากเป็นเพื่อนงั้นเป็นอย่างอื่นได้ป่ะล่ะ” หัวเราะพอใจจนน้ำตาแทบเล็ดเสร็จ เตวิณก็ถามคำถามชวนงงกับมันหวานต่อ
“หมายความว่าไง เรางง” งงมากด้วย
“โคตรซื่อเลยว่ะเต่าเอ๊ย” คนตัวใหญ่ยังคงยิ้มชอบใจ “งั้นพูดตรงๆเลยละกันถ้าจะบื้อขนาดนี้”
มันหวานก็ว่างั้น นี่ไม่ใช่เกมตอบคำถามชิงรางวัล เตวิณไม่ควรมายืดเยื้อไหม
“ชอบ”
“ห้ะ?” มันหวานถามย้ำ เหมือนได้ยินอะไรผิดไป
“ชอบนายอ่ะ น่ารักดี”
เอาจริงดิ..
“ล้อเราเล่นใช่ไหม ฮะๆ ขำจังเลย” มันหวานขำแห้ง สายตาเริ่มหลุกหลิก นี่มาเรียนนะไม่ได้มาเพื่อฟังคำว่าชอบจากปากคนที่เพิ่งเคยเจอ
“จริงจัง จีบนะบอกตั้งแต่ตอนนี้เลย”
ไม่เอา..
มันหวานไม่รู้ต้องพูดอะไรอยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนตัวเองปากบวมขยับปากไม่ได้ ทำได้เพียงเบิกตาโตมองคนผิวแทนตรงหน้าที่ยังคงยิ้มเหมือนคนบ้าทั้งที่เพิ่งพูดอะไรที่ทำให้คนฟังไปแทบไม่เป็น
“เตวิณจะจีบมันหวานนับจากนี้ ประกาศศักดิ์ดาโว๊ย!”
ฮื่ออออ!!! อย่าตะโก๊นนนน มันหวานอาย!
มันหวานเดินยิ้มหน้าบานมายังโรงพยาบาลที่หมอปลายเมฆทำงาน มือเล็กข้างนึงก็หิ้วถุงที่มีแต่อาหารของหมอปลายทั้งนั้น ทั้งขนมเบื้องไส้หวาน ข้าวหมูกรอบพิเศษกุนเชียงไหนจะแตงโมแกะเมล็ดสีแดงช่ำนี่ก็อีก มันหวานอยู่กับหมอปลายจนเริ่มจำได้แล้วว่าหมอปลายชอบอะไรหรือไม่โปรดสิ่งไหน
“สวัสดีจ้ะพี่ตาล มันหวานมาหาหมอปลายเมฆนะ มันหวานนัดไว้แล้ว”
เอ่ยบอกพี่พยาบาลคนสวยตรงหน้าเคาน์เตอร์ หมอปลายเคยบอกว่าถ้ามาถึงต้องมาติดต่อตรงนี้ก่อน เขาจะแจ้งว่าสามารถเจอหมอปลายได้เลยไหมหรือว่าต้องรอ
“สวัสดีจ้าน้องมันหวาน เดี๋ยวหนูรอก่อนนะคะลูก คุณหมอติดตรวจคนไข้อยู่นะ”
พี่ตาลบอกอย่างใจดี รอยยิ้มสวยๆนั้นมีให้ทุกครั้งที่มันหวานมาหาหมอปลายเมฆเลยล่ะ
“ขอบคุณจ้ะพี่ตาล อ้อนี่! ขนมเบื้องไส้หวานมันหวานซื้อมาฝากนะ” เด็กดีไม่ลืมแบ่งขนมให้พี่พยาบาลไปหนึ่งถุง คนตัวเล็กแจกรอยยิ้มหลังจากพี่ตาลเอ่ยขอบคุณ มันหวานเลยปล่อยให้พี่เขาได้นั่งทำงานต่อส่วนตัวเองก็นั่งรอหมอปลายเมฆวนไป
มันหวานเริ่มชินกับกลิ่นของโรงพยาบาลเพราะหลายครั้งที่กลิ่นยาติดเสื้อหมอปลายกลับคอนโดไปด้วย แต่มันหวานชอบนะเวลาที่กลิ่นของโรงพยาบาลผสมปะปนไปกับกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ของหมอปลายเมฆ มันหวานคิดว่าถ้ามันหวานหลับตาแล้วลองสูดดมกลิ่นรอบๆมันหวานก็เดาได้ว่าคนไหนเป็นหมอปลายเมฆของมันหวาน
“มันหวาน?”
“หมอแทนน สวัสดีจ้า” มือเล็กแนบพนมก่อนจะไหว้คุณหมอตัวโย่งเพื่อนสนิทของหมอปลายเมฆ
“สวัสดีครับ มารอไอ้เมฆหรอ” หมอแทนไทรับไหว้ก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ว่างข้างเด็กตัวน้อย
“จ้า มันหวานเอามื้อเย็นมาให้หมอปลาย”
“น่าอิจฉายังเลยน้าา” แทนไทลากเสียงยาวพร้อมรอยยิ้มแสนกรุ้มกริ่ม
“หมอแทนไม่ต้องอิจฉาหมอปลายหรอกนะจ๊ะ”
“ที่จริงเรียกว่าพี่แทนก็ได้นะมันหวาน เราจะได้ดูสนิทกันมากกว่านี้ไง”
“ก็ได้จ้ะพี่แทน” มันหวานส่งรอยยิ้มจนตาหยี แทนไทอดเอ็นดูไม่ได้จนต้องลูบผมคนเด็กกว่าเบาๆ
“ทำไร”
“หมอปลายยย” คนตัวเล็กเด้งตัวลุกจากเก้าอี้ไม่ได้สนเสียงแข็งๆเมื่อครู่ของอีกฝ่ายเลยสักนิด คงมีแค่แทนไทคนเดียวที่ลอบขำอยู่ข้างหลังแบบนี้
แค่ลูบผมยังเสียงแข็งขนาดนี้ถ้าหอมแก้มมันหวานสักฟอดเพื่อนรักไม่ควันออกหูเลยหรือไงกันนะ
“เมื่อกี้ทำอะไรกัน” หมอปลายเมฆเอ่ยถามพลางส่งสายตานิ่งๆไปให้เพื่อนสนิท
“ทักทายกันตามประสาคนสนิท เนอะมันหวานเนอะ” แทนไทอาสาเป็นคนตอบคำถามนั้นและนั่นเรียกเรียวคิ้วปลายเมฆให้ขมวดกันได้เป็นอย่างดี
อีกนิดก็พร้อมผูกโบว์
“สนิท?” คุณหมอปรายสายตามามองเด็กข้างกาย มันหวานผู้ที่ไม่ได้คิดอะไรก็ทำได้แต่พยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับคำพูดแสลงหูสำหรับปลายเมฆ
“พี่แทนแค่ชวนมันหวานคุยจ้า”
พี่แทน?
“ไปละ หมดหน้าที่” หมอแทนไทกลั้นไม่ให้รอยยิ้มหลุดออกมา คุณหมอตัวโย่งทำหน้าตาเหลอหลาลอยหน้าลอยตาแกล้งเพื่อนของตัวเองจนพอใจก่อนจะเดินละออกไปหลังจากได้หย่อนระเบิดลูกเล็กๆทิ้งไว้
“ตามมา” ปลายเมฆไม่รู้ว่าทำไมถึงคันยุบยิบกับอารมณ์ตอนนี้ รู้แต่ว่าคำว่าพี่แทนอะไรนั่นน่ะไม่เข้าหูเป็นที่สุด
มันหวานเดินตามหลังคุณหมอเข้าไปยังห้องพักส่วนตัวที่มันหวานเคยเข้ามาแล้วบางครั้ง เด็กหนุ่มวางข้าวของที่หิ้วมาไว้ที่โต๊ะตัวเตี้ยก่อนจะนั่งลงที่โซฟาตัวเล็ก มองคุณหมอถอดเสื้อกาวน์ออกก่อนจะพาดมันไว้ที่พนักเก้าอี้
หมอปลายเมฆกับเสื้อกาวน์น่ะเป็นอะไรที่กร๊าวใจอย่างยากที่จะเอ่ยเลยล่ะ
บุญตาของมันหวานแล้ว เยี่ยมยอดแบบที่เคยจินตนาการเอาไว้!
“หมอปลายมากินข้าวก่อนนะจ๊ะ เย็นมากแล้วเดี๋ยวปวดท้องนะ” เด็กน้อยว่าพลางจัดอาหารออกจากถุง เปิดกล่องข้าวหมูกรอบราดน้ำซอสแดงให้เสร็จสรรพ
ใครจะดูแลหมอปลายได้ดีเท่ามันหวาน ไม่มีหรอก
“เธอกินมาหรือยัง” ปลายเมฆพับแขนเสื้อเชิ้ตทั้งสองข้างถึงข้อศอกพลางมองเด็กน้อยที่กำลังจัดแจงทุกอย่างให้เขาเหมือนกับทุกที
“มันหวานกินมาจากมอแล้วจ่ะ หมอปลายไม่ต้องห่วงนะ หมอปลายรีบกินเถอะพักได้ไม่นานนี่จ๊ะ” มันหวานพูดอย่างรู้ทันไปหมด ตารางผ่าตัดของหมอปลายยุ่งมากๆเพราะหมอปลายเป็นหมอที่เก่งสุดๆเลยล่ะ
“ทีหลังไม่ต้องซื้อมาเยอะขนาดนี้หรอกเปลืองเงินเธอ” เพราะมันหวานไม่เคยเอาเงินจากปลายเมฆเลยสักครั้งที่ซื้อของพวกนี้มาให้กิน บอกเท่าไรก็ไม่ฟัง ดื้อรั้นเป็นที่หนึ่ง
“แค่หมอปลายกินอิ่มมันหวานก็พอใจแล้วจ้ะ” มันหวานรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไม่ต้องมีเวลามาอยู่กับมันหวานตลอดทั้งวันก็ได้ ขอแค่เพียงเวลาไม่กี่นาทีของหมอปลายที่แบ่งให้มันหวานได้ดูแลแบบนี้ก็พอแล้ว
ความชอบของมันหวานไม่ได้ยิ่งใหญ่มันมีขนาดเท่าหมอปลายเมฆแค่นั้นเอง
ปลายเมฆยิ้มบางกับคำพูดที่มักทำให้รู้สึกดีเสมอ คุณหมอเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมนิ่มเป็นรางวัลสำหรับเด็กดีก่อนจะเลื่อนกล่องอาหารมาตรงหน้าและจัดการกินมันทันที น้ำถูกเตรียมไว้ให้ข้างๆพร้อมกับผลไม้และของหวานเสร็จสรรพ
ปลายเมฆไม่ต้องทำอะไรเลยแค่เดินออกมาจากห้องตรวจ และรอกินอาหารจากความใส่ใจของเด็กปีหนึ่งตรงหน้า
มันหวานเท้ามือข้างนึงกับปลายคางมองคุณหมอสุดหล่อนั่งกินอาหารที่ตัวเองซื้อมา มันหวานเข้าใจแล้วว่าแค่การมองใครสักคนกินเราก็อิ่มได้มันรู้สึกยังไง
มันหวานไม่เคยต้องการอะไรในแต่ละวัน นอกเหนือจากการได้ดูแลหมอปลาย มันหวานเพียงต้องการเห็นหมอปลายเมฆสบายใจ ไม่อยากให้หมอปลายจมทุกข์เพราะแค่เรื่องงานก็หนักพอแล้วสำหรับผู้ชายคนนี้ เขาเพียงอยากเป็นความสบายใจให้อีกฝ่าย
มันหวานจะยืนอยู่ในมุมของตัวเองก็ได้ถ้าหมอปลายยังไม่พร้อมจะเปิดใจให้แก่กันจนหมด
มันหวานรอได้นะ เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีความอดทนมากพอ ตราบใดที่ปลายทางของมันหวานยังคงชัดเจนแม้หมอปลายจะยังคงสั่นไหวก็ตาม
“วันนี้มีคนมาบอกว่าชอบมันหวานด้วยนะหมอปลาย” มันหวานว่าพลางส่งน้ำให้คุณหมอเมื่อข้าวหมูกรอบหมดลงเรียบร้อย
“อะไรนะ?” คุณหมอเอ่ยถามหลังจากดื่มน้ำจนหมด
“เขาชื่อเตวิณ บอกว่ามันหวานน่ารักเลยขอจีบ”
“...”
“ได้เบอร์มันหวานไปด้วย ตอนแรกมันหวานไม่ให้หรอกจ่ะแต่เขาบอกว่าถ้าไม่ให้จะตามตื๋อถึงบ้าน มันหวานเลยยอม” มันหวานเพิ่งรู้ว่าคนเมืองกรุงเขาเข้าหากันแรงโคตร ก่อนจะออกจากสถานที่ประชุมของเด็กปีหนึ่งเตวิณพยายามขอเบอร์ของมันหวาน พอไม่ให้ก็ตามตอแยจนมันหวานตัดความรำคาญให้ไป
เตวิณอ้างว่าเพื่อนกันก็ต้องมีเบอร์ไว้ติดต่อกัน ทั้งที่เตวิณเองนั่นแหละที่ทำให้มันหวานไม่อยากเป็นเพื่อนด้วย
และก็ไม่ได้อยากเป็นมากกว่าเพื่อนด้วย
“หรอ แล้วยังไง” หมอปลายเมฆทำเป็นไม่สนใจ เขาหยิบไม้แหลมจิ้มแตงโมชิ้นฉ่ำเข้าปากแต่หูนี่เปิดการรับรู้เต็มที่
“ไม่หึงมันหวานหรอ มีคนมาจีบเลยนะ”
“ทำไมต้องหึง” คุณหมอเลิกคิ้วถามก่อนจะพูดต่อ "ก็เธอไม่ได้ชอบเขาไม่ใช่หรอ"
“หมอปลายรู้ได้ไงว่ามันหวานไม่ได้ชอบเขา”
“ก็เธอกำลังชอบฉัน”
“...”
“ไว้เธอชอบเขาเมื่อไรค่อยมาถามคำถามนั้นอีกที”
คำถามที่ว่าจะหึงไหมน่ะหรอ?
คุณหมอทิ้งระเบิดไว้ตู้มใหญ่ไม่สนใจเสียงหัวใจของเด็กแครอทที่กำลังตบตีกันอย่างเมามันส์ ปลายเมฆลุกขึ้นยืนก่อนจะคว้าเสื้อกาวน์มาสวมเพราะเวลาพักของเขาหมดแล้วในตอนนี้
“มันหวาน” คนตัวสูงเอ่ยเรียกเด็กน้อยที่นั่งตาปริบๆพร้อมกับก้อนแก้มที่กำลังแดงแจ๋
“จะ..จ๋า” มันหวานหยัดตัวลุกขึ้นยืนแม้ร่างกายจะเซนิดหน่อยก็ตาม
หมอปลายเมฆเอาอีกแล้ว ชอบทำให้มันหวานเสียการควบคุมตัวเองอยู่เรื่อยเลย
“ถั่วงอกกับยอดอ่อนทานตะวันที่เธอปลูก”
“...”
“ฉันไม่อนุญาตให้เธอแบ่งใครหรอกนะ”
หมอปลายหมายถึงถั่วงอกกับยอดอ่อนทานตะวันที่มันหวานปลูกไว้ริมระเบียงห้อง ผักสองชนิดที่มันหวานจะดูแลจนเติบโตแล้วนำมันมาทำอาหารให้หมอปลายกิน
หมอปลายกำลังหวงมันใช่ไหม
หวงมันเหมือนที่กำลังหวงมันหวานใช่หรือเปล่า?
“หมอปลายจ๋า” มันหวานเอ่ยเรียกคุณหมอเสียงหวานหลังจากตามหาสติของตัวเองเจอ คนตัวเล็กขยับเข้าใกล้คนตัวโตกว่า ก่อนจะจัดปกคอเสื้อให้อีกฝ่าย
ดวงตาของเขาทั้งคู่สบกัน และมันหวานคาดหวังว่าในสายตาของหมอปลายจะมีมันหวานอยู่ในนั้นบ้าง
“ไม่ใช่แค่ผักหรอกนะจ๊ะที่มันหวานจะหวงไว้ให้แค่หมอปลาย”
“...”
“เพราะหัวใจของมันหวานก็จะหวงไว้เพื่อหมอปลายเช่นกัน”
และมันหวานจะซื่อสัตย์ต่อการตกหลุมรักในครั้งนี้เสมอ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

งืออออออออมันหวานน่ารักกกกกคุณหมอใจอ่อนบ้างยังรักน้องบ้างยางงงงงอดทนกับความน่ารักเอาใจใส่น้องได้ไงเนี่ยยยยยยชอบมากๆรอค่ะสู้ๆ